Saturday, 27 April 2024
SPECIAL

ย้อนตำนาน 'รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ' กับ 'รูปแบบการเลือกตั้ง' ที่เปลี่ยนไป

30 ปี นับตั้งแต่ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์การเมือง ที่นำมาสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ คือ 2540 2550 และ 2560  โดยมีรูปแบบการเลือกตั้งที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจึงขอย้อนรอยเรื่องราวการเลือกตั้งที่สะท้อนจากรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งนอกจากจะแตกต่างกันแล้ว ยังส่งผลต่อหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอีกด้วย

#รัฐธรรมนูญ2540…จุดเริ่มต้นบัตร 2 ใบ "เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ"
ปี 2538 ยุค นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง (คปก.) ขึ้น และนำมาสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มี ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ ที่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.  99 คน  ประกอบด้วย สสร. 76 คนที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน กับตัวแทนนักวิชาการและผู้เชี่ยวขาญในสาขาต่างๆ ที่มาจากการคัดเลือกกันเองของสภาสถาบันอุดมศึกษาให้สภาพิจารณา อีก 23 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภา จนได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชน และเกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากที่สุด 

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2540 พลิกโฉมการเมืองไทยไปจากเดิม ด้วยระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดย ส.ส.  500 คน มาจากแบบเลือกตั้งเขตเดียวคนเดียว 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ใชับัตรเลือกตั้งสองใบ คือ ใบแรก 'เลือกคน' คือ ส.ส.เขต แบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ ใบที่สองเลือก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ หรือ 'ปาร์ตี้ลิสต์' เป็นครั้งแรกเพื่อเพิ่มบทบาทของพรรคการเมืองและนโยบายของพรรค รวมถึง 'นายกรัฐมนตรี' ก็ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น ขณะที่ ส.ว. 200 คน ที่เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ กลั่นกรองกฎหมาย รวมถึงมีอำนาจในการ 'ถอดถอน' ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั้งหมด 

รัฐธรรมนูญ ปี 40 ยังเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรอิสระ อย่าง  กกต.  ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์กรตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ กลไกระบบเลือกตั้งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ยังส่งผลให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง และมีน้อยพรรค ทำให้การบริหารบ้านเมืองมีความต่อเนื่องมากขึ้น ปิดข่องรัฐบาลผสมที่มีหลายพรรคการเมือง 

แต่ระบบนี้ใช้ในการเลือกตั้งได้เพียงแค่ 2 ครั้ง คือในปี 2544 และ 2548 ก็เกิดปัญหาใหม่ เมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส ในการบริหารประเทศ และเกิดปัญหาเกี่ยวกับกลไกตรวจสอบ ถ่วงดุล ที่ทำได้ยาก จนถูกขนานนามว่าเป็น 'เผด็จการรัฐสภา' กระทั่ง 19 กันยายน 2549 เกิดการรัฐประหาร นำมาสู่การกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ฉบับปี 2550

#รัฐธรรมนูญ2550 ปรับระบบ 'ปาร์ตี้ลิสต์' จากหนึ่งเขตประเทศ เป็น 8 กลุ่มจังหวัด
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ และจัดให้มีการลงประชามติจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ผ่านการเห็นชอบ ร้อยละ 57.81 ทั้งนี้มีการปรับระบบเลือกตั้ง กำหนดให้ ส.ส. มีจำนวน 480 คน มาจากแบบเลือกตั้งแบ่งเขตเรียงเบอร์ 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ จากเขตเลือกตั้งเดียวทั้งประเทศ มาเป็นกลุ่มจังหวัด 8 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน รวม 80 คน

