Wednesday, 9 July 2025
POLITICS

เบิกเนตร!! ประวัติศาสตร์ 2475 เริ่มกระจ่าง ก่อการเพื่อ 'คณะราษฎร' หรือ 'คนไทย'

ปีนี้เป็นปีที่ 92 หลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475 จากระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ เป็นระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ 

ขออธิบายสั้น ๆ สำหรับผู้ที่อาจไม่เข้าใจในระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’

ระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองและทรงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ 

ปัจจุบันทุกวันนี้ยังมีประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ อันได้แก่ 

(1) Negara Brunei Darussalam
(2) Kingdom of Eswatini (Swaziland เดิม)
(3) Kingdom of Saudi Arabia
(4) Sultanate of Oman
(5) Vatican City State 
และ (6) United Arab United Arab Emirates (ประกอบด้วย 7 รัฐ Emirates ซึ่งทั้ง 7 รัฐปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ทั้งสิ้น) 

โดยคุณภาพชีวิตของประชาชนพลเมืองทั้ง 6 ประเทศนี้จัดว่า ‘ดีมาก’ แม้แต่ Kingdom of Eswatini ซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนก็ยังอยู่ในอันดับปานกลางค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

คราวนี้มาถึงเรื่องของไทยเรา ... หลังจากมีการนำเสนอ 2475 Dawn of Revolution ภาพยนตร์ Animation ที่บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นข้อเท็จจริงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

แอนิเมชันเรื่องนี้ได้ขยายความจริงบางประการให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับทราบถึงข้อเท็จจริง ความเป็นมา รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งอันที่จริงแล้วมีการเตรียมการ (ประชาธิปไตย) มาตั้งแต่รัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เริ่มจากการจัดตั้งการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบสุขาภิบาลที่ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2441 แล้ว

ต่อมาในรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมา 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 อีกทั้งทรงสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคของประชาชนด้วยการเลิกทาสในปี พ.ศ. 2448 รวมถึงยังทรงออกประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในราชอาณาจักรสยาม ขณะเดียวกันก็ทรงใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อีกด้วย

พอครั้นถึงรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงตั้งดุสิตธานีเมืองจำลองขึ้นในปี พ.ศ. 2461 เพื่อเป็นแบบทดลอง 'นครตัวอย่าง' ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีลักษณะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาลที่ดัดแปลงมาจากประเทศอังกฤษ 

ในรัชกาลต่อมา ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ Outline of Preliminary Draft ของพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) และ An Outline of Changes in the Form of the Government ของนาย Raymond B. Stevens และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ... แต่ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวซึ่งจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 ถูกคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา (คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุด) ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อันเนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ จึงเกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง

เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ก็ไม่ได้ทรงต่อต้านขัดขวางการกระทำของคณะราษฎรแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ยังทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชาหน่วยทหารทั้งหมดที่อยู่นอกพระนคร รวมทั้งกองทัพเรือซึ่งไม่ได้เข้าร่วมในการก่อการกับคณะราษฎร 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังทรงยินยอมเสด็จนิวัตพระนครตามคำกราบบังคมทูลเชิญ (แกมบังคับ) ของคณะราษฎร และทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่คนไทยตามที่คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติต้องการ ด้วยแท้ที่จริงแล้ว ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว เพราะได้ทรงให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นเอง

ต่อมาได้เกิดการคัดค้านการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนของอภิรัฐมนตรีสภา ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง และได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงในเวลาต่อมาเมื่อ 25 ปีหลังการปฏิวัติ 2475 อำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมืองถูกแย่งชิงในมือของสมาชิกคณะราษฎร จนถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารตัดวงจรอำนาจทางเมืองของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2500 

ถือเป็น 25 ปีที่คณะราษฎรไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวบ้านประชาชนเลย จึงกลายเป็นผลกระทบในด้านลบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาจนทุกวันนี้ เพราะการขับเคลื่อนการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเข้มแข็ง และยั่งยืน สิ่งแรกที่ประชาชนจำเป็นจะต้องมีก็คือ ‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ 

‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ (Political maturity) เริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประชาชน อาทิ เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ทำหน้าที่พลเมืองอย่างถูกต้องและครบถ้วน เคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เคารพบรรทัดฐานเดิมของสังคมในเรื่องที่ถือว่ามีคุณค่าหลักร่วมกันของสังคม การเคารพคุณค่าและความเห็นต่างของผู้อื่นด้วยการไม่เหยียดหยามด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ของส่วนตน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้อง ‘รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ 

เพราะ 92 ปีของประเทศ ภายใต้ระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ สิ่งที่บ้านเมืองของเรามีปัญหาและเสียโอกาสมากที่สุดเกิดจากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนคนไทยส่วนไม่รู้เท่าทันจนทำให้เกิดเป็น ‘วงจรอุบาทว์’ เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีวงรอบของ ‘วงจรอุบาทว์’  คือ...

'เลือกตั้ง -> จัดตั้งรัฐบาล -> เกิดวิกฤตการณ์จาก ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมือง -> เกิดการรัฐประหาร  -> ยกเลิกรัฐธรรมนูญ -> ร่างรัฐธรรมนูญ -> กลับมาเลือกตั้งอีก'

ดังนั้นหากไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองได้ก็จะมีเหตุทำให้เกิด ‘วงจรอุบาทว์’ อยู่ร่ำไป 

นอกจากความ ‘ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ จากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ แล้ว ขณะนี้ยังเกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ตลอดจนทำให้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเกิดความกินแหนงแคลงใจ ซ้ำร้ายนักการเมืองและพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่เป็นปฏิกษัตริย์นิยม ยังไม่ยอมรับความสำคัญในสถาบันหลักของชาติบ้านเมือง (จากใบสั่งจากชาติมหาอำนาจตะวันตก) ด้วยความ ‘ไม่รู้เท่าทัน จนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’

ยิ่งไปกว่านั้น พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีความสามารถ และจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป กลับหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อและกลายเป็นสาวกให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองเหล่านี้ ให้พยายามยึดโยงเอ่ยอ้างว่า ‘ภารกิจ 2475 ยังไม่แล้วเสร็จ’ เพราะเจตนาอันเป็นที่สุด เป็นหมุดหมาย และปลายทางของคนเหล่านี้คือ การใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจาก ‘ราชอาณาจักร’ ให้เป็น ‘สาธารณรัฐ’ นั้นเอง 

ดังนั้น เรื่องราวของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หากได้ศึกษาพิจารณาด้วยปัญญาโดยมีสติกำกับอย่างถ่องแท้แล้ว ที่สุดจะพบกับความจริงว่า 'การก่อการครั้งนั้น คณะผู้ก่อการทำเพื่อใครกันแน่ ใครที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการก่อการระหว่างบรรดาสมาชิกคณะราษฎรหรือพี่น้องประชาชนคนไทย'

