Wednesday, 9 July 2025
POLITICS

‘กมธ.อุตฯ’ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา ยัน!! มีนักลงทุนไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมายไทย

กมธ.อุตฯ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา หนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สร้างแพลตฟอร์มเพื่อหนุนการใช้ซัพพลายเชนของไทย จ่อหารือพาณิชย์ก่อนรับจดทะเบียนบริษัทจีน ต้องมีใบรับรองจากสถานทูตจีน

(16 พ.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ กับ นางสาวจาง เซียวเซียว (Ms. Zhang Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้เน้นในเรื่องของการสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างสถานทูตจีนกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในการค้าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายจีนได้ขอให้ไทยสนับสนุนการสร้างซับพลายเชน เพื่อให้จีนและไทยได้มีโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งเป็นความต้องการของไทย เพราะปัจจุบันนักลงทุนของจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้ทรัพยากรในไทยค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปตามความคิดเห็นร่วมกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย เสริมสร้างการลงทุนด้วยการ สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาในการใช้ซับพลายเชนของไทยมากขึ้น

นายอัครเดช บอกอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลจีน ยังต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเพิ่มเติม ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ปัจจุบันนี้ พลังงานสะอาดยังมีส่วนที่ต่ำอยู่เพียง 10% โดยรัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ถือว่าจะช่วยลด PM 2.5 ในไทยด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้หารือในเรื่องของแรงงาน โดยต้องการให้มีการเพิ่มความสะดวกในการขยาย หรือขอใบอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องจักร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันนี้ใบอนุญาต จะต้องใช้เวลาในการขอค่อนข้างนาน โดยตนได้รับเรื่องมาปรึกษากับทางกรรมาธิการแรงงานและกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้การค้า การลงทุนราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“นักลงทุนจากจีน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการลงทุน ที่สามารถจะพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมาย โดยจะได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน ในการส่งข้อมูลของนักลงทุนจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ให้ทางการจีนได้รับทราบ เพื่อร่วมกันควบคุม” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช บอกต่อว่า ในส่วนของนักลงทุนจีนที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมจะสนับสนุนให้มีการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจดทะเบียนการค้า โดยต่อไปจะให้มีการไปรับทราบนโยบายของทางสถานทูตจีนก่อน ซึ่งตนจะเชิญกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าหาหรือว่าก่อนจะรับจดทะเบียนนักลงทุนจากทางจีน จะต้องมีการขอใบแนะนำหรือใบส่งตัวจากทางสถานทูตจีน เพื่อให้กรมธุรกิจการค้าพิจารณาก่อนรับจดทะเบียน เพื่อเป็นการควบคุมนักธุรกิจจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย จะทำให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศราบรื่นมากยิ่งขึ้นในอนาคต

'เพจดัง' เผย!! เหตุไฉน 'แด๊ดดี้-ตัวตึงก้าวไกล' ไม่ออกมาโหน 'บุ้ง' เพราะ 'รองอ๋อง' ใช้สิทธิ์พาไปทัวร์เยอรมนี แบบไร้ภาพข่าวอัปเดต

(16 พ.ค.67) จากเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพลพรรคก้าวไกลอีกหลายคนไม่ออกมาโหนกระแสบุ้ง ว่า...

#ทุกคนคะ มีหลายท่านสงสัยว่าพ่อว่าวหายไปไหน ผิดฟอร์ม ทำไมไม่ออกมาโหนบุ้ง มาค่ะหนูจะเล่าให้ฟัง

หมออ๋องใช้สิทธิ์การเป็นรองประธานสภา สส. ก้าวไกลไปดูงานที่เยอรมัน ตั้งแต่วันที่ 13-18 พ.ค. ในคณะมีพ่อว่าวและพี่ลูกเกดรวมอยู่ด้วย

คณะอ้างว่าไปดูงานเรื่องพลังงานสะอาด การรักษาสภาพแวดล้อม และศึกษาด้านความโปร่งใสในการทำงาน

#คำถาม

งบดูงานครั้งนี้ใช้ภาษีประชาชนหรือไม่? ทำไมถึงไม่มีการอัปเดตภาพและกิจกรรมดูงานให้ประชาชนทราบ?

คุณพิธา คุณลูกเกด มีความรู้ ความสามารถ และมีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานและสภาพแวดล้อมหรือคะ

หรือจริงแล้วแอบไปทำกิจกรรมอย่างอื่นคะ?
#ภาษีกู

แฉ!! 'ซ้ายใหม่' บ่มเพาะให้ผู้คนรู้สึกเป็นเหยื่อ เพื่อรื้อระบบเก่าแล้วสร้างใหม่  ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'ใส่ไฟ' เหมือนอวยเด็กหัดเดินแล้วล้ม เพราะพื้นมันไม่ดี

(16 พ.ค.67) จากเพจ 'ต.ตุลยากร' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture) ระบุว่า...

สังคมไทยปัจจุบันนั้นกำลังถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดของนักวิชาการฝ่ายซ้ายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักแฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมัน: Frankfurter Schule) 

แนวคิดหลักของสำนักนี้ ได้รับอิทธิพลและพัฒนาแนวคิดต่อยอดมาจากมาร์กซิสต์ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม รวมถึงแนวคิดเรื่องการปลดปล่อยมนุษย์จากการกดขี่

ซึ่งผลข้างเคียงของการโหมประโคมเรื่องการกดขี่จากระบบ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture)

คนที่ถูกบ่มเพาะความคิดจากฝ่ายซ้ายมักจะเกิดอาการที่คิดว่าตนเองเป็นเหยื่อของระบบ ไม่พยายามที่จะพัฒนาตนเองเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า โทษแต่ว่าที่ชีวิตตัวเองยังย่ำแย่อยู่อย่างนี้ก็เพราะระบบ ดังนั้นวิธีแก้ มีอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ รื้อถอนทำลายระบบปัจจุบัน แล้วสร้างใหม่

ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เด็กหัดเดินแล้วล้ม พ่อแม่โทษว่าที่ลูกล้มนั้นเพราะพื้นไม่ดี ต้องทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่

แต่ปัญหาคือ ใช่ว่าทุกคนที่คิดเช่นนั้น หลายคนที่เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ในระบบเดียวกัน กลับมีชีวิตที่ดี โดยไม่ต้องโทษคนอื่น

ดังนั้นหากขบวนการฝ่ายซ้ายต้องการให้คนเห็นด้วยว่าระบบที่มีอยู่นี้ไม่ดี ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงให้เห็นถึง 'เหยื่อ' ที่ถูกกดขี่จากระบบอย่างชัดเจน

เมื่อหา 'เหยื่อ' ที่ชัดเจนมาแสดงไม่ได้ ก็เกิดกระบวนการสร้าง 'เหยื่อ' ขึ้นมา แล้วนำโหนเพื่อบอกชาวโลกว่าระบบที่มีอยู่นั้นย่ำแย่

'เหยื่อ' ที่ถูกสร้าง จึงเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานของพวกซ้ายใหม่เท่านั้นเอง

ขอประณามทุกผู้คนที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการสร้างเหยื่อเหล่านี้ครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/sxU25qQCazyCrAxY/?mibextid=oFDknk

'รัดเกล้า' แชร์มุมมองคนจีนรุ่นใหม่ ผ่านเลนส์ 'ศาสตราจารย์ชื่อดังชาวจีน' ใช้ชีวิตอิสระบนกองมรดก จนไม่สนใจ 'งาน-รายได้' ประจำอีกต่อไป

(16 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี' ความว่า...