ส่วน ส.ว. มีจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้งใน 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน และที่เหลือมาจากการสรรหา ส่วนการเลือกตั้ง ในช่วงของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 เกิดขึ้น 2 ครั้ง โดยในครั้งแรก พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ได้ 'สมัคร สุนทรเวช' เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ในยุค 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' สภามีมติแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ส.ส. กลับไปใช้บัญชีรายชื่อบัญชีเดียวทั่วประเทศ 125 คน ก่อนมีการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ต่อมา ประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมถึงปัญหาทุจริตจำนำข้าว นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ แนวโน้มเดินไปสู่ทางตันและความรุนแรง จึงนำมาซึ่งการยึดอำนาจอีกครั้งโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และนำมาซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2560

‘ชาติพัฒนากล้า’ ปักธงที่ทำการพรรคจังหวัดสตูล ‘รับฟังปัญหา-ความคิดเห็น’ สมาชิกในพื้นที่

‘ดร.บลู’ เปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดสตูล ณ อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล

‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์ ‘สร้างงาน-ซ่อมประเทศ’ เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน

‘พิธา’ ร่วมวงถกนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมือง ชงแนวคิดกำหนดนโยบายต้อง ‘ถูกใจคนไทย-ตรงใจตลาดโลก’ ชู 'สร้างงาน-ซ่อมประเทศ' เปลี่ยนปัญหา-ความต้องการคนไทย เป็นอุตสาหกรรมใหม่-จ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง พุ่งเป้าเศรษฐกิจเติบโตควบคู่ลดเหลื่อมล้ำ

(9 ก.พ. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์พร้อมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในงานสัมมนา ‘อนาคตประเทศไทย Economic Drives เศรษฐกิจไทยสตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก’ ซึ่งร่วมจัดโดยเครือโพสต์ทูเดย์และเนชั่น ให้ผู้นำพรรคการเมืองได้พูดถึงมุมมองของแต่ละพรรคที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรค

พิธาเริ่มต้นการนำเสนอ โดยระบุว่าโจทย์ที่ได้รับมาวันนี้จากผู้จัดงาน คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจตลาดโลก แต่ในการนี้ตนต้องขอคิดต่าง ว่าคำถามที่ถูกต้อง คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจคนไทยและตลาดโลกไปพร้อมกัน เพราะที่ผ่านมาเรามีเศรษฐกิจที่ตรงใจตลาดโลกมามากแล้ว ทั้งของถูกและมีคุณภาพ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสิ่งนั้นต้องแลกมาด้วยการเสียสละของคนไทย

ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยที่ส่งออกข้าวเป็นอับดับ 1-3 ของโลกมาตลอด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน คิดเป็นถึง 66% หรือ 2 ใน 3 ของคนจนอยู่ในภาคการเกษตร จะมีประโยชน์อะไรกับการที่รายได้การท่องเที่ยวของประเทศก่อนโควิด สูงถึง 2 ล้านล้านบาท แต่ 74% กระจุกตัวอยู่แค่ใน 5 จังหวัดจากทั้งประเทศ และจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ประเทศไทยมีภาคธนาคารที่เข้มแข็งเป็นอันดับที่ 21 ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยพุ่งทะยานไปถึง 89% ของจีดีพีแล้ว

พิธากล่าวต่อไปว่า ธนาคารโลกล่าสุดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโตช้าที่สุดในรอบ 30 ปี นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลไทยต้องออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะเอาแต่พึ่งการส่งออก การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราต้องการวันนี้คือวิธีคิด ซึ่งพรรคก้าวไกลมีกระบวนการวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ พรรคก้าวไกลเริ่มต้นจากการวิเคราะห์หาจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-ภัยคุกคาม (SWOT analysis) ที่ทำให้เราได้เห็นภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน

กล่าวคือ ประเทศไทยมีจุดแข็ง คือความสร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานที่ดีระดับหนึ่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว การมีระบบรัฐราชการรวมศูนย์ที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก หากมองในแง่โอกาส แนวโน้มการลงทุนของโลกในขณะนี้กำลังมุ่งไปที่การกระจายความเสี่ยงออกจากฐานการผลิตเดิม ขณะเดียวกันกำลังจะเกิดการปฏิรูปภาษีโลกครั้งใหม่ (Global Minimum Tax) หรือ GMT แต่โลกก็กำลังมอบโจทย์ความท้าทายให้กับประเทศไทยในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งในเรื่องภาวะโลกร้อน ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์เช่นสงคราม และราคาโภคภัณฑ์ที่ผันผวน