ยกย่อง 'ถาวร เสนเนียม' ขรก.การเมืองน้ำดี ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลา

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 พ.ค.67 ที่ผ่านมา สมาคมชาวจังหวัดสงขลาได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลแด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่วัดบวรนิเวศน์วรวิหาร

ช่วงบ่ายเป็นการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี และในโอกาสเดียวกันได้ทำพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติให้กับคนดีศรีแผ่นดินสาขาต่างๆ

สำหรับคนดีศรีแผ่นดินสาขาข้าราชการการเมืองผู้ทำคุณประโยชน์ให้จังหวัดสงขลา คือ นายถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย / อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม

ถาวร เสนเนียม ก่อนจะมาเป็นนักการเมือง ก็เป็นข้าราชการอัยการ ในเวลาเดียวกันก็ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจโรงโม่ เป็นต้น แต่ถึงเวลาหนึ่งตัดสินใจลาออกจากราชการ กระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง และประสบความสำเร็จในนามพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารมาแล้วสองสมัย สองกระทรวง

เมื่อศาลตัดสินให้ต้องโทษจำคุก จากคดี ชุมนุมทางการเมือง 'ถาวร' จึงต้องจำจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อกำหนดของระเบียบพรรค ห้ามคนต้องโทษจำคุก เป็นสมาชิกพรรค

ถาวรก้าวเข้าสู่พรรคไทยภักดี แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคไทยภักดีไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง 'ถาวร' จึงเดินออกมา และเข้าสู่ร่ม 'พรรครวมไทยสร้างชาติ'

อนาคตทางการเมืองของ 'ถาวร' ในวัย 70 กว่า สุขภาพยังแข็งแรง และน่าจับตามองว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร

‘ธนกร’ ชี้ ภาคใต้มีความโดดเด่น เรื่องการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชู!! ซอฟต์พาวเวอร์ เชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ สร้างรายได้ให้ประเทศ

(26 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำคณะลงมาเปิดเวทีที่จ.สงขลาแล้วบอกว่า เศรษฐกิจภาคใต้ต่ำกว่าภาคอื่น ว่าในฐานะคนใต้มองว่า การที่นายชัยธวัช จะมาพูดเปรียบเทียบภาคใต้กับภาคอื่นก็ไม่ถูกแล้ว เพราะจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละภาค   มีความแตกต่างกัน เอามาเปรียบกันไม่ได้ โดยต้องยอมรับว่า ภาคใต้มีความโดดเด่นเรื่องจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทางทะเล มากกว่าภาคอื่น จึงเป็นเครื่องยนต์หลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้มาตลอด และรัฐบาลก็มีการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ พื้นถิ่นที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้น รวมถึงตัวเลขรายได้ของเกษตร และด้านแรงงานก็ขยายตัวขึ้น ไม่ใช่มีแค่ตัวเลขการท่องเที่ยวที่เพิ่มอย่างเดียว ตามที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูด  

ทั้งนี้ขออ้างอิง การแถลงของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้แถลง ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ ไตรมาส 2/2567 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ว่าภาคบริการท่องเที่ยว ขยายตัวต่อเนื่อง
จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวในหลายสัญชาติ ทั้งจีน มาเลเซีย ยุโรป จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น โดยอานิสงส์มาจากมาตรการฟรีวีซ่า ภาคตลาดแรงงาน ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัว จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันรายได้เกษตรกร กลับมาขยายตัวจากรายได้ยางพาราตามราคายางที่ขยายตัวมากขึ้นเนื่องจากผลผลิตที่ออกน้อยกว่าปกติ เพราะมีการระบาดของโรคใบร่วง และสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลต่อ ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกจากการผลิตยางพาราแปรรูปโดยเฉพาะยางผสมที่หดตัวตามคำสั่งซื้อของจีนที่ชะลอในช่วงราคายางสูง รวมถึงน้ำมันปาล์มดิบลดลงตามวัตถุดิบและอากาศที่ร้อนจัดสภาวะแล้ง ซึ่งก็มีปัจจัยแวดล้อมทั้งประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“ที่นายชัยธวัช  บอกว่า ภาคใต้ไม่มีอย่างอื่นโตเลย นอกจากการท่องเที่ยว ในฐานะคนใต้ คิดว่าเป็นการพูดเกินจริงและด้อยค่าภาคใต้มากเกินไป แม้ส่วนอื่นจะไม่ได้โตมากเท่าที่คาดการณ์ก็ตาม ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศ ซึ่งเมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมของภาคใต้ก็ถือว่าโตต่อเนื่อง และเมื่อมาวิเคราะห์การสรุปในเวทีที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูดที่สงขลา มีเจตนาต้องการปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ จึงขอถามว่า โครงสร้างที่พรรคก้าวไกลพูดนั้นหมายถึงอะไร ทั้งเป็นเรื่องจัดการโครงสร้างที่ดินใหม่ การกระจายอำนาจและอื่นๆ ทั้งหมดนี้ เป็นการด้อยค่าไม่พอ ยังมีเจตนาอื่นแอบแฝงด้วยหรือไม่ มองชัดว่าต้องการสร้างประเด็นเพื่อหวังผลทางการเมือง” นายธนกร กล่าว

‘เทพไท’ จี้ ‘แพทองธาร’ ให้ปรับปรุงตัว ชี้!! เป็นตัวตลก อยากให้มีวุฒิการเมืองมากกว่านี้

(26 พ.ค.67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง’ ระบุว่า …

อย่าอุ๊งอิ๊ง!!!

ผมเห็นข่าวพาดหัวว่า คุณอุ๊งอิ๊งยังไม่พร้อมเป็นนายกฯ หลังจากที่นักข่าวได้ถามเรื่องศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 ส.ว. เพื่อพิจารณาการพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี ว่าหากผลของคำวินิจฉัยของศาลให้คุณเศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งพูดกับนักข่าวเป็นความจริงหรือไม่ หรือต้องการจะเอาใจคุณเศรษฐา เพื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ในความรู้สึกของประชาชนนั้น คุณอุ๊งอิ๊งเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย แสดงว่ามีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี 100% แต่ทำไมเมื่อนักข่าวถามในตอนนี้ กลับบอกว่า ไม่พร้อมที่จะรับตำแหน่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะทางการเมืองของคุณอุ๊งอิ๊ง ที่มักจะมีปัญหาและสร้างประเด็นให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ มาโดยตลอด

