Sunday, 2 June 2024
WORLD

'ไบเดน' เรียกชื่อนายกฯ ใหม่อังกฤษผิด จาก 'ริชี ซูนัค' เป็น 'ราชี ซานุก'

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เอ่ยชื่อ ริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษผิดพลาดในวันจันทร์ (24 ต.ค.) ระหว่างแสดงความคิดเห็นกรณีที่เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ เหตุเลอะเลือนล่าสุดที่พบเห็นบ่อยครั้งขึ้นของผู้นำสหรัฐฯ

ระหว่างกล่าวปราศรัยในวาระเทศกาลดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่างของอินเดีย ไบเดน ยกย่องการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรของ ซูนัค นักการเมืองเชื้อสายอินเดีย ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง

"เราได้รับข่าวว่า ราชี ซานุก (Rashee Sanook) ตอนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี" ผู้นำสหรัฐฯกล่าว "อย่างที่พี่น้องผมมักพูดว่า ไม่น่าเชื่อเลย"

ในวันอังคาร (25 ต.ค. 65) ซูนัค กล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ หลังเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 หลังจากพระองค์ทรงตอบรับการลาออกของอดีตนายกรัฐมนตรี ลิส ทรัสส์ อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ทรัสส์ มีเวลาอยู่ในตำแหน่งเพียงแค่ 44 วัน กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

ซูนัค อดีตรัฐมนตรีคลังวัย 42 ปีและผู้จัดการกองทุนเฮลจ์ฟัน เป็นบุคคลผิวสีและชาวฮินดูรายแรกที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหราชอาณาจักร เขาคว้าชัยในศึกชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษนิยมหลัง เพนนี มอร์ดันท์ คู่แข่งคนสำคัญ รวบรวมคะแนนเสียงจากบรรดาส.ส.ของพรรคอนุรักษ์นิยมได้ไม่มากพอ ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน อีกหนึ่งคู่แข่ง เลือกที่จะถอนตัวไปก่อนหน้านี้

ขณะที่ ไบเดน กำลังขบคิดว่าจะลงสมัครกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัยหรือไม่ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ตัวเขาเองกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์เหน็บแนมอย่างกว้างขวาง จากอาการหลงลืมต่างๆนานา ที่ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายและสุขภาพจิตของเขา

ในวันจันทร์ (24 ต.ค. 65) เช่นกัน ไบเดน มีท่าทีเหมือนคนหลงทิศ เดินกลับอาคารหลักไม่ถูก หลังออกมาร่วมพิธีปลูกต้นไม้ที่สนามหญ้าทางทิศใต้ของทำเนียบขาว จนเจ้าหน้าที่ต้องชี้ทาง แนะให้เขาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

เมื่อเดือนที่แล้ว ไบเดน ก็เพิ่งแสดงอาการหลงและสับสน หลังจากเสร็จสิ้นการกล่าวสุนทรพจน์ในนิวยอร์ก

ประธานาธิบดีรายนี้ ซึ่งจะอายุครบ 80 ปีในเดือนหน้า หันรีหันขวางอยู่บนเวที ดูเหมือนกำลังมึนงงว่าจะลงจากเวทีอย่างไร ระหว่างนั้นพิธีกรได้กล่าวขอบคุณ ซึ่งดึงดูดความสนใจของ ไบเดน กลับไปยังพิธีการบนเวทีแทน

ในเดือนกันยายน ไบเดน สร้างความสับสนแก่สักขีพยานและเจ้าหน้าที่อีกครั้ง หลังจู่ๆเขาก็เดินออกจากโพเดียม ขณะกำลังกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับหายนะภัยจากเฮอร์ริเคนเอียน ที่สำนักงานใหญ่ของสำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง(FEMA)

5 ความท้าทาย พิสูจน์กึ๋นนายกฯ หนุ่ม 'ริชี ซูนัค' ภายใต้รัฐบาลใหม่ ความหวังใหม่ที่ประชาชนรอชม

"I will place economic stability and confidence at the heart of this government's agenda.
“เสถียรภาพและความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจคือหัวใจของนโยบายของรัฐบาลชุดนี้”

นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำปราศัยยาวหกนาทีของนายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาด ๆ ของอังกฤษอย่าง นายริชี ซูนัค หน้าบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวท์นิ่ง ซึ่งจะเป็นที่พักของเขาหลังจากนี้

นายริชีแถลงต่อสื่อมวลชนหลังจากที่เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในตอนเช้าของวันอังคารที่ 25 กันยายนที่มีรับสั่งให้เขาจัดตั้งรัฐบาล นายริชีรู้ดีว่าการล่มสลายภายใน 45 วันของรัฐบาลของนางลิซ ทรัสส์มาจากอะไร เขาจึงบอกกับคนอังกฤษว่า รัฐบาลของเขาจะมีความซื่อสัตย์, เป็นมืออาชีพและรับผิดชอบในทุกระดับ และชาวอังกฤษจะได้รับความเชื่อมั่นนี้

พร้อมกันนี้นายริชียังให้คำมั่นสัญญาต่อไปว่า การบริการทางสาธารณะสุขจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น, โรงเรียนจะดีกว่าเดิม, ถนนหนทางจะปลอดภัย, การควบคุมชายแดนของประเทศจะรัดกุมยิ่งขึ้น, คุ้มครองรักษาสิ่งแวดล้อม, ให้การสนับสนุนกองทัพ,ยกระดับและเสริมสร้างเศรษฐกิจที่จะก่อให้เกิดโอกาสของการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป อันจะนำไปสู่การลงทุนทางธุรกิจ, การคิดค้นสิ่งใหม่และการสร้างงาน

สิ่งที่นายริชีกล่าวมา ตามภาษาอังกฤษที่ว่า it’s too good to be true มันดูจะดีเกินจริงไปหน่อยมั้ย ซึ่งเขาก็ดูจะรู้ดี จึงย้ำว่า...

"ข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าท่านขณะนี้และพร้อมที่จะนำประเทศของเราไปสู่อนาคต จะทำให้ความต้องการของท่าน (ให้ความสำคัญของประชาชน) อยู่เหนือการเมือง, และสร้างรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพพรรคการเมืองดังเช่นพรรคของข้าพเจ้า"

"So I stand here before you, ready to lead our country into the future, to put your needs above politics, to reach out and build a government that represents the very best traditions of my party.”

นี่ถือเป็นคำมั่นสัญญาของนายกรัฐมนตรีหนุ่มวัย 42 ปีเชื้อสายอินเดียต่อประเทศที่เขาบอกว่ามีบุญคุณที่ต้องตอบแทน

ว่าแต่รัฐบาลของนายริชีจะมีหน้าตาอย่างไร?

บีบีซีภาษาอังกฤษได้รวบรวมมาให้ดู ซึ่งก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก นายเจเรมี่ ฮันท์ยังคงเป็นรมต.คลังต่อไป, นายโดมินิค ลัปป์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ยุติธรรม, นางซูเอลล่า บลาเวอแมน กลับมาเป็นรมต. มหาดไทย หลังจากประกาศลาออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเธอยอมรับผิดว่าใช้อีเมล์ส่วนตัวส่งเอกสารราชการให้คนรู้จัก ข่าวบอกว่าเธออาจเป็นเป้าของพรรคฝ่ายค้านที่จะโจมตีรัฐบาล, รมต.ต่างประเทศ และ รมต.กลาโหมคนเดิมไม่เปลี่ยน เช่นเดียวกับนางเพนนี มอร์ด้อนน์ ผู้ที่ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับนายริชชี่ แต่ต้องถอนตัวออกเพราะคะแนนเสียงไม่พอ เธอยังคงได้ตำแหน่งประธานสภาสามัญเช่นเดิม 

แต่มีตำแหน่งหนึ่งที่คนค่อนข้างแปลกใจคือ นายไมเคิล โกรฟ  Michael Gove กลับมาเป็นรมต. ที่เรียกว่า The Levelling Up Secretary โดยตำแหน่งนี้ พรรคคอนเซอร์เวทีฟตั้งขึ้นมาไม่นานนักและนายโกรฟ เคยเป็นมาก่อนและถูกนายบอริส จอนห์สันไล่ออกเพราะความขัดแย้งที่นายโกรฟขอให้นายบอริสลาออกหลังจากความผิดพลาดหลายอย่าง ซึ่งหน้าที่ของ รมต.นี้ คือ ทำหน้าที่ที่จะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนในประเทศ

เหล่านี้ ก็เป็นไปตามกฎที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้ 22 คน

อย่างไรเสีย พรรคเลเบอร์ก็วิจารณ์คณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ว่าส่วนใหญ่ก็หน้าเดิมๆ ที่หน้าเดิมนี้อาจตีความหมายได้ว่า นายริชีต้องการประนีประนอมภายในพรรคให้เกิดความสามัคคี แต่รมต.ที่จะทำให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัยก็คือ นายเจเนมี่ ฮันต์ ผู้ที่จะต้องเสนอแผนงบประมาณชุดเล็ก Mini-budget ต่อสภาในวันที่ 31 ต.ค. นี้

เปิดคำ 'อิงฟ้า' ถึง 'ปูติน' คำตอบเชิงภาพลักษณ์ ที่อาจสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จากเวทีประกวด Miss Grand International 2022 ที่จบไป พร้อมกับการคว้ารองชนะเลิศอันดับหนึ่งของ 'อิงฟ้า' ก็มีควันหลงเกี่ยวกับคำตอบมากมายของเธอหลั่งไหลอยู่บนโลกโซเชียล

โดยหนึ่งในผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ Kawin Kankeow ได้มีการโพสต์ติงคำตอบของอิงฟ้า พร้อมทวนให้ฟังดังนี้ว่า...