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่อได้ภาพปัจจุบันของประเทศดังนี้แล้ว การกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลจึงเกิดขึ้นภายใต้โจทย์เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปพร้อมกับการลดความเหลื่อมล้ำ นำมาสู่นโยบาย 'สร้างงาน ซ่อมประเทศ' หรือการนำปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่เรื้อรังมาข้ามทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะ น้ำประปาที่ไม่สะอาด ปัญหาพลังงาน ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ เปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน เพื่อซ่อมประเทศ กล่าวคือ

ส.ส.ก้าวไกล ส่อซบ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ หลังรับแนวทางพรรคเรื่องสถาบันฯ ไม่ได้

(9 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ในวันศุกร์นี้ (10 ก.พ.) พรรคจะเริ่มคิกออฟการลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต กทม. ขณะที่กำลังรอเคาะรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขตอยู่ โดยการลงพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารพรรคนำโดย นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค จะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคไปงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ ที่อาคารไปรษณีย์กลาง ย่านเจริญกรุง-บางรัก

แต่ที่น่าสนใจคือ ในรายชื่อที่ทางพรรคแจ้งกับสื่อมวลชน ปรากฏว่ามีชื่อ นายทศพร ทองศิริ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เขตราษฎร์บูรณะ-ทุ่งครุ ที่ยังไม่ลาออกจาก ส.ส.ก้าวไกล รวมอยู่ด้วย

โดยนายทศพร ให้สัมภาษณ์ว่า มีความรู้จักสนิทสนมกับนายวินท์ สุธีรชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ลาออกจากพรรคก้าวไกล และปัจจุบันนายวินท์ ได้เข้าไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทางนายวินท์ จึงได้ติดต่อให้ไปร่วมงานวันศุกร์นี้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เบื้องต้นยังมีคิวงานในพื้นที่ แต่ได้แจ้งกับพรรคว่าหากเคลียร์งานเสร็จทันก็จะไปร่วมด้วยแน่นอน เพราะตอนนี้ ในทางการเมือง ได้แยกทางกับพรรคก้าวไกลเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องการทำหน้าที่ ส.ส. จนถึงวันสุดท้ายของสภาฯ ชุดนี้ ซึ่งสาเหตุที่ออกจากก้าวไกล เพราะชัดเจนว่าแนวทางเรื่องสถาบันฯ กับตนเองไปด้วยกันไม่ได้

‘กรณ์’ เสนอ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ชู ‘เศรษฐกิจเฉดสี’ เพิ่มโอกาส-สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท

(9 ก.พ. 66) ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวในเวทีสัมมนา ‘อนาคตประเทศไทย Economic Drives เศรษฐกิจไทยสตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก’ ว่า ก่อนจะไปสู่คำถามว่าเราจะสตาร์ตอย่างไรให้ก้าวนำโลก ตนขอเพิ่มคำถามว่าเราจะสตาร์ตอย่างไร ในขณะที่มีคนไทย ถือบัตรสวัสดิการคนจนถึง 14 ล้านคน เรามีคนติดแบล็กลิสต์บูโรถึง 6 ล้านชีวิต เรามีเอสเอ็มอีที่ไม่รู้จะไปต่อได้หรือไม่อีกเป็นจำนวนมาก คำตอบของปัญหาเหล่านี้คือ เราต้องรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายเรื่อง ไทยเราจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกันทุกคน 