ผมอยากจะยกคำพูดของคุณอุ๊งอิ๊ง บนเวทีปราศรัยหาเสียง เช่น

1.การบอกว่าให้ดูหน้าดิฉันไว้ จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหารจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน แต่ในวันนี้ก็ได้กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับกลุ่มคนที่ทำรัฐประหารเรียบร้อยแล้ว

2.การปราศรัยบนเวทีว่า จะปิดสวิตช์ ส.ว. ปิดสวิตช์ 3 ป. คนไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกินมีใช้ ไปพร้อมๆกัน แล้วตอนนี้ผลก็คือ นายกเศรษฐากำลังจะถูก 40 ส.ว.ปิดสวิตช์ การประกาศจะปิดสวิตช์ 3 ป.ก็ไม่สามารถทำได้จริง ต้องจับมือกับ 3 ป.ตั้งรัฐบาลด้วยกัน

3.การที่ประชาชนมีกินมีใช้ วันนี้ก็พบความจริงว่าประชาชนลำบากเหมือนเดิม เงินดิจิทัลวอลแล็ตคนละ 10,000 บาท ก็ไม่สามารถแจกให้กับประชาชนได้

4.การประกาศเติมเงินให้กับครอบครัวที่มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท ก็ยังไม่มีการเติมให้เลยแม้แต่ครอบครัวเดียว

5.การประกาศว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ราคาไฟฟ้า ราคาน้ำมันจะลดลง จะไม่แพงอีกต่อไป แต่วันนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นเรื่อยๆ

ผมไม่อยากให้สังคมมองคุณอุ๋งอิ๋งขาดความน่าเชื่อถือในคำพูด เป็นตัวตลก ให้โลกโซเชียลนำคลิปการพูดหาเสียงของคุณอุ๊งอิ๊งมาล้อเล่น แชร์กันเป็นไวรัล จนถึงการนำชื่อคุณอุ๋งอิ๋งมาเป็นคำล้อเลียน คำสบถ เช่น อย่าอุ๊งอิ๊งอีกเลย อย่าทำตัวอุ๊งอิ๊ง หรืออุ๊งอิ๊งอีกแล้วนะ ฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหาย ทำลายภาพลักษณ์นักการเมืองรุ่นใหม่

จึงอยากแนะนำให้คุณอุ๊งอิ๊งปรับปรุงตัว และมีวุฒิภาวะทางการเมืองมากกว่านี้ ขอเตือนไว้ด้วยความหวังดี

‘ทักษิณ’ รู้ ใครอยู่เบื้องหลังสั่ง ‘สว.’ ให้ร้อง ‘นายกฯ’ มองแค่สร้างความวุ่นวาย แต่ไม่น่าล้มได้ หากชี้แจงได้ก็ผ่าน

(25 พ.ค.67) ที่ร้านส้มตำพันล้าน จ.นครราชสีมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. วินิจฉัยคุณสมบัติของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จนทำให้มีการมองกันว่ามีกระบวนการวางยาพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า ในพรรคเพื่อไทย ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ภายนอกการเมืองก็ยังเป็นการเมืองมีความลี้ลับอยู่ พอสมควร ส่วนใหญ่เราจะดูความเคลื่อนไหว เพราะประเทศไทยใครเคลื่อนไหวอะไร ก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นคนของใคร เคลื่อนไหวด้วยเหตุอะไร แต่แน่นอนในฐานะนายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ต้องตอบ ซึ่งท่านต้องเตรียมตอบคำถามของท่าน และไม่ว่าใครจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็แล้วแต่ หากเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ชี้แจง 

เมื่อถามว่า นักวิชาการให้จับตานายใหญ่ที่จะเช็กบิล 40 สว.นั้น นายทักษิณร้องโอ๊ะ ก่อนจะกล่าวว่า 

“ผมจะไปมีสิทธิ์อะไร วันนี้ผมเป็นคนแก่คนหนึ่ง ที่ให้คำปรึกษารุ่นน้อง ๆ ให้ช่วยกันให้บ้านเมืองเจริญดีกว่า ก็คงไม่มีน้ำยาอะไรหรอก แก่แล้ว” 

เมื่อถามว่า จากประสบการณ์มองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 40 สว. มีเบื้องหลังจากกลุ่มอำนาจไหน นายทักษิณ กล่าวว่า สังคมการเมืองเขารู้ว่าใครเป็นคนของใคร อย่างไร เป็นเรื่องธรรมดา มีเช่นนี้มาช้านานแล้ว 

เมื่อถามว่า เป้าหมายคือการล้มนายเศรษฐาเลยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นล้มได้ แต่อาจเป็นการสร้างความวุ่นวาย บ้านเมืองชะงักบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่มองว่าจะไม่มาก เพราะหากชี้แจงได้ก็ไม่เป็นอะไร 

เมื่อถามว่า บางฝ่ายยังมองว่าเป้าหมายของการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือนายทักษิณ นายทักษิณ ย้อนถามสื่อว่า จะเล่นงานผมน่ะหรือ โอ๊ย ผมไม่มีอะไรให้เล่นแล้วแก่แล้ว ต่างคนต่างอยู่เถอะ

เมื่อถามต่อว่า กรณีนี้ พรรคเพื่อไทย ต้องเตรียมรับมืออะไรบ้าง นายทักษิณ ก็กล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรครับ ก็ทำอะไรให้ถูกต้อง ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหวั่นไหวมาก” 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ โพสต์เฟซบุ๊กฟาด ‘ฝ่ายค้าน’ ทำตัวแปลกประหลาด เชียร์ ‘ข้าว 10 ปี’ ของรัฐบาลไม่เน่า ชี้!! คนไทยไม่โง่ รู้ฝ่ายส้มมีญาติอยู่ฝ่ายแดง

(25 พ.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้ ...

ฝ่ายไม่ค้าน

การเมืองมักมีเรื่องแปลก ๆ ความจริงน่าจะเรียกว่าสัปดน เป็นฝ่ายค้านแต่ไม่ค้าน เรื่องที่ควรพูดไม่พูด

ทะลึ่งพูดเข้าข้างรัฐบาล ‘ข้าว10ปี’ ไม่เน่า ช่วยรัฐบาลทีเอาไปกินเยอะ ๆ เผื่อกินแล้วจะได้ฉลาดขึ้น อย่าขายให้ชาวบ้านต้องกิน

คนไทยไม่โง่หรอก รู้ดีว่าใครเป็นใคร รู้ว่าฝ่ายส้มมีญาติอยู่ฝ่ายแดง มันคือพวกเดียวกันแปลงร่าง

สุ้มเสียงเลยแปร่ง ๆ ค้านไม่เต็มเสียง ด่าไม่เต็มปาก หรือจะคดีต่าง ๆ เริ่มจะงวดเข้า
ประตูคุกเปิดรอรับ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย สามัคคีส้มแดงสู้ฝ่ายอนุรักษ์