"Dear President Putin, everything you do is not different from a beast."
(ประธานาธิบดีปูติน ทุกสิ่งที่คุณทำไม่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน)

แรงไปมั้ยครับ การประกวดนางงามจะตอบเอามันอย่างเดียวไม่ได้ ควรคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศที่ตนเองเป็นตัวแทน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากครับ

รู้ทัน 'กฎหมายศาสนา' ในเมียนมา เรื่องอ่อนไหว ที่ไม่ควรล่วงเกิน

จากประเด็นล่าสุดที่เกิดขึ้นในเมียนมา คือมีคนนำตุ๊กตายางที่ชายหนุ่มกลัดมันซื้อมาเป็นเพื่อนคลายเหงามาทำเป็นองค์สักการะนัตสุรัสสตีและนัตสิริเทวีประดิษฐานไว้บริเวณด้านล่างของเจดีย์ชเวดากองทางทิศใต้ ซึ่งหากประดิษฐานไว้ที่อื่น เอย่าเชื่อว่าคงไม่มีประเด็นอะไร แต่เนื่องจากเป็นที่เจดีย์ชเวดากอง ดังนั้นดราม่าจึงเกิดขึ้น

ชาวโซเชียลของเมียนมาเริ่มมีการพูดถึงความไม่เหมาะสมในการนำตุ๊กตายางมาสวมชุดเป็นนัตมากขึ้นจนลามไปถึงเรื่องของเจ้าหน้าที่บริหารสถานที่เจดีย์ชเวดากองว่า ทำไมถึงยอมให้มีการนำหุ่นแบบนี้มาใช้เป็นนัตให้คนสักการะ (นัต: ผีบรรพบุรุษ ลักษณะกึ่งผีกึ่งเทวดาคล้ายเทพารักษ์)

แต่ความจริงเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นขึ้นถ้าชายหนุ่มผู้บริจาคนัตนี้ให้เป็นองค์สักการะ ไม่โพสต์ใบเสร็จที่ระบุสเป็กของหุ่นว่า ตุ๊กตายางสูง...เซนติเมตร หน้าอกไซส์ใหญ่ 1 และหน้าอกไซส์ธรรมดา 1 ผมสี...ตาสี... ซึ่งแน่นอนเมื่อเขาโพสต์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์กและเปิดสถานะเป็นสาธารณะแบบนี้ จึงเป็นประเด็นทันที เพราะหากเขาไม่โพสต์ใบเสร็จใบนี้ ชาวเน็ตเมียนมาอาจจะคิดว่าเป็นตุ๊กตาทั่วไปไม่ใช่ตุ๊กตายางสำหรับใช้งานในเรื่องอย่างว่า

สุดท้ายกระทรวงกิจการศาสนาและวัฒนธรรมของเมียนมา จึงดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนาต่อผู้ที่นำตุ๊กตายางแต่งเป็นนัตไปให้ประชาชนกราบไหว้บูชาที่ลานจอดรถพระเจดีย์ชเวดากอง รวมถึงดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตโดยพลการด้วย สรุปงานเข้าไปตาม ๆ กัน

ประเด็นศาสนาเป็นเหตุแบบนี้ นี่ไม่ใช่เคสแรกในเมียนมา หากสืบค้นไปแล้วในเมียนมามีกฎหมายประหลาด ๆ หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่นเมื่อหลายปีก่อนมีชาวแคนาดาและชาวสเปนถูกเนรเทศออกจากเมียนมา เพราะสักรูปพระพุทธรูปบนร่างกาย อีกทั้งยังมีเคสอื่น ๆ อีกเช่น มีชาวต่างชาติตะโกนด่าเนื่องจากชุมชนใกล้โรงแรมมีกิจกรรมเทศนาตอนค่ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกปีหลังฝน สุดท้ายชาวต่างชาติคนนั้นถูกจับและดำเนินคดี หรืออย่างอีกเคสหนึ่งเป็นไนท์คลับที่เอารูปพระพุทธรูปมาประดับสุดท้ายก็โดนตำรวจจับและปิดไปตามระเบียบ

จะเห็นได้ว่าประเด็นทางศาสนาเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากสำหรับคนเมียนมาถึงขั้นมีการตราเป็นกฎหมายสรุปคร่าว ๆ ว่า...

รู้จัก ‘ริชชี่ สุนัค’ นายกฯอังกฤษคนใหม่ หลังก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม

อนุดี เซียสกุล

นายริชชี่ สุนัคได้รับเลือกจากส.ส.พรรคคอนเซอเวทีฟด้วยคะแนนเสียงเกือบ ๒๐๐เสียงให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ในวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายนนี้และเขาจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนางเอลิซาเบธ ทรัสส์ที่ลาออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓

ในตอนบ่ายสองโมงของวันจันทร์ตามเวลาในลอนดอนซึ่งเป็นเส้นตายของการเสนอชื่อผู้เข้าชิงชัยตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ (อนุรักษ์นิยม)คนใหม่ นายริชชี่ได้คะแนนเสียงจากส.ส.ร่วมพรรคของเขา ๑๙๓ คนจากจำนวนส.ส.ทั้งหมด ๓๕๗ คนจำนวนนี้จากการสอบถามของบีบีซีและจากกการประกาศของส.ส.เหล่านั้นด้วยตนเอง ส่วนผู้สมัครอีกคนหนึ่งคือนางเพนนี มอร์ด้อน ได้เพียง ๒๖ เสียงเท่านั้น

ตามกฎของการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ในครั้งนี้ ผู้สมัครจะต้องได้เสียงจากส.ส. พรรค ๑๐๐ คน ด้วยเหตุนี้จึงจะมีผู้สมัครได้เพียงสามคนเท่านั้น ก่อนหน้าที่นายริชชี่จะประกาศลงชิง ฝ่ายทีมของเขาได้เปิดเผยรายชื่อส.ส.ที่หนุนเขาว่ามีอยู่เกิน ๑๐๐ คนแล้ว และนางเพนนีมีอยู่ราว ๒๐ กว่าคน ส่วนค่ายนายบอริส จอนห์สันก็อ้างว่าตนมีอยู่ ๕๐ กว่าคน แต่ในที่สุดนายบอริสก็ประกาศไม่ลงชิงตำแหน่ง

เมื่อนางเพนนีได้เสียงไม่ถึง ๑๐๐ ตามกำหนดเธอได้ประกาศถอนตัวและหันมาสนับสนุนนายริชชี่ ตามกฎของพรรคเมื่อเหลือผู้สมัครอยู่เพียงคนเดียวเขาก็คือผู้ชนะ  คือนายริชชี่ สุนัค

นายริชชี่ไม่ใช่ผู้ชิงชัยหน้าใหม่ ก่อนหน้านั้น ๔๕ วันเขาคือผู้ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟกับนางลิซ ทรัสส์ แต่นางทรัสส์ชนะจากการเลือกของสมาชิกพรรคคอนเซอเวทีฟที่อยู่ราว ๑๖๐,๐๐๐ คน( อย่างไรก็ดีก่อนที่จะให้สมาชิกพรรคออกเสียงเลือกนั้น นายริชชี่ ชนะได้เสียงจากส.ส.ในพรรคมากกว่านางทรัสส์) การส่งมอบอำนาจให้กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่อ่าจจะใช้เวลาระยะหนึ่งเมื่อโฆษกทำเนียบนายกฯแถลงว่าอาจจะไม่ใช่ในวันจันทร์นี้เพราะอดีตนายกฯ นางทรัสส์ต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ก่อน