นายกรณ์ ได้ยกตัวอย่าง สินค้าส่งออกยอดฮิตถือเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนของประเทศไทย คือรถยนต์ปิ๊กอัพ ที่มีการส่งออกเกือบ 1 ล้านคันต่อปี ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจะยกเลิกการใช้รถยนต์สันดาปแบบเดิมมาเป็นรถยนต์ EV ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับรื้อ ซึ่งเขาไม่จำเป็นที่ต้องเริ่มจากศูนย์เขามีองค์ความรู้ และ supply chain ที่ถูกต้อง ประเทศไทยมีของดีเป็นจำนวนมากที่เป็นโอกาสของคนไทย ถึงเวลาที่ต้องรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้ง อุตสาหกรรมพลังงาน, อุตสาหกรรมการเงิน, อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญ รื้อระบบราชการ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้า ได้นำเสนอมาตลอด

‘เพื่อไทย’ เสริมทัพ ‘ใต้-อีสาน’ ชู 6 ผู้สมัคร สานต่อเป้าหมาย แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน

‘เพื่อไทย’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ‘ใต้-อีสาน’ 6 คน ได้ ‘กำนันชา’ เสริมทัพเมืองคอน ด้าน ‘ชลน่าน’ แจงปมผู้สมัครบางแคติดป้ายซ้อนกัน ย้ำ ‘เกรียงไกร’ เป็นตัวจริง ส่วน ‘ธีรรัตน์’ จี้ กกต.เร่งแบ่งเขตเลือกตั้งให้ชัด

(9 ก.พ. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำพรรคพท.ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค, นายประเสริญ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส.พรรคพท. และ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวผู้ซึ่งประะสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ภาคใต้ และภาคอีสานรวม 6 คน

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคพท.ต้องขอขอบคุณพี่น้องในพื้นที่ที่ได้ส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มาให้กับพรรค สำหรับว่าที่ผู้สมัครวันนี้ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักที่จะทำให้พรรคเข้าสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทำงานในพื้นที่ต่อเนื่อง สำหรับกลไกการทำงานของพรรค เราไม่เคยทิ้งคนทำงานกับพรรคทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ คนที่อยู่กับประชาชน ได้รับการยอมรับจากประชาชน ก็จะได้เป็นว่าที่ผู้สมัครของเรา โดยหลังจากนี้ก็จะต้องไปผ่านกระบวนการสรรหาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ถึงจะนำมาสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสรรหา ก่อนที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของเราต่อไป ทั้งนี้ ไม่เกินสิ้นเดือน ก.พ.เราจะประกาศตัวผู้สมัครครบทุกเขต

นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับรายชื่อผู้ซึ่งประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้งภาคใต้และอีสานรวม 6 คน ประกอบด้วย จ.สุราษฎร์ธานี ได้แก่ นายณัฐดนัย หิมทอง น.ส.ลีลาวัลย์ นุ้ยบุตร จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ นายปรีชา แก้วกระจ่าง นางกฎชกร ราชรักษ์ จ.บึงกาฬ ได้แก่ นายนิพนธ์ คนขยัน จ.ชัยภูมิ ได้แก่ นายอนันต์ ลิมปคุปตถาวร

'สุวัจน์' ชี้!! รัฐบาลผสม ต้องมี 300 เสียง เพื่อเสถียรภาพ ประกาศพร้อมจับมือกับขั้วที่สร้างการเมืองแข็งแรง

'สุวัจน์' ลั่น!! ชาติพัฒนากล้า คัมแบ็กโคราช ชี้!! มีเซอร์ไพรซ์ พร้อมปรับยุทธ์ศาสตร์ สู้กติกาเลือกตั้ง 'บัตร 2 ใบ-คนละเบอร์' ประเมินรัฐบาลหน้า เป็นรัฐบาลผสม ต้องได้ 300 เสียง เพื่อเสถียรภาพ ประกาศพร้อมจับมือขั้วที่สร้างการเมืองแข็งแรง

(9 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทานแจกันดอกไม้อวยพร เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 68 ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลล ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ที่บ้านพักส่วนตัวย่านถนนราชวิถี  