‘หมอวรงค์’ ชี้ ‘ข้าว 10 ปี’ คือ มรดกการโกงจำนำข้าว ที่ทุจริตทุกขั้นตอน ฟาด!! ‘ภูมิธรรม’ ไม่โปร่งใส-ไม่ตรงไปตรงมา-พูดความจริงน้อยมาก

(25 พ.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ ‘ข้าว 10 ปี’ ว่า …

#ข้าว 10 ปี มรดกการโกงจำนำข้าว

สิ่งที่น่าแปลกใจ นายภูมิธรรมพยายามพูดเสมอว่า นี่คือข้าวเก่า ข้าวหอมมะลิ และทางเจ้าของคลังดูแลอย่างดี ราคาประมูลตอนนี้ ยังไงก็ดีกว่า 5 บาท กลายเป็นของเน่าไป ข้าว 10 ปี ยังทำได้ ก็ต้องกลับไปทบทวน

นายภูมิธรรมพูดมีความจริงน้อยมาก เพื่อให้ประชาชนทบทวนความทรงจำ หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกยึดอำนาจ มีข้าวในโครงการรับจำนำข้าวค้างคลัง 18.6 ล้านตันตามบัญชี แต่ปริมาณข้าวจริงประมาณ 17.7ล้านตัน

เนื่องจากโครงการรับจำนำข้าว มีการทุจริตทุกขั้นตอน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ช่วงต้นน้ำ มีการโกงความชื้น โกงตาชั่ง สิ่งเจือปน ขายสิทธิ์ใบประทวน ช่วงกลางน้ำ ปัญหาหลักคือเอาข้าวไม่ได้มาตรฐาน ข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวต่างชาติ เวียนเทียนข้าว

ในส่วนปลายน้ำ มีการระบายข้าวเป็นข้าวถุง แต่สุดท้ายข้าวไม่ถึงมือชาวบ้าน ถูกตรวจสอบพบการทุจริต จึงยุติโครงการ มีการส่อทุจริตไปแล้ว 1.1 ล้านตัน จากเป้าหมาย 2.5 ล้านตัน

อีกกรณีคือการระบายแบบจีทูจี ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่สั่งระงับ ทั้ง ๆ ที่รู้การทุจริต จึงถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี

ปัญหาของข้าวในโกดัง ที่เป็นการทุจริตกลางน้ำ จากการตรวจสอบข้าวในคลัง ของโครงการรับจำนำข้าว ข้อมูลของTDRI รายงานว่า มีข้าวไม่ได้มาตรฐานสูงถึง 85%

การระบายข้าวในสมัยพลเอกประยุทธ์ เนื่องจากมีข้าวไม่ได้มาตรฐานสูงถึง 85% จึงต้องแบ่งเกรดข้าว เป็น 1.ข้าวมาตรฐาน คือข้าวปกติทุกอย่าง 2. ข้าวเกรด A 3.เกรด B และ4.เกรด C

สิ่งที่นายภูมิธรรมพูดจริงบางส่วน คือข้าวที่ขายในราคากิโลละ 6 บาท ไม่ใช่ 5 บาท คือข้าวเกรด C ที่มีเชื้อราเป็นก้อน ๆ ในกระสอบข้าวสาร เขาจึงตีเป็นข้าวเกรด C ขายเพื่ออุตสาหกรรม เช่นทำปุ๋ยหรือแอลกอฮอล์

ที่สำคัญ ข้าวที่เหลือล็อตสุดท้ายนี้ (1.5หมื่นตัน หรือ1หมื่นตัน ตัวเลขยังไม่มีการชี้แจง) เคยขายในราคากิโลละ 27-28 บาท ผู้ชนะซื้อเป็นข้าวหอมมะลิ แต่มีข้าวขาวปลอมปน เขาจึงรับข้าวไปบางส่วน และไม่ยอมรับที่เหลือ

อย่างน้อยนายภูมิธรรมต้องรู้ว่า ข้าวล็อตสุดท้ายนี้ ไม่ได้ขาย 5 บาท ตามที่นายภูมิธรรมพูดแบบจินตนาการ ที่สำคัญก็เป็นการตอกย้ำ การสอดไส้ข้าว มรดกการโกงจำนำข้าวสมัยยิ่งลักษณ์ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ยังไม่นับรวมสิ่งที่กระทำแบบไม่ตรงไปตรงมา ไม่โปร่งใสยุคนายภูมิธรรม

‘กกต.’ เผยตัวเลขยอดผู้สมัคร ‘สว.’ ทั่วประเทศ 4 หมื่นกว่าคน วันสุดท้ายมีผู้สนใจสมัครมากที่สุด ‘ศรีสะเกษ’ ครองแชมป์สูงสุด

(25 พ.ค. 67) ยอดผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา 2567 หรือ สว. ตั้งแต่วันที่ 20-24 พ.ค.2567 รวม 5 วัน มีผู้สมัครรวม 48,117 คน โดยแบ่งเป็นวันแรกมีผู้สมัคร 4,642 คน วันที่สองมีผู้สมัคร 6,607 คน วันที่สามมีผู้สมัคร 9,434 คน วันที่สี่มีผู้สมัคร 13,486 คน และวันที่ห้ามีผู้สมัคร 13,948 คน   

จังหวัดที่มีผู้สมัครมากที่สุด คือจังหวัดศรีสะเกษ 2,764 คน อันดับที่สอง คือกรุงเทพมหานคร 2,489 คน อันดับที่สามเชียงใหม่ 2,000 คน อันดับที่สี่บุรีรัมย์ 1,836  คน และอันดับที่ห้านครศรีธรรมราช 1,798 คน  

ส่วนจังหวัดที่มีผู้สมัครน้อยที่สุด คือ จังหวัดน่าน 98 คน อันดับสอง ตาก 102 คน อันดับสาม สมุทรสงคราม 128 คน อันดับสี่ พังงา 134 คน และอันดับห้า อุตรดิตถ์และนครพนม จังหวัดละ 150 คน

‘อุ๊งอิ๊ง’ จุดพลุ!! THACCA SPLASH Soft Power Forum งาน Soft Power ระดับนานาชาติครั้งแรกในเมืองไทย

(24 พ.ค. 67) ที่ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2567 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาและกรรมการคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ รวมถึง คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่าง ๆ คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 11 สาขา ร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้แถลงผลการประชุม ร่วมกับ หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนด้านภาพยนตร์-ซีรีส์ และ อินทิรา ทัพวงศ์ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนด้านแฟชั่น

โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวถึง ความคืบหน้าตามแผนที่วางเอาไว้ ทั้งในส่วนหลักสูตรของ OFOS ของทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่น และ ภาพยนตร์ รวมถึงงานใหญ่ที่คณะซอฟต์พาวเวอร์ใช้เวลาเตรียมงานกันมา นั่นคืองาน THACCA SPLASH : Soft Power Forum งาน Soft Power Forum ระดับนานาชาติครั้งแรกของประเทศไทย