เนเน่ดิ่งกลับจากเพชรบุรีมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและแบ่งปันความรู้กับท่าน Prof. Zhang Weiwei, China Institute, Fudan University ผู้เป็นทั้ง lecturer ชื่อดังของจีน และผู้ให้คำปรึกษา Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนค่ะ

วันนี้ได้เรียนรู้หลายเรื่องหลายมิติ เราคุยกัน ครอบคลุมถึงเรื่อง เทคโนโลยี AI เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ฯลฯ

หนึ่งในคำถามในวงสนทนาที่น่าสนใจคือการถามถึง "ปัญหาการจ้างงานขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก สถานการณ์ในประเทศจีนเป็นเช่นไร"

คำตอบของอาจารย์น่าสนใจมาก...อาจารย์บอกว่า ปัญหาของจีนจะแตกต่างจากชาติอื่น เพราะเจนเนอเรชันใหม่ของจีนจำนวนมาก เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะแล้ว...อันนี้ไม่ใช่ว่าอวดรวยนะ แต่เพราะด้วยวัฒนธรรมของจีน (และก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีนมี One Child Policy) ทำให้คนรุ่นใหม่ (ที่โดยส่วนใหญ่เป็นลูกคนเดียว) อยู่ในสถานะมีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ค่อนข้างเยอะ ยิ่งถ้าแต่งงานกันแล้วและเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจะมีมรดกของทั้งฝั่งชายและฝั่งหญิงมารวมกัน

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนจีนรุ่นใหม่ มีทางเลือกเยอะ มีอิสระทางความคิด มีอิสระที่จะตัดสินใจ หลาย ๆ คนไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร กับการไม่มีงานประจำทำ...ปรากฏการณ์นี้ ทำให้จีนมีสังคมรุ่นใหม่ที่เป็นศูนย์รวมของคนที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งหากมองในมิติของเสรีภาพทางความคิดแล้วอาจจะถือว่าเป็นเรื่องดี (และแอบน่าอิจฉา) แต่ในที่ทางเดียวกัน สิ่งนี้มีผลกระทบระยะยาวต่อรายได้ของประเทศ เพราะตลาดแรงงานหดลดลงเรื่อย ๆ

'หมอเหรียญทอง' บอก!! พรรคล้มล้างการปกครองวางแผนหวังเด็ดหัว เตรียมสร้างภาพจับกุม ชะลอประกันตัว แล้วก่อเหตุการณ์สังหารตน

(16 พ.ค.67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ทีมข่าวแจ้งให้ผมทราบว่าขบวนการล้มล้างการปกครองโดยนักการเมืองต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ออกหมายจับผมโดยไม่ต้องออกหมายเรียก พูดง่าย ๆ ว่าตำรวจจับผมเลย ไม่ต้องออกหมายเรียกผมก่อน เพราะต้องการภาพการจับกุมผมเข้าคุกให้เกิดความสะใจแล้วชะลอการประกันตัว หลังจากเข้าคุกในสถานีตำรวจแล้วจะเกิดเหตุการณ์สังหารผม เช่น ผมฆ่าตัวตายเอง ด้วยสมมุติฐานว่าผมอับอายเสียใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น มีกระบวนการคิดและวางแผนกันอย่างเป็นระบบเชียวนะครับ เพราะนี่คือโอกาสจัดการผมที่ขบวนการล้มล้างการปกครองเชื่อว่าผมคือผู้นำประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมขอเรียนให้ทราบว่าคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้องต้องจับกุมในทันทีขณะนี้ คือ ไอ้กุ๊ยขยะสังคม ข้อหาครอบครอง 'เฮโรอีน' หรือสารเสพติดให้โทษต่างหากครับ

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง หรือ สน.ไหน ๆ ก็จับกุมผู้ครอบครองยาเสพติดทันทีกันทั้งนั้น แล้วทำไมไอ้กุ๊ยขยะสังคมตัวนี้จึงได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ถูกจับกุมในทันทีล่ะครับ หรือว่าเพราะมี สส.จากพรรคล้มล้างการปกครองสนับสนุนไอ้กุ๊ยขยะสังคม

ส่วนผมนั้นไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งประกอบสัมมาชีพชัดเจน ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีใด ๆ ทั้งสิ้น แค่โทรศัพท์มา ผมก็เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ดังนั้นทำไมจะออกหมายเรียกแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ล่ะครับ ทั้งยังต้องได้รับการประกันตัวสู้คดีเสียด้วยซ้ำ

ทั้ง ๆ ที่ไอ้กุ๊ยขยะสังคมเป็นผู้รับเองต่อหน้านักข่าวที่ไปทำข่าวที่ สน.ทุ่งสองห้อง ว่า 'เฮโรอีน' ในซองพร้อมอุปกรณ์เสพซึ่งอยู่ในครอบครองนั้นเป็นของมันเอง มันซื้อมาและใช้เสพ มันให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค.67

ผมขอเรียนให้สาธารณชนทราบทั่วกันว่าในทันทีที่แม่ของไอ้กุ๊ยและนักการเมืองจากพรรคล้มล้างการปกครองซึ่งต้องการจัดฉากนำนักข่าวจำนวนมากมาทำข่าวการรับสิ่งของส่วนตัวของไอ้กุ๊ยขยะสังคม

ในทันทีที่ปรากฎว่ามี 'ซองพร้อมผงเฮโรอีน' ที่ไอ้กุ๊ยขยะสังคม เรียกว่า 'ผงแป้ง' ทั้งแม่ และ สส.จากพรรคล้มล้างการปกครอง ล้วนหน้าเสียกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะนักข่าวถ่ายภาพและคลิป นักข่าวทั้งหมดรู้ดีว่านี่คือ 'ซองบรรจุผงยาเสพติด' พร้อมทั้งอุปกรณ์การเสพยาคล้าย ๆหลอดดูดยาคูลต์ (ขณะนั้นผมยังไม่ทราบเรื่องเพราะกำลังสัมภาษณ์แพทย์เฉพาะทาง)

หลังจากนั้นทั้งแม่และคณะก็พยายามชี้แจงนักข่าวที่ติดตามคณะมาในทำนองว่ามีการยัดข้อหา ยัดยาเสพติดให้แก่ไอ้กุ๊ยขยะสังคม ผมขอเรียนว่าใครก็ตามที่ใส่ความเท็จ ให้ร้ายว่าผมหรือบุคลากรในสังกัด รพ.มงกุฎวัฒนะในทำนองยัดสารเสพติด ยัดข้อหาไอ้กุ๊ยขยะสังคม ก็เตรียมตัวรับหมายศาลกันถ้วนหน้า ผมจัดหนักสุด ๆ ก็แล้วกัน

นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะปฏิบัติการตีโต้ตอบแม่ของไอ้กุ๊ยขยะสังคมที่ปล่อยปละละเลยบุตรชายของตนเองออกมาสร้างปัญหาสังคม แม่ของไอ้กุ๊ยสัมภาษณ์กับนักข่าวเองนะครับว่า 'ไอ้กุ๊ย' ไม่ได้อยู่กับแม่ ต่างคนต่างอยู่ นั่นหมายความว่า แม่ทอดทิ้งลูกอายุ 14 ไม่เลี้ยงดู ไม่อบอรมสั่งสอนจนกลายเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมเอง

ดังนั้นเมื่อแม่เป็นผู้รับว่าตนเองเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายในการแจ้งความดำเนินคดีเพื่อให้ผมรับผิดแล้ว ผมซึ่งเป็นผู้เสียหายจากไอ้กุ๊ยขยะสังคมซึ่งเป็นลูกในความรับผิดชอบของแม่ จึงขอดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อให้แม่รับผิดชอบจากการที่แม่ทอดทิ้งลูกอายุ 14 ไม่อบอรมสั่งสอนให้เป็นพลเมืองดีจนสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ผม , บุคลากร ตลอดจน รพ.มงกุฎวัฒนะด้วยเช่นกัน

นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะปฏิบัติการตีโต้ตอบอย่างรุนแรงทางกฎหมายต่อ 'แม่ผู้สร้างปัญหาสังคม'

>> หมายเหตุ

1. ผองเพื่อนพี่น้องที่ยังพร้อมรบกับผม ไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือน จงเตรียมตัวไป สน.ทุ่งสองห้อง ในทันทีที่ตำรวจจับกุมผมโดยไม่ออกหมายเรียกล่วงหน้า

2. น้อง ๆ อดีตนักเรียนนายสิบ รุ่น 'เหรียญทอง' ให้ปฏิบัติการข่าว โดยเร่งด่วนในพื้นที่เขตบางซื่อซึ่งเป็นเขตไอ้กุ๊ยขยะสังคม และเขตหลักสี่ ให้มุ่งเป้าไปที่ขบวนการการเมืองพรรคล้มล้างการปกครองและขบวนการค้ายาเสพติดในชุมชนแออัด

'ธนาธร' ควง 'ช่อ-ชาญวิทย์' บินไปบ้านอองโตนี สถานที่ลี้ภัยของ 'ปรีดี' อยู่และเสียชีวิต

(16 พ.ค.67) ศ.(พิเศษ) ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์รูปบนเฟซบุ๊กพร้อมระบุข้อความว่า...

"On the way to Antony-Paris เดินทางไปบ้านที่อองโตนี บ้านเดิมของรัฐบุรุษอาวุโส ท่านปรีดี พนมยงค์ และท่านผู้หญิงพูนศุข"

ทั้งนี้ในภาพปรากฏ ศ.(พิเศษ) ดร.ชาญวิทย์ พร้อมด้วย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, น.ส.พรรณิการ์ วานิช และนายชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า, นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์, สุดา พนมยงค์ บุตรสาวของ ปรีดี พนมยงค์ และบุคคลอื่น ๆ รวม 9 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

สำหรับบ้านอองโตนีของนายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสและเสียชีวิตนั้น นายธนาธรได้ซื้อต่อจากชาวเวียดนาม และจะมีการแถลงเรื่องดังกล่าวอย่างในวันที่ 18 พ.ค. 2567

'อ.ไชยันต์' ชี้!! คนอยู่เบื้องหลังม็อบเด็กใจอำมหิต  แนะ!! อย่าแก้ 112 ที่ปลายเหตุ ต้องแก้ที่คนบิดเบือน

(15 พ.ค.67) เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความระบุว่า "ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก เพราะพวกเขาใช้อนาคตและชีวิตของเยาวชนเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยพวกเขาเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง"

อีกข้อความหนึ่ง ระบุว่า "แก้ ม.112 เพื่อช่วยเยาวชนผู้ต้องหาเป็นการแก้ปลายเหตุ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ-ผู้ให้ข้อมูลบิดเบือน"

‘กมธ.อุตฯ’ เร่งขยายปม-ความคืบหน้าไฟไหม้โรงงาน หลังสงสัยเหตุ ‘ระยอง-อยุธยา’ อาจเป็นการวางเพลิง

(15 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงกรณีกากแคดเมียมที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุม กมธ. ว่า วันนี้ กมธ.อุตสาหกรรม ได้เชิญปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงาน, กรมเหมืองแร่, กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจน ปปง., ป.ป.ท. ร่วมหารือว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการขนย้ายกากแคดเมียม ส่วนวันนี้จะติดตามความคืบหน้าในการขนย้ายกากแคดเมียมว่าแล้วเสร็จกี่จุด จำนวนกี่ตัน

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับเบื้องต้นในกรุงเทพฯ มีการขนย้ายเสร็จแล้ว จึงจะสอบถามคืบหน้าว่าที่ จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง มีการขนย้ายแล้วเสร็จหรือไม่อย่างไร

ส่วนกรณีเรื่องใบอนุญาตของโรงงานนั้น ประธานกมธ.การอุตสาหกรรม? กล่าวว่า เนื่องจากมีใบอนุญาตโรงงานค้างอยู่จำนวนมาก โดยในการประชุมครั้งที่ผ่านมาได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานมาชี้แจง พบว่าปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารไม่ครบถ้วน จึงต้องมีการส่งกลับไปให้บริษัทยื่นเอกสารมาเพิ่ม แต่คาดว่าจะมีการส่งกลับมาที่กรมแล้ว หากเอกสารครบทางอธิบดีก็จะเริ่มออกใบอนุญาตโรงงาน หรือ รง.4 ให้

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทาง กมธ.การอุตสาหกรรม ก็ได้ให้ความเห็นว่า การออกใบ รง.4 ตามที่ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมฯ เร่งรัดไปนั้น เป็นเรื่องจำเป็น เพราะประเทศจะต้องตอบรับการลงทุนจากนักลงทุน

“การที่ใบ รง.4 ออกช้า ก็กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุน แต่สิ่งสำคัญคือ หากให้ใบอนุญาตแล้ว ต้องไปกำกับผู้ประกอบการให้อยู่ในกฎหมายและปฎิบัติตามระเบียบ ไม่ใช่ว่าให้ใบอนุญาตไปแล้ว ขาดการกำกับดูแล ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการละเมิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม มลภาวะในชุมชน” นายอัครเดช กล่าว

ส่วนกรณีไฟไหม้โรงงานที่ผ่านมานั้น มีการบ่งชี้ว่าอาจจะมาจากการวางเพลิงหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นก็อาจเกิดได้บ่อยครั้ง ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันได้แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมเพลิงให้ได้รวดเร็ว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ดังนั้นวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเพลิง อาทิ ปภ., กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมการอุตสาหกรรม เข้ามาชี้แจงว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้ มาตรฐานในการประเชิญเหตุหรือแผนในการควบคุมเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดูความพร้อมในการควบคุมเพลิง

นายอัครเดช เสริมอีกด้วยว่า ส่วนกรณีที่เป็นเหตุวางเพลิงนั้น ในการเผาทำลายหลักฐาน หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสงสัยว่าเหตุเพลิงไหม้ที่จังหวัดระยองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจเกิดจากการวางเพลิง ซึ่งต้องเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดให้ได้ และคิดว่ากระบวนการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงมาดำเนินคดีตามกฎหมายมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งดำเนินการอยู่

