Friday, 29 March 2024
SPECIAL

‘พิธา’ นำทีมก้าวไกล เปิดตัว 10 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บุรีรัมย์ ชู โยกงบกองทัพเป็นสวัสดิการ - กระจายอำนาจสู่ ปชช.

‘พิธา’ นำทีม ‘ก้าวไกล’ เปิดเวทีแนะนำผู้สมัครบุรีรัมย์ เผยความจริงอีกด้านเมืองปราสาทหิน มีคนแก่ที่ใช้ชีวิตคนเดียว-เด็กด้อยโอกาส-คนหนี้ท่วมมากที่สุด เชื่อไม่มีใครเป็นเจ้าของบุรีรัมย์ พร้อมหยุดวงจรมือใครยาวสาวได้สาวเอา ลั่น คนบุรีรัมย์ต้องกินข้าวไม่ใช่กินถนน ประกาศก้าวไกลเปลี่ยนงบกองทัพเป็นสวัสดิการประชาชน-กระจายอำนาจภายใน 5 ปี ให้คนบุรีรัมย์ได้เลือกเอง

เมื่อวานนี้ (10 ก.พ.66) พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยแกนนำและ ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมเปิดเวทีปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้ง 10 คน ที่ลานข้างถนนคนเดินริมทางรถไฟ ในบรรยากาศที่เนืองแน่นไปด้วยประชาชนและผู้สนับสนุนที่เดินทางมารับฟังการปราศรัยในวันนี้

วิโรจน์ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า 8 ปีที่ผ่านมาประชาชนมีความคับแค้นหลายเรื่อง ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคแพงขึ้น ถูกอย่างเดียวคือค่าแรงและยาบ้า นอกจากการปฏิรูประบบราชการ ทหาร ตำรวจแล้ว เรายังต้องมีนโยบายสวัสดิการประชาชนเพื่อดูแลคนไทยทุกคนด้วย

วิโรจน์กล่าวต่อไปว่า หลังจากพรรคก้าวไกลเสนอนโยบายสวัสดิการประชาชนออกมา ก็มีคนบอกว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคนไทยจะขี้เกียจแน่ ๆ ตนขอถามกลับว่าประเทศแบบไหนที่ปล่อยให้คนแก่อายุ 70-80 ยังต้องขยัน ทำงานมาทั้งชีวิตแล้วพอแก่ตัวลงยังต้องตรากตรำทำงานอยู่อีก จะให้พวกเขาตายคางานเลยหรืออย่างไร ด้านประยุทธ์เองก็ถามว่าจะเอาเงินที่ไหนทำสวัสดิการ แต่ทีเวลาจะซื้อเรือดำน้ำ ซื้อรถถัง ยานเกราะ เครื่องบินรบ ครั้งละหลักพันล้านหมื่นล้าน ประยุทธ์ไม่เห็นจะเคยถามว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ปัญหาคือประเทศนี้ที่ผ่านมาคนถือทัพพีตักข้าวคนแรกไม่ใช่ประชาชน แต่ตักข้าวไปมากที่สุด เหลือแค่ก้นหม้อให้ประชาชน

“เพราะฉะนั้น ผมยืนยันว่ารัฐสวัสดิการเป็นเรื่องที่ทำได้ แค่ต้องอาศัยการจัดสรรงบประมาณใหม่ ไม่ให้เอาไปใช้กับเรื่องไร้ประโยชน์ เราต้องเปลี่ยนคนที่จะได้ถือทัพพีตักข้าวคนแรกเป็นประชาชน” วิโรจน์กล่าว

ด้านพิธา ระบุว่าวันนี้ตนกลับมาที่นี่เป็นครั้งที่สองในรอบสามเดือน มาทุกครั้งด้วยความเชื่อว่าคนบุรีรัมย์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีบ้านใหญ่ ต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการระบบแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา แน่นอนว่าระบบที่เป็นมาทำให้หลาย ๆ คนเชื่อว่าบุรีรัมย์มีความเจริญ มั่งคั่ง มีคนมาเที่ยวหลายเทศกาล แต่ข้อมูลที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง คือข้อเท็จจริงที่ว่าผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียว เด็กที่ด้อยโอกาส และประชาชนที่มีหนี้สินต่อรายได้มากกว่า 2 เท่า ล้วนอยู่ที่บุรีรัมย์เป็นจำนวนมากที่สุด

ความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาที่มหาศาลเช่นนี้ คือเหตุที่ทำให้ตนเชื่อว่าบุรีรัมย์ไม่มีเจ้าของ คนบุรีรัมย์พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงหากมีพรรคการเมืองที่สามารถมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่ชาวบุรีรัมย์ได้ ตนเชื่อว่าชาวบุรีรัมย์เองก็ต้องการเปลี่ยนงบประมาณกองทัพให้เป็นสวัสดิการประชาชน นี่ต่างหากที่จะทำให้ชาวบุรีรัมย์นอนหลับได้ ไม่ใช่แค่การสร้างถนนไปเรื่อย ๆ ชาวบุรีรัมย์ไม่ต้องการการเมืองแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่ต้องการการกระจายอำนาจเหมือนกับทุกคนในทุกจังหวัดของประเทศนี้

