Wednesday, 9 July 2025
POLITICS

‘แกนนำ คปท.’ ฉะ!! ‘วิโรจน์’ องครักษ์พิทักษ์ตระกูลชินคนใหม่ ปมข้าว 10 ปี มีข้อพิรุธมากมาย แต่ทำตัวไม่สมเป็นฝ่ายค้าน

(23 พ.ค.67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า องครักษ์พิทักษ์ตระกูลชิน (คนใหม่) คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.ก้าวไกล ไม่ต้องเสียดายเวลาที่ผ่านมากับการรัฐประหารหรอกครับ มูฟออนไปทำหน้าที่ที่ควรจะทำของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลได้แล้ว

ผมว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร ณ เวลานี้ น่าจะเป็นพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ที่ยังหากินกับคำว่ารัฐประหารอยู่ ทั้งที่การเมืองปัจจุบันมีเรื่องที่ต้องตรวจสอบเยอะแยะ ก้าวไกลกับเป็นใบ้กันหมด

ตอนปี 49 คุณทักษิณก็เคยกลับเข้ามาสู้คดี สุดท้ายเขาก็หนีออกไปเอง วันนี้คุณทักษิณกลับเข้ามารับโทษ รับผิด และสำนึกผิดเหลือจำคุกเด็ดขาด 1 ปี แต่ไม่ติดคุกสักวัน หน้าที่ฝ่ายค้านที่ต้องถามแทนประชาชนคุณกลับเงียบ

ข้าว 10 ปีก็เช่นเดียวกัน คุณเอามาเหมารวมอธิบายไม่ได้

1.การรัฐประหาร อันนี้พวกคุณก็ว่าแล้ว

2.การคอร์รัปชัน ในโครงการรับจำนำข้าว อันนี้ศาลตัดสิน สังคมรับรู้กันหมดว่า มีการคอร์รัปชันครั้งใหญ่ คนที่เกี่ยวข้องติดคุกกันหมด ยกเว้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หนีไปเอง ไม่มีใครไล่ให้ออกไป

3.ข้าว 10 ปี เน่าหรือไม่เน่า มันก็จะเป็นคนละประเด็นว่า มีการคอร์รัปชันหรือไม่

คุณวิโรจน์คุณทำหน้าที่ฝ่ายค้าน มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล มันมีข้อพิรุธมากมายเรื่องข้าวเน่าไม่เน่า แทนที่จะช่วยประชาชนตรวจสอบ คุณกลับทำตัวเป็นเหมือนโฆษกรัฐบาล ที่ออกมาการันตีข้าวว่าไม่เน่า เหมารวมว่าไม่โกงอีกต่างหาก

โกงกับเน่า ต้องแยกกันคนละประเด็นครับ

คุณทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ตระกูลชิน คนใหม่เหลือเกิน อยากร่วมรัฐบาลขนาดนั้นเลยหรือครับ จึงต้องปกป้องการคอร์รัปชันเหลือเกิน

‘ศาล รธน.’ รับคำร้องถอดนายกฯ ปมตั้ง ‘พิชิต’ นั่งรมต. มติ 5:4 ไม่สั่ง ‘นายกฯ เศรษฐา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่

 

(23 พ.ค. 67) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 48 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน

ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากศาลฯ พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 7 (4)และให้นายกรัฐมนตรียื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 54

ทั้งนี้ เสียงข้างน้อย 3 เสียงในประเด็นนี้ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

ส่วนกรณีของนายพิชิตผู้ถูกร้องที่ 2 ได้มีคำร้องของนายพิชิต ลงวันที่ 23 พ.ค. 67แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 67 นายพิชิต ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้ว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 51 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1  มีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของนายพิชิตไว้พิจารณาวินิจฉัย โดย 1 เสียงข้างน้อยได้แก่ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้นายเศรษฐาผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและ เอกสารประกอบคำร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยตุลาการเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ประกอบด้วย 
1.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 
2.ปัญญา อุดชาชน 
3.อุดม สิทธิวิรัชธรรม 
4.วิรุฬห์ แสงเทียน 
5.จิรนิติ หะวานนท์ 
6.นภดล เทพพิทักษ์ 
7.บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ 
8.อุดม รัฐอมฤต 
9.สุเมธ  รอยกุลเจริญ

‘ดิเรกฤทธิ์’ น้อยใจ หลังถูกเพื่อนสว. ตำหนิ กรณียื่นตรวจสอบ ‘เศรษฐา-พิชิต’  ย้ำ!! ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง ทำตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น

(22 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลการลาออกจากรองประธานกมธ.พัฒนาการเมืองฯว่า ยอมรับน้อยใจในการทำงาน กรณี 40 สว.เข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นความตั้งใจดีในการทำงานเพื่อประเทศ  แต่กลับถูกเพื่อนสว.บางคนตำหนิผ่านสื่อในทำนองว่า ไม่สมควรทำ เพราะสว.หมดวาระไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เหมือนกับเป็นการสร้างปัญหาให้ประเทศ ต้องการล้มรัฐบาล จินตนาการไปไกล การให้ความเห็นเช่นนี้ต่อสาธารณะเหมือนต้องการให้ความน่าเชื่อถือตนลดลง ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพกัน ทั้งที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ เมื่อพิจารณาดูเวลาทำงานที่เหลือช่วงปลายสมัยจึงขอลาออกจากกมธ.พัฒนาการเมือง ส่วนตำแหน่งกมธ.อื่นๆ ยังคงทำงานต่อไป 

เมื่อถามว่า ได้ปรับความเข้าใจกับสว.ที่ให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิแล้วหรือยัง นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ต้องเคลียร์ใจอะไร เป็นสไตล์การทำงานของบางคนที่เอาแต่ตำหนิคนอื่น ทำให้ประชาชนเข้าใจสว. คลาดเคลื่อน

"ผมตั้งใจทำงาน แต่ถูกบั่นทอนกำลังใจ ยืนยันว่า การยื่นตรวจสอบนายกฯและนายพิชิตเป็นการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น" นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

ทวนความจำชาวสยามในวันที่ 'พรรคเพื่อไทย' ลั่นต้าน ‘รัฐประหาร’ บทลงเอยมีแค่ 'ทำวันนี้เพื่อชาติ' หรือ 'ผิดพลาดเช่นในอดีต'

ทันทีที่แถลงการณ์ '10 ปีที่ผ่านไป จากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยุติวงจรรัฐประหาร ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน' ของพรรคเพื่อไทยปรากฏออกมา...