จากข้อซักถามที่ว่า จะมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือนประชาชนอย่างไรบ้าง? นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของการเกิดเหตุเพลิงไม่ว่าจะเป็นกรณีการวางเพลิง หรืออุบัติเหตุ สิ่งที่สำคัญคือแผนในการเผชิญเหตุ จะมีการให้ข้อเสนอในที่ประชุมวันนี้ อย่างน้อยในกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ประชาชนควรจะได้รับข่าวสารและเตรียมตัว รวมถึงการปฎิบัติตัวอย่างไรหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงผู้ดำเนินการ จะต้องปฏิบัติอย่างไรระหว่างควบคุมเพลิง

ครบรอบ 1 ปี เลือกตั้ง 66 สอย 2 ใบแดงถ้วน ส่วนเลือก สว. ซับซ้อน ส่อ!! ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

เขียนต้นฉบับนี้ บ่ายวันที่ 14 พ.ค. 2567 ครบรอบ 1 ปีการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พอดิบพอดี...ก็ต้องสรุปว่า 1 ปี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ ‘สอย’ สส. หรือยื่นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อเอาผิดกรณีทุจริตเลือกตั้ง ให้ใบดำใบแดงได้เพียง 2 รายเท่านั้น จากที่ขึ้นบัญชีเอาไว้มากถึง 71 คน…

ที่เหลือ 69 คนจะปล่อยผี…ไม่มีหลักฐานแม้เพียงน้อยนิด หรือมีอะไรมาปิดตาบังตาเอาไว้หรือเปล่า..!?

ก็แปลกดีนะ 2 คนที่ถูกยื่นสอยล้วนเป็น ‘สส.ภูมิใจไทย’ รายแรก นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 คนที่ 2 กกต.เพิ่งเคาะเมื่อวันที่ 13 พ.ค. นี้คือ นายสุวรรณา กุมภิโร หรือ ‘เสี่ยหม่ำ’ สส.บึงกาฬ...

ตราบใดที่ศาลยังไม่รับคดีไว้พิจารณา ทั้งสองก็ยังปฏิบัติหน้าที่เป็น สส. ได้ต่อไปเรื่อย ๆ…

เท่าที่สังเกตดูตอนนี้แทบไม่มีใครสนอกสนใจเรื่อง ‘สอย’ สส.กันแล้ว เว้นแต่ สว. หนึ่งเดียวที่กัดไม่ปล่อยคือ สว.สมชาย แสวงการ ล่าสุดโพสต์ในเฟซบุ๊กจี้ใจดำ กกต. จนนาทีสุดท้าย… #กกต.ตื่นแล้ว #1ปีแจกใบแดงสส.2คน #ที่เหลือลอยนวล…

เท่าที่ติดตามฟังสุ้มเสียง สว.สมชายแล้ว สว.สมชายเข้าใจว่าพ้นเขต 1 ปี กกต.ก็น่าจะหมดอำนาจเอาผิดหรือสอย สส. ขี้โกงแล้ว แต่สายข่าว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ในกกต.บอกว่าถ้าจะเอาจริง กกต. ยังสอยได้เรื่อย ๆ ไม่มีอายุความ ส่วนระเบียบที่ออกมาให้รีบทำภายในหนึ่งปีนั้นเป็นเพียง ‘บทเร่งรัด’ เท่านั้น

ถ้าเป็นจริงตามนี้ก็น่าจะเป็นข่าวดี...ได้ยินมาว่าวันนี้พรุ่งนี้ 7 อรหันต์ กกต. จะล้อมวงคุยเรื่องนี้...ผลเป็นยังไงช่วยแถลงบ้างก็ดี…

พูดถึง กกต. ก็ดูท่าขึงขัง เอาจริงเอาจังกับการเลือก สว.ชุดใหม่ ภายใต้ระบบที่พิสดารพันลึกที่สุด...ล่าสุด กกต. ประกาศไทม์ไลน์มาแล้ว

>> 20-24 พ.ค.2567 รับสมัครรับเลือก
>> 29 พ.ค. 2567 วันสุดท้ายประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร
>> 9 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับอำเภอ
>> 16 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับจังหวัด
>> 26 มิ.ย. 2567 วันเลือก สว. ระดับประเทศ
>> ก.ค. 2567 ประกาศผลเลือก สว.(ยังไม่ระบุวัน)

ดูตามกฎกติมารยาทของการเลือก สว.ชุดใหม่แล้ว ค่อนข้างจะสลับซับซ้อน และเปิดช่องให้มีการร้องเรียน ฟ้องร้องกันวุ่นวายเป็นแน่แท้ แต่สายข่าวใน กกต. ระบุว่า ยังไง ๆ ก็จะยึดหลักการเดียวกับตอนประกาศผลเลือก สส. คือ ประกาศไปก่อนสอยทีหลัง…จะไม่ให้ สว. ชุดปัจจุบันรักษาการนานเกินเดือนก.ค.

สอดคล้องกับสายข่าวจากพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งระบุว่า...นายใหญ่เล็งเป้าไว้แล้วว่าจะร่วมด้วยช่วยให้ดันให้ประกาศผลเร็ว ๆ จะได้เล็งเป้าทำแนวร่วมกับบรรดา สว.พันธุ์ใหม่ เอามาเป็นพวก...ไม่แต่เท่านั้นบางกระแสระบุว่า ‘นายใหญ่’ รู้และวางตัวไว้คร่าว ๆ แล้วว่า...ประธานสว.คนใหม่ เป็นใคร...รู้แล้วจะหนาว..!!

สายข่าวขอเวลาสุดสัปดาห์หน้าจะมาเฉลย เขาคือใคร...รักแล้วรอหน่อย..!!

'ภูมิธรรม' เดือด!! ดรามาข้าว 10 ปี จ่อฟ้อง ‘พ.ร.บ.คอมฯ’ คนวิจารณ์ ซัดพวกจินตนาการทำลายข้าวไทย พร้อมท้า 'หมอวรงค์' จูงมือไปพิสูจน์

(14 พ.ค. 67) ที่อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อ.เมือง จ.เพชรบุรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพข้าว ว่า เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ตนโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความในใจให้สาธารณชนได้รับรู้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนพิสูจน์แล้วในขั้นต้นก่อนนำข้าวมาประมูล ซึ่งเป็นการพิสูจน์ที่โปร่งใสที่ตนพูดเช่นนี้เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกระบวนการ และเมื่อคืนที่ผ่านมา นพ.วรงค์ เดชวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ก็ระบุว่าข้าวดังกล่าวไม่มีตรารับรอง ขอให้ท่านไปดูภาพที่สื่อมวลชนถ่ายไว้ เราไม่มีอะไรต้องปิดบัง