'กรณ์' ชวนคนไทยเที่ยวชม Bangkok design week 2023 หนึ่งใน 'เศรษฐกิจเฉดสีเหลือง' ที่ 'ชพก.' อยากให้เห็นภาพตาม

ยิงนโยบายต่อเนื่อง!! 'กรณ์' เปิดมิติใหม่ 'เศรษฐกิจสร้างสรรค์' หนึ่งในเศรษฐกิจเฉดสีเหลือง หารายได้เข้าประเทศ ด้วยกองทุนสร้างสรรค์ พร้อมร่วมงาน Bangkok Design Week ยกเป็นตัวอย่างสำคัญในการพัฒนาย่านปากคลองตลาด

ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ทีมงาน และว่าที่ผู้สมัครกทม. เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ 'โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์' เดินทางเข้าร่วมชมงาน 'Bangkok design week 2023' ในย่านปากคลองตลาด ซึ่งเป็นตลาดดอกไม้ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งปีนี้ปากคลองตลาดเข้าร่วมพื้นที่สร้างสรรค์ในคอนเซปต์ 'ปากคลอง Pop Up' ปลุกชีวิตคนปากคลองตลาดด้วยงานดีไซน์ โดยมี 'อ.หน่อง' ผศ.ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์ และนักศึกษา จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร เป็นแม่งานหลัก ออกแบบเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความงามดอกไม้ ตั้งแต่ ดอก ใบ กิ่ง และต้น หรือ จะเป็นดอกไม้ดิจิทัล ที่คนรุ่นใหม่สามารถดีไซน์ได้ด้วยตัวเอง และไปปรากฏบนตัวตึก 'ไปรษณีย์ไทย' แห่งแรก และมีการกระจายจุดการแสดงรอบ ๆ ปากคลองตลาดกว่า 10 โปรแกรม 

'พิธา' นำทัพ 'ก้าวไกล' เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์ จัดเต็ม 19 นโยบาย แก้ปัญหาเกษตรไทย เรียกเสียงเฮลั่น!!

(10 ก.พ. 66) พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมแกนนำพรรค อาทิ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมเปิดเวทีปราศรัยแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่อีสานใต้ ประกอบด้วย ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ พร้อมกับเปิดรายละเอียดนโยบายด้านการเกษตรของพรรคก้าวไกล ตามแนวคิด 'กระดุม 5 เม็ด' ที่พิธา เคยใช้ในการอภิปรายเพื่อแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการเกษตรกรทั้งระบบ

โดยในช่วงบ่าย มีการจัดเวทีที่หน้าตลาดสดเทศบาลตำบลปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 9 คน โดยได้รับการตอบรับอย่างเนืองแน่นจากประชาชน ที่เข้าร่วมจับจองที่นั่งจนเต็มเวที

พิธาเริ่มการปราศรัย กล่าวถึงแนวคิดกระดุม 5 เม็ด ที่เคยได้อภิปรายไปอีกครั้ง โดยระบุว่าในบรรดากระดุมทั้ง 5 เม็ด ตนและพรรคก้าวไกลเน้นเสมอว่ากระดุมเม็ดแรกที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิตของเกษตรกรคือเรื่องของที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้นโยบายยึดที่ดินจากประชาชน เป็นนโยบาย 'ทวงคืนผืนป่า' ในยุครัฐบาล คสช.

สำหรับพรรคก้าวไกล เรามีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เราเป็นพรรคที่พูดมาเสมอว่าที่ดินของประเทศไทยอยู่ในมือของรัฐมากเกินไป ถึง 62% จาก 320 ล้านไร่ ภายใต้การดูแลของ 8 กระทรวง และกฎหมาย 16 ฉบับ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เราต้องแก้ปัญหา เป็นกระดุมเม็ดแรกที่พรรคก้าวไกลจะเข้าไปจัดการอย่างเป็นระบบ

ประการแรก คือการตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิที่ดิน ที่ปีหนึ่ง ๆ มีงบประมาณอยู่เพียง 300 กว่าล้านบาท ช่วยเกษตรกรพิสูจน์สิทธิได้แค่ปีละ 1,000 ราย ในอัตราเช่นนี้ เราต้องใช้เวลาถึง 1,000 ปีกว่าที่ประชาชนที่มีความต้องการจะได้รับการพิสูจน์สิทธิจนครบทั้งประเทศ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบายเพิ่มงบประมาณในการสำรวจที่ดินเพิ่มขึ้น 30 เท่าเป็น 10,000 ล้านบาท

พร้อมกันนั้น เราจะจัดตั้ง 'ธนาคารที่ดิน' ซึ่งขบวนการภาคประชาชน อาทิ พีมูฟ ได้นำเสนอมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อให้เป็นกลไกในการเอาที่ดินจากมือรัฐ มาเข้าในธนาคารที่ดิน ก่อนกระจายให้ประชาชนผ่อนจ่ายเป็นเจ้าของที่ดินได้ในดอกเบี้ยราคาถูก

และที่สำคัญ คือนโยบายเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ซึ่งพิธาระบุว่าจากที่ดินที่ประเทศไทยเรามีอยู่ทั้งหมด 320 ล้านไร่ เป็นที่ดิน ส.ป.ก. อยู่ถึง 40 ล้านไร่ เป็นที่ดินที่ประชาชนสามารถใช้ได้แต่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่สามารถนำไปสู่การต่อยอดได้ และเวลาผ่านไปกลับเกิดการเปลี่ยนมือเป็นของนายทุนถึง 4 ล้านไร่ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบที่ประเทศไทยยังปล่อยให้ ส.ป.ก. เป็นเรื่องคาราคาซังอยู่แบบนี้ ส.ป.ก. จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการคายที่ดินออกมาจากมือของรัฐ

ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย ให้เกิดการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ภายใต้เงื่อนไขรับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดได้ไม่เกิน 50 ไร่ โดยที่ (1) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อเดียวกัน สามารถออกเป็นโฉนดที่ดินได้ทันที ภายใน 5 ปีแรก สามารถโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน

(2) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อไม่ตรงกัน จะออกโฉนดที่ดินได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ที่มีหลักฐานใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นผู้ที่มีหลักฐานข้อตกลงระหว่างผู้ได้รับสิทธิเดิมกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินจริง และเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินทั้งหมดไม่เกิน 10 ล้านบาท

(3) สำหรับกรณีที่ใช้ที่ดินที่ผ่านมาเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกจากการเกษตร ได้รับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเฉพาะผู้ที่ครอบครองที่ดินรวมกันทั้งหมด ไม่เกิน 50 ไร่ โดยภายใน 10 ปีแรกโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน ส่วนที่ดินส่วนที่เกิน 50 ไร่ หรือได้มาแบบผิดกฎหมาย จะถูกนำเข้าสู่ธนาคารที่ดินเพื่อนำมากระจายให้กับประชาชน

พิธายังกล่าวต่อไป ถึงการแก้ไขปัญหากระดุมเม็ดที่ 2 หรือหนี้สิน โดยระบุว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่จะปลดหนี้สินเกษตรกร เช่น นโยบายปลูกป่าปลดหนี้ ที่รัฐจะเข้าไปเช่าที่ดินจากเกษตรกรที่ไม่ประสงค์จะปลูกพืชเศรษฐกิจอีก แล้วมาปลูกไม้ยืนต้น ให้เกษตรกรได้ค่าเช่ามาปลดหนี้ รวมถึงนโยบายเสรีโซลาร์เซลล์ ให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายขึ้น และสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้กับรัฐได้ และที่สำคัญ ในกรณีที่เป็นเกษตรกรสูงอายุที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. หากคืนหนี้เกิน 50% แล้วรัฐบาลยกหนี้ให้ทันที

สำหรับกระดุมเม็ดที่ 3 หรือต้นทุน พรรคก้าวไกลมีนโยบายลดต้นทุนให้เกษตรกรอย่างครบวงจร ทั้งน้ำ ปุ๋ย และเครื่องจักร และเมื่อเก็บเงิน ตั้งตัว ลดต้นทุนได้แล้ว กระดุมเม็ดที่ 4 ของเรา คือการเพิ่มมูลค่าด้วยสุราก้าวหน้า อย่างที่ศรีสะเกษมีวิสกี้ขาวที่กำลังจะหายไปจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นของพรรคก้าวไกล แก้ระเบียบแค่ประโยคเดียวเพื่อปลดข้อจำกัดด้านกำลังแรงม้าและทุนจดทะเบียน เกษตรกรสามารถเริ่มต้นเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้ทันที

สำหรับกระดุมเม็ดที่ 5 บริการการเกษตร พรรคก้าวไกลมีนโยบายเพิ่มรายได้ใหม่ให้เกษตรกร เพื่อนำไปสู่การต่อยอดจากสินค้าสู่บริการ เช่น นโยบายให้เกษตรกรขอการรับรองมาตรฐาน GAP-GMP และเกษตรอินทรีย์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก

พิธายังกล่าวต่อไป ว่าหลายคนอาจจะพูดว่าพรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายการเกษตรเหมือนกันหมด แต่สำหรับพรรคก้าวไกล วันนี้เรามีนโยบายที่ต่างออกไปจากทุกพรรคอย่างชัดเจน มีข้อมูลที่ครบถ้วนอยู่ในมือที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างแน่นอน

‘บิ๊กป้อม’ คิกออฟ 2 นโยบาย ‘ที่ดินทำกิน - จัดการน้ำ’ โว!! พร้อมขจัดความจน ช่วย 20 ล้านคน มีที่ดินทำกิน

(10 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ประชุมพิจารณาร่างนโยบายพรรค เรื่อง การแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เพื่อมอบหมายผู้รับผิดชอบ จัดทำรายละเอียดแผนดำเนินการ จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ และจัดทำข้อมูลเตรียมการปราศรัยนโยบาย

โดยมีคณะทำงานเข้าร่วม พร้อมเพรียง อาทิ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพิพัฒน วงษ์ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการบริหารพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา นายอรรถกร ศิริลัทยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา 

