Thursday, 3 July 2025
WORLD

มกุฎราชกุมารซาอุฯ เปิดตัว ‘ริยาด แอร์’  สายการบินแห่งชาติใหม่ เพิ่มรายได้ภาค non-oil

ริยาด, 13 มี.ค. (ซินหัว) — สำนักข่าวซาอุดีอาระเบีย (SPA) รายงานว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ประกาศเปิดตัวสายการบินแห่งชาติใหม่ ซึ่งมีชื่อว่าริยาด แอร์ (Riyadh Air) เมื่อวันอาทิตย์ (12 มี.ค.) ที่ผ่านมา

สำนักข่าวฯ คาดว่าสายการบินดังกล่าว ซึ่งถือครองโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบียอย่างสมบูรณ์ จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมจากกิจกรรมที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.89 แสนล้านบาท) และสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 200,000 อัตรา

ร่ำรวยบนกองเลือด สงครามเป็นเหตุ ดันยอดขายอาวุธชาติมหาอำนาจพุ่ง  มี 'ยูเครน' เป็นผู้นำเข้าอาวุธสงครามอันดับ 3 ของโลก 

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว หลายประเทศกำลังเจอวิกฤติเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง แต่ธุรกิจค้าอาวุธสงครามกลับไปได้สวย และมียอดส่งออกพุ่งสวนกระแส กลายเป็นหนึ่งในรายได้หลักของบางประเทศไปแล้ว 

ล่าสุด สถาบัน Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) รายงานข้อมูลว่า ชาติในยุโรปมีอัตราการนำเข้าอาวุธพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในระยะเวลาเพียง 5 ปีที่ผ่านมา (2018-2022) มียอดการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มสูงขึ้นถึง 47% โดยเฉพาะในกลุ่มชาติสมาชิก NATO ได้เพิ่มการนำเข้าอาวุธสงครามในช่วงเวลานี้มากกว่า 67%

นอกจากจะสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหนักในยุค Covid-19 แล้ว ยังสวนกระแสโลกด้วย ซึ่งตัวเลขจากทั่วโลกมียอดนำเข้าอาวุธลดลง -5.1% แต่ยอดขายกลับไปเติบโตอย่างก้าวกระโดดในโซนยุโรป เพราะสงครามในยูเครนเป็นเหตุ สังเกตง่ายๆ ได้จากการที่ทำให้รัฐบาลหลายชาติในยุโรปเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และนำเข้าอาวุธมาเติมในคลังแสงอย่างเร่งด่วน 

และกับยูเครน ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของสงคราม จากเดิมเป็นผู้ผลิตอาวุธส่งออก ตอนนี้กลายเป็นผู้นำเข้าอาวุธสงครามเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาวุธมือสองที่นำเข้ามาจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และ โปแลนด์ 

แต่ในทางกลับกัน สงครามในยูเครนก็ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต และ ผู้ส่งออกอาวุธสงครามรายใหญ่ของโลกเช่นกัน อย่าง รัสเซีย ที่เป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มียอดส่งออกลดลง จากเดิมที่เคยครองสัดส่วน 22% ลดลงเหลือเพียง 16% ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการอาวุธในประเทศเพิ่มขึ้น และผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กดดันชาติพันธมิตรไม่ไห้นำเข้าอาวุธจากรัสเซีย 

ด้วยอุปสรรคของการส่งออกอาวุธของรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหม่ ที่มาแรงมากในวงการนี้แทนที่รัสเซีย 

หากดูตัวเลขย้อนหลังในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ยอดการส่งออกอาวุธของฝรั่งเศสเพิ่มสูงถึง 50% และ ในปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสได้แย่งดีลใบสั่งซื้อของประเทศอียิปต์ หนึ่งในคู่ค้าอาวุธรายใหญ่ของรัสเซียมาได้ ที่เป็นผลพวงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก และฝรั่งเศสยังขึ้นแท่นอันดับ 2 ของผู้ส่งออกอาวุธให้กับกลุ่มชาติสมาชิก NATO ด้วยกัน เป็นรองเพียงสหรัฐฯ เท่านั้น

ส่วนผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ที่ครองตลาดโลกในสัดส่วนสูงสุดที่ 40% เพิ่มขึ้นจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 7% ทีเดียว 

แต่ถึงแม้ยอดการสั่งซื้ออาวุธจากยูเครนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่ยูเครนก็ยังไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่ระดับพรีเมียมของสหรัฐฯ เนื่องจากอาวุธที่ส่งออกให้ยูเครนส่วนมากเป็นอาวุธมือสอง หรือตกรุ่นเหลือค้างสต็อกแล้ว ซึ่งลูกค้าเกรด A ด้านอาวุธของสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศในย่านตะวันออกกลาง อย่าง คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์  ที่นิยมสั่งซื้ออาวุธรุ่นใหม่ ล้ำสมัยที่สุดในตลาด 

ดีใจทั้งน้ำตา!! ‘โจนาธาน คี ควาน’ อดีตผู้ลี้ภัยเชื้อสายเวียดนาม คว้ารางวัลออสการ์ ‘นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม’

โจนาธาน – รอยเตอร์ รายงานข่าวน่ายินดีจากเวทีประกาศผลรางวัลอะคาเดมีอวอร์ดส์หรือออสการ์ ครั้งที่ 95 ที่โรงละครดอลบีเธียร์เตอร์ ในย่านฮอลลีวูด นครลอสแองเจลลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

หลังจาก คี ฮุย ควาน หรือ โจนาธาน คี ควาน นักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม คว้ารางวัลสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Everything Everywhere All at Once