จากนั้นเวลา 11.00 น. มีแกนนำพรรคชาติพัฒนากล้า โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค, นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค, นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ส.ส.นครราชสีมา เข้าร่วมมอบช่อดอกไม้ เพื่ออวยพรวันเกิดนายสุวัจน์ นอกจากนี้ยังมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารสุข ได้ร่วมเข้าอวยพรด้วย

นายสุวัจน์ ได้กล่าวอวยพรให้ทีมพรรคชาติพัฒนากล้า ให้สามารถสู้ศึกเลือกตั้ง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ได้ ส.ส.เข้าสภาจำนวนมากพอที่จะผลักดันนโยบาย แก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของชาติได้สำเร็จในการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคชาติพัฒนากล้ามีความพร้อมต่อการเลือกตั้ง โดยตั้งเป้าหมายจะได้ ส.ส. ไม่ต่ำกว่า 25 คน เพื่อเพียงพอต่อการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณา 

ส่วนพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายได้ ส.ส.นั้น คือ พื้นที่เขตเมืองใน จ.นครราชสีมา โดยเขต 1 จะส่งนายเทวัญ และเขต2 จะส่งนายวัชระพล เบื้องต้นคาดว่าจะได้ส.ส.ในระดับที่เซอร์ไพรซ์แน่นอน ขณะที่กทม.นั้น มีทีมของนายกรณ์ และนายอรรถวิชช์ ดูแล ทั้งนี้จะไม่ส่งว่าที่ส.ส.ครบทุกเขตเลือกตั้ง แต่จะเน้นพื้นที่เป้าหมายในเขตเมือง ทั้งกทม. ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่

ผบ.ตร. สั่งตรวจสอบทุกประเด็นของดิวอริสรา พร้อมให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ส่วนสารวัตรซัว ให้หน่วยเร่งตรวจสอบแล้ว หากมีมูลให้ดำเนินการทางวินัย อาญา อย่างเด็ดขาด

วันที่ 9 ก.พ.66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณี ประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับ ดิว อริสรา ดารานักแสดง และ สารวัตรซัวที่ถูกพาดพิงว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งการพนันออนไลน์ ได้มีการดำเนินการตรวจค้น จับกุม ออกหมายจับ และทลายเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำผิด ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล เพื่อดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย รวมทั้งประเด็นการทำร้ายร่างกาย หรือความผิดอาญาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นว่า ทุกคนในสังคมต้องอยู่ในกฎ กติกา และกรอบของกฎหมาย หากมีการทำผิดต้องมีการรับโทษตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยหากคุณดิวอริสรา มีความประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีในประเด็นใดเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะดูแลอำนวยความสะดวกในทุกๆเรื่อง พร้อมให้ความเป็นธรรม และทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ละเมิดกฎหมายทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด 

ระวัง!!มิจฉาชีพสวมรอย‘ธ.ก.ส.’หลอกโหลดแอป-กดลิงก์ ดูดเงินเกลี้ยง

‘ผู้ช่วยฯสมพงษ์-ศปอส.ตร.’เตือนระวังมิจฉาชีพสวมรอย‘ธ.ก.ส.’หลอกโหลดแอป-กดลิงก์ ดูดเงินเกลี้ยง

9 กุมภาพันธ์ 2566 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หัวหน้าอำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ./หัวหน้าด้านข่าวสารและประชาสัมพันธ์ , พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบช.ศปก.ตร./หัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ศปอส.ตร. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ศปอส.ตร. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก./รองหัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ร่วมกันเปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. หลอกลวงประชาชน

สำหรับรูปแบบ คือ มิจฉาชีพมักจะอ้างว่าต้องตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารและตรวจสอบการชำระภาษี หรือเสนอเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กหรือแอปพลิเคชันไลน์ หลังจากนั้นมิจฉาชีพส่งลิงก์ให้คลิกและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมากับมัลแวร์ ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหากเราหลงเชื่อคลิกลิงก์ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพสามารถเข้ามาควบคุมโทรศัพท์ของเราได้ และสามารถดูดเงินออกจากบัญชีได้ เพราะฉะนั้นขอเตือนว่าอย่าคลิกลิงก์หรือโหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