พล.อ.ประวิตร แถลงว่า เราทำเรื่องที่ดินคทช.โดยจัดซื้อที่ดิน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชน ต่อเนื่องกว่า 5 หมื่นไร่ เพื่อนำไปให้ประชาชนที่ยากจน สำหรับอยู่อาศัยปลูกบ้านกว่า 2 หมื่นหลัง การดูแลปัญหาเรื่องที่ดินเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องช่วยดูแล รวมถึงกรณีที่มีการบุกรุกป่า ฉวยโอกาส นำไปเอื้อประโยชน์นายทุน ก็ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับทุกคน จากวันนี้จะเร่งรัดให้ทีมงานที่ได้รับมอบหมายไปทำให้บรรลุเป้าหมาย และให้ผู้สมัครทุกเขตเลือกตั้งชี้แจงให้ประชาชนทราบ เพราะการสร้างการรับรู้เรื่องที่ดินค่อนข้างยาก ต้องชี้แจงให้ชัดเจนให้ทุกคน 
โดยเฉพาะคนยากจน มีสิทธิ์ในที่ดินทำกิน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ เครือซีพี รวมพลังแฉกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ หวังต้านอาชญากรรมไซเบอร์

วันที่ 10 ก.พ. 66 เวลา 15.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ว่าด้วยการประชาสัมพันธ์สื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้แทนลงนาม ทั้งนี้มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าร่วมพิธีฯ 

สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ สืบเนื่องจากสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบันมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลงกลตกเป็นเหยื่อจนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งในบางรายถึงกับต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565 – 6 ก.พ. 2566  มีการรับแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี รวมมูลค่าความเสียหาย 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอายัดบัญชี  65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และห่วงใยประชาชน จึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public Private Partnership (PPP) เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพ ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังประชาชน 

ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่อาชญากรรมไซเบอร์ได้พัฒนารูปแบบกลลวงอย่างหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย และความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ในการประชุม World Economic Forum 2023 ได้จัดให้ 'ภัยคุกคามไซเบอร์' เป็น 1 ใน 5 ความเสี่ยงที่สำคัญระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ จะสูงถึง 10.5 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 นั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มบริษัทในเครือฯ ในฐานะของผู้นำธุรกิจภาคเอกชน จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำร่องด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลโกงต่างๆ ของอาชญากรรมไซเบอร์เป็นองค์กรแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์วัคซีนให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการร่วมสร้างความตื่นรู้ให้สังคมไทยในครั้งนี้ สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เครือฯ ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ

โดยเครือฯ ได้ระดมสรรพกำลังของกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์กลโกงของอาชญกรรมไซเบอร์ในทุกช่องทางการสื่อสารอย่างเต็มศักยภาพรวมระยะเวลา 2 ปี ทั้งจากกลุ่มโทรคมนาคมและร้านค้าปลีกค้าส่ง คือการส่ง SMS เตือนภัยผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวม 37 ล้านเลขหมาย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา การเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อภายในลักษณะต่างๆ ในร้านเซเว่น – อีเลฟเว่นกว่า 13,000 สาขาประเทศ ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการ 11,404,314 คนต่อวัน ในแม็คโคร 152 สาขา และโลตัสมากกว่า 2,000 สาขา การประชาสัมพันธ์รายการในสถานีข่าว TNN16 และช่อง True4U การจัดกิจกรรมแฮกกาธอนในกลุ่มเยาวชน คิดค้นไอเดียรับมือกลโกง รวมถึงการกระจายข่าวสารผ่านพนักงานกว่า 361,570 คนทั่วประเทศ ซึ่งความหลากหลายทางธุรกิจฯ ของเครือ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข่าวสารเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และทำให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อประชาชนและประเทศชาติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดการเสวนา “จุดกระแส On Stage” ดำเนินรายการโดย คุณกรรชัย  กำเนิดพลอย ในหัวข้อ “แฉสารพัดกลโกงมิจฉาชีพหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์” ซึ่งมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์ ได้แก่ คุณมยุรา เศวตศิลา นักแสดงชื่อดัง, คุณภาณุพงศ์  หอมวันทา ยูทูปเบอร์เจ้าของช่อง Epic Time,  ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระบวนการกลโกง Call Center  และผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเคยตกเป็นเหยื่อกลโกงแอพออนไลน์ดูดเงินโดยแอบอ้างสรรพากร โดยมีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่าโครงการความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทย เพราะความรู้ผ่านสื่อต่างๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกลวง และจากที่เคยตกอยู่ในสถานะของเหยื่อมาแล้วนั้น ทำให้มั่นใจมากว่า ถ้ารู้ทันกลโกงก่อนจะไม่ตกเป็นเหยื่ออย่างที่ผ่านมา และหวังว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ถึงกลโกงผ่านช่องทางที่หลากหลาย จะเข้าถึงคนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศได้ รวมถึง “ความร่วมมือของภาคเอกชน ต้านภัยออนไลน์ด้วยวัคซีนไซเบอร์” โดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และคุณศิริพร  เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 

เปรียบเทียบจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั่วประเทศ ปี 2566

เลือกตั้งครั้งใหญ่ของประเทศไทยใกล้เข้ามาแล้ว 

‘สุชาติ’ ยัน!! ไม่เคยคิดขน ส.ส. ซบ ‘ปชป.’ ลั่น!! ขออยู่เคียงข้าง ‘บิ๊กตู่’ ดันนั่งนายกฯ อีกสมัย

(10 ก.พ. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเตรียมยกทีม ส.ส.ชลบุรี และ ส.ส.ในกลุ่ม เข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ว่า ไม่เป็นความจริง ยืนยันตนยังคงอยู่เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง​ และเตรียมสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์​ เป็นนายกฯ อีกสมัย