ส่งผลให้โจนาธานขึ้นแท่นเป็นนักแสดงชายเชื้อสายเอเชียคนที่สองที่ชนะรางวัลออสการ์ ต่อจากฮัง ซ็อมนาง โง หรือเฮง งอร์ นักแสดงชาวกัมพูชาที่ได้รับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่องทุ่งสังหาร เมื่อปี 2527 

รักไทยขึ้นมาทันที ‘สาวเกาหลี’ ไม่ปลื้ม!! ถูกคุกคาม-โกงราคา ขณะเที่ยวอินเดีย ลั่น!! “อยากกลับประเทศไทย เชียงใหม่คือสวรรค์”

ไม่นานมานี้ คุณโจ-มณฑานี ตันติสุข นักเขียนและวิทยากรการเงิน ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘Jo Montanee’ เกี่ยวกับช่องยูทูบเบอร์เกาหลีที่ชื่นชอบ โดยระบุว่า…

เพราะเจอความกดดันที่อินเดีย Renee ยูทูเบอร์สาวเกาหลีผู้ทั้งน่ารักและตลก ถึงกับบอกว่า “อยากกลับเมืองไทยจริงๆ เลย!”

แถมพอมีคนเข้าไปถามเรเน่ว่าเชียงใหม่เป็นยังไงบ้างในความคิดเธอ เรเน่ตอบว่า 

“เชียงใหม่คือสวรรค์เลยจ้า!”

ต้องเล่าก่อนว่าพี่โจติดตามช่องน้องเรเน่ตอนที่น้องท่องเมืองไทยเพราะแฟนเพจแนะนำค่ะ พอเข้าไปดูแล้วชอบมากเพราะน้องตลกและใจสู้จริงๆ ค่ะ น้องลุยภูทับเบิกแบบไม่กลัวลำบากแต่ดันกลัวลม จนต้องระเห็จมาอยู่เพิงเก็บของของเจ้าของแคมป์แทน แต่ทั้ง ๆ ที่ดูน่าจะลำบากกลับดั๊นนนนเป็นตอนที่ฮาซะงั้น 😂😂 

ยิ่งย้อนตามไปดูตอนแรก ๆ ที่น้องเล่าว่าออกจากออสเตรเลียที่น้องทำงานอยู่เพื่อกลับบ้านที่เกาหลีช่วงโควิด น้องต้องสู้กับภาวะซึมเศร้าอย่างหนักจนทำงานไม่ได้ แต่น้องไม่อยากใช้ชีวิตไปวัน ๆ จึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะออกเดินทางท่องโลก และบันทึกชีวิตตัวเองไปด้วย

ประเทศแรกที่น้องมาคือประเทศไทยค่ะ โดยน้องคิดว่าจะอยู่แค่เดือนเดียว แต่กลับอยู่นานมากถึงครึ่งปี โดยที่น้องเดินทางไปเที่ยวหลายจังหวัดทั่วไทย แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ภาคเหนือ น้องยังหัดเรียนภาษาไทยและเช่ามอเตอร์ไซค์ขับไปไหนต่อไหนคนเดียวได้อย่างสบายใจ และยังมีคนไทยคอยช่วยเหลือไปตลอดทางทุกตอน เช่น น้องไม่มีเศษเงินพอซื้อแตงโมแม่ค้าก็ให้ฟรี น้องเดินงงกลางถนนก็มีคนขับรถแวะถามแล้วไปส่งน้องฟรี ฯลฯ

แต่เพื่อให้ช่องเติบโตเรเน่ก็ต้องออกจากเมืองไทยไปประเทศอื่นด้วย เช่น เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น อินเดีย และตอนนี้น้องเพิ่งถึงเนปาล

คลิปที่พี่โจเอามาลงนี้คือตอนที่น้องไปชัยปุระ อินเดีย และพาดหัวคลิปตรงมากว่า “เมืองที่ฉันจะไม่ไปอีก” 

แถมยังเขียนคอมเมนต์ปักหมุดไว้ว่า “ฉันอยากกลับเมืองไทยจริงๆ”

พี่โจไม่ได้ลงโพสต์นี้เพื่อจะเหยียดอินเดียแล้วยกเมืองไทยนะคะ แต่เพื่อจะให้เราเข้าใจหัวอกของนักท่องเที่ยวว่าเวลาเขามาเยือนแผ่นดินเรา มีอะไรบ้างที่ทำให้พวกเขาอยากกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอะไรที่ทำให้พวกเขาเอือมสุด ๆ จนไม่อยากกลับมาอีก

หญิงเอเชียคนแรก!! ‘มิเชล โหย่ว’ คว้ารางวัลออสการ์ สาขา 'นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม' จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Everything Everywhere All at Once’

มิเชล โหย่ว คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Everything Everywhere All at Once หรือ ซือเจ๊ ทะลุมัลติเวิร์ส ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 95 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์ดอลบี (Dolby Theatre) ในนครลอส แอนเจลิส เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเธอถือเป็นนักแสดงหญิงเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัลสำคัญนี้ 

นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่อง 'Everything Everywhere All At Once' ยังได้รับรางวัลในสาขา Best Picture อีกด้วย

สุ่มเสียบที่ญี่ปุ่น ‘เพจท่องเที่ยวดัง’ แชร์ประสบการณ์ ‘สุ่มแทงคน’ ในญี่ปุ่น เผย!! ชาวญี่ปุ่นบางคน ตกงาน-เป็นบ้า ก่อเหตุเพราะอยากติดคุก