ฉับพลันทันใดก็เกิดคำถามต่างๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะคำถามที่มุ่งไปถึงเหตุอันทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมากต้องออกมาเดินถนนเพื่อประท้วงรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ใต้เงาแห่งทุจริตคอร์รัปชันที่คลุมรัฐบาลในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 'โครงการจำนำข้าว' 

พูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องขอหยิบยกข้อมูลที่ย้อนไปเมื่อ 1 มิถุนายน 2565 โดยมี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้ซึ่งเปิดโปงการทุจริต ‘โครงการจำนำข้าว’ ได้มีการโพสต์ในเฟซบุ๊กไว้ดังนี้...

ในอภิปรายงบประมาณถึงโกงจำนำข้าว "ตั้งแต่ปี 54 โครงการจำนำข้าว ขาดทุน 9.5 แสนล้านบาท รัฐบาลชุดนี้ ตั้งงบประมาณชำระหนี้ไปแล้ว 7.8 แสนล้านบาท คงเหลือเงินต้นและดอกเบี้ยอีก 3 แสนล้านบาท" เป็นคำพูดของพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ตอบนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กรณีกล่าวหาตั้งงบประมาณส่อโกง และวันนี้คนที่เกี่ยวข้องกับการโกงจำนำข้าวถูกตัดสินจำคุกนับสิบคน รวมทั้งนายบุญทรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น เสี่ยเปี๋ยง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ฯลฯ รวมถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศจนทุกวันนี้

พรรค ‘เพื่อไทย’ (เริ่มตั้งแต่พรรค ‘ไทยรักไทย’ ถูกยุบ ตั้งพรรคใหม่เป็นพรรค ‘พลังประชาชน’ ถูกยุบและตั้งพรรคใหม่อีกเป็น ‘เพื่อไทย’) เป็นพรรคการเมืองที่มีรัฐมนตรีติดคุกด้วยคดีทุจริตประพฤติมิชอบมากที่สุด ได้แก่...

(1) บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณินย์ และ (2) ภูมิ สาระผล อดีตรมช.พานิชย์ จากคดีทุจริตจำนำข้าว 

(3) วัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร 

(4) เบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลัง จากคดีทุจริตช่วย 'โอ๊ค-เอม' ซื้อหุ้นชินคอร์ปโดยไม่ต้องเสียภาษี 

(5) ยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.มหาดไทย มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบหรือทุจริต หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากคดีที่ดินอัลไพน์ 

(6) ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรมว.ทรัพยากรฯ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบหรือทุจริต หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากคดีการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในกระทรวงทรัพยากรฯ ขณะเป็นปลัดกระทรวงฯ 

(7) ชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรมว.เกษตรฯ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบหรือทุจริต หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากคดีฮั้วประมูลจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ 

(8) สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา 157 กรณีที่มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) จำคุก 1ปี 

(9) ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก 

(10) ประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย จากคดีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง (อยู่ระหว่างการหลบหนีคดี)

และ (11) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากคดีทุจริตจำนำข้าว (อยู่ระหว่างการหลบหนีคดี) ทั้งนี้ยังไม่รวมนักการเมืองและผู้เกี่ยวข้องในสังกัดของพรรค ‘เพื่อไทย’ พรรค ‘ไทยรักไทย’ และพรรค ‘พลังประชาชน’ อีกหลายคนที่ถูกตัดสินจำคุกจากคดีที่เกี่ยวข้องการทุจริตประพฤติมิชอบ 

มูลเหตุในการรัฐประหารทุกครั้งที่ผู้ก่อการหยิบยกมาเป็นเหตุผลคือ ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ เมื่อมีการตรวจสอบโดยไม่มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเข้าแทรกแซง แล้วผลการตรวจสอบก็พบว่า มี ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ เกิดขึ้นจริง ทั้งยังเป็นการสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างมากมายมหาศาล ดังนั้นหากไม่สามารถกำจัด ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ โดยนักการเมืองและพรรคการเมืองให้หมดสิ้นไปได้แล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมากออกมาเดินถนนประท้วงรัฐบาลที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ อีกอย่างแน่นอน จึงต้องเกิด ‘รัฐประหาร’ อีกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็น ‘วงจรอุบาทว์’ โดยมี การเลือกตั้ง -> จัดตั้งรัฐบาล -> เกิดวิกฤตการณ์จาก ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมือง -> เกิดการรัฐประหาร  -> ยกเลิกรัฐธรรมนูญ -> ร่างรัฐธรรมนูญ -> กลับเลือกตั้งอีก ทั้งนี้หากไม่สามารถที่จะหยุดยั้ง ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ได้ก็จะไม่สามารถป้องกัน ‘วงจรอุบาทว์’ ในอนาคตได้เลย

การหยิบยกเอา ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ ป้องกัน ‘การรัฐประหาร’ เพื่อหยุดยั้ง ‘วงจรอุบาทว์’ ไม่มีทางสำเร็จอย่างแน่นอนหากไม่จัดการป้องกัน ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ อย่างเด็ดขาดจนหมดสิ้นไป เพราะผู้ก่อการ ‘การรัฐประหาร’ ย่อมเป็น ‘รัฏฐาธิปัตย์’ (ผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในรัฐ) เสมอ หากพรรค ‘เพื่อไทย’ มีความตั้งใจจริงในการกำจัด ‘วงจรอุบาทว์’ ด้วยไม่ต้องการให้ ‘การรัฐประหาร’ เกิดขึ้นอีกนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องอ้างถึงการร่าง ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ แต่อย่างใดเลย เพราะเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้นที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้มีความเข้มข้นและชัดเจนในเรื่องของการป้องกันและปราบปราม ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมือง มากอยู่แล้ว 

หากรัฐบาลโดยพรรค ‘เพื่อไทย’ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงตรง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนและพวกพ้อง มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างที่สุดในการต่อต้านและปฏิเสธ ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมือง เพียงเท่านี้ ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองก็จะค่อย ๆ หมดไป ทำให้ไม่มีเหตุผลให้พี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมากต้องออกมาเดินถนนประท้วงรัฐบาลอีก และไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ผู้ก่อการ ‘รัฐประหาร’ จะนำเอาเรื่องของ ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ มาเป็นความชอบธรรมในการก่อการได้อีกเลย 

แต่สิ่งที่รัฐบาลโดยพรรค ‘เพื่อไทย’ ทำอยู่ขณะนี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกน่าสงสัยและเคลือบแคลง ไม่ว่าจะเป็นความพยายามเพื่อ ‘ฟอกขาว’ คดีทุจริตจำนำข้าว หรือ โครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ ต่างก็ไม่เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตรรกะของพรรค ‘เพื่อไทย’ อาจจะผิดเพี้ยน ด้วยเน้นแต่การต่อต้านการ ‘รัฐประหาร’ แต่กลับไม่กล่าวถึงการต่อต้าน คัดค้านการ ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ อันเป็นสาเหตุต้นตอที่มาของ ‘วงจรอุบาทว์’ ในระบบการเมืองของไทยอย่างแท้จริงแต่ประการใด