“กระแสข่าวที่ออกมา คาดว่าเกิดจากการพูดเล่นไปมาระหว่างผมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน​ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการ​พรรค​ประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความสนิทสนมกัน ยืนยันผมไม่ได้มีความขัดแย้งใด ๆ กับแกนนำบางส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ” นายสุชาติ กล่าว

ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติขึ้นไป โดยได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ สตม. พบว่ามีคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทย จำนวน 117 ราย จากนั้นกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ประสานไปยังสถานทูตตามหนังสือเดินทางของคนต่างด้าวเหล่านั้น เพื่อขอทำการตรวจสอบประวัติ จากการตรวจสอบประวัติของคนต่างด้าวดังกล่าวทั้ง 117 ราย พบว่า เป็นบุคคลที่รัฐบาลต่างประเทศได้มีการออกหมายจับไว้ที่ประเทศต้นทาง จำนวน 17 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับ แชร์ลูกโซ่ และ ฉ้อโกง ซึ่งทั้ง 17 ราย ได้หลบหนีและเข้ามาพำนักในประเทศไทย  

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน จึงได้นำข้อมูลคนต่างด้าวทั้ง 17 ราย มาตรวจสอบโดยละเอียดรวมทั้งขอหนังสือยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูตเพื่อนำมาประกอบการขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยในระหว่างการประสานข้อมูลกับสถานทูตนั้น ได้มีคนต่างด้าวบางส่วนได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแล้ว คงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียง 3 ราย เมื่อได้รับการยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูต กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจึงได้ทำการอนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย ของคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย ดังกล่าว และได้ออกสืบสวนติดตามคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย  

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่า คนต่างด้าว ใน 117 ราย ที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และยังไม่ได้เดินทางออกไปจากราชอาณาจักไทย เป็นผู้ที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) อีกจำนวน 58 ราย  

ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. 2566 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน เปิดปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ขึ้น โดยได้ทำการจับกุม คนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และมีหมายจับของประเทศอื่น ซึ่งกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยไปแล้ว ได้จำนวน 3 ราย ซึ่ง คนต่างด้าวทั้ง 3 รายนี้ เป็นผู้ที่หลบหนีการกระทำผิดมาพำนักและอยู่ในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้  

1.) นาย เสี่ยว (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ความผิดเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ จับกุมได้ที่คอนโดหรูย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
2.) นาย ลี (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่บ้านพักย่านพัฒนาการ เขตสานหลวง กรุงเทพฯ  
3.) นางสาว เฉิน (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่หน้าร้านอาหารย่านสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 

สงคราม 'ข่าวลือ' ว่อน!! ใต้ลมการเมืองเปลี่ยน เกมป่วนประสาทคู่แข่ง ที่ไร้ความสร้างสรรค์

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดข่าวลือมากมาย ข่าวจริงก็เยอะ แต่ก็ยากที่จะกลั่นกรอง ซึ่งข่าวลือที่เกิดขึ้นอาจจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน บางคนต้องการสะท้อนมุมมองทางสังคมในเวลานี้ว่าเป็นอย่างไร บางคนต้องการโยนประเด็นเพื่อหาคำตอบ แต่มีบางคนปล่อยข่าวหวังผลทางการเมือง บิดเบือน ทำลาย

ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวออกมาว่า ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ส.ส.นครศรีธรรมราช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เนื่องจาก ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจ ส.ส.แทนในบางเรื่องบางประเด็น

นายหัวไทร ก็ยกหูหาเจ้าตัวโดยตรง แทนบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นความจริง จะเป็นไปได้ไง ผมเป็นแกนนำประชาธิปัตย์ในนครศรีธรรมราช และเป็นกรรมการบริหารพรรค

ไม่ใช่แค่นั้น เพียงสองอาทิตย์คล้อยหลังก็มีการปล่อยข่าวออกมาอีกว่า แกนนำคนสำคัญสองคนของพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช จะไปลงสมัครในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ

“เป็นการปล่อยข่าว บิดเบือน จ้องทำลายของพรรคการเมืองบางพรรค ที่เขาเองยังไม่ลงตัว ผมอยากเรียกร้องให้ยุติการปล่อยข่าวทำลาย บิดเบือน มาทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์กันดีกว่า” แทน กล่าว

หลังจากนั้น ส.ส.แทนก็ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนเดินในการเดินหน้าไปสู่สนามเลือกตั้ง พร้อมว่าที่ผู้สมัครอีก 8 คน และแถลงข่าวย้ำอีกครั้งที่รัฐสภา

นายหัวไทร ยกหูไปหา ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็กล่าวยืนยันเช่นกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่แทนจะไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และในพรรคก็ไม่มีการหารือกันถึงเรื่องนี้

ข่าวลือยังมีการปล่อยกันถึงขั้นว่า ‘ชำนิ ศักดิเศรษฐ์’ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และมีฐานะเป็นน้าของ ส.ส.แทน ได้นำ ส.ส.แทน ไปจับเข่าคุยกับจุรินทร์แล้ว คุยกันรู้เรื่องแล้ว