'ธรรมนัส' ขน ส.ส.เศรษฐกิจไทย กลับมาซบ พปชร. ด้าน 'สามมิตร' ส่งตัว ส.ส. ย้ายไปเพื่อไทยแล้ว

(9 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย และ ส.ส.ในกลุ่ม ที่เคยระบุว่า จะมีความชัดเจนว่าจะกลับพรรค พปชร.หรือไม่ ก่อนวันที่ 7 ก.พ.นี้ โดยได้ส่งนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ และ พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กลับมาพรรค พปชร.ก่อน

ล่าสุดมีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส ใช้วิธีให้คณะกรรมการบริหารพรรคเศรษฐกิจไทย มีมติขับพ้นพรรค โดยยังมีสถานะ ส.ส.อยู่ และจะต้องสังกัดใหม่ ภายใน 30 วัน จากนั้นได้นำ ส.ส.ที่เหลือสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค พปชร. เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้แก่

‘ภท.’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี 7 เขต ‘ลุงหนู’ มั่นใจ!! เสียงตอบรับ ปชช.ดีแน่นอน

(9 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย นายนพพร ขาวขำ เขต 1 พล.ต.ต.วัฒนา วงศ์จันทร์ เขต 2 นายอนาวิล รัตนสถาพร เขต 3 น.ส.ณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัย เขต 4 นายพิษณุ พลธี เขต 5 นายเอกชัย ศรีสุขชยะกุล เขต 6 และน.ส.พรพิมล ธรรมสาร เขต 7

ทั้งนี้ นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่ว่าจะส่งผู้สมัครในเขตไหนก็มีความมั่นใจ เพราะว่าผู้สมัครมีความใกล้ชิดกับประชาชน และได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง

เปิดตัว 'อารยะ ชุมดวง' อดีต ส.ส. 5 สมัยร่วมทัพ ปชป. สุโขทัย เผย!! 'ถูกใจนโยบายที่ดินทำกิน - ปชป.ยุคนี้เข้าตาชาวบ้านเยอะ'

(9 ก.พ. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอารยะ ชุมดวง อดีต ส.ส. สุโขทัย 5 สมัย พร้อมทีมงาน ได้เข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง เพื่อแสดงความจำนงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. สุโขทัย ซึ่งนายจุรินทร์ได้ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีกับการเข้าร่วมทำงานกับพรรค พร้อมกับมอบบัตรสมาชิกพรรคและมอบเสื้อแจ็คเก็ตพรรคให้

สำหรับนายอารยะ ชุมดวง เกิดที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย สำเร็จการศึกษา สาขาการปกครอง จากวิทยาลัยเคอร์รี่ สหรัฐอเมริกา ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุโขทัย สมัยแรกในปี 2526 จากนั้นได้รับเลือกต่อมารวม 5 สมัย เคยเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นอกจากนี้ นายอารยะยังเป็นนักการเมืองที่ทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้านในพื้นที่ จ.สุโขทัย มาโดยตลอด

'ชูวิทย์' แฉยับ ตำรวจทำ 'พนันออนไลน์' เสียเอง เตือน!! ผบ.ตร. ต้องกล้าฟัน ยังมีเว็บพนันเอี่ยว ตร. อีก

(9 ก.พ. 66) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ‘มาเก๊า 888’ ตายเพราะนารีพิฆาต ไม่ใช่ตำรวจ เว็บพนันออนไลน์เฟื่องฟู รายได้มากมายมหาศาลมีสารพัดเว็บ แค่เปิดดูในเน็ตก็เจอแล้วว่าเว็บพนันไหนยอดนิยม

มาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีเงินหมุนเวียน 5,000 ล้าน มีครอบครัวพี่น้องชายล้วน 4 คน เกี่ยวข้อง คนแรกชื่อ เบนซ์ (แฟนเก่าดิว) คนรอง บอส, บิ๊ก และไบร์ทที่เป็นตำรวจ