ด้วยเพราะ รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรค ‘เพื่อไทย’ นั้น มีความชอบธรรมในการจัดตั้งตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันอย่างถูกต้องทุกประการ ทั้งยังมีความมั่นคงทางการเมืองที่เข้มแข็งในระดับที่น่าพอใจ ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยต่างก็มีความหวังว่า ตลอดอายุของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ ‘นายกฯ นิด เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี จะสามารถสร้างผลงานเพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตด้วยความมั่นคงและยั่งยืน เหมือนดังเช่นนโนยายที่พรรค ‘เพื่อไทย’ ได้นำมาใช้ในการหาเสียง 

ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ทีมบรรณาธิการของ THE STATES TIMES จึงขอเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยให้ ‘นายกฯนิด’ ทำงานเพื่อประเทศชาติได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเมื่อตอนนี้มีโอกาสช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว ก็ขอให้ทำให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด โดยอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน อย่าได้ย้อนทำในเรื่องที่เคยผิดพลาดและไม่ถูกต้องเช่นในอดีตอีก 

ทั้งนี้หากรัฐบาล ‘พรรคเพื่อไทย’ จะได้ถือเอา “ความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงตรง เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนและพวกพ้อง” เป็นที่ตั้งได้แล้ว ความดีต่าง ๆ เหล่านี้จะทำหน้าเป็นเสมือนเกราะป้องกันภัยทางการเมืองต่าง ๆ รวมทั้ง ‘การรัฐประหาร’ ไปจนถึง ‘วงจรอุบาทว์’ ในระบบการเมืองของไทยที่พรรค ‘เพื่อไทย’ ไม่ปรารถนาได้เป็นอย่างดีที่สุด 

'ไทยภักดี' ลั่น!! รัฐประหารเพียงปลายเหตุ ต้นเหตุคือนักการเมืองโกง  ชี้!! ประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ หยุดรัฐประหารได้แท้จริง

(22 พ.ค.67) พรรคไทยภักดี ได้ออกแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหา ระบุว่า...

"รัฐประหารเพียงปลายเหตุ ต้นเหตุคือนักการเมืองโกง ประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการปกครองเท่านั้นจึงจะหยุดรัฐประหารได้แท้จริง"

วันนี้คือวันครบรอบ 10 ปี การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกมวลมหาประชาชนชาวไทยจำนวนหลายล้านคนชุมนุมขับไล่อยู่ การรัฐประหารเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เป็นที่มุ่งหวังไม่พึงประสงค์ของทุกๆ ภาคส่วนในสังคมประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับการรัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้น 13 ครั้ง มากไม่น้อยเมื่อเทียบกับระยะเวลาประชาธิปไตยไทย 92ปี เฉลี่ยแล้ว 7 ปีมีรัฐประหาร 1 ครั้ง 

"รัฐประหารเพียงปลายเหตุ 
ต้นเหตุคือนักการเมืองโกง"

ซึ่งเหตุผลสำคัญของคณะรัฐประหารโดยส่วนใหญ่คือการฉ้อฉลทุจริตของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการรัฐประหาร 2 ครั้งสุดท้ายในปี 2549 และ 2557 ที่คณะรัฐประหารได้รับดอกไม้ และเสียงชื่นชมสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนเกลียดชังรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลทุจริตคอร์รัปชัน และเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งแตกแยกแบ่งสีแบ่งฝ่ายของประชาชน สร้างวิกฤตปัญหาร้ายแรงต่างๆ ขึ้นในสังคมไทย ที่สำคัญเป็นรัฐบาลที่ไร้สำนึกทางจริยธรรม ไร้ยางอาย แม้จะมีมวลมหาประชาชนชาวไทยหลายล้านคนลุกขึ้นมาประท้วงขับไล่ทั่วทั้งประเทศก็ไม่ยอมลงจากอำนาจเสียที สุดท้ายกองทัพแห่งชาติจึงต้องทำการรัฐประหารในท้ายที่สุด

พรรคไทยภักดี ยืนยันสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการปกครองเท่านั้นจึงจะหยุดการรัฐประหารได้อย่างแท้จริง การที่พรรคเพื่อไทย และหลายภาคส่วนในสังคม เสนอให้มีกฎหมายป้องกันการรัฐประหาร หรือให้ศาลไม่ยอมรับ 'อำนาจรัฏฐาธิปัตย์' ของคณะรัฐประหาร เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้จริง ผิดหลักการทางรัฐศาสตร์ เป็นเพียง 'จินตนาการที่ฟุ้งเฟ้อเลื่อนลอย' เพราะโดยแท้จริงแล้วการหยุดรัฐประหารเริ่มต้นจากตัวพรรคการเมืองเอง ความเป็นประชาธิปไตยในพรรคคือ 'สารตั้งต้นหยุดรัฐประหาร' ถ้าพรรคการเมืองเป็นพรรคของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เป็นพรรคมวลชน (Mass Party) อย่างแท้จริง ไม่ใช่พรรคการเมืองของใครบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่ผูกขาด รวบอำนาจเป็นทาสหัวหน้าพรรค เป็นทาสนายทุนพรรค แบบพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันที่กล่าวอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ภายในพรรคผูกขาดรวบอำนาจโดยคนเพียงคนเดียว หรือตระกูลเดียว ความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคยังไม่มี จะสร้างประชาธิปไตยของประเทศได้อย่างไร? 

ถ้าพรรคการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีมวลมหาประชาชนเป็นเจ้าของพรรค คอยควบคุมนักการเมืองในพรรค พรรคการเมืองนั้นจะเคารพกฎหมาย เคารพรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นในหลักนิติรัฐนิติธรรม ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล จะไม่ฉ้อฉลทุจริตคอรัปชั่น จะไม่สร้างวิกฤตปัญหามากมายให้กับประชาชน และประเทศชาติ จะมีมวลมหาประชาชนทั้งหลายเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก กองทัพแห่งชาติก็ไม่อาจจะกระทำรัฐประหารได้  

ในโอกาสนี้พรรคไทยภักดีจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศ มาร่วมกันสร้างพรรคการเมืองของประชาชน (Mass Party) พรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อหยุดวงจรรัฐประหารร่วมกัน

ด้วยจิตคารวะ
พรรคไทยภักดี

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้ ‘พิชิต’ ลาออกตอนนี้ ก็สายเกินไปแล้ว พร้อมตั้งข้อสงสัย หากไม่ด่างพร้อย เหตุใดต้องลาออก

(22 พ.ค.67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart เกี่ยวกับกรณีที่นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดย นายนันทิวัฒน์ ได้ระบุว่า ...