“เราจะปักหมุดประเทศไทยลงบนแผนที่โลก ให้ชาวโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำ ด้านการพัฒนา Soft Power ไทยจะเป็นพื้นที่ของนักสร้างสรรค์ทั่วโลก มาร่วมทำงานกัน ซึ่งขณะนี้ วัฒนธรรมไทยมีความพร้อมที่กระจายออกไปทั่วโลกให้ได้หลงเสน่ห์ และคนไทยพร้อมแล้วที่จะสร้าง Soft Power ไทยให้แข็งแรง” น.ส.แพทองธาร กล่าว

น.ส.แพรทองธาร กล่าวถึงการจัดงาน SPLASH ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power ทั้งจากในประเทศ และทั่วโลก โดยประกอบด้วย 4 ส่วนคือ SPLASH Visionary zone, SPLASH Creative Culture Pavilion, SPLASH Master Class และ SPLASH Activation Lounge

น.ส.แพทองธาร เปิดเผยต่ออีกว่า สำหรับ SPLASH Visionary Zone มี 4 เวที ประกอบด้วย Vision Stage : เวทีวิสัยทัศน์รัฐบาล วิสัยทัศน์ของผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นโยบายที่เราขับเคลื่อน ทิศทางที่เราเลือกไป ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในโลก ปฏิญญาและความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น ทุกท่านจะได้ทราบในเวทีนี้ค่ะ, Pathway Stage : เวทีของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยจะนำความสำเร็จของทั่วโลกมาถอดบทเรียน มาวิเคราะห์ถึงวิธีการ แนวคิด เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ และแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมที่สร้าง Soft Power, Performance Stage : เวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ให้ได้แสดงความสามารถโดยมีการแสดงจากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ศิลปะการแสดง ภาพยนตร์ ดนตรี และ Podcast Studio : เวที Podcast ที่สัมภาษณ์กันสดๆ ในงาน เจาะลึกมุมมองแนวคิด ของผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ในงาน

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อถึงอีกส่วนของงานคือ SPLASH Creative Culture Pavilion ซึ่งโซนนี้จะเป็นนิทรรศการเรื่อง Soft Power ทั้งของประเทศไทย และต่างประเทศ โดยมี 3 นิทรรศการ อาทิ THACCA Pavilion นิทรรศการของทักก้า อยากให้ทุกคนมารู้จักทักก้ากันที่งานนี้กันนะคะ ว่าเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วย Soft Power ได้อย่างไร นิทรรศการของทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมค่ะ ส่วนนี้เราจะมาทำความรู้จัก Soft Power ในประเทศไทยให้มากขึ้น ว่าศักยภาพในตอนนี้ของแต่ละอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร และภาพที่เรามองเห็นในอนาคตเป็นอย่างไร และ international Pavilion นอกจากนิทรรศการจากไทย ยังได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศที่มาเข้าร่วมให้ข้อมูลผ่านนิทรรศการในงาน

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมี SPLASH Masterclass : ห้องเรียน Reskill Upskill ให้พี่น้องประชาชนที่สนใจโดยจะมีห้องเรียนจากทั้ง อุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ และยังมีพื้นที่สำหรับการ Hackathon เพื่อทดลองแข่งขันไอเดียกันอีกด้วย และสุดท้าย SPLASH Activation Lounge : พื้นที่สำหรับคุยแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อสร้างความร่วมมือในการสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เพราะงาน SPLASH จะรวมเอานักสร้างสรรค์ภาคเอกชน ที่น่าสนใจไว้ในงานนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการ Matching ทางธุรกิจเกิดขึ้น

“ฝากพี่น้องประชาชนที่สนใจนะคะ มาเรียนรู้มารู้จัก Soft Power ให้มากขึ้น เพราะซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้มีแค่นิยาม เรายังมีกระบวนการอีกมากมาย มางาน THACCA SPLASH Soft Power Forum ในวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ซึ่งคาดว่าจะมีคนสนใจเข้าร่วมงานกว่า 2 แสนคน” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 ยังมีวาระที่น่าสนใจ อาทิ ในส่วนหลักสูตรของ OFOS ของทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่น และภาพยนตร์-ซีรีส์ โดยในด้านแฟชั่นมีการอบรมและพัฒนาบุคลากร ภายใต้กิมมิก ‘Soft Power แฟชั่น Thailand Only’ 4 สาขา คือ Apparel, Jewelry, Beauty และ Craft โดยจะจัดอบรมในระดับบุคคลทั่วไป นิสิตนักศึกษา ทายาทปราชญ์ชาวบ้าน และ ในระดับโรงงานอุตสาหกรรม OEM โดยในระยะยาว จะเป็นการ พัฒนาทักษะเดิม และ สร้างทักษะขึ้นมาใหม่ โดยเน้นกระบวนการทำงานในการสร้างคนที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการผลิตผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อนำมาต่อยอดในการสร้างสรรค์ผลงานให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ผ่านการสร้างคน สร้างธุรกิจ และสร้างการรับรู้ ในแบบ Thailand Only เพื่อปักหมุดแฟชั่นไทยเป็นหนึ่งในใจกลางตลาดโลกส่งต่อที่สุดของความคราฟต์ ผสมผสานความสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดแบบ Thailand Only เพื่อยกระดับเรื่องราวความคราฟต์และความสร้างสรรค์ของวงการแฟชั่นสู่ระดับสากล ผ่านการสร้างการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นตั้งค่านิยมที่เพิ่มขึ้นรวมไปถึงการสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพ

ส่วนในด้านของภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ นั้นจะมีการจัด OFOS ในสาขาดังกล่าว เพื่อสร้างโครงสร้างของระบบการเรียนรู้ของภาพยนตร์และซีรีส์ให้เป็นระบบ สร้างคนเข้าอุตสาหกรรมให้ได้ทุกปีและเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อระบบนี้เสถียรก็จะสามารถช่วยหน่วยงานอื่น ๆ ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ ในการทำภาพยนตร์ และซีรีส์ได้ โดยมี 10 หลักสูตรเบื้องต้นในการ Upskill Reskill ของภาพยนตร์ ละคร และ ซีรีส์ อาทิ ผู้ประกอบการ Production House, นักเขียนบท Screenwriter, ผู้กำกับภาพยนตร์, ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์, โปรดิวเซอร์, ผู้กำกับภาพ, นักแสดง, Post Production, Production Designer และ Content Creator ซึ่งมีระยะดำเนินงาน ตั้งแต่ปี 2557-2568 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าอบรมในเร็ว ๆ นี้