ทั้งหมดนี้เป็นข่าวลือเกี่ยวกับ ส.ส.แทนกับพรรคประชาธิปัตย์ในนครศรีธรรมราช วงน้ำชา-กาแฟ ถกกันแต่เรื่องนี้เป็นด้านหลัก แม้แทนจะรับบทเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการจัดประชุมว่าที่ผู้สมัครในภาคใต้ทั้งหมดระหว่าง 11-12 กุมภาพันธ์นี้ที่ รร.ทวิลโลตัส จ.นครศรีธรรมราช ข่าวลือเหล่านี้ก็ยังไม่จางหายไปเสียทีเดียว

'พลพรรค' แห่เท 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล' ระเบิดเวลาที่รอวันทำลายตัวเอง (อีกหน)

ดุเดือดกว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในยามนี้ก็การเมืองไทยนี่แหละ ล่าสุดเหมือนถล่มพรรคก้าวไกลด้วยระเบิดพลีชีพ เมื่อ 'คริส โปตระนันทน์' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และมูลนิธิเส้นด้าย ประกาศลาออกจากพรรคที่ตนเองร่วมก่อตั้งเมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหตุผลหลักสามข้อ ที่เจ้าตัวชี้แจงชัดเจนออกสื่อ 

ข้อแรกคือ อยากทำงานการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แล้วอธิบายว่าความเป็นประชาธิปไตยของพรรคก้าวไกลยังห่างไกลจากที่พรรคโฆษณาไว้มาก จากนั้นก็แฉรัวๆ ว่า พรรคก้าวไกลไม่ใช่พรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ แต่อำนาจอยู่ในมือคนกลุ่มเล็กที่เรียกว่าโปลิตบูโร แบบนี้ควรเรียกว่าพรรค 'พวก' มากกว่า 

ส่วนข้อสองคือความขัดแย้งเรื่องการลงสมัครเลือกตั้ง เพราะตนเองเคยเกือบชนะในเขตพญาไทมาแล้ว แต่พอปรึกษาพรรค กลับถูกตอกหน้าว่าจะมาเป็นได้อย่างไร จากนั้นกล่าวอ้างว่าคริสเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรค ทั้งนี้เพราะเคยคัดค้านการลงผู้ว่าของวิโรจน์และคัดค้านผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมเขตจตุจักร 

ส่วนเหตุผลข้อสามคือ คริสเป็นอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้าย เคยช่วยเหลือเหยื่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก.พรรคก้าวไกล แต่กลับโดนด่าว่าไม่ปกป้องพรรค 

จะว่าไปเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่สมาชิกพรรคก้าวไกลโบกมือลาออกจากพรรค จะได้ยินปมขัดแย้งเรื่องเดิม ๆ เสมอ คนแล้วคนเล่าที่ก้าวออกจากพรรค ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าพรรคก้าวไกลใช้ระบบพรรคพวกมากกว่าพิจารณาที่ผลงาน 

ลองย้อนอดีตกันหน่อยว่า ส.ส.และ สมาชิกพรรคก้าวไกลกี่คนแล้วที่ลาออก หรือถูกไล่ออก เพราะปมขัดแย้งในพรรคนี้ หลายคนคงจำได้กรณีงูเห่าสีส้ม เมื่อปี 2562 ตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่ยังไม่ถูกยุบ พรรคมีมติขับ ส.ส. 4 คน คือ กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี, ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ และ จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี โดยจิกเรียก ส.ส.ทั้งสี่คนว่าเป็นงูเห่าสีส้ม เพราะลงมติสวนทางกับพรรคหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ก่อนหน้านั้น ส.ส.ศรีนวล บุญลือ เป็น ส.ส.ที่เป็นคนขานชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในสภา เรียกได้ว่าถือเป็นขวัญใจเจ้าของพรรคก็ว่าได้ แต่พอโหวตสวนเท่านั้นแหละ มีการขับไสไล่ส่งพ้นพรรค ที่หนักสุดคือ มีการด้อยค่าสารพัด แม้กระทั่งเอาตุ๊กตาตัวเงินตัวทองมาวางหน้าที่ทำการพรรค ซึ่งอยู่ในตึกของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทำให้บรรดาคอการเมืองแทบไม่เชื่อสายตาว่า จะเห็นการบูลลี่ในพรรคที่อ้างว่า 'คนเท่าเทียม' กัน

ต่อมาเกิดการแฉครั้งมโหฬารโดย ดร.โจ ชาญวิทย์ ใจสว่าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.อนาคตใหม่เขตหนึ่ง ชุมพร หลังประกาศลาออกจากพรรค ข้อมูลที่แฉก็คล้ายกับข้อมูลของคริส นั่นคือตัวตนพรรคก้าวไกลคือ เผด็จการตัวจริง มีกลุ่มใกล้ชิดเพื่อนนักเรียนนอก มีชนชั้นในพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เป็นเหมือนภาพที่ขายฝันไว้ พรรคนายกโซเชียลจ้างบริษัทเอเจนซี่ ตั้งวอร์รูมทำงาน 7:00-24:00 คอยจับตาตามเพจ ทวิตเตอร์ โซเชียลมีเดียต่างๆ แล้วสร้างไอดีผี ซอมบี้ส้ม เข้าไปรุมด่าคนที่มาวิจารณ์พรรค รวมถึงปั่นโหวตต่าง ๆ ดร.โจไม่ได้แฉแค่หนเดียวจบ แต่แฉตามมาต่างกรรมต่างวาระ 