ลาออกไม่ใช่คำตอบ

ว่าแล้วต้องมาทางนี้ ลาออกจะช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรือหวังตัดตอนให้ศาลจำหน่ายคดีมันจะช่วยได้หรือ

สว. 40 เข้าชื่อฟ้องนายกและพิชิตไม่ได้ฟ้องพิชิตคนเดียวนายกเป็นจำเลยที่หนึ่ง จำเลยที่สองลาออกก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหากคาดหวังให้ศาลยุติการพิจารณาถือว่าเดาใจศาลรัฐธรรมนูญผิดเพราะนายกเป็นคนเสนอชื่อรัฐมนตรีและลงนามสนองพระบรมราชโองการ ถ้าชื่อที่กราบบังคมทูลขัดรัฐธรรมนูญความผิดสำเร็จแล้ว ถ้าจะผิดก็ผิดเต็มๆ ศาลรัฐธรรมนูญคงเดินหน้าต่อ ไม่หยุดแน่

หากคิดว่า. ตัวขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องคุณสมบัติถูกต้องไม่ด่างพร้อย ไม่ขัดรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก
ลาออกทำไมถึงเวลานี้ ทุกอย่างมันสายไปแล้ว

‘กลุ่มสมาพันธ์กัญชาฯ’ ค้าน!! ดึง ‘กัญชา’ กลับเป็นยาเสพติด ชี้!! มีการลงทุนแล้วจำนวนมาก อาจกระทบถึงการท่องเที่ยว

(21 พ.ค. 67) ที่พรรคเพื่อไทย นายชัชปัฐวี อัฏฐพรเมธา ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน พร้อมผู้ประกอบการร้านค้า และผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับกัญชา เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้าน ‘กัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5’ โดยมี น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย พร้อม สส.พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับฟังปัญหาและข้อเรียกร้องต่าง ๆ พร้อมรับหนังสือคัดค้านการออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติด

ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน แสดงความคิดเห็นและผลกระทบ ว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพตามที่กฎหมายอนุญาตประมาณกว่า 1 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละร้านมีการลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท และแต่ละร้านค้ามีการจ้างงาน ยังมีงานที่ผลิตและแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกมากมาย รวม ๆ แล้วมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 6 หมื่นคน ดังนั้นหากรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด ก็จะเกิดผลกระทบ มีคนตกงานและส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จึงได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องและคัดค้านการพิจารณาให้กัญชาเป็นยาเสพติด

น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนามของ สส.พรรคเพื่อไทย ขอรับหนังสือข้อเรียกร้องนี้ไว้ เพื่อนำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยพิจารณาว่าจะแก้ไขสนับสนุนข้อเรียกร้องนี้ได้อย่างไรต่อไป เราจะพยายามช่วยกันแก้ไขให้อยู่ตรงกลางและเป็นประโยชน์ต่อประเทศให้ได้มากที่สุด

ด้านนายชัชปัฐวี กล่าวว่า จากที่ได้เข้าไปพบและพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจกับ สส.พรรคเพื่อไทย ถึงกรณีประชาชนไม่เห็นด้วยที่จะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะถ้านำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดอีก จะทำให้ประเทศไทยตามหลังอีกหลายประเทศอย่างแน่นอน ที่สำคัญปัจจุบันมีผู้ปลูก ผู้ใช้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมกัญชาค่อนข้างมาก หากนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แม้กระทั่งผู้ปลูกใช้ตามบ้าน หรือในเรื่องผลประโยชน์ของทางการแพทย์ และคนที่ใช้เพื่อรักษาตนเองก็ไม่สามารถปลูกได้ ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชาไม่สามารถดำเนินการต่อได้

“จากที่ได้พูดคุยเบื้องต้นกับ สส.พรรคเพื่อไทย ก็มีการตอบรับที่ดีว่าจะนำข้อเรียกร้องคัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดไปพิจารณาในที่ประชุมของพรรค เพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ดำเนินการใดๆ เราก็จะมาชุมนุมใหญ่ต่อไป ซึ่งวางไทม์ไลน์ไว้ก่อนถึงวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เพราะมีคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับกัญชามีค่อนข้างมาก และมีผู้ป่วยที่ต้องอาศัยกัญชาในการรักษาตนเองจะได้รับผลกระทบด้วย” นายชัชปัฐวี กล่าว

นายชัชปัฐวี กล่าวว่า หลังจากยื่นข้อเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยแล้ว จะเดินทางไปประชุมร่วมกับพรรคภูมิใจไทย และยื่นหนังสือคัดค้านกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5 ต่อไปด้วย

'สมชาย' เต็งประมุขสภาสูง-กู้เกียรติเพื่อไทย คู่ขนาน 'ระบอบทักษิณ-เศรษฐา' ได้ไปต่อ

จะบอกว่าไม่เซอร์ไพรส์ ก็คงไม่ได้ สำหรับกรณีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 สามีของ 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

จริง ๆ แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนนครศรีธรรมราช จะไปสมัครที่นั่น ซึ่งเป็นบ้านเกิด หรือลงในกทม. ที่ทำงานรับราชการยาวนานจนได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และได้เป็นนายกฯ ไร้ทำเนียบ 50 กว่าวัน เพราะพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร เลยเถิดมาถึงรัฐบาลสมชาย...ก็ย่อมได้

แต่การเลือกลงเชียงใหม่ที่ชีวิตปักหลักยาวนานรอบนี้ หากสมชายได้รับเลือกก็จะเป็นการกอบกู้เกียรติภูมิให้กับพรรคเพื่อไทยทางอ้อม เพราะเลือกตั้ง สส. ปี 2566 ก็ดังที่รู้ ๆ กันว่า จาก 10 ที่นั่ง พรรคก้าวไกลกวาดไป 7 เพื่อไทยได้แค่ 2 พลังประชารัฐได้ 1 เสียฟอร์มพรรคเสื้อแดงเป็นอย่างมาก...

ไม่แต่เท่านั้น ไม่ต้องอินไซด์อะไรกันมาก การลงสมัครของสมชายรอบนี้ชัดเจนว่า หากเขาได้เป็น 1 ใน 200 สว. โอกาสที่จะได้เป็นประธานวุฒิสภาก็มีสูงกว่าใครเพื่อน...

อนึ่ง ชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ แล้วเป็นนายกฯ สองรอบ แล้วมาเป็นประธานสภาสั่งลาฯ ได้อีก แล้วทำไมอดีตนายกฯ อย่างสมชาย จะทำไม่ได้!!