‘ศาลปกครอง’ สั่งเพิกถอน ‘ระเบียบกกต.’ ให้ผู้สมัคร สว.ติดประกาศแนะนำตัวออกสื่อได้

(24 พ.ค. 67) ที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 ในส่วนข้อ 3 ข้อ 7 ทั้งฉบับแรก และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 เฉพาะฉบับแรกที่บังคับใช้ในช่วง 27 เม.ย. 67 - 15 พ.ค. 67 และข้อ 11 (2) และ (3) โดยให้ผลย้อนหลังนับตั้งแต่ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั้งสองฉบับ ในคดีที่ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย บรรณาธิการสำนักข่าวประชาไท ยื่นฟ้อง กกต. และคดีที่ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพวก รวม 6 ราย ยื่นฟ้อง กกต.และประธาน กกต.ร้องขอให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 เนื่องจากเห็นว่าระเบียบดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมประชาชนตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

โดยศาล ให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ สว.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยมีหน้าที่สำคัญหลายประการ และมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และมีผลบังคับใช้กับทุกคนในราชอาณาจักรไทย ดังนั้น การทำหน้าที่ของ สว. ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนชาวไทย จึงควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แม้ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.2561 กำหนดให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเอง ไม่ได้ให้ประชาชนมีสิทธิเลือก สว. แต่รัฐธรรมนูญได้มีการรับรองเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นการพูด การเห็น การคิด การเขียน การโฆษณา การสื่อความหมายอื่น ๆ การที่ระเบียบ กกต. การที่ กกต.ออกระเบียบดังกล่าวด้วยการจำกัดข้อมูลประวัติและประสบการณ์ของผู้สมัคร รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้สมัคร สว. สามารถแนะนำตัวเฉพาะกับผู้สมัคร สว. ด้วยกันเท่านั้น และการห้ามผู้สมัครในสายอาชีพสื่อมวลชน และศิลปินนักแสดง ใช้ความสามารถในวิชาชีพของตัวเอง เพื่อประโยชน์ในการแนะนำนั้น จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร สว. เกินกว่าเหตุ และถือว่าไม่เป็นการรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีของประชาชน ระเบียบพิพาทนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ส่วนระเบียบข้อ 11 (5) ที่กำหนดห้ามผู้สมัครแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี หรือสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนนั้น ศาลเห็นว่าระเบียบข้อนี้เป็นการห้ามเฉพาะผู้สมัคร สว. ไม่ได้เป็นการห้ามสื่อมวลชน จึงไม่อาจมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อในการนำเสนอข่าวสารแต่อย่างใด จึงพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 ในส่วนข้อ 3 ข้อ 7 ทั้งฉบับแรก และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 เฉพาะฉบับแรกที่บังคับใช้ในช่วง 27 เม.ย. 67 - 15 พ.ค. 67 และข้อ 11 (2) และ (3) โดยให้ผลย้อนหลังนับตั้งแต่ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั้งสองฉบับ 

‘รทสช.’ กำชับ สส.พรรค ห้ามยุ่งเกี่ยวผู้สมัคร สว. สร้างความชอบธรรมให้สภาสูงแยกจากการเมือง

(24 พ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการกำชับสมาชิก และสส. ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ที่มีการเปิดรับสมัครวันนี้เป็นวันสุดท้าย เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายและคงเจตนารมณ์ของความเป็นอิสระของสภาสูงให้แยกออกจากการเมืองเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้แจ้งเตือนไปยังผู้สมัครและพรรคการเมืองแล้ว หากมีการตรวจสอบพบว่าผู้สมัครคนใดยินยอมให้ผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมือง รวมถึง กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาช่วยเหลือผู้สมัครไม่ว่ากรณีใด ๆ หากฝ่าฝืน จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี 

“ท่านหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและผู้บริหารรวมไทยสร้างชาติ ได้กำชับ สส. และการเมืองทุกระดับไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือผู้สมัครสว. เพราะถือว่าเป็นตำแหน่งที่ต้องได้มาด้วยความอิสระ โปร่งใส ไม่ยึดโยงกับพรรคหรือกลุ่มการเมือง เพื่อผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะเข้ามาปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อติดตามตรวจสอบและออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติในอนาคต โดยเชื่อว่าการสมัครสว. วันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” นายธนกร กล่าว

หลอกต้มคนตาย หลอกใช้คนเป็น ความสามารถอันโดดเด่นของพรรคล้มเจ้า

ถ้าเราจะจำกันได้ สมัยที่กลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ยังฮอต ๆ มีข่าวออกตามหน้าสื่อถึงพฤติกรรมการกัดเซาะ ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งในแบ็กอัปที่คอยสนับสนุนเด็กหัวรุนแรงกลุ่มนี้อย่างเขิน ๆ ก็คือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่มีเป้าหมาย 'ล้มล้างสถาบัน' โดยหวังจะให้ระบบการปกครองแบบเก่าที่หล่อหลอมจนสร้าง 'แผ่นดินชาติ' มาจนสำเร็จ หายไปจากความทรงจำอันงดงามของคนไทย 

พรรคการเมืองพรรคนี้ โปรโมตตนเองว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะกำจัด 'นักการเมืองน้ำเน่า' ที่ชอบพูดโกหก กลับไปกลับมารายวัน อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดี 

แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่?

นอกจากวาทกรรมปลิ้นปล้อน กลิ้งกลอก ที่ฉายโชว์ให้สังคมเห็นผ่านเรื่องราวโง่ ๆ รายวัน คุณสมบัติที่ทั้ง 'บาปและเลว' อย่างโดดเด่นที่คนไทยไร้อคติรู้กันดีก็คือการเดินหน้า 'ล้างสมอง' และ 'หลอกใช้เด็ก' ให้กระทำการหมิ่นเหม่ต่อมาตรา 112 เพื่อจะสั่นสะเทือนไปถึงสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นการวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมสามนิ้วในที่สาธารณะด้วยการพูดให้ร้ายสถาบัน ก่อกวนขบวนเสด็จ ขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดมาก่อน 

ทันทีที่เด็ก ๆ โดนคดี 112 ถูกจับเข้าตะราง ก็ฉวยใช้ภาพ 'เด็กติดคุก' ว่าถูกมาตรา 112 ทำร้ายให้เด็กต้องเสียประวัติ แต่ไม่เคย 'ห้ามปราม' เวลาที่เด็กทำเลวกับสังคมเลยสักครั้งเดียว 