หาก ผบ.ตร. จะจัดการ ‘พนันออนไลน์’ ง่ายมาก ทุกวันนี้ตำรวจเป็นคนทำเองเสียส่วนมาก พวกนี้งานตำรวจไม่ทำ ขับรถซุปเปอร์คาร์ร่อนไปมา แต่ปรากฏว่า ‘มาเก๊า 888’ ของ 4 พี่น้อง ไม่ได้โดนตำรวจจับ แต่ดันไปโดน ‘นารีพิฆาต’ เข้าให้

ดิวออกมาแฉ เพราะโดนทำร้ายหน้าแหกตอนเป็นแฟนต่อหน้าคนในครอบครัว ไม่มีใครห้าม เลยอดไม่ไหว เมื่อเลิกกันแล้ว แค้น 10 ปี ยังไม่สาย ออกมาแฉทีเดียวพังเป็นแถบ ตำรวจจึงต้องขยับตามนารี ไล่จับ ไล่กดดัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่ รับส่วยกันประจำ แล้วดันให้เวลา 4 พี่น้อง หนีไป

ตำรวจ ปส. เสริมเขี้ยวเล็บ จัดอบรมสืบสวนสอบสวนธุรกรรมทางการเงินเครือข่ายยาเสพติด

เมื่อวานนี้ (8 ก.พ.66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) ได้จัดอบรมการสืบสวนสอบสวนธุรกรรมทางการเงินเครือข่ายยาเสพติด ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยมี พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. เป็นประธานเปิดอบรมให้กับผู้บังคับบัญชาระดับ ผบก., รอง ผบก., ผกก. และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติติงาน รวมจำนวน 60 นาย โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงาน จากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา หรือ DEA นำทีม โดยนายไคล์ เอ. เดนท์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนทางการเงิน นายวิลเลียม จอห์นสตัล เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่ DEA ประจำประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพ พัฒนาองค์ความรู้ และเทคนิค ต่าง ๆ ในการสืบสวนเส้นทางทางการเงิน การฟอกเงิน ของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ที่ในปัจจุบันมักใช้บัญชีของผู้อื่น หรือ บัญชีม้า ทำธุรกรรมแทน ทำให้ยากต่อการสืบสวนสอบสวน และนำตัวบุคคลที่เป็นเครือข่ายจริง มาดำเนินคดี 

อดีตความรกรุงรัง สู่ปัจจุบัน เมืองไร้สาย

อีกราวๆ 3 เดือน ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง แต่หากย้อนกลับไป ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย-ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเรื่องราวของ 'การเปลี่ยนแปลง' อยู่มากมาย และจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ The State Times ขอนำมุมที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ 'มุมบวก' ของประเทศ มาบอกเล่ากัน 

เริ่มต้นที่เรื่องราว 'ความรกรุงรัง' ของสายไฟฟ้าและสายสื่อสาร ที่แม้จะเห็นจนเป็นความชินตา แต่ที่ผ่านมา เคยเป็นข่าวคราวดรามา เช่นครั้งหนึ่งในปี 2564 ดาราชื่อดัง 'รัสเซล โครว์' มาถ่ายทำภาพยนตร์ที่เมืองไทย พร้อมกับถ่ายภาพสายไฟฟ้าที่รกรุงรัง จนกลายเป็นข่าวครึกโครม ก่อนที่จะมีข่าวตามมาว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้นำสายไฟลงใต้ดิน หลังจากที่ดาราคนดังโพสต์ภาพดังกล่าวออกไป 

ในความเป็นจริง ต้องย้อนกลับไปในปี 2559 รัฐบาลโดยการนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารโทรคมนาคมลงใต้ดินอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นโปรเจกต์เพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน ยิ่งหากสืบย้อนกลับไป โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นโครงการที่อยู่ในแผนการทำงานของการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.มาตั้งแต่ปี 2527 แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top