“ผมอยากให้คนที่วิจารณ์ วิจารณ์โดยตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่นั่งคิดเองเหมือนนิยายแล้วนำมาพูด ซึ่งข้าวถือเป็นสินทรัพย์ของประเทศไทย การที่จู่ ๆ มาด้อยค่าโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงเท่ากับทำลายเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ยืนยันว่ากระบวนการตรวจสอบโปร่งใสที่สุด สื่อมวลชนเป็นพยานได้ ผมไม่ได้ไปย้อมแมวขาย ฉะนั้นข้าวจึงไม่จำเป็นต้องหอมเหมือนข้าวใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า คนที่จำหน่ายข้าวทั้งเจ้าของโรงสี ผู้ส่งออกทั้งหมด มูลค่าธุรกิจของพวกเขาเป็นหมื่น ๆ ล้าน จะมานั่งโกหกเช่นนี้ให้ธุรกิจของเขาพังหรือ แล้วคนที่ออกมาพูดก็ไม่มีความรู้ เท่ากับการให้ข้อมูลเท็จในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ แต่ตนคิดว่าเจตนาของพวกเขาคงไม่มีอะไร ตนจึงยังไม่ฟ้องร้อง แต่หากยังไม่หยุดทำเช่นนี้ ตนคิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตน คงต้องไปจัดการให้เหมาะสม ตนไปตรวจข้าวตามสภาพ และไม่คิดว่าต้องเป็นรัฐมนตรีฟอกข้าวเน่าข้าวเสีย หากข้าวออกดีก็ขายราคาดี แต่หากข้าวเน่าจริงก็ต้องขายกันตามสภาพ

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ตนไม่มีอะไรต้องปิดบัง ซึ่งไม่ใช่กระบวนการแน่นอน ซึ่งเท่าที่ตนได้ทดลองทานเบื้องต้น เป็นข้าวที่ผู้ส่งออกและเจ้าของโรงสี บอกกับตนว่าสามารถนำมารับประทานและสามารถนำไปขัดสีได้ ซึ่งสารอะลูมิเนียมฟอสไฟด์ ที่มีไว้สำหรับรมข้าว ไม่ใช่เป็นสารที่คนวิจารณ์นำมาพูดกันเลอะเทอะ ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์ ซึ่งสารเคมีจะหลุดออกไปในระหว่างกระบวนการการสีข้าว

“เราขายข้าวในโรงสีให้ได้ราคาดี ให้เกษตรกรมีรายได้ให้รัฐบาลมีเงินเข้าคลัง ไม่ดีหรือครับ แล้วที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย เอาจินตนาการที่คิดไปเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มันเป็นการทำลายข้าวไทย เป็นการทำลายประเทศ ท่านสะใจหรือครับ คุณหมอวรงค์และอีกหลายคนอยากทำแบบนี้หรือครับ มาจูงมือผมแล้วไปพิสูจน์ หากไม่ใช่แบบที่พวกคุณกล่าว พวกคุณต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ ผมอยากให้เรื่องนี้ยุติได้แล้ว เพราะกระบวนการประมูลหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับผม” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะไม่ส่งเข้าไปตรวจสอบกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบข้าวจะเกิดขึ้นหลังประมูล แต่หากมีปัญหามากจนถึงขั้นต้องไปตรวจสอบ ตนก็ไม่ขัดข้องสามารถนำไปยื่นตรวจสอบได้ แต่ไม่ใช่จู่ ๆ จะเอาข้าวไหนก็ไม่รู้ มาเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ขอให้นำเข้าเข้าสู่กระบวนการมาตรฐานในการตรวจสอบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ให้คนนั้นคนนี้มาตรวจสอบ นั่นไม่ใช่หน้าที่ สามารถพาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้าวได้ทุกที่เลย ตนพร้อมทั้งหมด ขอให้นำมาพูดกันตรง ๆ อย่านำไปพูดเรื่อยเปื่อยพร่ำเพรื่อ จนตอนนี้ศักดิ์ศรีข้าวไทยจะไม่เหลืออยู่แล้ว สะใจหรือ อยากให้ยุติเรื่องนี้ เพราะตนมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอีกมาก วันนี้ตนเพียงต้องการจะปิดตำนานเรื่องนี้ และให้ดำเนินไปในสิ่งที่ควรจะเป็น

“ผมกินอยู่ ข้าวก็ยังสามารถกินได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่สื่อมวลชนที่ไปด้วยก็สามารถกินข้าวนั้นได้ แล้วก็ถูกกล่าวหาว่าทำไมไปสร้างความชอบธรรมให้นักการเมือง ใช้สมองคิดบ้างหรือเปล่าครับที่พูดออกมา” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า นอกจากจะมีข้อกังขาในเรื่องของคุณภาพข้าวแล้ว ยังมีข้อกังขาที่นำเข้าไปให้หน่วยงานอื่นรับประทาน นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีเพียงแค่สองถุงที่นำไปให้นายสรยุทธ สุทัศน์จินดา และนายกิตติ สิงหาปัด ซึ่งตนเห็นว่าเป็นสื่อมวลชนจึงให้รับประทานเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจในเรื่องข้าว เพื่อที่จะไม่ได้ฟังจากผู้อื่นแล้วนำไปวิจารณ์ ซึ่งตนนำเข้าออกมาตามกระบวนการอย่างถูกต้อง

“ผมไม่ได้มีปัญหาในการพิสูจน์ ผมพร้อมอยู่แล้ว และไม่ได้ปกป้องข้าวเน่า ย้ำว่าหากข้าวเน่าก็จะขายตามราคาข้าวเน่า แต่ผมไปกินแล้วมันดี ซึ่งหากข้าวที่ตนกินสามารถนำไปขายได้ในราคา 18-20 บาท จะให้ไปขายในราคา 5 บาท แบบที่เคยขายมันได้หรือ ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้โมโห แต่พูดจากอารมณ์และใจจริง” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึง กระบวนการการประมูลข้าวที่จะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนให้กรมการคลังสินค้าเตรียมการเปิดประมูลแล้ว และตนจะเปิดให้ประมูลทั่วไปทั้งหมด แต่หากไม่มีคนประมูลเลย ก็ค่อยมาว่ากัน อย่าไปคิดว่าเขานำข้าวไปหลอกขายให้ต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินเข้าที่ประชุม นายภูมิธรรม ยังเปิดเผยด้วยว่า เตรียมทำหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ให้ตรวจสอบข้าว 10 ปี ในโกดังขององค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์เร็ว ๆ นี้ 

จาก 'โกงจำนำข้าว' ถึง 'โกงการกินข้าว' เรื่องยากๆ ที่นักการเมืองเนรมิตได้ง่ายๆ

ถ้าเป็นประเทศอื่น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศใหญ่ หรือเป็นมหาอำนาจ เพียงแค่ประชาชนในชาติ 'คิดเป็น' จะทำให้การสัมผัสนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน หรือหนีคดีเพียงครั้งเดียว ก็ไม่มีทางที่จะพร้อมใจกันไปกาเลือกให้เข้ามามีอำนาจอีกครั้งเป็นแน่แท้

แค่นี้ประเทศชาติก็เจริญได้ไวแล้ว!!