เมื่อศาลปล่อยตัวชั่วคราว ให้โอกาส 'เด็กเดน' ออกมาเรียนหนังสือ แต่ 'เด็กสามนิ้ว' เหล่านี้ก็เลือกจะทำผิดซ้ำ ๆ ในแบบเดิมอีก จนศาลต้องมีคำสั่งให้ 'ขังยาว' กันหลายคน เมื่อ 'เด็กชังสถาบัน' ต้องจมอยู่ในคุก พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังด่ากระบวนการยุติธรรมไทยว่า 'ทำร้ายเด็ก' และโทษมาตรา 112 ที่เป็นปัญหาทำให้เด็กเหล่านี้ต้องหมดอนาคต 

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงสาววัยเกินเด็กคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ได้เสียชีวิตขณะติดคุก พรรคการเมืองที่กระหายการหลอกใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ก็ยังไม่ละเว้นคนที่ตายไปแล้ว ยังอ้างว่าเพราะ 112 จึงทำให้มีคนตาย 

เฮ้อ!! คนเราถ้าจิตใจไม่ชั่วถึงขนาดตั้งใจไปหมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบัน รับประกันว่าไม่มีทางเฉียดใกล้ 

จึงมีแต่โจรเท่านั้นที่ดิ้นจะแก้กฎหมายเพื่อให้ง่ายในการล้มล้างการปกครอง ^^

ถอดรหัสมติสยิวกิ้ว 5 ต่อ 4 ยื้อลมหายใจ 'เศรษฐา' จับตาสถานการณ์ 29 พ.ค. ขีดชะตากรรมของแทร่

เป็นปรากฏการณ์ที่งดงามประการหนึ่งจากศาลรัฐธรรมนูญในการแถลงข่าวคำวินิจฉัยคดีสำคัญของบ้านเมืองนัดล่าสุด 23 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา...กรณีคำร้องของกลุ่ม 40 สว.ให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่...

ที่ระบุว่างดงาม...ไม่ใช่เพราะ มติ 6 ต่อ 3 หรือ 8 ต่อ 1 หรือ 5 ต่อ 4 แต่ประการใด...หากแต่อยู่ที่เป็นครั้งแรกที่ในใบแถลงข่าวได้ระบุชื่อ ตุลาการเสียงข้างน้อยไว้ในทุกมติ ก็เลยทำให้สื่อมวลชนรู้เลยว่าเสียงข้างมากมีใครบ้าง...ไม่ต้องไปสืบเสาะเจาะข่าวได้มาถูกบ้างผิดบ้าง บางครั้งอาจทำให้ศาลท่านหงุดหงิด ก็เลยเปิดเผยไปเลย.. 

'เล็ก เลียบด่วน' ต้องขอแสดงความชื่นชมด้วยหัวใจ และขอเอ่ยนาม 9 ตุลาการศาล รธน.ชุดปัจจุบัน ให้ปรากฏไว้ ณ ที่นี่อีกครั้ง...

นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ประธาน), นายปัญญา อุดชาชน, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายนภดล เทพพิทักษ์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, นายอุดม รัฐอมฤต และ นายสุเมธ รอยกุลเจริญ

มาถอดรหัสมติวันที่ 23 พ.ค. กันสักเล็กน้อย...มติ 8 ต่อ 1 ไม่รับกรณีนายพิชิตนั้น ไม่ต้องพูดถึง เมื่อชิงลาออก ศาลท่านก็จำหน่ายไป...

มติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณา...3 เสียงที่ไม่รับคือ นายนครินทร์, นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ...

มติ 5 ต่อ 4 ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...4 เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่คือ นายปัญญา, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ และนายจิรนิติ...

คะแนน 5 ต่อ 4 นั้นเฉียดฉิว...2 เสียงที่ไหลไปรวมกับ 3 เสียงข้างน้อย (ที่ไม่รับ) คือ นายนภดล และนายบรรจงศักดิ์...ซึ่งอย่าเพิ่งไปเคลมว่า 2 ท่านนี้จะเห็นว่าเศรษฐาผิดหรือไม่ผิด...เป็นคนละประเด็น...แต่เอาเป็นว่าเสียงเดียวที่ทำให้นายกฯ ได้ทำหน้าที่ต่อไปในช่วงนี้นั้น มันได้ช่วยให้บ้านเมืองได้ลดร้อนรุ่มลงนิดหน่อย...

ประเด็นสำคัญสมมติถ้าศาลมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่แบบลุงตู่เมื่อปี 2565...เศรษฐาคงว้าวุ่นและดีไม่ดีอาจทรุดคาชั้น 24 ของโรงแรมที่โตเกียวก็เป็นได้...

ถามไถ่ราคาต่อรองในตอนนี้...เศรษฐารอดไม่รอด... 'เล็ก เลียบด่วน' ตอบแบบไม่กั๊กจากที่ประมวลความเห็นมา ณ ขณะนี้ 51 ไม่รอด 49 รอด...แต่ของแทร่เขาบอกต้องดูวันพุธที่ 29 พ.ค.ที่จะถึงเสียก่อน...

ถ้าวันที่ 29 พ.ค. อัยการสูงสุดสั่งฟ้องทักษิณ ชินวัตร ในคดีความผิดมาตรา 112 ชะตากรรมของเศรษฐาก็จะพลอยมืดมนอนธการไปด้วย แต่หากสั่งไม่ฟ้องก็พอจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ถ้าอัยการเลื่อนไปอีก...เศรษฐาก็คงอยู่ในอาการหน้ามืด หัวใจสั่นหวิวต่อไป...จนถึงเดือน ก.ค. หรือ ส.ค.

อนึ่ง มีการคาดหมายกันว่า หากที่สุดเศรษฐาต้องหลุดจากตำแหน่ง เกมเก้าอี้นายกฯ จะไหลข้าม แพทองธาร ชินวัตร, ชัยเกษม นิติสิริ 2 แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ไปถึง 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคอันดับสองของพรรคร่วมรัฐบาล...ซึ่งเป็นบุคคลที่คนชื่อ 'ทักษิณ' กินยาทำใจแล้วพอรับได้...แบบไม่มีทางเลือก...

ส่วน 'นายกฯ บ้านป่ารอยต่อ' ที่ทีมงานอุตส่าห์ร่วมวงกับ 40 สว.ด้วยนั้น...ต้องขอแสดงความเสียใจ...อีกครั้ง

ประเด็นที่หวั่นใจกันก็คือคนอย่าง 'นายใหญ่' ที่กำลังเป็นเสือติดปีกในวันนี้ ใครก็หยุดท่านลำบาก...เกิดยาทำใจเอาไม่อยู่จะเป็นอย่างไร...

อ้าว!! ดูของจริงของแทร่วันที่ 29 พ.ค.กันดี ๆ ก็แล้วกัน...เสือจะโดนตัดปีกหรือไม่?