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ที่นี่เที่ยว ญี่ปุ่น’ ได้ออกมาโพสต์เตือนหลังตนเจอเหตุการณ์สุ่มแทงคนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดเหตุห่างจากเจ้าตัวไปเพียงไม่กี่ก้าว โชคดีที่เหยื่อปลอดภัยและยังมีพลเมืองดีหลายคนให้การช่วยเหลือ โดยผู้โพสต์เล่าว่า “ทำไมชีวิตต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้…

อ้อมจะเดินข้ามถนน มีผู้ชายเดินสวนทางมาจากคาบุกิโจว ทางแยกไฟแดง ตรงก็อดซิลลา ชินจูกุ น้องผู้หญิงโดนแทง เหมือนสุ่มแทง อ้อมกรี๊ดสิคะรออะไร!!! พี่ ๆ ผู้ชายพากันวิ่งจับตัวคนร้าย ส่วนน้องผู้หญิงล้มไป อ้อมมือสั่นเลยค่ะ

อ้อมส่งข้อความไปบอกเจ้านายว่า ไม่ไหวแล้วกลัว เจ้านายงง คุยกับลูกค้าจนกลัวเหรอ พอดีอ้อมนัดประชุมงาน ก้าวขาไม่ออก บอกเจ้านายว่า ไปช้านะ ขอโทษที่ช้า

พอเจอหน้าบอกหนูกินข้าวไม่ลงแล้ว ช่วยด้วย มือสั่น น้ำตาไหล นายบอก ไปทำบุญด่วน มันคลาดเราเพียงเสี้ยวเดียว แล้วไม่ต้องห่วงตอบลูกค้า เดินดูทาง เอาชีวิตตัวเองก่อน คนญี่ปุ่นบางคนหมดหนทางอยากติดคุก ตกงาน เป็นบ้า ต้องระวังตัวเอง ดูทางด้วย

จีนงานงอก!! เมื่อคนเดือดร้อนที่แท้จริง จากวิกฤต SVB อาจไม่ใช่ 'สหรัฐฯ' แต่เป็น 'จีน'

(13 มี.ค.) World Maker รายงานว่า ผู้ที่กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤต Bank Run ของ SVB อาจไม่ใช่สหรัฐฯ แต่เป็นจีน !!! เพราะล่าสุดสื่อระดับโลกเปิดเผยว่า SVB คือสะพานเชื่อมที่สำคัญสำหรับธุรกิจ Startup ของจีนที่ต้องการระดมเงินทุนในรูปแบบของดอลลาร์ !

ดังนั้นเมื่อลูกค้าของ SVB เร่งถอนเงิน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ออกจากธนาคารในคืนวันพฤหัสบดี ผู้มีอำนาจตัดสินใจในจีนก็ตื่นเช้ามาพบว่าเงินทุนของพวกเขาตกอยู่ในภาวะอันตรายไปแล้ว !

บริษัท VC หลายแห่งในจีนกล่าวว่า Startup จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนที่ติดค้างอยู่ใน SVB นอกประเทศจีนได้เลย ซึ่งความตึงเครียดของทั้ง 2 มหาอำนาจโลกและเหตุการณ์ล่าสุดนี้ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนลดการระดมทุนในรูปของดอลลาร์ลงถึง -75% ในปีที่แล้ว ! แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจีนจะหลีกเลี่ยงวิกฤตไปได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการระดมทุนเป็นดอลลาร์จำนวนมาก

โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพของจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ SVB สูง เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าบริษัทด้านเทคโนโลยีและชีวภาพมากกว่า 10 แห่งที่ซื้อขายในตลาดฮ่องกงมี SVB อยู่ในกลุ่มธนาคารเงินทุนหลัก นอกจากนี้ ประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ก็ต้องระวังเอาไว้ให้ดี เพราะหลายบริษัทที่มีการระดมทุนดอลลาร์มาแต่ไม่สามารถทำกำไรได้ ก็อาจต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกันถ้า Bank Run ลามไปยังธนาคารอื่น ๆ

ดังนั้นแล้ว ที่กลัว ๆ กันว่าสหรัฐฯ จะเกิดวิกฤตการเงินหรือไม่นั้น ความจริงแล้วอาจไม่ใช่สหรัฐฯ ที่จะกระทบหนัก แต่เป็นกลุ่ม Startup ที่มีอยู่มากมายในจีน ซึ่งพึ่งเงินทุนในรูปแบบดอลลาร์ของ SVB มาเป็นเวลาช้านาน

Bill Ackman, Michael Burry, Mark Cuban คือเหล่านักลงทุนชั้นแนวหน้าที่ออกมาเตือนว่าในทำนองที่ว่าวิกฤตครั้งนี้ยังไม่จบลง ! โดยเฉพาะถ้าหากวิกฤต SVB นี้ไม่ได้รับการรับประกันเงินฝากอย่างทั่วถึงภายในวันจันทร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด Bank Run กับธนาคารอื่น ๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งการเปิดเผยว่า Startup จีนมากมายได้รับความเดือดร้อนจากการล้มของ SVB นี้ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับที่ The Economist ของ Rothschild เปิดเผยว่าสหรัฐฯ-จีนกำลังเตรียมทำสงครามเหนือไต้หวัน ! นั่นทำให้มีความกังวลว่าเรื่องราวของโลกจะเลวร้ายลงไปอีก

และแม้ว่าความรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันจะยังดูจำกัดไม่รุนแรงเท่ากับวิกฤตการเงินโลก แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครรับประกันว่ามันจะเป็นแค่วิกฤตเบา ๆ โดยเฉพาะหากเกิดสงครามระหว่างสหรัฐฯ-จีนขึ้นมาอีก สถานการณ์โลกก็จะยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่

ยอมจำนน !! 'FED-FDIC' ร่วมปกป้องเงินฝากลูกค้า SVB ทั้งหมด หวั่น!! หากปล่อยไป อาจพาแบงก์อื่นล้มอีกหลาย

(13 มี.ค.66) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพและประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีธนาคาร SVB โดยระบุว่า...