ริชชี่ สุนัค คือใคร

บิดาของเขาเป็นหมอและมารดาเปิดร้านขายยาทั้งคู่ย้ายมาจากอัฟริกาตะวันออกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอังกฤษและเป็นคนอินเดีย ริชชี่เกิดที่เซ้าท์แฮมตัน, เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด,สหรัฐอเมริกา สมรสกับนักธุรกิจหญิงชาวอินเดียชื่อ Akshata Murthy  และมีบุตรสองคน ครอบครัวภรรยาของเขามีธุรกิจซอฟท์แวร์(Infosys ให้บริการในกว่า ๕๐ ประเทศ)ที่รำรวยอย่างมหาศาลในอินเดียและนี่เป็นจุดอ่อนที่เขามักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าภรรยาของเขาไม่เสียภาษีให้กับประเทศอังกฤษซึ่งที่จริงสามารถทำได้ และเพื่อกลบเสียงวิจารณ์นั้นต่อมาเธอได้ยอมเสียภาษีบางส่วนให้กับอังกฤษ เดอะซันเดย์ไทม์ลงรายชื่อของสามีภรรยาคู่นี้ว่ารำรวยโดยมีทรัพย์สินราว  ๗๓๐ ล้านปอนด์ 

ก่อนที่จะมาเล่นการเมือง ริชชี่ สุนัค เคยทำงานให้กับบริษัท โกลด์แมน แซค และบริษัทกองทุนรวมอื่นอีกสองแห่ง  นอกจากจะถือสัญชาติอังกฤษแล้ว เขายังมีกรีนการ์ดของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

เส้นทางการเมืองของริชชี่ สุนัค ก้าวหน้ารวดเร็วที่เดียวเขาได้รับเลือกเป็นส.ส. ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๘ ในเขตริชมอนด์,ยอร์คเชียร์เหนือ  แลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีคลังในสมัยนายบอริส จอนห์สันเป็นนายกฯ และในปลายเดือนตุลาคมปีนี้เขาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่มีเชื้อสายอินเดีย

ในคำแถลงครั้งแรกหลังจากประกาศผลว่าเขาชนะการเลือกหัวหน้าพรรคทอรี่ นายริชชี่บอกว่า

"It is the greatest privilege of my life to be able to serve the party I love and give back to the country I owe so much to."  นับว่าเป็นเกียร์ติอย่างยิ่งในชีวิตของข้าพเจ้าที่ได้ทำงานให้กับพรรคที่ข้าพเจ้ารักและได้ตอบแทนประเทศที่มีบุญคุณอย่างเหลือล้น (ส่วนหนึ่งของคำปราศรัย)

"We now need stability and unity and I will make it my utmost priority to bring our party and our country together." ขณะนี้เราต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเสถียรภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกข้าพเจ้าที่จะนำพรรคของเราและประเทศของเราให้ไปด้วยกัน

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่านายริชชี่ สุนัค ขณะนี้อาจจะดูว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามาประสานรอยร้าวภายในพรรคคอนเซอเวทีฟและด้วยความหวังที่จะอุดรอยรั่วของเรือเศรษฐกิจของประเทศ จากนโยบายทางด้านภาษีที่เขายืนหยัดในระหว่างที่ต่อสู้กับนางทรัสส์เมื่อสองเดือนที่แล้ว แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่านายริชชี่จะสามารถนำประเทศให้ไปถูกทิศทางได้จริงเพียงใดก็ต้องคอยดูในนโยบายงบประมาณ mini-budget ที่รมต. คลังจะประกาศในวันที่ ๓๑ ตุลาคมนี้ ซึ่งถ้านโยบายนี้เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย นายริชชี่ก็คงจะรอดพ้นสามารถทำงานต่อไปได้ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น มาฟังพรรคฝ่ายค้านเขาให้ความคิดว่าอย่างไรกับการเข้ารับตำแหน่งของเขา

ส่อง 7 โปลิตยูโร ยุคใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็น 7 อรหันต์แดนมังกร ผู้กุมอำนาจการบริหารสูงสุดของจีน ภายใต้ผู้นำ 'สีจิ้นผิง

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความถึงคณะกรรมการประจำกรมการเมือง หรือ โปลิตบูโร ชุดที่ 20 ของจีน ผู้กุมอำนาจทางการเมืองของจีนในปัจจุบันว่า ...

ถ้าให้สรุป 3 คำ สำหรับ PSC ชุดที่ 20 ผมจะใช้คำว่า "ทีมสีจิ้นผิง สายปฏิรูป ทีมเศรษฐกิจ"

หลังจากการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อเปิดสมัยการประชุมที่ 20 จบลงในวันที่ 22 ตุลาคม 2022 เราก็ได้เห็นรายชื่อของคณะกรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนประเภทสมาชิกเต็ม จำนวน 205 คน และนั่นทำให้เราต้องเริ่มวางตัวศึกษาประวัติว่า ใครบ้างที่จะได้มีโอกาสสูงที่จะได้ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการประจำกรมการเมือง (Politburo Standing Committee: PSC) ซึ่งถือเป็นกลไกสูงสุดในการตัดสินใจของประเทศ โดยจะมีจำนวน PSC ทั้งหมด 7 ท่าน รายชื่อที่ผมพยายามจะรวบรวม และประวัติพอสังเขปของแต่ละท่าน เรียงตามลำดับหน้าที่ความรับผิดชอบ มีดังนี้

1. Xi Jinping 
ใครอยากฟังประวัติชีวิตของท่าน เชิญไปฟังตาม link นี้ได้เลยครับ https://www.youtube.com/watch?v=s7pfQVb0QiA&t=10s 

2.Li Qiang

สายตรงคุมเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้ ถึงแม้จะบริหารผิดพลาดในเรื่องโควิด แต่ก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรี

Li Qiang เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 1959 ในมณฑลเจ๋อเจียง ปัจจุบันอายุ 63 ปี เรียนจบทางด้านวิศวกรรมการเกษตรจากมหาวิทยาลัยเจ๋อเจียง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของจีน

เริ่มต้นเข้าทำงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1983 โดยรับตำแหน่งเป็นเลขาธิการของ Communist party Youth League จนได้รับตำแหน่งเลยเลขาธิการพรรคประจำเมือง Yongkang และ Wenzhou

และในปี 2005 เขาได้เป็นคณะกรรมการประจำกรมการเมืองในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับเลขาธิการประจำมณฑลเจ๋อเจียงซึ่งก็คือสี จิ้นผิงในขณะนั้น 

Li Qiang จบการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย Hong Kong polytechnic University

ในที่สุดเขาก็ได้ขึ้นเป็นรองเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจ๋อเจียงในปี 2011 พร้อมๆกับที่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสมัชชาสมัยที่ 18

ความใกล้ชิดกับ สีจิ้นผิง ทำให้เขาได้ร่วมคณะเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งที่สีจิ้นผิงยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

ปี 2016 เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคมณฑลเจียงซู 

ก่อนที่จะได้รับการโปรโมทอีกครั้ง โดยได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ ในปี 2017 และด้วยตำแหน่งนี้ทำให้เขาได้อยู่ในกรมการเมือง ในการประชุมสมัชชาพรรคสมัยที่ 19

3. Zhao Leiji

ผลงานที่สำคัญที่สุดของ Zhao Leiji คือ การเป็นเลขาธิการของคณะทำงานปราบปรามคอรัปชั่น Central Commission for Discipline Inspection (CCDI) ที่เกิดขึ้นในยุคของ สี จิ้นผิง และปราบปรามคดีคอรัปชั่นได้อย่างเป็นรูปธรรม หาคนผิดมาลงโทษได้ถึง 650,000 กรณี จากที่มีข้อสงสัยร่วม 2 ล้านกรณี และมีมากกว่า 84,000 กรณี ที่ผู้ทำผิดยอมสารภาพ โดยเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นจากการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และ Big Data เข้ามาประยุกต์ใช้

Zhao Leiji เกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1957 ที่เมือง Xining มณฑล Qinghai ปัจจุบันอายุ 65 ปี เขาเริ่มต้นเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่ปี 1975 ในช่วงปลายของการปฏิวัติวัฒนธรรม และเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายจบลง เขาก็เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในวิทยาลัย ongnongbing xueyuan ที่สอนเกษตรกร/ทหาร/นักศึกษา ไปพร้อมๆ กัน เมื่อผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักศึกษาจากวิทยาลัยนี้ก็ยังมีอยู่ พวกเขาจะทำการฝึกทั้งวิชาทหาร เดินแถว ออกกำลังกาย สวนสนาม เรียนทำการเกษตร และธุรกิจการเกษตร ควบคู่กับ การเรียนปรัชญาการเมืองคอมมิวนิสต์ และระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เพื่อจบการศึกษาจะได้กลับไปทำงานให้พรรคเพื่อพัฒนาพื้นที่ต่างๆ โดย Zhao Leiji เมื่อจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็กลับไปทำหน้าที่สมาชิกพรรคที่ Qinghai

ปี 1999 เขาได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเมืองบ้านเกิด ก่อนที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในระดับมณฑล นั่นคือ เลขาธิการพรรคประจำมณฑล Qinghai และเมื่อเขาควบคุมนโยบายของมณฑลได้อย่างเต็มที่ ผลงานการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการขยายโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ และเคร่งครัดเรื่องการลงทุนที่ต้องเป็นมิตรกับสภาวะแวดล้อม ร่วมกับการส่งเสริมการค้า การลงทุนอย่างเต็มที่ ทำให้ในระหว่าง ปี 2003 – 2007 ผลผลิตมวลรวมของมณฑล ปรับตัวสูงขึ้นถึง 300%