'คนที่คิดเป็น' จะมาพร้อม 'สติปัญญา' และ 'สามัญสำนึก' ที่สูงมากพอ 

ประชาชนเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติปลอดภัยจากนักการเมืองเลว ๆ 

แต่สำหรับประเทศไทย นอกจากจะมีนักการเมืองที่ 'นรกสั่งมาเกิด' หมุนเวียนเข้ามารุมกินโต๊ะประเทศทุกยุค เรายังมีเหล่าประชาชนที่ 'หูหนวกตาบอด' อ่านไม่ออก ดูไม่เป็น วิเคราะห์ไม่ขาด ไม่เข็ดไม่จำ มองเห็น 'เลวเป็นดี' อยู่มากเกินควร เราทุกคนจึงต้อง 'รับผลกรรม' นี้ไว้ร่วมกัน

พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เคยโดนคดีโกงจำนำข้าวจนอื้อฉาวไปทั่วโลก แถมมีอดีตนายกฯ ทำผิดกฎหมายจนต้องหนีคดีไปต่างประเทศถึงสองคน

พฤติกรรมเลวร้ายขนาดนี้ ถ้าเรามีประชาชนที่ 'คิดเป็น' จำนวนมากกว่าประชาชนที่ 'เบาปัญญา' พรรคการเมืองนี้จะไม่มีทางกลับมาเรืองอำนาจได้

เมื่อเข้ามาใหญ่จนถึงขนาดได้เป็นรัฐบาล ก็แสดงบทบาทเก่าๆ นั่นคือการ 'หลอกต้มประชาชน' ราวกับว่าประชาชนคนในชาตินั้นต่างกินหญ้ากันทั้งหมด แท้ที่จริงหญ้าที่เป็นอาหารของวัวควาย น่าจะให้กับ 'คนกลุ่มหนึ่ง' ที่ยังคงสนับสนุนพรรคการเมืองพรรคนี้กินน่าจะถูกปากกว่า 

ที่น่าทุเรศกว่านั้น การจัดอีเวนต์ 'กินข้าวโชว์' ที่มี 'รัฐมนตรีทาสรับใช้เทวดา' ร่วมกับ 'สื่อไร้สมอง' บางสำนัก โชว์การกินข้าวค้างสต็อกในโกดังบาปยาวนานถึง 10 ปี การันตีว่ากินได้ ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย เพียงเพื่อจะฟอกความผิดให้ 'โจรหนีคดี' ที่กำลังรอการกลับประเทศโดยไม่ต้องเข้าปิ้งตามรอย 'โจรผู้พี่' ที่ทำสำเร็จมาก่อนหน้า 

ข้าวเน่าค้างเก่า 10 ปี ถ้าอยากให้สังคมเชื่อว่ากินได้จริงนั้นง่ายนิดเดียว แค่ Live สด ตั้งแต่การหุง แล้วนำไปให้เทวดาและสุนัขรับใช้ กินโชว์ออกสื่อทุกวัน มาดูว่าสามวันห้าวัน เทวดาหรือสุนัขใครจะตายด้วย 'พิษข้าวเน่า' ก่อน

ถ้าเกินเจ็ดวัน ทั้งเทวดาและสุนัขรับใช้ปลอดภัยดี ผมจะขอมาหุงกินด้วยคน 

'รมว.คลัง' ปัดตอบ 'กฤษฎา' ทิ้งเก้าอี้ เพราะไม่ให้เกียรติ ยัน!! วิธีทำงานมีเหตุผล ด้าน 'เผ่าภูมิ' ย้ำไม่ขัดแย้ง

(14 พ.ค.67) ที่ มรภ.เพชรบุรี อ.เมือง จ.เพชรบุรี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) กรณีที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตรมช.คลังระบุเหตุผลในจดหมายลาออกว่า เป็นเพราะไม่ให้เกียรติกันในการทำงาน ว่า ขออนุญาตยังไม่ให้ความเห็น ต้องขอเวลาอีกนิด ส่วนความคืบหน้าการนัดหมายพูดคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ใกล้ถึงเวลานัดหมายเพื่อพูดคุยกัน ขอย้ำว่าทุกอย่างพูดคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้อ่านจดหมายลาออกแล้วรู้สึกอย่างไร นายพิชัย กล่าวว่า “ก็เข้าใจได้ และวิธีการทำงานของผมมีเหตุและผลอยู่” เมื่อถามย้ำว่าก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับนายกฤษฎา ให้ความเห็นไว้ อย่างไรบ้าง นายพิชัยกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ไม่สามารถตอบในขณะนี้ได้ และไม่ว่าเหตุผลที่เขียนในจดหมายลาออกเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นไร

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ขอความเห็นในเรื่องดังกล่าวแต่ส่วนตัวไม่มีปัญหากัน พอรู้จักกันมาเป็น 10 ปีตั้งแต่สมัยที่ตนยังทำงานอยู่ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ส่วนเรื่องการแบ่งงานใหม่ หลังจากที่นายกฤษฎา ลาออก ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร

‘พีระพันธุ์’ รับเรื่องร้องเรียนปัญหาคนเมืองเพชรบุรี ยัน!! แม้ไม่ใช่ภารกิจหลัก แต่พร้อมสานต่อถึง ครม.

(13 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ สส.เพชรบุรี เขต 1 และ จ.อ. อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรุบรี เขต 3 รวมทั้ง สส. และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และคณะผู้บริหารพรรค ได้ลงพื้นที่จุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี

เมื่อเดินทางไปถึงจุดดังกล่าว มีพี่น้องประชาชนได้มายื่นเรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และจากกรณีรถไฟไม่สามารถหยุดจอดได้ในทันที ซึ่งสุ่มเสี่ยงอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นพี่น้องประชาชน จึงต้องการขอให้ภาครัฐทำการสร้างสะพานข้ามเกือกม้า เพื่อลดอุบัติเหตุ และแก้ไขปัญหาการจราจร

จากข้อร้องเรียนดังกล่าวของประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรีนั้น นายพีระพันธุ์ ยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า จะนำปัญหาดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มาประชุมที่ จ.เพชรบุรี ในครั้งนี้ด้วย (13-14 พ.ค.2567)

หลังเสร็จภารกิจจากจุดดังกล่าว นายพีระพันธุ์ ได้ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งกระจานต่อ เพื่อรับหนังสือร้องเรียนชาวบ้านเรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือ สปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวภายหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนว่า ตนจะต้องประสานข้อมูลและข้อเท็จจริงกับทางหน่วยราชการที่เป็นเจ้าของเรื่องว่า มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อีกทั้งมีวิธีการดำเนินการได้แค่ไหน ในกรณีแบบนี้บางอย่าง ก็ต้องหาวิธีการเพื่อมาชดเชย แต่ถ้าหน่วยราชการมีรูปแบบวิธีการแก้ปัญหาก็สามารถนำมาพิจารณา ขณะเดียวกัน ตนก็จะดูเรื่องการแก้ปัญหานี้ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

ด้าน นายวิรัตน์ นกวอน นายกองค์การบริหารตำบล แก่งกระจาน เปิดเผยว่า วันนี้ตนและประชาชนในพื้นที่ มายื่นหนังสือร้องเรียนให้ท่านรองนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ เพื่อต้องการให้ท่านช่วยชะลอการก่อสร้างบานเปิด-ปิดระบายน้ำเขื่อนแก่งกระจานไปจนกว่า สอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่แล้วเสร็จ

“ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ขอบอ่าง ไม่เห็นด้วย เพราะหากมีการก่อสร้างบานเปิด-ปิดดังกล่าวที่สูงขึ้นไปอีก จะทำให้ประชาชน ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมหนัก หากน้ำล้นเขื่อนขึ้นมาในปริมาณที่มากอีก และถ้าหนีขึ้นไปด้านหลังซึ่งเป็นเขาและเป็นพื้นที่เขตอุทยานฯ ก็อาจจะมีความผิดฐานบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ เพราะโครงการดังกล่าวทางกรมชลประทาน ไม่ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเลย“ นายวิรัตน์ กล่าว