เมื่อคืนนี้ ทางการสหรัฐฯ ประกาศ ยอมจำนน

1. อุ้มผู้ฝากเงินของ Silicon Valley Bank (เงินฝาก 175,4000 ล้านดอลลาร์) ทั้งที่ มีการค้ำประกันจากสถาบันประกันเงินฝาก FDIC หรือไม่มีค้ำประกัน

หมายความว่า คนที่ฝากเกิน $250,000 ก็จะได้เงินคืน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เป็นต้นไป

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ผู้ฝากเงินทั่วสหรัฐฯ เริ่มไปถอนเงินจากแบงก์เล็กๆ ตามชุมชน และแบงก์ท้องถิ่น ต่างๆ จากความกังวลใจว่าจะไม่ได้เงินคืน ทำให้เกิดแรงกดดันต่อสภาพคล่องของแบงก์ต่างๆ 

ยิ่งไปกว่านั้น Signature Bank ที่ New York (เงินฝาก 89,000 ล้านดอลลาร์) ถูกสั่งปิดเป็นรายที่ 2 กลายเป็นกรณีแบงก์ล้มที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ รองจาก Silicon Valley Bank ที่เป็นอันดับ 2 และ Washington Mutual ที่เป็นอันดับ 1 ที่ล้มไปช่วงวิกฤต Hamberger !!!

2. ช่วยสภาพคล่องแบงก์ที่เหลือ โดยเฟดประกาศ Bank Term Funding Program ขนาด 25,0000 ล้านดอลลาร์ ให้ธนาคารสามารถเอา พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือ ตราสาร Mortgage backed securities มาแลกเป็นสภาพคล่องได้ที่ราคาหน้าพันธบัตร

เชื่อมั่นประเทศไทย!! รถยนต์ไฟฟ้าจีน ‘BYD’ วางศิลาฤกษ์ ‘โรงงาน’ แห่งแรกในไทย ลั่น!! ดันไทย ฐานผลิต EV ของแบรนด์สู่ 'อาเซียน-ทั่วโลก'

(12 มี.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บีวายดี (BYD) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ของการก่อสร้างโรงงานรถยนต์บีวายดีแห่งแรกในไทย เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) ซึ่งถือเป็นก้าวล่าสุดของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีนในการขยับขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานระบุว่าโรงงานรถยนต์บีวายดีแห่งใหม่ตั้งอยู่ที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย รวมถึงกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และ ภูมิภาคอื่นๆ

อนึ่ง บีวายดี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายสะสมของยานยนต์พลังงานใหม่บีวายดีในปี 2022 สูงเกิน 1.86 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 208.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

บีวายดีกลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน ต่อจากเอ็มจี (MG) ของเอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) และเกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ที่เข้ามาจัดตั้งการดำเนินงานผลิตในไทย ซึ่งมีแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นครองตลาดมาอย่างยาวนาน

หลิวเสวียเหลียง ผู้จัดการทั่วไปประจำฝ่ายจัดจำหน่ายยานยนต์ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบีวายดี ระบุว่าบีวายดีนำรถยนต์รุ่นยอดนิยมอย่าง “แอตโต3” (ATTO3) เข้ามาจำหน่ายในไทยเมื่อปี 2022 ซึ่งทำสถิติบรรลุยอดจำหน่ายเป้าหมาย 10,000 คัน ภายในระยะเวลาเพียง 42 คัน

บีวายดียังจัดพิธีส่งมอบรถยนต์รุ่นแอตโต3 คันที่ 9,999 และคันที่ 10,000 ณ วันทำพิธีวางศิลาฤกษ์ของโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำหนดเริ่มต้นการผลิตในปี 2024 ด้วยกำลังการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่รายปี 150,000 คัน

การลงทุนของบีวายดีในไทยยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ซึ่งต้องการให้ร้อยละ 30 ของยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเป็นยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030

“การที่บีวายดีตัดสินใจทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ของไทย และทิศทางการพัฒนาอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนของจีน” หวังหลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและกิจการพาณิชย์ ณ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าว

“การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงสร้างโอกาสการทำงานและขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในไทย แต่ยังส่งเสริมการบูรณาการเชิงลึกของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในจีนและไทย” หวังกล่าว

จอมทำลายล้าง แพนด้ายักษ์ ‘ซุ่นซุ่น’ สร้างความปวดหัวให้ จนท. เหตุ!! ใช้ฟันอันแข็งแรง แทะเรือของเล่นจน ‘พัง’

(12 มี.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชวนชมความซุกซนของแพนด้ายักษ์ “ซุ่นซุ่น” ขณะเพลิดกับการเล่นเรือของเล่นที่อุทยานสัตว์ป่าและสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนไห่หนาน นครไห่โข่ว มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน 

ซุ่นซุ่นลากเรือของเล่นออกจากสระน้ำและใช้ฟันอันแข็งแรงแทะเรือจนพังภายในเวลาไม่กี่นาทีโดยไม่สนใจเสียงห้ามปราม งานนี้เรียกได้ว่าสร้างความปวดหัวให้ทีมเจ้าหน้าที่ แต่เรียกรอยยิ้มจากผู้คนที่ชื่นชอบความขี้เล่นของแพนด้าตัวนี้ได้ไม่น้อย
 