สว. มีวาระ 5 ปี แม้ไม่มีอำนาจโหวตนายกฯ แล้ว แต่อำนาจอื่น ๆ ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ การกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบถ่วงดุล-เสริมดุลรัฐบาล

กรณีถ้าสมชายได้รับเลือกเป็นประมุขวุฒิสภา ก็จะเป็นอีกเสาค้ำอำนาจให้กับระบอบทักษิณที่กำลังฟื้นคืนชีพ ยึดฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาล่าง, สภาสูง, คุมฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ตัวจริงเสียงจริงของอำนาจคือ บ้านจันทร์ส่องหล้า...

ตอนนี้เหลือเพียงโจทย์ข้อใหญ่คือ ทำอย่างไรให้ ลูกสาวคนโปรดที่มีทั้งดีเอ็นเอพ่อและแม่อย่าง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร โตได้ทัน มารับไม้ตำแหน่งนายกฯ จาก 'อานิด' เศรษฐา ทวีสิน ได้ทันในสมัยหน้า...

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต...ก่อนที่จะไปลุ้นกันว่าสมชายและอุ๊งอิ๊งจะไปถึงเป้าวางหรือไม่...เฉพาะหน้ารอดูจุดเปลี่ยน 23 พ.ค. กรณี 40 สว. ปฏิบัติการสอยพิชิต ชื่นบาน ว่าจะลากเอาเศรษฐาตกเก้าอี้ไปด้วยหรือไม่...

บรรดาเกจิอาจารย์ฟันธงกันเป็นเสียงเดียวว่า  23 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาแน่ แต่เศรษฐายังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...แล้วจากนั้นอีกประมาณเดือนครึ่งไปรอฟังคำตอบ ใครรอดใครร่วง...

ประมวลข่าวประเมินสถานการณ์...ราคาต่อรองพิชิต โอกาสรอด 10 ไม่รอด 90 ส่วนนายกฯ รอด 51 ไม่รอด 49...

จาก 23 พ.ค. ไปโฟกัสกันวันที่ 29 พ.ค. ทักษิณ ชินวัตร ต้องไปฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้องคดีมาตรา 112 จากอัยการสูงสุด...ตอนนี้ราคาต่อรอง 60 ไม่ฟ้อง 40 ฟ้อง...

ดูตัวเลขพยากรณ์จาก 2 กรณีแล้วหลายคนอาจขัดอกขัดใจ เพราะถ้าเป็นไปตามนี้แปลว่าระบอบทักษิณยังไปต่อและมีแนวโน้มฮึกเหิมต่อไป...ทราบแล้วเปลี่ยน!!

'ปราชญ์ สามสี' ตั้งข้อสังเกต 2567 คืนชีพขบวนการล้มเจ้าด้วยทริกใหม่ 'ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้-สิ่งที่เสียหาย-ควบคุมไม่ได้' ออกจากขบวนการ

(21 พ.ค.67) เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จับได้สถานการณ์หลังจากนี้นะครับ

เราจะเห็นได้ว่าแม้ว่าตัวแปรทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะย้ายค่ายย้ายสี

แต่จะเห็นชัดในปี 2567 นี้คือการก่อร่างสร้างตัวของขบวนการโจมตีสถาบัน ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

"มีการโอนถ่ายอำนาจเปลี่ยนจากผู้นำทำความคิดรุ่นเก่าไปสู่ผู้นำทางความคิดรุ่นใหม่..."

ถ้าเปรียบเป็นบ้านก็คือมีการเดินสายไฟใหม่
เปลี่ยนหม้อแปลงจ่ายไฟ...หันมาใช้เงินภาษีมากขึ้น

"ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้ สิ่งที่เสียหาย หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้...ออกไปจากขบวนการ"

ทั้งในเรื่องการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ และการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูซ้ำรอยด้านประวัติศาสตร์จะมีให้เห็น

โดยมีฐานเชิงสัญลักษณ์อยู่ที่ฝรั่งเศสนั่นแหละ

'อัครเดช' ห่วงไทยไร้มาตรฐานดับเพลิงไหม้จากแบตฯ รถ EV เตรียมตั้งคณะกรรมเร่งศึกษาเรื่องนี้ต่อรัฐบาลโดยเร็ว

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงมาตรการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้จากยานยนต์ไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ว่า...

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน ทำให้พบว่ามาตรการระงับเพลิงไหม้และการควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ของประเทศไทยยังต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรูปแบบของการประกอบอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าเป็นประเทศของศูนย์กลางในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกพบว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 170,000 คัน สถานีชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 2,500 แห่ง กระจายทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีสถานีชาร์จไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือน และตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจรวมถึงมาตรการอุปกรณ์ในการระงับเพลิงไหม้และควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ในลิเทียมไออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมาตรการการควบคุมอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการดำเนินการระงับเหตุเพลิงที่เกิดจากการลุกไหม้ของ ลิเทียมไอออน 

ด้วยเหตุนี้ กมธ.อุตสาหกรรมจึงได้ประสานงานและ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของไฟที่ลุกไหม้จากลิเทียมไอออนหรือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งวิธีการระงับเหตุเพลิงไหม้และผลกระทบจากเพลิงไหม้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคู่มือและฝึกอบรมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงของเหตุเพลิงไหม้ และความปลอดภัยในด้านอื่นๆ พร้อมผลักดันให้มีการทดสอบสารเคมีที่สามารถช่วยในการระงับเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้แนะให้หน่วยงานภาครัฐเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้และการควบคุมเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำมาจากลิเธียมไอออน รวมถึงเพลิงไหม้โรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวและโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมเป็นอุปกรณ์ติดรถยนต์อีกด้วย โดยกรรมาธิการอุตสาหกรรมจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวนำเสนอรัฐบาลเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป

'พรรคเพื่อไทย' ร่อนแถลงการณ์ 'ขอยุติวงจรรัฐประหาร' คืนอำนาจอธิปไตยให้คนไทย ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

(21 พ.ค.67) พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหา ดังนี้… 

“10 ปีที่ผ่านไป จากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยุติวงจรรัฐประหาร ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 อำนาจอธิปไตยของคนไทยดับสิ้นลง จากคณะรัฐประหารที่ชื่อว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยึดอำนาจรัฐบาลเพื่อไทย รัฐบาลที่มาจากความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน 

การกระทำการรัฐประหาร คือ การกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำลายประชาธิปไตย ผลักประเทศให้เดินถอยหลังไปสู่ความถดถอยภายใต้อำนาจเผด็จการ สิ่งที่เราสูญเสียไปคือ 'โอกาสของประเทศ' ทั้งที่สามารถประเมินมูลค่าได้ และอีกนานัปการที่ประเมินมูลค่าไม่ได้

พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า เราปฏิเสธการรัฐประหาร ไม่ยอมรับสารตั้งต้นที่อาจเป็นการสร้างเงื่อนไขไปสู่การรัฐประหาร และปฏิเสธการนิรโทษกรรมต่อการรัฐประหารในทุกกรณี ศาลและองค์กรรัฐอื่น ๆ ต้องยกเลิกบรรทัดฐานที่ว่า การรัฐประหารโดยใช้กำลังอาวุธสำเร็จ เป็นรัฏฐาธิปัตย์

เรายืนยันแนวคิดให้มีการตรากฎหมายต่อต้านการรัฐประหารขึ้น โดยห้ามมิให้ศาลยอมรับการรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และยืนยันในแนวคิดว่า ความผิดในการรัฐประหารไม่มีอายุความ โดยให้ถือเป็นประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย

พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า การรัฐประหารคืออาชญากรรมร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติ เป็นอาชญากรรมต่อระบอบประชาธิปไตย เรายึดมั่นในหลักการว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย เราจะร่วมกันต่อต้านการรัฐประหาร การรัฐประหารจะต้องหมดไปจากประเทศไทย 

การรัฐประหารที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผ่านมา จะมีข้ออ้างเสมอมาว่ารัฐบาลประชาธิปไตยบริหารประเทศล้มเหลว อ้างสถานการณ์ที่นำไปสู่การยึดอำนาจโดยใช้กำลังอาวุธ แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่การรัฐประหารนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า มีแต่นำไปสู่ความตกต่ำ ถดถอย และล้าหลังดังที่เห็นกันอยู่ตลอดมา

พรรคเพื่อไทยในฐานะสถาบันการเมือง ในฐานะแกนนำรัฐบาลของพี่น้องประชาชน เราจะบริหาร ราชการแผ่นดินอย่างดีที่สุด เราจะร่วมมือกันกับคนไทยผู้รักประชาธิปไตย ไม่ให้การรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก

'พิชิต' แฉ!! กระบวนการคว่ำคุณสมบัติ รมต.หวังกระทบชิ่งล้มนายกฯ  ท้า 40 สว.เจอทีละคน ลั่น!! ไม่ยึดติดเก้าอี้ หากขาดคุณสมบัติ

(21 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณี 40 ส.ว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวให้ลาออก ว่า ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้รับสายถึงกรณีดังกล่าวเนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ในการต้อนรับผู้นำพระสงฆ์จาก 73 ประเทศ มีโปรแกรมติดกันแน่นตลอดทั้งวันจึงขอเอาบุญมาฝาก และเชิญชวนทุกคนร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอบอกบุญกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ตออนนี้ต้องทำบุญกันเยอะ ๆ

นายพิชิต กล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่อง 40 สว. ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องคุณสมบัติโดยมีส.ว. หลายฝ่ายออกมาท้วงติง ต้องขอพูดจากความเป็นตัวตนของตัวเองที่ทำงานแบบมืออาชีพ ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือปรับครม.ไม่ได้มีความผิดอะไร และไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต โดยเวลาที่จะตั้งครม.จะต้องมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องกรอกรับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยสลค.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะต้องตรวจสอบ โดยส่งเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตรวจประวัติ ว่าไปทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร 

ดังนั้น สลค. และ ป.ป.ช.ไม่สามารถช่วยใครได้ ถึงอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และเวลาที่จะประมวลว่าใครซื่อสัตย์และมีจริยธรรมหรือไม่ต้องดูทุกเรื่อง หากมีเรื่องไหนที่สงสัยจึงถามคณะกรรมการกฤษฎีกา 

นายกฯ ก็ทำตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย แล้วจึงมาสรุปว่าจะตั้งรัฐมนตรีคนใดได้หรือไม่ได้ และการที่ตั้งตนก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ แต่มาเพราะสติปัญญาของตน มาเพราะมีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่วมายืนที่จุดนี้ แม้นายกฯ อยากจะตั้งแต่ถ้าตนมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้ และหน่วยงานที่ตนได้กำกับดูแลก็มีแต่ตัวหนังสือและกฎหมาย ส่วนการกล่าวหาเรื่องประเด็นจริยธรรม ให้ไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นแบบอย่างไว้แล้ว

“ถามสว. มาเอาเรื่องนายกฯ ทำไม เพราะท่านตั้งใจทำงาน และขอพูดอย่างไม่อายว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา และเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯ มาแล้ว ขอให้เอาความจริงมาพูดกันโดยไม่มีวาระทางการเมือง เราไม่ควรเอาเรื่องกับนายกฯ และขอวิงวอนให้นายกฯ ได้ปฎิบัติหน้าที่ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ผมทำงานกับนายกฯ มา 6-7 เดือน อยู่บนเนื้องานไม่เคยประจบสอพลอ และนายกฯ เป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมาใช้งานเป็นวัคซีน และทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย”

นายพิชิต กล่าวว่า ต้องขอบคุณ และไม่โกรธ 40 สว. ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำให้ตนได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกระทำมาตั้งแต่ปี 2551 และโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต เพราะถูกตัดสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ ทั้งที่มี 3 ศาล จึงเป็นความขมขื่นในใจ และบอกตัวเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีว่าถ้าถูกตั้งกระทู้ถามในสภาฯ หรืออธิบายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ตนไม่ได้หวั่นไหวเพราะมั่นใจว่าหลักของความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง และคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กร ต่างจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าทางของตนและรอจังหวะนี้มานานแล้ว และอยากให้มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญ มีการพิจารณาคดีใหม่จะเป็นโอกาสที่ตนได้ดีแคร์ชีวิตใหม่ และในคำสั่งของศาลฎีกา ถ้ามีตรงไหนระบุว่าตนเป็นคนหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน จะลาออกในวันนี้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่ผ่านมามีการติติงตนแบบคนไร้สติโดยไม่ได้หาดูประเด็นในคำสั่ง และการไต่สวนในวิธีพิจารณาว่าละเมิดอำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ไม่เคยมีบทบัญญัติให้เอาประมวลกฎหมายอาญามาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี และในคำสั่งของศาลฎีกาที่ตนติดใจ คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ที่ปรากฎใส่คำว่า “ผมน่าจะรู้” จึงมีคำสั่งคุมขัง 6 เดือน ทั้งที่คำว่าน่าจะรู้คือมีข้อสงสัย ที่ควรจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะเป็นสมมติฐาน ทั้งที่เรื่องของตนเป็นคดีแพ่ง ทั้งนี้ตนจะอยู่หรือไปจากตำแหน่งไม่ยึดติด เพราะถือว่าต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต จึงต้องขอบคุณ 40 สว.ที่ทำเรื่องนี้ให้เข้าทางตน และขอให้ย้อนกลับไปดูในคำสั่งของศาลให้ดี จะพบข้อสงสัยและข้อพิรุธอีกมาก และต้องถามว่าสมัยที่ตนเป็นสส. 2 ปี 6 เดือน คนที่หมั่นไส้หรือไม่ชอบตน ทำไมไม่ยื่นถอดถอนเรื่องจริยธรรม ส่วนเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตถามว่าใช้ตรงไหนมาวัด หากไปถามกฤษฎีกาก็คงตอบไม่ได้เพราะเป็นปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ว่าสิ่งที่ถูกคำสั่งศาล คำว่าน่าจะ เป็นที่ประจักษ์ตรงไหน ขอให้กลับไปดูในชั้นของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกรรมาธิการบางคน ซึ่งยังรับราชการอยู่แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อได้แย้งว่าคำว่าซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์จะทำให้เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาในทางการเมืองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมวัดกันไม่ได้ ถึงต้องย้อนไปตั้งแต่การตรวจสอบประวัติว่าตนไม่มีคดี ไม่มีประวัติใน ป.ป.ช. ไม่เคยถูกฟ้องในคดีแพ่ง และโทษที่ตนได้รับเป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นโทษตามคำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งกับคำพิพากษาต่างกัน ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งในคำอธิบายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุเรื่องคุณสมบัติได้ยกเว้นเรื่องของคำสั่ง หมายความว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี

“เรื่องที่เกิดเป็นวาระวงจรอุบาทว์ ทั้งที่นายกบริหารราชการอยู่ดี ๆ แล้วจะมาทำให้ ผู้นำประเทศหลุดจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนใน สว.รู้รายละเอียดการกระทำครั้งนี้ ว่า มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนของใคร แต่ขอไม่พูดและขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาพูดความจริง ว่าตนไม่ได้ต้องคำพิพากษาประพฤติผิดจริยธรรม“

นายพิชิต กล่าวว่า ส่วนข่าวลือเรื่องการลาออก ขอย้ำว่าไม่ยึดติดประโยชน์ของตนแต่ยึดมั่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน คำตอบของเรื่องนี้เพื่อแก้วงจรอุบาทว์คือให้บุคคลเหล่านั้นไปคิดมาว่าถ้าตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ และพร้อมตั้งแต่วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองที่ต้องการล้ม นายเศรษฐาใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า “แน่นอน“ เมื่อถามยามว่าหากนายพิชิต ลาออก แล้วนายกฯ อยู่ต่อได้ก็พร้อมจะทำใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เพราะวงจรอุบาทว์มาเล่นแบบนี้ ให้ช่วยกลับไปคิดว่าวันนี้มีนายกและบ้านเมืองปกติแล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงขาดนายกทำไม ดังนั้นคนเหล่านั้นไปคิดเองเพราะไม่ใช่การบ้านของตน และตนจะไม่คุยอะไรให้นายกฯ หนักใจ

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าไม่มีแนวคิดที่จะลาออกในวันนี้หรือก่อนวันที่ 23 พ.ค.นี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอโยนโจทย์ไปให้บางคนที่อยากให้ตนอยู่หรืออยากให้ออก ขอย้ำว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯและขอท้า 40 สว. ให้มาเจอกับตนทีละคน และให้อาจารย์นักกฎหมาย3คน มาเป็นกรรมการ เพื่อถามว่าที่ลงชื่อไปได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาหรือยัง เพราะบางคนลงชื่อยื่นตีความยังไม่รู้เลยว่าอะไร บางคนยกประเด็นรื้อฟื้นจำนำข้าวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุผลเรื่องของคุณสมบัติ เมื่อถามว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯจนกว่าจะมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นายพิชิต กล่าวว่า เราเคารพดุลยพินิจศาล ไม่ก้าวล่วงและเชื่อว่าสิ่งที่พูดไปศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่าหากระหว่างนี้มีการกดดันให้ต้องถอย จะตัดสินใจอย่างไรในพิชิตกล่าวว่าองคาพยพที่เกี่ยวข้องก็ไปคิดก็แล้วกัน โดยไม่ขอเจาะจงไปที่ใครแต่ให้ยืนยันให้ได้ว่า ตนจากตำแหน่งแล้วจบ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สว.คือใคร นายพิชิตกล่าวว่า ตนรู้หมด ไม่ขอก้าวล่วงเอาเป็นว่ามีขบวนการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน เมื่อถามว่ามีขบวนการล้มนายกฯหรือล้มรัฐบาลนายพิชิต กล่าวว่า ไม่กล่าวหาแต่ ข้อมูลเป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อถามว่าวงจรอุบาทว์หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่นายพิชิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไปพิจารณาพิจารณากันเอง ถามว่ามีกระบวนการแบบนี้จริง ถ้าแค่ติดใจเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของตนก็แค่ยื่นเฉพาะกับตนคนเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายพิชิตให้สัมภาษณ์จบ ก่อนเดินเข้าห้องประชุมครม.ได้ชูกำปั้นแสดงความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าไม่กังวลสบาย และตัวเบาตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งแล้ว

'ดร.หิมาลัย' ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงาน 'รทสช.' พิษณุโลก-พิจิตร พร้อมร่วมหารือแนวทางนโยบายการหาเสียง เพื่อเสนอพรรคต่อไป

เมื่อวันที่ 17 พ.ค.67 เวลา 14.00 น. ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ตรวจเยี่ยม ศูนย์ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติจังหวัดพิษณุโลก ตามนโยบายของท่านหัวหน้าพรรค โดยมี นายพงษ์มนู ทองหนัก สส.พิษณุโลก เขต 3, นายวชิระ พุ่มพฤกษ์ สจ.อ.เนินมะปราง เขต 2 พิษณุโลก/ตัวแทนพรรคฯ และ น.ส.รุ่งวรินทร์ ดำรงค์ธนินท์ชัย ผู้ช่วย สส.พิษณุโลก เขต 3 ร่วมกันหารือแนวทางนโยบายการหาเสียงให้แก่พรรคฯ ได้ข้อสรุปเป็นแนวทางเพื่อนำเสนอให้กับทางพรรคต่อไป

จากนั้นเวลาประมาณ 15.30 น. ดร.หิมาลัย ได้เดินทางไปเยี่ยม ศูนย์ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติจังหวัดพิจิตร โดยมี นายสุรชาติ ศรีบุศกร , นายสมเกียรติ นากเอี่ยม ประธานศูนย์ประสานงานฯ/ตัวแทนพรรคฯ, นายจักรพงษ์ แสงจึ้ง สจ.เขต 1 บางมูลนาก, นายนพดล พึ่งวัฒนะ สจ.เขต 1 โพทะเล, นายจักรัตน์ จันทโรทัย สจ.เขต 2 บึงนาราง, น.ส.ณัฐพัชร์ เลิศวีรศิลป์ ร่วมกันหารือแนวทางนโยบายการหาเสียง ได้ข้อสรุปเป็นแนวทางเพื่อนำเสนอให้กับทางพรรคต่อไป