และเมื่อเขาได้รับการสนับสนุนให้ไปเป็นเลขาธิการพรรคที่มณฑล Shaanxi ในปี 2007 เขาก็ทำให้ในปี 2008 Shaanxi กลายเป็นมณฑลที่ GDP ขยายตัวสูงที่สุดในประเทศจีน ด้วยอัตรา 15% ผลงานที่เข้าตานี้เองทำให้เขาได้เข้ามาเป็นกรมการเมืองในปี 2012 การประชุมสมัชชาพรรคที่ 18 โดยควบคุมดูแลการจัดตั้งของพรรค และในปี 2017 การประชุมสมัชชาพรรคที่ 19 เขาก็ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง PSC ที่ดูแลคณะทำงานปราบปรามคอร์รัปชัน Central Commission for Discipline Inspection (CCDI)

4.Wang Huning

Wang Huning คือ มันสมองและกุนซือที่ทำหน้าที่วางหมากทางการเมืองมาแล้วตลอด 3 ยุคผู้นำที่ผ่านมา ทั้ง เจียง เจ้อหมิน, หู จินเทา และ สี จิ้นผิง ผู้สังเกตการณ์เรื่องจีนหลายท่านขนานนามเขาว่าคือ China’s Kissinger

เขาเกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1955 ที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ปัจจุบันอายุ 67 ปี Wang Huning เริ่มเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัย Shanghai Normal University และด้วยผลคะแนนดีเลิศ เขาได้รับข้อเสนอพร้อมทุนการศึกษาให้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของจีนทันที นั่นคือ มหาวิทยาลัย Fudan โดยเขาเลือกเรียนสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจบปริญญาโทได้วุฒิกฎหมาย ในปี 1981 และเริ่มต้นการเป็นรองศาสตราจารย์ที่มีอายุน้อยที่สุดของจีนในขณะนั้น ก่อนที่จะได้เป็นศาสตราจารย์ เป็นผู้อำนวยการภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย Fudan ในปี 1995

Wang Huning เริ่มเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี 1984 และเป็นคณะทำงานร่างนโยบายด้านทฤษฎีการเมืองให้กับการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 13 (1987-1992) และทำงานด้านวิชาการให้พรรคมาโดยตลอด จนได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2002 

ในสมัยการประชุมสมัชชาพรรคที่ 16 เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง Secretariat of the CPC หรือเทียบเท่ากับ เลขานุการด้านกิจการการเมืองของผู้นำรุ่นที่ 4 หู จินเทา โดย Wang Huning ร่วมกับ Ling Jihua และ Chen Shiju คือ 3 บุคคลที่ร่างนโยบายให้กับพรรคคอมมิวนิสต์และประเทศจีนในขณะนั้น

ปี 2012 ที่ สี จิ้นผิง ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคสมัยแรกใน การประชุมสมัชชาพรรคที่ 18 Wang Huning ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกกรมการเมือง และขึ้นเป็น คณะกรรมการประจำกรมการเมือง (Politburo Standing Committee: PSC) ในปี 2017 การประชุมสมัชชาพรรคที่ 19 โดยถือเป็น PSC คนแรกที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑล และขึ้นมาด้วยความเป็นสายวิชาการล้วน ๆ (แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยไปประจำการในต่างจังหวัดเลยด้วยซ้ำ)

ปี 2020 เขาคือ รองหัวหน้าคณะทำงานควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีนายกรัฐมนตรี หลี่ เคอเฉียงเป็นหัวหน้า และในปี 2021 เขาคือ ผู้ร่างเอกสารการทบทวนประวัติศาสตร์จีนครั้งที่ 3 ที่เป็นการสร้างความชอบธรรมเพื่อประกาศว่า สี จิ้นผิง คือผู้นำคนแรกของยุคที่ 3 ของจีน ที่มีเป้าหมายการสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity 共同富裕 Gòngtóng fùyù) ต่อจากยุคแรกที่จีนยืนขึ้นมาได้ ในยุคของประธานเหมา และยุคที่ 2 ที่คนจีนพอมีพอกิน ภายใต้การนำของผู้นำรุ่นที่ 2-5 เติ้ง เสี่ยวผิง, เจียง เจ๋อหมิน, หู จินเทา และสี จิ้นผิงใน 2 สมัยแรก

และในเมื่อ แนวคิดนำในยุคอนาคตของจีน คือ ความมั่งคั่งรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) Wang Huning จึงเป็นอีก 1 คนที่ต้องจับตา 

5.Cai Qi

เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมปี 1955 ณ มณฑลฟูเจี้ยน อายุ 66 ปี จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี (เศรษฐศาสตร์การเมือง) โท (กฎหมาย) และ เอก (เศรษฐศาสตร์การเมือง) จากมหาวิทยาลัย Fujian Normal University

Cai Qi เข้าพรรคในปี 1975 โดยทำงานในระดับจังหวัดในมณฑล Fujian จนขึ้นสู่ตำแหน่งระดับผู้บริหารจังหวัด และย้ายมาทำงานที่มณฑล Zhejiang ในระดับรองเลขาธิการพรรคประจำจังหวัดในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่ สี จิ้นผิง เข้าสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจ๋อเจียง ซึ่งนั่นทำให้ Chi Qi ถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่ม New Zhijiang Army หรือ ขุนพลของสี จิ้นผิง ที่ทำงานด้วยกันมาร่วม 20 ปี ตั้งแต่สมัยที่พวกเขาเป็นผู้บริหารระดับมณฑล 

ปี 2014 Cai Qi ได้รับการโปรโมทให้เข้ามาทำงานส่วนกลางด้านความมั่นคง ในกรุงปักกิ่ง โดยดำรงตำแหน่งเบอร์ 2 ของ National Security Commission (เทียบได้กับ สมช.) และในปี 2016/2017 เขาได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งในระดับเลขาธิการพรรคประจำมณฑล และงานสำคัญที่สุดที่เขาได้รับผิดชอบคือเป็นแม่งานในการจัดมหกรรมกีฬาที่สำคัญที่สุดของโลก นั่นคือ กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่จะเกิดขึ้นในปี 2022 รวมทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานควบคุมการระบาดของโควิด-19 ของกรุงปักกิ่ง ซึ่งถือว่ามีผลงานดีเยี่ยมในทั้ง 2 หน้าที่

อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจของ Cai Qi คือ เขาเป็น active user ของ Weibo (เทียบเท่ากับ Twitter ในโลกตะวันตก) โดยใช้นามในโลก Social Media ว่า Cai Qi, a Bolshevik (แต่ตอนเปิด Account ใช้ชื่อว่า Qianshui ซึ่งแปลว่า นักดำน้ำ) โดย Cai Qi มีผู้ติดตามมากกกว่า 10 ล้านคน โดยหลายๆ ครั้งเขากล่าวขานถึง สี จิ้นผิง ในโลก Social Media ด้วยคำว่า “Xi Dada” ซึ่งแปลว่า คุณพ่อสี และ “Boss Xi!”

6. Ding Xuexiang

Ding Xuexiang เกิดวันที่ 13 กันยายน 1963 ในมณฑลเจียงซู ปัจจุบันอายุ 60 ปี เขาจบการศึกษาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Yanshan University ในปี 1982 เริ่มต้นชีวิตการเมือง โดยการเป็นสมาชิกพรรคในปี 1984 และเริ่มต้นทำงานในมหานครเซี่ยงไฮ้ ในปี 1982 ณ Shanghai Research Institute of Materials ในระหว่างทำงานเขาเรียนต่อจนจบปริญญาโทด้านการบริหารจัดการภาครัฐ จากมหาวิทยาลัย Fudan และด้วยประสบการณ์ทำงานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาโดยตลอด ทำให้ในปี 1999 เขาได้รับตำแหน่ง Deputy Director ของ Shanghai Municipal Science and Technology Commission และได้รับตำแหน่งสูงสุดในมหานครเซี่ยงไฮ้ Secretary of the Political and Legal Committee of the Shanghai Municipal Party Committee

Ding Xuexiang ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 และขึ้นเป็นกรมการเมืองในปี 2017 โดยเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนและมีบทบาทในพรรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในวันที่จีนต้องการเป็นผู้นำเรื่องวิทยาศาสตร์ในเวทีโลก

7. Li Xi

Li Xi เกิดเดือนตุลาคม 1956 ในมณฑล Gansu ปัจจุบันอายุ 65 ปี เริ่มเป็นสมาชิกพรรคในปี 1982 เขาทำงานให้กับพรรคจนได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำจังหวัด Zhangye ก่อนที่จะย้ายมาเป็นเลขาธิการพรรคประจำเมือง Yan’an มณฑล Shaanxi ในปี 2006 Yan’an ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะที่นี่คือจุดหมายปลายทางของการเดินทัพทางไกลในช่วงสงครามกลางเมือง ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