FED เรียกประชุมด่วน!! สหรัฐฯ หารือป้องกันวิกฤต Bank Run  หวั่น!! หากมีธนาคารอื่นล้มตาม SVB

(12 มี.ค.66) World Maker เผยว่า ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาและวิกฤตสภาพคล่องของธนาคาร SVB ซึ่งส่อแว่วจะลุกลามต่อไปยังธนาคารอื่น ๆ ที่มีปัญหาคล้ายกันนี้ ล่าสุดสหรัฐฯ ได้เริ่มหารือถึงการจัดตั้งกองทุนหนุนเงินฝากแล้ว ! ขณะที่ FED เตรียมเรียกประชุมด่วนทันทีวันจันทร์นี้ (13) เพื่อหาทาง Take Action สำหรับวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ธนาคารหลายแห่งจะล้มตามมาอีก 

ปัญหาสำคัญสุดคือเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะถ้าไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ มีแนวโน้มว่าผู้บริโภคจะแห่ถอนเงินออกไปมากกว่าเดิมและยิ่งทำให้ปัญหา Bank Run รุนแรง เพราะแม้ว่าธนาคารบางแห่งจะยังไม่เกิดวิกฤต แต่ถ้ามีการแห่ถอนจนขาดสภาพคล่องเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็น Bank Run ทันที ! เพราะกลุ่มธนาคารขาดทุนค้างพอร์ตรวมกันกว่า -21.5 ล้านล้านบาทหรือ -6.2 แสนล้านดอลลาร์ตอนนี้ !

ทำให้ตอนนี้ FDIC และ FED ต้องเริ่มชั่งน้ำหนักเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโดยด่วน โดยไม่ปล่อยให้ตลาดคาดเดากันเองต่อไป เพราะยิ่งปล่อยผ่านไปเฉย ๆ จะยิ่งทำให้ Panic มากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดในตอนนี้ว่ามาตรการป้องกันต่าง ๆ จะออกมาในรูปแบบใดบ้าง

แต่นักลงทุนบางส่วนก็คาดการณ์ว่า FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย +0.5% ในครั้งนี้ เพราะจะยิ่งทำให้ตลาดตึงเครียดเข้าไปอีก เพราะแค่ตอนนี้ก็ลามไปมากกว่า SVB แล้ว ยกตัวอย่างเช่น First Republic และ PacWest ที่หุ้นร่วงตาม SVB มาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น ซึ่งที่น่าห่วงไม่แพ้กันก็คือตลาดอสังหาฯ เพราะถ้าเกิดมีการล้มเป็นโดมิโน่เกิดขึ้น จะทำให้ราคาอสังหาฯ ที่สูงลิ่วในตอนนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะร่วงลงมาอย่างมีนัยสำคัญ

วิกฤตการล้มของ SVB นั้นถือว่าเป็นการล้มของธนาคารที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก และถือเป็นธนาคารจริง ๆ แห่งแรกที่มีการล้มในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งไม่ใช่น่าใหม่ด้วย แต่เป็นธนาคารที่มีประวัติและประสบการณ์มานานราว 40 ปีแล้ว เพราะ SVB ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1983 ดังนั้นแรงสั่นสะเทือนจึงมากกว่าวิกฤต Crypto และธนาคาร SilverGate ที่ล้มไปก่อนหน้านี้

SVB ได้รับการลงนามสนับสนุนจาก VC และสถาบันการลงทุนร่วมกว่า 100 แห่ง เนื่องจาก VC และบิรษัทเทคฯ ต่าง ๆ นั้นถือว่ามีผลประโยชน์โดยตรงกับธุรกิจของ SVB จึงน่าสนใจว่าจะมีใครเข้ามาอุ้มหรือจะปล่อยให้ล้มไปเฉย ๆ กันแน่ ? ตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน แต่คาดว่าในวันจันทร์นี้จะมีความคืบหน้าออกมาเพิ่มเติมอีกแน่นอน

ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าผลกระทบต่าง ๆ จะจบลงในเร็ว ๆ นี้ เพราะว่ายังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่รอจะเกิดขึ้น ! แต่สำหรับคำถามที่ว่าจะรุนแรงเหมือนวิกฤตการเงินโลกหรือไม่นั้น เราก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป โดยที่ไม่ควรจะประมาทหรือ Panic มากเกินไปว่ามันจะเบาหรือจะแรง

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงนั้น คงจะเห็นภาพชัดขึ้นในวันจันทร์นี้ ว่าหุ้นจะร่วงหรือไม่ ? เรื่องของค่าเงินจะเป็นอย่างไร ? รวมไปถึงทองคำและ Crypto ซึ่งในช่วงนี้อาจมีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงและผันผวนมากกว่าเดิมได้ เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่ฝุ่นกำลังตลบอยู่

นั่นทำให้ Trader และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยเข้าสู่โหมด Risk-off (ลดการรับความเสี่ยง) แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นข้อการันตีหรือเป็นการรับประกันว่าตลาดกำลังจะร่วงลงอย่างรุนแรง เพราะอย่างที่ World Maker ย้ำเสมอว่าตลาดนี้ไม่มีอะไรแน่นอน 100%

ปฏิบัติการช่วยโลมา 'ทีมกู้ภัยจีน' พบ ‘โลมาเกยตื้น’ ใกล้ท่าเรือชางเจียง  รุดช่วยเหลือรักษาบาดแผล ก่อนส่งกลับอ้อมกอดท้องทะเล