ย้อนตำนาน 'รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ' กับ 'รูปแบบการเลือกตั้ง' ที่เปลี่ยนไป

30 ปี นับตั้งแต่ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์การเมือง ที่นำมาสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ คือ 2540 2550 และ 2560  โดยมีรูปแบบการเลือกตั้งที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจึงขอย้อนรอยเรื่องราวการเลือกตั้งที่สะท้อนจากรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งนอกจากจะแตกต่างกันแล้ว ยังส่งผลต่อหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอีกด้วย

#รัฐธรรมนูญ2540…จุดเริ่มต้นบัตร 2 ใบ "เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ"
ปี 2538 ยุค นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง (คปก.) ขึ้น และนำมาสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มี ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ ที่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.  99 คน  ประกอบด้วย สสร. 76 คนที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน กับตัวแทนนักวิชาการและผู้เชี่ยวขาญในสาขาต่างๆ ที่มาจากการคัดเลือกกันเองของสภาสถาบันอุดมศึกษาให้สภาพิจารณา อีก 23 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภา จนได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชน และเกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากที่สุด 

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2540 พลิกโฉมการเมืองไทยไปจากเดิม ด้วยระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดย ส.ส.  500 คน มาจากแบบเลือกตั้งเขตเดียวคนเดียว 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ใชับัตรเลือกตั้งสองใบ คือ ใบแรก 'เลือกคน' คือ ส.ส.เขต แบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ ใบที่สองเลือก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ หรือ 'ปาร์ตี้ลิสต์' เป็นครั้งแรกเพื่อเพิ่มบทบาทของพรรคการเมืองและนโยบายของพรรค รวมถึง 'นายกรัฐมนตรี' ก็ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น ขณะที่ ส.ว. 200 คน ที่เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ กลั่นกรองกฎหมาย รวมถึงมีอำนาจในการ 'ถอดถอน' ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั้งหมด 

รัฐธรรมนูญ ปี 40 ยังเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรอิสระ อย่าง  กกต.  ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์กรตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ กลไกระบบเลือกตั้งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ยังส่งผลให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง และมีน้อยพรรค ทำให้การบริหารบ้านเมืองมีความต่อเนื่องมากขึ้น ปิดข่องรัฐบาลผสมที่มีหลายพรรคการเมือง 

แต่ระบบนี้ใช้ในการเลือกตั้งได้เพียงแค่ 2 ครั้ง คือในปี 2544 และ 2548 ก็เกิดปัญหาใหม่ เมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส ในการบริหารประเทศ และเกิดปัญหาเกี่ยวกับกลไกตรวจสอบ ถ่วงดุล ที่ทำได้ยาก จนถูกขนานนามว่าเป็น 'เผด็จการรัฐสภา' กระทั่ง 19 กันยายน 2549 เกิดการรัฐประหาร นำมาสู่การกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ฉบับปี 2550

#รัฐธรรมนูญ2550 ปรับระบบ 'ปาร์ตี้ลิสต์' จากหนึ่งเขตประเทศ เป็น 8 กลุ่มจังหวัด
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ และจัดให้มีการลงประชามติจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ผ่านการเห็นชอบ ร้อยละ 57.81 ทั้งนี้มีการปรับระบบเลือกตั้ง กำหนดให้ ส.ส. มีจำนวน 480 คน มาจากแบบเลือกตั้งแบ่งเขตเรียงเบอร์ 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ จากเขตเลือกตั้งเดียวทั้งประเทศ มาเป็นกลุ่มจังหวัด 8 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน รวม 80 คน

ส่วน ส.ว. มีจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้งใน 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน และที่เหลือมาจากการสรรหา ส่วนการเลือกตั้ง ในช่วงของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 เกิดขึ้น 2 ครั้ง โดยในครั้งแรก พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ได้ 'สมัคร สุนทรเวช' เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ในยุค 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' สภามีมติแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ส.ส. กลับไปใช้บัญชีรายชื่อบัญชีเดียวทั่วประเทศ 125 คน ก่อนมีการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ต่อมา ประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมถึงปัญหาทุจริตจำนำข้าว นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ แนวโน้มเดินไปสู่ทางตันและความรุนแรง จึงนำมาซึ่งการยึดอำนาจอีกครั้งโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และนำมาซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2560

‘ชาติพัฒนากล้า’ ปักธงที่ทำการพรรคจังหวัดสตูล ‘รับฟังปัญหา-ความคิดเห็น’ สมาชิกในพื้นที่

‘ดร.บลู’ เปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดสตูล ณ อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล

‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์ ‘สร้างงาน-ซ่อมประเทศ’ เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน

‘พิธา’ ร่วมวงถกนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมือง ชงแนวคิดกำหนดนโยบายต้อง ‘ถูกใจคนไทย-ตรงใจตลาดโลก’ ชู 'สร้างงาน-ซ่อมประเทศ' เปลี่ยนปัญหา-ความต้องการคนไทย เป็นอุตสาหกรรมใหม่-จ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง พุ่งเป้าเศรษฐกิจเติบโตควบคู่ลดเหลื่อมล้ำ