ปัญหานมโรงเรียน ไย 'มหาดไทย' เงียบ ปล่อย 'ธรรมนัส-ปศุสัตว์' เต้นฝ่ายเดียว

"ขณะนี้ทราบข้อมูลว่า มีบริษัทใหญ่บางแห่งกีดกันไม่ให้มีการส่งนมโรงเรียน หลังการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบเป็นผู้ประกอบการรายใดกระทำผิด จะตัดสิทธิ์โควตานมโรงเรียนทันที พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายกีดกันทางการค้า ส่วนการแก้ปัญหาจัดส่งนมระยะเร่งด่วน สั่งการให้ อสค. ส่งนมไปยังพื้นที่ที่เกิดปัญหา ย้ำว่าวันนี้หรือภายในสัปดาห์นี้ ปัญหาต้องหมด"

นี่คือคำกล่าวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ค่อนข้างกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลังทราบว่า เปิดเรียนมาเป็นสัปดาห์ที่สองหลายโรงเรียน เด็กนักเรียนไม่ได้กินนมโรงเรียน ทั้งเชียงใหม่, นครสวรรค์, นครศรีธรรมราช และอีกหลายจังหวัด 

ร.อ.ธรรมนัส พุ่งตรงไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนม (อสค.) ด้วยการสั่งให้ส่งนมให้กับโรงเรียนภาคในพรุ่งนี้ หรือสัปดาห์หน้า และเหมือนกับรู้ปัญหาบางอย่าง เช่น บริษัทผู้ผลิตนมโรงเรียนเจ้าใหญ่ก่อปัญหา ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริงบางส่วน แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด

อคส.แค่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดสรรพื้นที่ และการแบ่งโซนจำหน่าย และที่ผ่านมา อคส.ก็ถูกกีดกันไม่ให้รับรู้ข้อมูลบางอย่าง เช่น ปริมาณนมดิบที่แต่ละสหกรณ์ผลิตได้ และทำสัญญาขายให้กับโรงนมที่ไหน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดสรรการผลิตและพื้นที่จำหน่าย อคส.มารู้ข้อมูล 3 วันสุดท้ายก่อนการประชุม และ 6 วันก่อนเปิดเทอม

ใครผิดใครพลาดไปว่ากันให้ชัด? ทำไมการประชุมเพื่อแบ่งโควตาจึงมีขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ก่อนเปิดเทอมเพียงสามวัน? ขั้นตอนการปฏิบัติมีปัญหาอะไร? ตรงไหน?

อีกประการหนึ่งนมโรงเรียน จัดซื้อผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ โรงเรียนมีหน้าที่แค่รับไปแจก

อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่ท้องถิ่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การจำหน่ายตามปริมาณน้ำนมดิม บางพื้นที่จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย

วัวเคยค้าม้าเคยขี่ "เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย ผู้บริหารท้องถิ่นบางแห่งจึงยังไม่เซ็นสัญญาซื้อนม เด็กจึงอดกินนม ต้องมีมาเจรจาผลประโยชน์กันใหม่"

ประเด็นนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ จะไปบี้ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

"มหาดไทยกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องถามไปยังท้องถิ่นว่ามีปัญหาอะไร ทำไมไม่เซ็นสัญญาจัดซื้อนมโรงเรียนกับโรงเรียน จนก่อปัญหาเด็กไม่ได้กินนม" แหล่งข่าวกล่าว

ต้องยอมรับความจริงว่าวงการค้านมโรงเรียนคือ แหล่งผลประโยชน์ใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ไปกดรายเล็ก ทำนอง 'ปลาใหญ่กินปลาน้อย' และมีผู้ประกอบการโรงนมรายใหญ่เป็นคนกำหนดเกม กดดัน

"งานนี้จะโทษกระทรวงเกษตรฯ, กรมปศุสัตว์ และ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ก.เกษตรฯ ก็อย่ามัวแต่ขู่ จัดการให้จริงจังครับ" แหล่งข่าวสำทับ

ทว่า หลังจากรัฐมนตรีเกษตรฯ สั่งการว่านมโรงเรียนต้องจัดการให้เรียบร้อยในสัปดาห์หน้า กรมปศุสัตว์ก็เร่งโทรเช็กไปยังโรงนมอย่างกระตือรือร้น แต่โดนตอกกลับหน้าแตก

"ผมพร้อมส่งนมให้โรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่รับผิดชอบ แต่ในเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นไม่ยอมเซ็นสัญญา จะจัดส่งได้อย่างไร จะเก็บเงินจากใคร" แหล่งข่าวผู้ประกอบการ กล่าว

เอาเป็นว่า ปัญหานมโรงเรียนอาทิตย์หน้าไม่จบหรอก จนกว่าผลประโยชน์จะลงตัว

'พิธา' โผล่!! เวทีประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย ประเทศเกาหลีใต้ ย้ำ!! ‘ก้าวไกล’ เป็น ‘สะพาน’ เชื่อมช่องว่างความขัดแย้งของสังคม

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นเวทีเสวนาในงานประชุม Asian Leadership Conference (งานประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย) ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ทั้งนี้ ระหว่างเสวนา พิธาได้ตอบคำถามจากพิธีกรหลายคำถาม เริ่มด้วยการอธิบายแนวคิดและยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง และเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนต่อนักการเมืองและผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมฟังการเสวนาในวันนี้

โดยพิธายังได้อธิบายถึงการต่อสู้ของประชาชนต่อระบอบอำนาจของชนชั้นนำและผลพวงของระบอบรัฐประหาร พร้อมย้ำถึงความพยายามและความจริงใจของพรรคก้าวไกลในการหาฉันทามติใหม่ของสังคมไทย

พิธากล่าวถึงช่องว่างความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมไทย และย้ำว่าพรรคก้าวไกลได้เสนอตัวและมองตัวเองเป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมระหว่างความขัดแย้งเหล่านี้ โดยหวังให้ผู้มีอำนาจมองถึงความจริงใจ นอกจากนี้ พิธาได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ของการเมืองไทย ด้วยความหวังที่จะลดโอกาสของความรุนแรงและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเมื่อกลุ่มหนึ่งอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มหนึ่งอาจไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพิธาตอบว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมีจังหวะทั้งช้าทั้งเร็วเหมือนทำนองดนตรี บางอย่างที่สำคัญก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงก่อน บางอย่างที่ต้องใช้ความรอบคอบและใช้เวลาก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง

จากนั้นพิธาได้เน้นย้ำถึงความฝันของคนไทย เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองอนาคตประเทศไทยอย่างไร พิธาตอบว่าความฝันของคนไทยนั้นเรียบง่าย คืออยากเห็นครอบครัวคนไทยที่สามารถมีชีวิตที่ดี มีปากท้องที่ดี สามารถทำงานและเลี้ยงครอบครัวได้ และคนรุ่นใหม่ก็ต้องมองเห็นอนาคตของตัวเองด้วย แต่ความฝันเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไทยยังไม่ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top