ปี 2011 เขาได้รับสนับสนุนให้ไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายจัดตั้งองค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์ มหานครเซี่ยงไฮ้ และเจริญเติบโตจนได้รับตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ ก่อนที่จะถูกส่งกลับไปที่เมือง Liaoning มณฑล Gansu อีกครั้งเพื่อนำเอาประสบการณ์ที่เซี่ยงไฮ้ไปพัฒนาเมืองในพื้นที่ยากจนห่างไกล และได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเมือง Liaoning ในปี 2015

ด้วยผลงานการพัฒนาเมืองที่โดดเด่นทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้งซึ่งเป็นมณฑลที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของประเทศจีน โดยเขาเข้ามารับตำแหน่งต่อจากอีก 1 ดาวรุ่งของพรรค นั่นคือ Hu Chunhua 

ตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้ง เป็นอีก 1 ตำแหน่งที่มักจะเป็นเส้นทางของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำระดับสูงของจีน ไม่ว่าจะเป็น อดีตเลขาธิการพรรค Zhao Ziyang, Xi Zhongxun คุณพ่อของสี จิ้นผิง, อดีตรองนายกรัฐมนตรี Zhang Dejiang และอดีตกรรมการถาวรกรมการเมืองอย่าง Li Changchun และ Wang Yang ก็เคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน
และด้วยตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้ง จึงทำให้ Li Xi ได้ขึ้นมาเป็นกรมการเมืองในปี 2017 ในการประชุมสมัชชาพรรคสมัยที่ 19

FATF ขึ้นบัญชีดำทางการเงินต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ฤานี่จะเป็นสงครามตัดท่อน้ำเลี้ยงของประเทศตะวันตก

มีข่าวดัง เมื่อคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินสากล หรือ Financial Action Task Force: FATF ออกประกาศขึ้นบัญชีดำทางการเงินต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งประกาศดังกล่าวเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่กระทบกับผู้ประกอบการในเมียนมาอย่างจัง เพราะเกิดการกระทบกับระบบค่าเงินของเมียนมาในทันที 

โดยอัตราแลกเปลี่ยนในวันหลังประกาศของ FATF ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนดิ่งจาก 75 จ๊าดต่อบาท เป็น  93-95 จ๊าดต่อบาท ก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนจะคืนกลับมาอยู่ที่ประมาณ 90 จ๊าดต่อบาทในช่วงค่ำ ซึ่งถือว่าการกระทบครั้งนี้เป็นการกระทบทางการเงินไม่ต่างกับช่วงก่อนที่มีเรื่องดอลลาร์ในเมียนมาขาดตลาดจนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนพุ่งไปเป็น 100 จ๊าดต่อบาทมาแล้ว

แต่ก่อนอื่นรู้กันไหมว่า คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินสากล หรือ Financial Action Task Force: FATF เป็นใคร?

FATF เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาล จัดตั้งขึ้นโดยที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G7 ปัจจุบันมีสมาชิก 39 ราย มีเครือข่ายความร่วมมือ 9 แห่ง ในทุกภูมิภาคของโลก โดยปัจจุบันมีประเทศที่เป็นสมาชิก FATF 37 ประเทศ ได้แก่...

อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บราซิล, แคนนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีช, ซาอุดีอาระเบีย, ฮ่องกง, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, ไอร์แลนด์, อิสราเอล, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ลักแซมเบิร์ก, มาเลเซีย, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, รัสเซีย, สิงคโปร์, แอฟริกาใต้, สเปน, สวีเดน, สวิสเซอร์แลนด์, ตุรเคีย, สหราชอาณาจักรอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศร่วมสังเกตการณ์ ส่วนไทยเรานั้นเพิ่งได้รับมติ ครม. เห็นชอบให้สมัครเข้าร่วม FATF เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา

ตามรายงานของ FATF ล่าสุดประกาศเมื่อ 22 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เมียนมาเป็นประเทศที่ติดอันดับประเทศที่ FATF เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกและประเทศอื่นๆ ใช้มาตรการตอบโต้ เช่นเดียวกันกับ เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ในขณะที่ กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ติดระดับ 3 คือเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการติดตามความคืบหน้าในการปรับปรุงอย่างใกล้ชิดโดย FATF

ในช่วงเวลาใกล้กันก่อนการประกาศของ FATF กองทหาร KNU/KNLA ร่วมกับ PDF ยกพลถล่มค่ายทหารเมียนมาบริเวณก๊อกกาเร็ก ซึ่งส่งผลให้การค้าชายแดนเงียบสงัด ซึ่งถ้าเรามองว่าเหตุการณ์การโจมตีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ FATF ประกาศก็พอจะมองได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็มีการทดสอบอาวุธของพวก PDF หลายที่ไม่ว่าจะในรัฐสะกายหรือที่ตรงเชิงเขาของพระธาตุอินทร์แขวนที่ทำให้ผู้แสวงบุญเสียชีวิตไปหลายคน  

แต่ในขณะเดียวกันที่การค้าชายแดนกำลังจะดีขึ้นการรบและการประกาศของ FATF ก็คือตัวที่ทำการค้าชายแดนให้หยุดชะงักไปอย่างทันที จากจุดนี้จึงมองว่าเป็นการวางแผนจากประเทศตะวันตกในการจะทำลายเศรษฐกิจของเมียนมาที่กำลังจะฟื้นตัวหรือไม่

'รีพับลิกัน' แบะท่าจำกัดความช่วยเหลือ หากชนะเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่ยูเครนถึงกับช็อก หลังรีพับลิกันออกมาบ่งชี้ว่า “ความช่วยเหลือใด ๆ ในอนาคตที่จะมอบแก่เคียฟ อาจเป็นไปอย่างจำกัด หากว่าพรรคคว้าชัยชนะในสภาล่างในศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน” เรียกร้องขอทั้ง 2 พรรคการเมืองเดินหน้าให้การสนับสนุนยูเครนต่อไป

ไม่นานมานี้ เควิน แมคคาร์ธี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากรีพับลิกัน ได้กล่าวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ โดยเผยว่า การอนุมัติเงินช่วยเหลือใด ๆ ที่จะมอบให้แก่ยูเครนในอนาคตจะเป็นเรื่องยากลำบากกว่าเดิม หากว่าพรรคของเขาครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ซึ่งจากผลสำรวจจากโพลต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น

“ผมคิดว่าประชาชนกำลังนั่งอยู่บนขอบเหวของภาวะถดถอย และพวกเขาจะไม่มีทางเขียนเช็คเปล่าให้ยูเครนอีกต่อไป” แมคคาร์ธี กล่าว

ขณะที่ ไมเคิล แม็คคอล สมาชิกระดับสูงของรีพับลิกัน ในคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก ว่า รีพับลิกันยังคงสนับสนุนช่วยเหลือยูเครน แต่ต้องการให้ยกระดับกำกับดูแลเข้มข้นกว่าที่เป็นอยู่ “ผมคิดว่าความพยายามนี้ยังคงได้รับการสนับสนุนจากทั้ง 2 พรรค แต่เราต้องการรับประกันว่าพันธมิตรนาโตของเราจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง และช่วยแบกรับภาระค่าใช้จ่าย”

ส่วน จอช ฮอว์ลีย์ วุฒิสมาชิกจากมิสซูรี กล่าวในถ้อยแถลงเมื่อวันพุธ (19 ต.ค.) ว่า สหรัฐฯ ใช้เงินในการให้ความช่วยเหลือยูเครน มากกว่าพันธมิตรยุโรปทั้งหมดของเรารวมกันเสียอีก และไม่มีการกำกับดูแลอย่างมีนัยสำคัญ นี่มันโง่เขลามาก และไม่ยั่งยืนเลย

“รัฐบาลไบเดนกล่าวว่า แม้พวกเขาคาดหมายว่าความขัดแย้งในที่สุดจะจบลงบนโต๊ะเจรจา แต่ ณ เวลานี้ ยังไม่เห็นแนวโน้มของการพูดคุยหารือใด ๆ มีแต่จะเดินหน้ามอบความช่วยเหลือทำลายล้างเสริมอำนาจต่อรองแก่ยูเครนต่อไป” ฮอว์ลีย์ กล่าว

ทันทีที่ข้อความนี้จากรีพับลิกันปรากฎ เดวิด อาราคาเมีย หัวหน้าพรรคของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ในรัฐสภา ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียลไทม์ส เมื่อวันพุธ (19 ต.ค.) ว่า “เราช็อกมากที่ได้ยินความคิดเห็นนี้จากมิสเตอร์แมคคาร์ธี ด้วยความสัตย์จริง”

อาราคาเมีย กล่าวต่อว่า เขาเพิ่งมีโอกาสพบปะกับแมคคาร์ธี ระหว่างเดินทางเยือนวอชิงตันเมื่อเร็ว ๆ นี้ และในตอนนั้น ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะยังคงให้การสนับสนุนเคียฟต่อไป 