(11 มี.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หน่วยงานดับเพลิงท้องถิ่นมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน เปิดเผยการปล่อยโลมาที่เกยตื้นกลับคืนสู่ท้องทะเล หลังจากปฏิบัติการช่วยเหลือและรักษาอาการบาดเจ็บนาน 3 ชั่วโมง

โลมาดังกล่าวถูกพบเกยน้ำตื้นใกล้ท่าเรือในอำเภอปกครองตนเองชางเจียง กลุ่มชาติพันธุ์หลี ตอนราว 13.00 น. ของวันศุกร์ (10 มี.ค.) โดยทีมเจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยทางทะเลท้องถิ่นได้เคลื่อนย้ายมันขึ้นชายฝั่ง

มือล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ เปิดประวัติส่วนตัวเบื้องต้น ของ ‘หลี่เฉียง’ หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจีนคนใหม่

ปักกิ่ง, 12 มี.ค. (ซินหัว) — ประวัติส่วนตัวเบื้องต้นของ ‘หลี่เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีนที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ณ การประชุมครั้งที่ 1 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ชุดที่ 14 เมื่อวันเสาร์ (11 มี.ค.) ที่ผ่านมา

หลี่เฉียง เพศชาย กลุ่มชาติพันธุ์ฮั่น เกิดเดือนกรกฎาคม 1959 และมาจากเมืองรุ่ยอันของมณฑลเจ้อเจียง โดยเขาเริ่มต้นทำงานแรกเดือนกรกฎาคม 1976 และเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เดือนเมษายน 1983

หลี่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่วนกลาง และได้รับปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ด้านการบริหารงาน

สหรัฐฯ หวั่น!! ธนาคารหลายแห่งกำลังเจอวิกฤต คาด!! อาจรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ครั้งวิกฤตการเงินโลก

(11 มี.ค. 66) World Maker ได้รายงานเรื่องของ Bank Run ในธนาคารบางแห่ง ซึ่งก็คือ SVB Financial Group, First Republic และ PacWest Bancorp ที่ราคาหุ้นร่วงหนักกว่า -50% ภายในวันเดียว ขณะที่ลูกค้าของ SVB แห่ถอนเงินออกไปเป็นจำนวนมากเกือบ -1.5 ล้านล้านบาทเมื่อวาน จนทำให้ต้องโดนสั่งปิดธนาคารไปแล้วชั่วคราว

เรื่องนี้เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าจำนวนเงินดังกล่าวมีมูลค่าเกือบเท่ากับ AOT + PTT ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของไทย 2 แห่งรวมกัน !!! แล้วคิดดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวกำลังโดนสั่งถอนภายในวันเดียว มันคือวิกฤตที่รุนแรงแค่ไหน ?

คำตอบก็คือ มันคือวิกฤตที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 หรือที่เรารู้จักกันในชื่ออื่นๆ ว่า Hamburger Crisis ที่ทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Lehman Brothers ล้มละลาย

ทั้งนี้ ธนาคาร SVB นั้น ไม่ใช่ธนาคารหน้าใหม่ที่มีขนาดเล็กแต่อย่างใด เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1983 และมีอิทธิพลสำคัญต่อบริษัท Startup หลายแห่ง ! สาเหตุที่ทำให้หุ้นของธนาคารเหล่านี้ร่วงลงนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาสะสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ! โดยเฉพาะเมื่อโลกเกิด COVID และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในขณะที่ภาคการเงินตึงตัวจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED จึงอธิบายได้เป็นลำดับดังนี้

1.) โดยส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มธนาคารจะมีการถือครองพันธบัตรเอาไว้เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งเมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย หมายความว่าราคาพันธบัตรเก่า ๆ จะลดลง เนื่องจากพันธบัตรใหม่ที่ออกมาจะให้ Bond Yield สูงกว่า จึงทำให้มูลค่าและการประเมินราคาของพันธบัตรเก่า ๆ ที่สามารถนำไปขายใน Secondary Market จะลดลงนั่นเอง

2.) เมื่อ FED ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อ กลุ่มธนาคารที่ถือพันธบัตรอยู่มากมายจึงเริ่มขาดทุนเงินในพอร์ตอย่างมหาศาลมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ปัญหายังไม่เกิด เพราะว่ายังไม่มี Panic Sell จนลูกค้าแห่ถอนเงิน ซึ่งทำให้ก่อนหน้านี้เป็นการขาดทุนเชิงตัวเลขในพอร์ตที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น

3.) อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาสภาพคล่องต่าง ๆ เริ่มลุกลาม กลายเป็นว่าลูกค้าแห่ถอนเงินออก จนทำให้ธนาคารขาดแคลนเงินสด และต้องเทขายพันธบัตรเหล่านี้ออกไปในราคาขาดทุน กลายเป็นว่าธนาคารได้บันทึกผลขาดทุนไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และนั่นกลายเป็น Reflexivity Effect ตามทฤษฎีของ George Soros หรือจะเรียกว่า Painful Vortex ก็ได้ กล่าวคือลูกค้ายิ่งเห็นการขาดทุนก็ยิ่ง Panic Sell หรือแห่ถอนเงินออกมา ทำให้กลายเป็นโดมิโนต่อไปเรื่อย ๆ

4.) ตอนนี้ SVB สาขาอังกฤษก็จะถูกประกาศล้มละลายแล้ว แม้ว่า SVB ในจีนจะยันว่าสภาพคล่องอยู่ในสถานะดีก็ตาม ขณะที่การร่วงลงของ First Republic และ PacWest Bancorp ก็ได้เกิดขึ้นด้วยปัญหาคล้าย ๆ กัน นั่นทำให้หลายคนกังวลว่า Domino Effect จะไม่จบลงแค่นี้ !