(9 ก.พ. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์พร้อมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในงานสัมมนา ‘อนาคตประเทศไทย Economic Drives เศรษฐกิจไทยสตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก’ ซึ่งร่วมจัดโดยเครือโพสต์ทูเดย์และเนชั่น ให้ผู้นำพรรคการเมืองได้พูดถึงมุมมองของแต่ละพรรคที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรค

พิธาเริ่มต้นการนำเสนอ โดยระบุว่าโจทย์ที่ได้รับมาวันนี้จากผู้จัดงาน คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจตลาดโลก แต่ในการนี้ตนต้องขอคิดต่าง ว่าคำถามที่ถูกต้อง คือเราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจคนไทยและตลาดโลกไปพร้อมกัน เพราะที่ผ่านมาเรามีเศรษฐกิจที่ตรงใจตลาดโลกมามากแล้ว ทั้งของถูกและมีคุณภาพ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสิ่งนั้นต้องแลกมาด้วยการเสียสละของคนไทย

ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยที่ส่งออกข้าวเป็นอับดับ 1-3 ของโลกมาตลอด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน คิดเป็นถึง 66% หรือ 2 ใน 3 ของคนจนอยู่ในภาคการเกษตร จะมีประโยชน์อะไรกับการที่รายได้การท่องเที่ยวของประเทศก่อนโควิด สูงถึง 2 ล้านล้านบาท แต่ 74% กระจุกตัวอยู่แค่ใน 5 จังหวัดจากทั้งประเทศ และจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ประเทศไทยมีภาคธนาคารที่เข้มแข็งเป็นอันดับที่ 21 ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยพุ่งทะยานไปถึง 89% ของจีดีพีแล้ว

พิธากล่าวต่อไปว่า ธนาคารโลกล่าสุดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโตช้าที่สุดในรอบ 30 ปี นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลไทยต้องออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะเอาแต่พึ่งการส่งออก การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราต้องการวันนี้คือวิธีคิด ซึ่งพรรคก้าวไกลมีกระบวนการวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ พรรคก้าวไกลเริ่มต้นจากการวิเคราะห์หาจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-ภัยคุกคาม (SWOT analysis) ที่ทำให้เราได้เห็นภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน

กล่าวคือ ประเทศไทยมีจุดแข็ง คือความสร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานที่ดีระดับหนึ่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว การมีระบบรัฐราชการรวมศูนย์ที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก หากมองในแง่โอกาส แนวโน้มการลงทุนของโลกในขณะนี้กำลังมุ่งไปที่การกระจายความเสี่ยงออกจากฐานการผลิตเดิม ขณะเดียวกันกำลังจะเกิดการปฏิรูปภาษีโลกครั้งใหม่ (Global Minimum Tax) หรือ GMT แต่โลกก็กำลังมอบโจทย์ความท้าทายให้กับประเทศไทยในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งในเรื่องภาวะโลกร้อน ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์เช่นสงคราม และราคาโภคภัณฑ์ที่ผันผวน

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่อได้ภาพปัจจุบันของประเทศดังนี้แล้ว การกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลจึงเกิดขึ้นภายใต้โจทย์เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปพร้อมกับการลดความเหลื่อมล้ำ นำมาสู่นโยบาย 'สร้างงาน ซ่อมประเทศ' หรือการนำปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่เรื้อรังมาข้ามทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะ น้ำประปาที่ไม่สะอาด ปัญหาพลังงาน ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ เปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน เพื่อซ่อมประเทศ กล่าวคือ

ส.ส.ก้าวไกล ส่อซบ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ หลังรับแนวทางพรรคเรื่องสถาบันฯ ไม่ได้

(9 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ในวันศุกร์นี้ (10 ก.พ.) พรรคจะเริ่มคิกออฟการลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต กทม. ขณะที่กำลังรอเคาะรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขตอยู่ โดยการลงพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารพรรคนำโดย นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค จะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคไปงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ ที่อาคารไปรษณีย์กลาง ย่านเจริญกรุง-บางรัก

แต่ที่น่าสนใจคือ ในรายชื่อที่ทางพรรคแจ้งกับสื่อมวลชน ปรากฏว่ามีชื่อ นายทศพร ทองศิริ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เขตราษฎร์บูรณะ-ทุ่งครุ ที่ยังไม่ลาออกจาก ส.ส.ก้าวไกล รวมอยู่ด้วย

โดยนายทศพร ให้สัมภาษณ์ว่า มีความรู้จักสนิทสนมกับนายวินท์ สุธีรชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ลาออกจากพรรคก้าวไกล และปัจจุบันนายวินท์ ได้เข้าไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทางนายวินท์ จึงได้ติดต่อให้ไปร่วมงานวันศุกร์นี้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เบื้องต้นยังมีคิวงานในพื้นที่ แต่ได้แจ้งกับพรรคว่าหากเคลียร์งานเสร็จทันก็จะไปร่วมด้วยแน่นอน เพราะตอนนี้ ในทางการเมือง ได้แยกทางกับพรรคก้าวไกลเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องการทำหน้าที่ ส.ส. จนถึงวันสุดท้ายของสภาฯ ชุดนี้ ซึ่งสาเหตุที่ออกจากก้าวไกล เพราะชัดเจนว่าแนวทางเรื่องสถาบันฯ กับตนเองไปด้วยกันไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top