“ไม่กี่สัปดาห์ก่อน คณะผู้แทนของเราเพิ่งเดินทางเยือนสหรัฐฯ และพบปะกับแมคคาร์ธี เราเชื่อมั่นว่าแม้พวกเขาชนะเลือกตั้ง ทั้ง 2 พรรคก็จะยังให้ความสำคัญลำดับต้น ๆ กับการให้แรงสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย” อาราคาเมีย กล่าว

ทั้งนี้ร่องรอยความเห็นต่างระหว่าง 2 พรรคใหญ่แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นนี้ เริ่มปรากฏออกมาชัดขึ้น โดยในเดือนมิถุนายน วุฒิสภาจากรีพับลิกัน 11 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรีพับลิกัน 57 คน คัดค้านคำร้องขอเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครน 40,000 ล้านดอลลาร์ และบรรดา ส.ส.กับพวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าแรงขัดขืนจากรีพับลิกันจะหนักหน่วงยิ่งขึ้นในสภาคองเกรสชุดถัดไป โดยเฉพาะศึกเลือกตั้งทั่วไปจะมาถึงในปี 2024

การเมืองอังกฤษเคลื่อนไหว หลัง 'ลิซ ทรัสส์' ลาออก พรรคคู่แข่งแง้ม!! คืนอำนาจเลือกตั้งให้ประชาชน

นายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ของอังกฤษประกาศลาออกเมื่อวานนี้ 20 ตุลาคม 2565 และจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟคนใหม่ภายในวันศุกร์หน้านี้ หลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่เมื่อวันที่ 5 กันยายนและเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 6 กันยายนปีนี้ 

นางลิซ ทรัสส์ เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศคือ เพียง 45 วัน

สาเหตุที่ทำให้เธอต้องลาออกก็เพราะ "พรรคคอนเซอร์เวทีฟได้เลือกข้าพเจ้าเข้ามาภายใต้อาณัติที่มอบหมายให้ลดภาษีและกระตุ้นความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศ" และเนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ “ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่สามารถที่จะทำตามสิ่งที่ได้รับการมอบหมายตามที่พรรคได้เลือกข้าพเจ้าเข้ามาได้ ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวและกราบทูล ให้ทรงทราบว่าข้าพเจ้าจะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ”

(ระบบพรรคคอนเซอเวทีฟ คือ ถ้าพรรคเป็นรัฐบาล หัวหน้าพรรคจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

หลังจากนั้นเธอได้พบหารือกับเซอร์เกรแฮม บราดี ประธานคณะกรรมการ 1922 (ผู้ที่ ส.ส. ภายในพรรคจะปรึกษาหารือในเรื่องต่างๆ ของพรรค) และตกลงกันว่าจะเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ภายในวันศุกร์หน้า และเธอจะรักษาการนายกรัฐมนตรีไปจนกว่าจะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่

สาเหตุสำคัญที่ทำให้นางทรัสส์ต้องลาออก ก็เพราะนโยบายการลดภาษีของเธอในระหว่างที่หาเสียงเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ตกฮวบกับอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินดอลลาร์สหรัฐ กระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างมาก และเมื่อมีเสียงต่อต้านกับแผนการลดภาษีของเธอ เธอก็กลับลำไม่ลดภาษีตามที่เคยประกาศไว้ เธอต้องปลดรัฐมนตรีคลังเพื่อนสนิทไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และเมื่อวานรัฐมนตรีมหาดไทยก็ประกาศลาออก บวกกับลูกพรรคคอนเซอเวทีฟบางกลุ่มก็ประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เธออยู่อีกต่อไป

'หลิน จื้อหลิง' เผย ไม่ค่อยทะเลาะกับสามี เหตุเพราะยังใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง

'หลิน จื้อหลิง' เผยว่าตั้งแต่แต่งงานกับหนุ่ม 'อากิระ' ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน และย้ายไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศของฝ่ายชายเธอกับเขาแทบจะไม่มีปากเสียงกันเลย นั่นก็เพราะเธอยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยได้นั่นเอง

นับตั้งแต่แต่งงานกันเมื่อปี 2019 นางแบบสาวคนสวยวัย 47 ปี ได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ญี่ปุ่นบ้านเกิดของสามี ซึ่งล่าสุดเธอยังเปิดเผยว่าตัวเองกับเขาแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องทะเลาะกันเลย

"อาจจะเพราะภาษาญี่ปุ่นของฉันยังไม่ดีพอก็ได้ หลาย ๆ อย่างก็เลยต้องมาแปลอีกต่อหนึ่ง" หลินจื้อหลิงพูดติดตลกถึงสาเหตุที่อาจจะทำให้เธอกับสามีไม่ค่อยมีปัญหากัน 

หลิน จื้อหลิง ประกาศข่าวดีเรื่องการแต่งงานกับ อากิระ สมาชิกวง Exile เมื่อเดือน มี.ค. 2019 โดยทั้งคู่มีลูกคนแรกด้วยกันเมื่อ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9650000100343

นายกฯ อังกฤษ อาจไม่ได้ไปต่อ หลังกระแส ‘จบ’ หนาหู ขึ้นอยู่กับเวลา

เรื่อง: อนุดี เซียสกุล

“Credibility is one of the most prized assets in politics.
When it drains away, dredging it back is difficult, often impossible.”
Chris Mason, Political editor, BBC News

ผู้เขียนขอยกข้อเขียนของนายคริส เมสัน บรรณาธิการข่าวการเมืองของบีบีซีมาเริ่มต้นเรื่องอนาคตของนางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพราะมันเป็นสัจธรรมทางการเมืองที่แน่นอนที่สุด 

นายคริส เมสันบอกว่า “ความน่าเชื่อถือ คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในทางการเมือง หากว่ามันได้สูญหายไปแล้ว ก็ยากยิ่งนักที่จะดึงมันกลับคืนมาและบ่อยครั้งที่ยากที่จะเป็นไปได้”

Credibility หรือความน่าเชื่อถือในตัวนางลิซ ทรัสส์ กระทบกระเทือนอย่างนัก เมื่อเธอได้ปลดรัฐมนตรีคลังนาย กวาซี กวาร์เทง (Kwasi Kwarteng) ออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากแผนงบประมาณที่เรียกว่า mini-budget ที่นายกวาร์เทงประกาศออกมาในปลายเดือนที่แล้ว ถูกตำหนิติเตียนอย่างหนักว่าไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะเศรษฐกิจของอังกฤษ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นนางลิซ ทรัสส์ จึงต้องกลับลำเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เคยประกาศไว้ตอนหาเสียงเป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟในเรื่องภาษี เช่น กลับลำในเรื่องการเก็บภาษีนิติบุคคลที่เธอประกาศแต่แรกว่าจะไม่ขึ้น แต่พอโดนวิจารณ์หนักเธอก็บอกว่าต้องขึ้น หรือเรื่องภาษีเงินได้เป็นต้น

ที่จริงการเปลี่ยนแผนในเรื่องภาษีนั้นรัฐ อาจสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ในเวลาแค่ไม่ถึงเดือนที่เธอเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะไม่เพียงแต่ตลาดเท่านั้นที่หวั่นใจในการเปลี่ยนแปลง แต่บรรดาลูกพรรคที่เป็นส.ส. ของพรรคคอมเซอร์เวทีฟเองก็พลอยวิตกกังวลไปด้วย เพราะมันหมายถึงอนาคตในการเลือกตั้งของพวกเขาต่อไปด้วย

คริส เมสัน บอกว่าแม้เธอจะฉลาดในการตั้งนายเจเรมี่ ฮันท์ เข้ามาเป็นร.ม.ต. คลังคนใหม่เพื่อที่อาจจะสงบปากของกลุ่มนายริชชี่ สุหนักลงบ้าง (นายเจเรมี่ เป็นผู้ที่สนับสนุนนายริชชี่ในระหว่างการแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรค) แต่ก็มีเสียงจากส.ส. บางคนว่าอาจเป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น และบางคนถึงกับพูดว่านายเจเรมี่ คือ นายกรัฐมนตรีตัวจริง ซึ่งเขาได้ปฏิเสธและยืนยันว่านางทรัสส์ยังเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว

อย่างไรก็ดีผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานคำพูดของอดีตรัฐมนตรีของพรรคคอนเซอร์เวทีฟคนหนึ่งว่า “คนทั่วไปรู้ดีว่า มันจบแล้ว แต่มีคำถามเพียงว่า จะจบอย่างไรและเมื่อไหร่เท่านั้น”

ในช่วงเวลา 72 ชั่วโมงที่ผ่านมามีการถกเถียงกันว่า นายกฯ ทรัสส์ จะอยู่ในบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวท์นิ่งอีกได้นานเพียงใด หลังมี ส.ส. กลุ่มเล็กๆ ของพรรคคอนเซอร์เวทีฟได้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้เธอลาออก และอีกจำนวนมากอาจจะตามมา