‘สว. ดิเรกฤทธิ์’ ยันไม่มีใบสั่ง ยื่นศาลรธน. ถอด ‘เศรษฐา-พิชิต’ พ้นตำแหน่ง  แจง!! ไม่เปิดชื่อทั้งหมด เพราะเป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งกังวลผลกระทบ

(19 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะ 1 ใน 40 สว. ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ปฏิเสธการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมระบุว่ามีผู้นำเชื่อไปแอบอ้าง ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการลงชื่อครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มี หรือ 25 คน ซึ่งการลงลายมือชื่อดังกล่าวมี ส.ว. เข้าชื่อ จำนวน 40 คน ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อส.ว. ทั้งหมดที่ร่วมลงนามนั้น เป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ อีกครั้งบางคนไม่อยากให้เปิดเผย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบ หรือทำให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบต่างๆ

“ส.ว.หลายคนเป็นผู้ใหญ่ไม่อยากออกสื่อ หรือไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีตราลับและใช้สิทธิยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้รายชื่อของส.ว.นั้น ถูกเปิดเผยต่อศาลแล้ว หากมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยจะเปิดเผยในรายละเอียดอยู่ แต่ในระหว่างการดำเนินการไม่อยากให้เปิดเผย ทั้งนี้ผมในฐานะผู้ร่วมลงชื่อ ยอมรับว่าไม่ได้เห็นรายชื่อทั้งหมด” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าชื่อของส.ว. ไม่มีการใช้เครดิตของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เพราะ ส.ว.แต่ละคนมีหน้าที่และมีสิทธิเท่ากัน และเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนที่หลายฝ่ายถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำในช่วงที่สว.ปัจจุบันหมดวาระแล้ว นั้นข้อเท็จจริงคือส.ว.ปัจจุบันยังมีเงินเดือนและค่าตอบแทน ยังทำหน้าที่อยู่ ซึ่งส.ว.ปัจจุบันจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องของการทำในระหว่างหมดวาระ

“ผมยืนยันว่าไม่มีใบสั่งหรือรับงานมาจากไหน แต่ยอมรับว่าส.ว.มีความเห็นหลากหลายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนล้วนมีเหตุผลและการพิจารณาเนื้อหา ส่วนผมนั้นไม่ใช่คนเกเร หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด และที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผมนั้นเป็นไปเพื่อ่ประโยชน์ของประชาชน” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

‘นิพิฏฐ์’ โพสต์เฟซ ‘ธนาธร-คณะก้าวหน้า’ ฉลองได้ ‘บ้านอองโตนี’ ที่ฝรั่งเศส ในขณะที่งานศพ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เต็มไปด้วยความเศร้า ชี้!! นี่คือพฤติกรรมของฝ่ายปชต

(19 พ.ค. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ภาพคณะก้าวหน้าที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า , น.ส.พรรณิการ์ วานิช ขณะรับประทานอาหารเที่ยง ระหว่างนายธนาธร รับมอบบ้านอองโตนี กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านเดิมที่นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐบุรุษอาวุโส และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ อาศัยระหว่างลี้ภัยจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งนายธนาธร ซื้อมาจากเจ้าของชาวเวียดนาม ที่ซื้อต่อจากครอบครัวพนมยงค์ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยในราคา 63,788,000 บาท พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยได้ระบุว่า ...

หรือ ‘ก้าวไกล’ จะ ‘ก้าวพลาด’ กรณี ‘บุ้ง เนติพร’

กรณี ‘บุ้ง ทะลุวัง’ นักกิจกรรมเสียชีวิต หลังประกาศอดอาหาร 110 วัน บรรยากาศในงานศพ บุ้ง เนติพร ช่างต่างกับบรรยากาศของแกนนำ “คณะก้าวหน้า” ที่ยกทีมชุดใหญ่ไปนั่งดื่ม-นั่งกิน ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเสรีภาพ-ภราดรภาพ และ เสมอภาค

บุ้ง ตายเพราะอดอาหาร ตามความเชื่อที่ตรงกับความเชื่อของ ‘คณะก้าวหน้า’ และ ตรงกับความเชื่อของ ‘พรรคก้าวไกล’

คนหนึ่ง ‘ตาย’ เพราะประกาศอดอาหาร อีกกลุ่มหนึ่งกำลัง ‘ดื่ม-กิน’

คณะก้าวหน้า ยังเงียบในการตายของบุ้ง ขณะที่พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ เป็น 4 ข้อ ที่ไม่เข้าท่า ไร้สาระ บนความตายของ บุ้ง ผมค่อยแสดงความเห็นในเรื่องความไร้สาระของทั้ง 4 ข้อในภายหลัง

บุ้ง ตายตามความเชื่อ ความเชื่อของเขาจะผิดหรือถูก เราไม่วิจารณ์ แต่เราเคารพในความเชื่อของเขา

บุ้ง ตายในขณะที่มีรัฐบาล ที่สถาปนาตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยกำลังบริหารประเทศ

บุ้ง ตายในขณะถูกจองจำตามความเชื่อ ตรงข้ามกับ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดคดีทุจริต ไม่ถูกจำคุกแม้แต่วันเดียว

บุ้ง ตายขณะมีอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนเดียวกันกับคนที่อนุญาตให้ คุณทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต กินดี-อยู่ดี ในห้องพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

บุ้ง ตายขณะมีรัฐมนตรียุติธรรม ที่ชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง คนเดียวกับที่ยินยอมให้ คุณทักษิณ นักโทษคดีทุจริต อยู่ดี-กินดี ในห้องพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

พรรคก้าวไกล จึงก้าวพลาด บนความตายของบุ้ง พลาดอย่างไรผมค่อยเขียนก็แล้วกัน รอคณะก้าวหน้า และ พรรคก้าวไกล ออกมาโต้ก่อนก็แล้วกัน

บุ้ง ตายแล้ว นักการเมืองคงกำลังสอดส่ายสายตาหาคนมาตายแทนตนต่อไป
ความตายที่มนุษย์ยอมรับ และ ให้เกียรติกัน คือ “ความตายในสงคราม” หากความตายของบุ้ง เป็นความตายในสงครามแห่งความเชื่อ เราก็ควรเคารพดวงวิญญาณของเธอ

ผมมีความเห็นต่างกับ บุ้ง ในทางการเมือง แต่ผมเคารพและให้เกียรติดวงวิญญาณของเธอ
#เราควรเคารพดวงวิญญาณของบุ้ง แต่ควรรังเกียจนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top