5.) โดยเฉพาะเมื่อ FED ยังยืนยันว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก !!! นั่นยิ่งทำให้ความตึงเครียดหลาย ๆ อย่างมีอยู่สูงมาก และเราจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดเลยว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นกับ SVB และอีกหลายธนาคารในช่วงสัปดาห์นี้ จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของ FED เรื่องดอกเบี้ยได้หรือไม่ ? เพราะถ้า FED กล่าวว่าไม่สนและจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เราอาจได้เห็น Recession ของจริง แต่ถ้า FED ยอมผ่อนคลายนโยบายการเงิน และเข้าอุ้ม เราก็อาจได้เห็นการบรรเทาลงด้วยความเสียหายบางส่วน

ประเด็นสำคัญก็คือหลายคนยังไม่รู้ว่าธนาคารต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ 3 แห่งที่กล่าวมา แต่รวมไปถึงธนาคารยักษ์ใหญ่ใน Wall Street กำลังขาดทุนค้างพอร์ตอยู่ถึง -21.5 ล้านล้านบาทหรือ -6.2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ามันคือการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง เพราะธนาคารยังไม่ได้ขายหลักทรัพย์ที่มูลค่าร่วงออกมา

แต่มันจะกลายเป็นการขาดทุนจริง ๆ ทันทีหากวิกฤตนี้ลุกลามต่อไปเรื่อย ๆ และมีผู้คนแห่ถอนเงินออกจากธนาคารต่าง ๆ เนื่องจากการแห่ถอนเงินนี้ เป็นลักษณะคล้าย ๆ กับตอนเกิดวิกฤตการเงินในทุก ๆ ครั้ง จนทำให้ธนาคารมีเงินสดไม่เพียงพอจะรองรับการถอนของลูกค้า และสุดท้ายก็ต้องจำใจขายหลักทรัพย์ในพอร์ตออกมาแบบขาดทุนจนเกิดเป็น Reflexivity กันไปในเชิงระบบ

และมันอาจไม่ใช่แค่ในตลาดตราสารหนี้ขนาดใหญ่ !!! เพราะอย่างที่ World Maker อธิบายไปในบทความเมื่อวานนี้ (ใครยังไม่อ่านลองเลื่อนอ่านดูได้หน้าเพจ) ว่าตลาดการเงินโลกล้วนมีการเชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ ในหลายสินทรัพย์อย่างแยกกันไม่ออก !

โดยล่าสุดพบว่า Circle บริษัทผู้ออกเหรียญ Stablecoin อย่าง USDC มีเงินสำรองฝากอยู่ที่ SVB ราว 1.15 แสนล้านบาท ! จากทั้งหมด 1.4 ล้านล้านบาท ! หรือคิดเป็นเกือบ 10% ของปริมาณเงินสำรองที่ติดอยู่ใน SVB

ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสัดส่วนที่สูง แต่เรื่องของ Panic Sell อาจมี Effect มากกว่านั้น เพราะทันทีที่ข่าวออกมา พบว่ามูลค่าของเหรียญ USDC ร่วงยับหลุด Peg กับค่าเงินดอลลาร์ไปแล้ว ! จาก 1:1 ดอลลาร์ตอนนี้ร่วงยับมา 0.89:1 ดอลลาร์ หรือพูดง่าย ๆ ว่าใครถือ USDC จะขาดทุนทันที -11% เมื่อแลกกลับเป็นดอลลาร์ !!!

ปัญหาคือ พวกเราคิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะเกิดการ Panic Selling หรือไม่ ? ความหนักหน่วงของมันอยู่ที่ว่า ในเมื่อ Stablecoin คือเหรียญที่สร้างมาเพื่อผูกกับดอลลาร์ในอัตรา 1 ต่อ 1 แต่เมื่อมันรักษามูลค่าไว้ไม่ได้ มันจะออกทรงแบบวิกฤต TerraUSD จนลุกลามไปใหญ่โตเหมือนวิกฤต FTX อีกหรือไม่ ? นั่นคือความเสี่ยงที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ !!!

และเมื่อเรากลับมาพูดถึงการขาดทุนค้างพอร์ตอีก -21.5 ล้านล้านบาท (-6.2 แสนล้านดอลลาร์) นั้น แปลว่าหากมีลูกค้าถอนเงินจนธนาคารขาดสภาพคล่อง แปลว่าจะต้องมีการเทขายหลักทรัพย์ เช่น พันธบัตร หุ้น หรืออื่น ๆ ออกมาอีกในราคาขาดทุน และอาจกระตุ้นให้พันธบัตรหรือราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ร่วงลงได้อีกในระยะสั้น

ทั้งหมดนี้จะเป็นไปตาม Reflexivity Theory ทันทีหากไม่มีใครเข้ามาอุ้มและมีการ Panic Sell ต่อ ๆ ไป จนสุดท้ายอาจลุกลามเป็น Financial Crisis เหมือนในปี 2008 ได้ !!! แม้ว่าปัจจุบันสถาบันการเงินหลายแห่งจะมีประสบการณ์แล้วจากช่วงแฮมเบอร์เกอร์ทำให้มีความระมัดระวังและรัดกุมมากกว่าเดิม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ !

และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ตลาดตราสารหนี้และธนาคารของสหรัฐฯ นั้นมักจะเชื่อมโยงกับภาคการเงินและสถาบันการเงินของหลายประเทศ ดังนั้นถ้ายักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเป็น Domino Effect ซึ่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อโดมิโนตัวหลัง แปลว่าผู้ที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่ต้นสาย แต่เป็นปลายน้ำอย่างเช่นตลาดเกิดใหม่ !