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และเรียกร้องเช่นนี้ ทำเนียบรัฐบาลก็ยังอยู่ในโหมดของการรับฟังเท่านั้น ขณะเดียวกันเพื่อให้ทันกับสถานการณ์และให้เกิดความชัดเจนในเรื่องภาษีของรัฐบาล ด้านรมต.คลัง หมาดๆ (เจเรมี ฮันท์) ก็ได้แถลงต่อสภาเมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 17 ต.ค.ว่า จะลดหรือเพิ่มในเรื่องใดบ้าง ซึ่งก็เป็นที่ต้อนรับของ ส.ส. บางคน แต่ธุรกิจบางอย่างก็ไม่ยินดี โดยนโยบายที่แถลงต่อสภานั้น มีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญ ๆ หลายอย่างจากที่นางลิซเคยประกาศไว้

มีการคาดการว่าในสัปดาห์นี้นายกฯ ทรัสส์จะใช้เวลาพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกพรรคของเธอเพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุน เช่นเดียวกับนายฮันท์ที่จะชี้แจงให้ส.ส. พรรคเข้าใจในแผนการที่สำคัญและยากของเขาที่จะประกาศในปลายเดือนนี้

เมื่อดูสถานการณ์แล้วทั้งนางทรัสส์และนายฮันท์อาจจะทำงานยากอยู่กับเสียงของส.ส.ลูกพรรค แต่ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง เมื่อมีเสียงจากผู้อาวุโสในพรรคออกมาเตือนว่าควรจะฟังแผนเศรษฐกิจทั้งหมดของ รมต.คลัง เสียก่อน เช่นเดียวกับ ส.ส. รุ่นใหญ่ในพรรคที่ขอให้สงบสติอารมณ์กันลงบ้างและ ส.ส.อีกกลุ่มใหญ่เตือนว่า ให้ดูๆ กันไปอีกหน่อยอย่าวู่วามเกินไป

'กาตาร์' รับปากจะส่งก๊าซให้เอเชียตามสัญญา ยัน!! ไม่เปลี่ยนส่งไปยุโรป แม้เจอปัญหาราคาพลังงาน

กาตาร์ ยกระดับตัวเองเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ เพื่อส่งก๊าซให้ยุโรปแทนการพึ่งพาจากรัสเซีย แต่ยังคงยึดมั่นที่จะส่งให้ลูกค้าในเอเชียตามสัญญา พร้อมยืนยันว่าการนำเอาก๊าซที่จะส่งให้เอเชียไปส่งให้ยุโรปแทนนั้น จะไม่เกิดขึ้น!!

ซาอัด อัล-กาบี ซีอีโอของบริษัท QatarEnergy แถลงในวันอังคาร (18 ต.ค.65) ว่า QatarEnergy กำลังทำงานเพื่อขยายการผลิตก๊าซและการดำเนินการค้า ขณะที่ความต้องการ หรืออุปสงค์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และจะไม่เปลี่ยนเส้นทางก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ที่ทำสัญญาไว้กับบรรดาผู้ซื้อในเอเชีย เพื่อส่งไปยังยุโรปในช่วงฤดูหนาวนี้

กาตาร์เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG รายใหญ่ของโลก โดยหลายประเทศในยุโรป ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและปัญหาการหยุดชะงักของการจัดการหาเชื้อเพลิง อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อพลังงานกับประเทศในอ่าวอาหรับแห่งนี้ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย

ตั๋วชมฟุตบอลโลก 2022 ที่การ์ตา จำหน่ายไปแล้วเกือบ 3 ล้านใบ

ยอดขายตั๋วฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ ใกล้จะแตะ 3 ล้านใบแล้ว ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นวันที่ 20 พ.ย. 2565 โดยขณะนี้จำหน่ายไปแล้ว 2.89 ล้านใบ ซึ่งประเทศที่ซื้อมากที่สุด 3 อันดับคือ กาตาร์ สหรัฐอเมริกา และซาอุดีอาระเบีย

เมื่อวานนี้ (18 ต.ค. 65) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) จานนี อินฟานติโน เผยว่า ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ วันที่ 20 พ.ย. - 18 ธ.ค. นั้น ตอนนี้มีการจำหน่ายตั๋วไปแล้ว 2.89 ล้านใบ โดยยอดดังกล่าวยังคงตามหลัง ยอดขายตั๋วในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งในครั้งนั้นมีการจำหน่ายตั๋วมากที่สุดที่ 3.4 ล้านใบ

'จีน' ผลิตชิปล้ำโลก-โรงงานไฟฟ้าอนันต์ สวนทางยุโรป ย้อนยุคใช้ ‘ไม้ฟืน-ถ่านไม้’

(19 ต.ค. 65) World Update ได้เปิดเผยว่าถึงความล้ำหน้าด้านพลังงานของจีน ภายหลังได้ผลิตชิปสุดล้ำโฟโตนิก และพลังงานไฟฟ้าอนันต์ฟรีไม่มีวันหมด ไว้ว่า...

จีน ไปต่อไม่รอแล้ว! ผลิตชิปสุดล้ำโฟโตนิก และพลังงานไฟฟ้าอนันต์ฟรีไม่มีวันหมด

ปี 1964 กองทัพจีน ได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก ทำให้เป็นประเทศที่ติดอาวุธนิวเคลียร์ลำดับที่ 5 รองจากสหรัฐ สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ระเบิดนิวเคลียร์ของจีนขณะนั้นเป็นอุปกรณ์นิเคลียร์ฟิวชัน จากแร่ยูเรเนียม 235 ที่มีกำลังระเบิด 22,000 ตัน

ปี 2000 จีนจัดเป็นประเทศยากจน ขนาดเศรษฐกิจเล็ก ผลิตแต่สินค้าทั่วไปจำหน่าย ทำให้ชาติตะวันตกปรามาสว่าทำแต่ของก๊อบปี้ คงไม่สามารถก้าวทันตนได้

ปี 2022 จีนกลายมาเป็นเศรษฐกิจสำคัญเติบโตเร็วที่สุดในโลก เป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลก งบประมาณด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ถูกจัดว่ามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจโลก

ปัจจุบันจีนมีธนาคารใหญ่ที่สุด 6 อันดับแรกของโลก เป็นผู้ส่งออกอุตสาหกรรม นวัตกรรมเทคโนโลยี สู่โลกราว 1 ใน 3 ทั้งโลกมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 500 เครื่อง ในจำนวนนี้เป็นของจีน 227 เครื่อง หรือราว 45.4% องค์การสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ระบุว่าจีนเป็นประเทศที่มีจำนวนสิทธิบัตรระหว่างประเทศมากเป็นอันดับ 1 ของโลก 

เกือบ 50% ของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นของจีน เฉพาะปี 2019 จีนก็มีการจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ 58,990 รายการ คำกล่าวที่ว่าจีนทำสินค้าก๊อบปี้จึงเป็นสิ่งตรงข้ามกับข้อเท็จจริงอย่างมาก

จีนกับไต้หวัน ที่สหประชาชาติ (UN) รับรองให้เป็นมณฑลของจีน ส่งออกชิปคอมพิวเตอร์เกิน 70% ของโลก ทำให้สหรัฐฯ, อังกฤษ ที่เคยทำสงครามฝิ่นยึดครองดินแดนจีน ได้กลับตาลปัตรกลายเป็นชาติที่ล้าหลังจีนแทบทุกด้าน ต่างพากันตาร้อนผ่าวประกาศนโยบายว่าจีนเป็นภัยคุกคามของชาติตน แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นนำเข้าสินค้าและเทคโนโลยีจากจีน จ่ายเงินให้จีนเพิ่มขึ้นทุกปีไม่หยุด แม้แต่เครื่องบินรบ F-35 ของสหรัฐ ที่เคยอ้างว่ามีชิ้นส่วนจากจีน และหยุดผลิตไปแต่หาของมาทดแทนไม่ได้ ตอนนี้ก็กลับไปใช้อะไหล่จากจีนผลิตต่อหน้าตาเฉย

ล่าสุดจีนพัฒนาสายการผลิตแรกของ 'ชิปโฟโตนิก' หลายวัสดุและข้ามขนาด หรือวงจรออปติคัลรวม ที่นครปักกิ่ง ใช้ในอุตสาหกรรมภายในประเทศก่อน และจะเริ่มส่งออกเชิงพาณิชย์ในปี 2024 การพัฒนานี้จะช่วยเติมช่องว่างการผลิตระดับบนสุดของประเทศ เมื่อเทียบกับชิปอิเล็กทรอนิกส์ด้วยกันแล้ว โดยชิปโฟโตนิกมีความเร็วสูงกว่าและสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่า ความเร็วในการคำนวณและอัตราการส่งข้อมูลมากกว่า 1,000 เท่าของชิปอิเล็กทรอนิกส์