สำหรับโครงการก่อสร้างนี้มีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คือการก่อสร้างสะพานข้ามสปิลเวย์ ส่วนที่ 2 คือ การสร้างแนวกันตลิ่ง เพื่อกันน้ำเซาะตลิ่ง ทั้งนี้ในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 นี้ ชาวบ้านไม่คัดค้าน เนื่องจากมีประโยชน์ต่อจังหวัด และพื้นที่ เพื่อใช้เป็นจุด check in และเป็นจุด Landmark Point ของจังหวัดแต่ ส่วนที่ 3 คือการก่อสร้างบานเปิด-ปิดน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำ ได้มีการประชุมระดับอำเภอแล้ว และได้ข้อสรุปให้ชะลอจนกว่าจะสอบถามความคิดเห็นของประชาชน แม้ที่ผ่านมาจะมีการสั่งชะลอ แต่ยังมีการดำเนินการก่อสร้าง

ปัญหาที่เกิดขึ้น กับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อน้ำล้นสปิลเวย์ จะท่วมบ้านเรือนราษฎรที่เป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังท่วมพื้นที่ทำกิน พืชผลทางการเกษตร อีกทั้งแนวเขตชลประทานเพิ่มขึ้นทับช้อนพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำกิน ตามมติ ครม. มิ.ย. 41

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางแก้ไข้ ต้องการเสนอให้ชลประทานเปลี่ยนแปลงโครงการจากทำบานพับสปิลเวย์ มาเป็นขุดลอกเขื่อนแทน เนื่องจากทุกปีในช่วงฤดูฝน เกิดน้ำหลาก เกิดการพังทลายของดินไหลลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน เป็นตะกอน ทำให้ตื้นเขิน จึงกักเก็บน้ำได้ปริมาณน้อยลง จึงควรใช้วิธีการขุดลอก เพื่อกักเก็บน้ำให้มากขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงกรณีเขื่อนแตก เพราะจะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้อยู่อาศัยบริเวณใต้เขื่อน และลดผลกระทบผู้อยู่อาศัยบริเวณรอบเขื่อนอีกด้วย

สำหรับหมู่บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้างดังกล่าว ได้แก่ หมู่บ้านพุเข็ม หมู่ 10 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านพุบอน หมู่ที่ 14 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านน้ำทรัพย์ หมู่ที่ 9 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 7 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าเรือ หมู่ที่ 8 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าลิงลม หมู่ที่ 3 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านวังวน หมู่ที่ 2 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านพุไทร หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแม่เพรียง และหมู่บ้านลำตะเคียน หมู่ที่ 4 ต.แก่งกระจาน ทั้งนี้มีทั้งหมด2,097 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 4,715 คน

ภายหลังรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน ทั้งปัญหาการจราจรจุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง และ เรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือสปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน นายพีระพันธุ์ ยังได้ลงพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.ไร่สะท้อน อ.บ้านลาด เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนกลุ่มเลี้ยงวัวทางด้านการเกษตรและกีฬาต่อ

หลังจากพูดคุยกัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องช่วงเวลาการเล่นกีฬาวัวลาน ที่จะขอให้มีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการแข่งเป็นเวลาไหนนั้น ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปก่อน แต่ถ้าไม่ได้ เราก็จะมาแก้ให้อยู่ในกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนดีกว่า”

นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แต่ในระหว่างรอการแก้ไขกฎหมาย เราก็สามารถประสานไปกับทางกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้” 

‘ลูกเสธ.แดง’ รำลึก 14 ปี เหตุพ่อถูกลอบยิง มั่นใจรัฐบาลเพื่อไทย ช่วยคืนความยุติธรรม

(13 พ.ค. 67) น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือเดียร์ บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความพร้อมภาพพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ระบุว่า…

13 พฤษภาคม 2567…ครบรอบ 14 ปีที่คุณพ่อถูกลอบยิง

14 ปีแล้วนะคะคุณพ่อ…ที่เราไม่ได้เจอกัน แม้เวลาที่ผ่านไปไวมากจะทำให้หนูเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในการใช้ชีวิตโดยไม่มีคุณพ่ออยู่เคียงข้าง แต่หนูไม่เคยลืมทุกคำที่คุณพ่อเคยสอน และหนูจะไม่มีวันลืมความรู้สึกของการต้องสูญเสียคุณพ่อไปในวันนั้น

14 ปีผ่านไป ลูกสาวของคุณพ่อได้กลับมาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรอีกครั้งเป็นสมัยที่สอง พรรคเพื่อไทยยังคงดูแลหนูเป็นอย่างดีและให้โอกาสหนูในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะหนูรู้ว่างานการเมืองคือสิ่งที่คุณพ่อรักและใฝ่ฝัน มันจึงเป็นแรงผลักดันให้หนูยังทุ่มเทและตั้งใจทำงานบนถนนเส้นนี้ต่อไปในทุกๆ วัน

14 ปีผ่านไป หนูและบรรดาญาติวีรชนปี 53 ยังคงไม่ลดละความพยายาม ในการเดินหน้าติดตามทวงถามความยุติธรรม ให้กับการเสียชีวิตของคุณพ่อและพี่น้องเสื้อแดงทุกคน

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา หนูได้ยื่นหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี หลังจากที่มีการงดเว้นการสอบสวนมาตั้งแต่ปี 2559 ในสมัยรัฐบาล คสช. โดยหนูเชื่อมั่นว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จะช่วยผลักดันให้คดีของคุณพ่อและพี่น้องเสื้อแดงคืบหน้า ด้วยการค้นหาความจริงและคืนความยุติธรรมให้กับพวกเราในที่สุด

หนูสัญญาค่ะ ว่าจะตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถในทุก ๆ วันไม่ให้คุณพ่อต้องผิดหวัง และหนูหวังว่าคุณพ่อจะภาคภูมิใจกับเส้นทางที่หนูเลือกเดินเพื่อตามรอยความฝันของคุณพ่อ ในการใช้ชีวิตเพื่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน หนูคิดถึงคุณพ่อทุกวัน รักคุณพ่อสุดหัวใจ

‘สุทิน’ ขอให้มั่นใจ!! ไม่เอา ‘ข้าวเก่า’ ให้ทหารกิน ลั่น!! ทุกคนมาเป็นทหาร ‘ต้องอยู่ดี กินดี สุขภาพดี’

(13 พ.ค. 67) ที่กองพันมณฑลทหารบกที่ 15 ค่ายเพชรบุรีราชสิรินธร จ.เพชรบุรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและบำรุงขวัญกำลังพล หน่วยฝึกทหารใหม่ โดยได้มีการรับรายงานผู้บังคับบัญชาประจำกองถึงจำนวนผู้สมัครเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ พร้อมชมวิธีการฝึกทหารและปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้น ได้มอบสิ่งของเครื่องใช้ให้นายทหารใหม่ ที่มีภรรยาและลูกน้อย จำนวน 2 ราย 