โดยรวมแล้ว World Maker มองว่า วิกฤตในครั้งนี้ถือเป็นจุดที่ธนาคารและสถาบันการเงินจะต้องหยุดชะล่าใจและควรหันมาตรวจสอบความยืดหยุ่นและกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทโดยด่วน เพราะ Stress Test ครั้งใหญ่ดูเหมือนจะมี Timeline ที่รอเกิดขึ้นเรียงๆ กันมา ซึ่งจะเป็นบททดสอบว่าใครบ้างที่จะได้อยู่ต่อในอนาคต ซึ่งเป็นโลกที่อุตสาหกรรมจะถูกยกระดับไปอีกขั้น !

'สื่อออสเตรเลีย' ปลุกระดมขั้นสูงสุด รับมือสงครามที่ยากจะเลี่ยง จี้!! รัฐบาลออสฯ เตรียมพร้อมรบจีนเต็มรูปแบบภายใน 3 ปี

สื่อยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลียสร้างเรื่องซะแล้ว เมื่อหนังสือพิมพ์ Sydney Morning Herald และ The Age ได้ตีพิมพ์บทความวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของออสเตรเลียถึง 5 คน ที่ถกกันในหัวข้อ 'Red Alert' - ภัยคุกคามจากจีนแดง 

ซึ่งทั้ง 5 มองเห็นตรงกันว่า แสนยานุภาพด้านการทหารของออสเตรเลียในวันนี้ ห่างไกลจากคำว่าพร้อมรบมาก ไม่สามารถรับมือกับสงครามที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้วระหว่าง จีน และ ไต้หวัน ได้เลย พร้อมทั้งจี้ให้รัฐบาลกลางออสเตรเลียต้องเร่งยกระดับศักยภาพกองทัพขั้นสุดเพื่อรบกับกองทัพจีนอย่างเต็มรูปแบบให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า

รายชื่อนักวิเคราะห์ที่สื่อออสเตรเลียภูมิใจนำเสนอ ได้แก่...

1. ปีเตอร์ เจนนิงส์ อดีตเจ้าหน้าระดับสูงของกระทรวงกลาโหม

2. ลาวินา ลี  ศาตราจารย์ภาควิชายุทธศาสตร์ และ อาชญาวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแมคควอรีย์ 

3. อลัน ฟินเคิล อดีตหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรเลีย

4. เลสลีย์ ซีเบค ประธานสถาบันยุทธศาสตร์แห่งชาติ

5. มิค ไรอัน อดีตผู้บัญชาการกองพันทหารแห่งกองทัพบกออสเตรเลีย

โดยสื่อออสเตรเลียเคลมว่า ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คนนี้ ได้ร่วมประชุม ถกเถียงถึงสถานการณ์ และความเป็นไปได้ที่ออสเตรเลียต้องกระโจนเข้าสู่สงครามมานานถึง 2 ปีแล้ว โดยประเมินจากนโยบายของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งต่ออย่างเป็นทางการในเทอม 3 ที่ได้สั่งเพิ่มงบประมาณด้านการทหารขึ้นอีกถึง 7.2% และแสดงท่าที่แข็งกร้าวชัดเจนต่อข้อพิพาทในเขตปกครองไต้หวัน ทั้งหมดได้ฟันธงว่า ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ (2027) จีนจะสามารถยกระดับแสนยานุภาพด้านการทหารได้เทียบเท่ากับสหรัฐฯ

และนั่นก็เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยอมไม่ได้ สงครามที่ช่องแคบไต้หวันจะระเบิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนออสเตรเลียที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับสหรัฐฯ ก็จำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามรบกับจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นักวิเคราะห์มองเห็นภาพออสเตรเลียที่จะถูกใช้เป็นฐานทัพให้กับกองทัพสหรัฐฯ กว่า 2 แสนนายเพื่อมาประจำพร้อมรบ และออสเตรเลียก็จะกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยขีปนาวุธของกองทัพจีน รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรงในระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานจนปั่นป่วนไปทั้งประเทศ

นักวิเคราะห์ย้ำเตือนถึงชาวออสเตรเลียว่า ทุกคนควรต้องรีบเตรียมใจรับสงครามกันได้แล้ว ความสงบสุขที่มีมายาวนานหลายสิบปีในออสเตรเลียมันสิ้นสุดลงแล้ว และจี้ให้รัฐบาลออสเตรเลียเร่งยกระดับกองทัพ และอาวุธคงคลังอย่างเร่งด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะนี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน 

ความตึงเครียดในย่านทะเลจีนใต้ทวีความรุนแรงขึ้นแบบเร่งสปีดจากสงครามในยูเครน ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียเองก็ถูกกดดันไม่น้อยให้รีบเตรียมพร้อมรับศึกสงครามในภูมิภาคอินโดจีน

และล่าสุด ออสเตรเลีย เพิ่งลงนามตกลงที่จะซื้อเรือดำน้ำนิวเคลียร์จากสหรัฐจำนวน 5 ลำ ที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง AUKUS ที่เคยเป็นเหตุให้ทางออสเตรเลียจำเป็นต้องเทดีลเรือดำน้ำของฝรั่งเศส เพื่อมาซื้อของสหรัฐในวันนี้ สร้างความขุ่นเคืองให้กับทางฝรั่งเศสมาแล้ว ก็พอจะเห็นได้ว่ารัฐบาลออสเตรเลียเองก็กำลังเร่งเตรียมกองทัพตามแผนการรบของสหรัฐฯ อยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top