สายการผลิตนี้ถูกสร้างโดย Sintone ซึ่งเป็นองค์กรไฮเทคในปักกิ่ง ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในหลากหลายสาขา เช่น การสื่อสาร ศูนย์ข้อมูล การทดสอบทางการแพทย์ และภาคส่วนอื่นๆ

การใช้โฟโตนิกชิปในจีนขณะนี้ ขยายไปสู่ในอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ยานพาหนะ การป้องกันประเทศ และอื่นๆ

โรงงานผลิตแห่งใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างในด้านโรงผลิตชิปโฟโตนิกในจีนให้เพิ่มมากขึ้น และเร่งกระบวนการเปลี่ยนชิปธรรมดา ไปสู่โฟโตนิกในประเทศให้เร็วขึ้น โดยชิปโฟโตนิกจะเป็นทิศทางสำคัญต่อไปของการพัฒนาชิป เนื่องจากความเสถียรและการใช้พลังงานต่ำ

ชิปล้ำอนาคตนี้ยังไม่มีการผลิตในขนาดใหญ่ที่ใดในโลก ดังนั้นโรงงานแห่งใหม่นี้จะแสดงให้เห็นว่าจีนเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีนี้ในโลก แสดงว่าอุตสาหกรรมไฮเทคของจีนมีกระบวนการวิจัยและพัฒนาพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นผู้นำของโลกไปเรียบร้อยแล้ว

จีนกลายเป็นตลาดการสื่อสารด้วยแสงใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดของตลาดชิปโฟโตนิกในประเทศได้ขยายตัวอย่างน่าทึ่ง ปี 2015 มูลค่า 5,760 ล้านหยวน ในปี 2021 ขยายเป็น 14,457 ล้านหยวน โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 15% ต่อปี 

สำหรับการผลิตชิปโฟโตนิกนั้น ไม่ต้องใช้วัตถุดิบมากเท่าชิปอิเล็กทรอนิกส์ในข้อกำหนดด้านโครงสร้าง เนื่องจากชิปโฟโตนิกไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์หินระดับไฮเอนด์ เช่น การพิมพ์หินอัลตราไวโอเลตขั้นสูง

ดังนั้นจีนจึงสามารถผลิตได้โดยใช้วัตถุดิบและประเภทของอุปกรณ์ที่มีสมบูรณ์ครบถ้วนที่มีในจีนอยู่แล้ว

การพัฒนาภาคส่วนในประเทศจีนในปัจจุบันนั้นก้าวหน้าทั้งการใช้งานและการออกแบบ ดังนั้นจีนจะใช้ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนภาคส่วนหลัก เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัมในทางปฏิบัติและเชื่อถือ เพื่อเสริมหนุนโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์และการผลิต

ปัจจุบันจีนได้มีการนำชิปคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ต่างๆ ตั้งแต่ความก้าวหน้าทางอวกาศ, อากาศยานโดรน, รถบิน, หุ่นยนต์, ยานยนต์, อาวุธ, อากาศยานโดรนโจมตี และจีนก็จำหน่ายเครื่องบินขับไล่ขนาดเบาพิสัยบินปานกลางแบบ FTC-2000G มาให้กองทัพเมียนมาหลายลำ

'ออสเตรเลีย' กลับลำ!! ขอแยกทางจากสหรัฐฯ ยกเลิกรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงให้อิสราเอล

รัฐบาลออสเตรเลียได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ได้ยกเลิกการรับรองกรุงเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตกว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแล้ว ซึ่งเป็นการถอนคำสั่งของ อดีตนายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสัน (Scott John Morrison) ที่ได้ประกาศรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงให้อิสราเอลไว้ในปี 2018

สาเหตุเบื้องหลังเกิดจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ (ตามความเห็นของผู้นำสหรัฐฯ) ให้กับอิสราเอล พร้อมทั้งย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปตั้งในเขตเยรูซาเล็ม อย่างเป็นนัยสำคัญให้กับฝ่ายอิสราเอล ท่ามกลางการประท้วงคัดค้านอย่างหนักของชาวปาเลสไตน์ และ ผู้นำหลายชาติทั่วโลก 

แต่ทั้งนี้ ด้านออสเตรเลีย ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดมากที่สุดชาติหนึ่งของสหรัฐฯ อีกทั้ง สกอตต์ มอร์ริสัน ก็เป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจเดินตามรอยเท้าลูกพี่ใหญ่อย่างไม่ลังเล ออกมาประกาศรับรองการอ้างสิทธิ์เหนือกรุงเยรูซาเล็มของอิสราเอลเช่นกัน เมื่อปี 2018 และกำลังรอเวลาที่จะย้ายสถานทูตออสเตรเลียจากกรุง เทล อาวีฟ ไปตั้งในเขตเยรูซาเล็ม ตามสหรัฐอเมริกาไปติด ๆ

แต่พอจบรัฐบาลของสกอตต์ มอร์ริสัน ไปแล้ว แอนโทนี แอลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เชื้อสายอิตาลีคนใหม่จากพรรคแรงงาน ก็ได้กลับมาทบทวนนโยบายการรับรองกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง และตัดสินใจคว่ำแผนการย้ายสถานทูตทิ้งแบบไม่ใยดีเช่นกัน

ตอนแรกทางรัฐบาลออสเตรเลียตั้งใจจะกลับลำแบบเงียบ ๆ ด้วยการแอบไปลบแผนนโยบายต่างประเทศเก่า ๆ ในสมัยของสกอตต์ มอร์ริสัน ที่โพสต์อยู่บนเว็บไซต์ของรัฐบาลทิ้ง โดย 2 ประโยคเด็ดที่ถูกลบออกไป คือช่วงที่มีการเขียนรับรองว่ากรุงเยรูซาเล็ม ให้อิสราเอล รวมถึงแผนการย้ายสถานทูต ดังนี้...

“Consistent with this longstanding policy, in December 2018, Australia recognised West Jerusalem as the capital of Israel, being the seat of the Knesset and many of the institutions of the Israeli government.

“Australia looks forward to moving its embassy to West Jerusalem when practical, in support of, and after the final status determination of, a two-state solution.”

แต่ทว่า ทุกประเทศล้วนมีทีม 'แคปทัน' เสมอ หูตาไวเวอร์ ที่สังเกตว่า อ้าว! นโยบายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอลหายไปแล้วนิหน่า หมายความว่ารัฐบาลออสเตรเลียชุดใหม่ จะทิ้งขบวน ไม่ตามสหรัฐฯ ไปกรุงเยรูซาเล็มแล้วใช่หรือไม่?

เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 65) เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย จึงออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า รัฐบาลออสเตรเลียได้ตัดสินใจใหม่แล้วว่า จะไม่รับรองกรุงเยรูซาเล็ม ฝั่งตะวันตก เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอีกต่อไป เพื่อรักษาบรรยากาศแห่งความสันติสุขระหว่าง อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ ให้เข้าสู่กระบวนการเจรจาหาทางออกในแนวสันติวิธี และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 

ทั้งนี้ออสเตรเลีย ยังสนับสนุนนโยบาย Two-state solution และสถานทูตออสเตรเลีย ก็จะยังคงอยู่ที่กรุง เทล อาวีฟ เช่นเดิม ไม่ย้ายไปไหนด้วย

เพนนี หว่อง ยังกล่าวถึงรัฐบาลอิสราเอลว่า "ทางออสเตรเลียยังเป็นมิตรประเทศกับอิสราเอลอยู่นะ และต้องไม่ลืมว่า ออสเตรเลียคือชาติแรก ๆ ที่รับรองเอกราชให้กับชาติอิสราเอล เพียงแต่การยกเลิกนโยบายเก่าไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ดูแลชุมชนชาวยิวในออสเตรเลีย แต่ทั้งนี้ ออสเตรเลียก็มีหน้าที่ดูแลชุมชนชาวปาเลสไตน์ของเราด้วยอย่างเสมอภาค รวมถึงการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมให้กับทุกชุมชน"

เมื่อรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลียออกมากลับคำ จากสิ่งที่เคยให้สัญญาไว้ย่อมสะเทือนถึงรัฐบาลอิสราเอลเป็นธรรมดา 

โดยด้าน ยาอีร์ ลาปิด นายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกมาตอบโต้ทางออสเตรเลียอย่างเผ็ดร้อน ทำนองว่าเหยาะแหยะเป็นไม้หลักปักขี้เลนที่พูดแล้ว คืนคำ และยังวิจารณ์ว่า "เราได้แต่หวังว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะบริหารนโยบายที่ลั่นวาจาไว้อย่างจริงจัง และเป็นมืออาชีพกว่านี้" 

ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ก็ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำอิสราเอล ให้มาอธิบายถึงสาเหตุการกลับลำ 360 องศาของรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลียว่า มีปัญหาอะไร?? 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top