โดยนายสุทิน ได้ให้โอวาทกับทหารใหม่ ว่า วันนี้ตนดีใจที่ได้มาพบมาเยี่ยม เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้คิดและทุ่มเทกับการที่จะให้พวกเราซึ่งเป็นทหารใหม่เข้ามาในค่ายอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี และเพื่อให้กองทัพมีกำลังพลที่มีคุณภาพแข็งแกร่ง ฉะนั้น การคิดและการออกมาตรการมา วันนี้ได้มาเห็นดอกผลในสิ่งที่เราคิด ซึ่งก็ดีใจและมีความสุขหลายเรื่อง เดิมทีวันนี้คิดว่าต้องมามอบนโยบายเพิ่มหลายอย่าง แต่เมื่อเข้ามาแล้วเห็นว่านโยบายที่ตนคิด ทางผู้บังคับบัญชามอบให้ไปแล้วและลงมือปฏิบัติแล้ว ซึ่งเป็นผลที่น่าพอใจ จึงแทบจะไม่ต้องมอบนโยบายอีก 

“ขอย้ำว่า ผมอยากคุยกับทหารใหม่ว่ายินดีกับพวกเราที่ได้เข้ามาเป็นทหาร ความเป็นลูกผู้ชาย ผมคิดว่าประสบการณ์สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่จะต้องมาฝึกความเข้มแข็ง มาฝึกวิทยาการและการเตรียมความพร้อมที่จะรับใช้ประเทศชาติในบทบาทของการที่จะเป็นผู้ป้องกันประเทศ วันนี้ยินดีด้วยที่ได้รับโอกาสที่ดี และยินดีด้วยที่มาในยุคที่เราเป็นทหารที่ไม่ใช่มาเสียโอกาส แต่เรามาได้โอกาสที่ดี ส่วนอะไรบ้างที่เป็นโอกาสที่ดีก็อยากจะย้ำว่าเราอยากจะรับใช้ชาติ มาฟื้นฟูร่างกาย มาสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแกร่ง หมายความว่าเรามาฝึกที่นี่เพื่อให้ร่างกายที่แข็งแรงถือเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นโชคที่ดี เพราะหากอยู่บ้านก็ไม่มีโอกาสได้ดูแลสุขภาพที่ดีเช่นนี้ ตรงกันข้ามอาจปล่อยปะละเลย แต่การมาอยู่นี่ทำให้เราได้ฝึกระเบียบวินัย ซึ่งจะทำให้เราได้กำไรชีวิต” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวด้วยว่า หลายคนพลาดพลั้งในชีวิต เช่น อาจจะเผลอไปเสพยาเสพติด เลิกไม่ได้ แต่เชื่อมั่นว่าหากพวกเรามาอยู่ที่นี่ มาเป็นทหาร ก็จะสามารถหันหลังให้กับยาเสพติดได้ ถือเป็นโอกาสที่ดี กระบวนการที่นี่จะดูแลเอาใจใส่พิเศษกับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง คนที่เสพยาเสพติดไม่ใช่คนชั่ว แต่อาจจะผิดพลาดไป ทุกคนเป็นคนที่มีคุณค่าต่อครอบครัวและสังคม จึงต้องให้โอกาส และเชื่อว่าพวกเขาจะหายได้

นายสุทิน กล่าวต่อว่า เรามาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาอยู่เปล่า ๆ ตนเห็นในประเทศเพื่อนบ้านที่สมัครไปเป็นทหาร เขาไม่ได้รายได้สักบาท มีแค่ข้าวกิน และมีที่นอน แต่ของเรามีเบี้ยเลี้ยงให้ เงินที่ได้บางคนอาจคิดว่าน้อยแต่บางคนอยู่บ้านก็ไม่เคยมีรายได้เช่นนี้ ซึ่งก็เป็นรายได้ที่ไม่น้อย และบางคนส่งให้ครอบครัวใช้ด้วย หรือบางคนเมื่อฝึกจบก็มีเงินติดตัวไป 20,000-30,000 บาท นอกจากนี้ ยังจะเรียนหนังสือด้วย ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็ได้มีการจัดระบบการศึกษาให้กับนายทหารใหม่ทุกระดับ เพื่อให้สามารถศึกษาต่อได้เมื่อฝึกจบ และเมื่อปลดประจำการก็สามารถได้วุฒิได้เลย ตนบอกได้เลยว่ายุคนี้คนที่โชคดีที่สุดคือคนที่ได้เข้ามาเป็นทหาร เป็นคนที่มีสิทธิ์พิเศษเพราะจะสามารถรับราชการทหารและตำรวจนั้นได้ไม่ยาก เนื่องจากได้ให้โควตาทหารถึงร้อยละ 80 และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ให้โควตาทหารเข้าไปรับราชการตำรวจถึงร้อยละ 50 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนใครที่ไม่อยากรับราชการตนก็ได้เซ็นเอ็มโอยูกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายบริษัท ซึ่งสามารถที่จะไปสมัครกับบริษัทเหล่านี้ได้ แล้วพวกเขาก็พร้อมที่จะรับเข้าทำงาน นอกจากนี้ ใครที่มาเป็นทหารหากกลับบ้านไปแล้วต้องมีเกียรติกลับไปด้วย รวมถึงจะทำให้ใครที่เข้ามาเป็นทหารมีโอกาสได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 

“ผมขอเรียนด้วยความมั่นใจอีกครั้งว่าอยู่ที่นี่ตนได้กำชับมาแล้วว่าอาหารการกินต้องมีคุณภาพที่ดี ต้องกินอิ่มและนอนอุ่น เนื่องจากทางกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณมาให้มาอย่างเพียงพอ และหากซื้ออาหารที่ไม่มีคุณภาพ ทางกระทรวงก็ต้องลงมาตรวจสอบและจัดการให้พวกเราได้อยู่ดี กินดี ส่วนข่าวที่ออกมาว่าจะซื้อข้าวเก่าให้ทหารกิน ขออย่าไปสนใจเพราะไม่เคยคิด แต่ที่ผมพูดไปเพราะผมเป็นรัฐมนตรีซึ่งเราจะต้องตอบคำถามให้สอดคล้องกับรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำคือทำให้ทุกคนได้อยู่ดี กินดีที่สุด เพื่อที่รุ่นน้องจะได้เข้ามาสมัครกันเยอะ ๆ ย้ำว่าถ้าอยากให้คนเข้ามาสมัครกันเยอะคือต้องทำให้อยู่ดี กินดี มีโอกาสที่ดี และอย่าไปคิดว่าจะได้กินข้าวที่ไม่ดี ไม่มีทาง ขอให้ทุกคนมั่นใจ“ นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่สมัครเข้ามาถือว่าเป็นคนที่มีสำนึกที่ดีต่อประเทศชาติ และปีต่อไปก็อยากให้มาสมัครเป็นทหาร 100% ส่วนคนที่จับฉลากก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสำนึกที่ดี เพราะอาจจะมีการวางแผนชีวิตไว้อย่างอื่น หรือมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่อยากมาสมัคร ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เมื่อจับสลากติดแล้ว ก็ขอต้อนรับที่จะเข้ามารับใช้ชาติให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งกลุ่มที่สมัครและกลุ่มที่จับฉลากได้ถือเป็นความหวังของประเทศ

ทั้งนี้ ภายหลังจากการให้โอวาทกับทหารใหม่จบแล้ว นายสุทินได้วิดีโอคอลเฟอเรนซ์กับญาติของทหารใหม่ โดยได้ถามว่ากังวลหรือไม่ ที่บุตรหลานเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งญาติของทหารเกณฑ์ได้ตอบนายสุทินว่า ไม่กังวล เพราะเชื่อกองทัพจะดูแลบุตรหลานของเขาอย่างดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top