Monday, 29 April 2024
POLITICS NEWS

“ชวน”รอฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก มาเมื่อไหร่บรรจุทันที เหตุสมัยประชุมสิ้นสุด 18 ก.ย.ส่วนแก้รธน.เป็นเรื่องของ กมธ.ดักคอ ทะเลาะอะไรกันรู้หมดนะ

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ว่า จะมีการพิจารณาในวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ โดยร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ถือเป็นเรื่องที่สภาฯ ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ยังมีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ยังไม่ได้เสนอมา แต่ในฐานะประธานสภาฯ ก็รอให้ฝ่ายค้านเสนอมาก็จะรับเรื่องทันที เพราะสมัยประชุมจะมีถึงวันที่ 18 ก.ย.นี้

ส่วนมาตรการการเตรียมความพร้อมมาตรการป้องกันโควิด -19 ในการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณางบประมาณฯ นั้น นายชวน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่คัดกรองทุกวัน และทุกฝ่ายต้องรายงานผลให้ตนทราบในทุกวันว่ามีเจ้าหน้าที่สภาฯคนใดตรวจพบเชื้อโควิด -19 บ้าง ซึ่งตนรับทราบเรื่องมาโดยตลอด พบว่ามีผู้ติดเชื้อเป็นระยะๆ ทั้งนี้ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่พนักงานข้าราชการที่ต้องเดินทางมาทำงานโดยรถประจำทาง จึงได้คุยกับทางเลขาธิการสภาฯ ให้มีแนวทาง work from home ให้มากที่สุด แต่เมื่อเปิดประชุมสภาฯแล้ว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องมาทำงาน แต่ต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มข้น 

นายชวน ยังกล่าวถึงความขัดแย้งของฝ่ายค้านในการพิจารณางบกลาง ว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯในแต่ละท่านที่มีความเห็นต่างส่วนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคก้าวไกล ระบุว่าร่างของพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการทอดแทรกประเด็นการเลือกตั้งในวาระที่ตกไปนั้น นายชวน กล่าวว่า เป็นเรื่องของ กมธ.ฯที่จะต้องหารือกันให้ตกผลึกแล้วนำเสนอวาระสองและวาระสามโดยรายละเอียด ทั้งนี้ในการแก้ไขนั้นตนไม่สามารถลงลึกได้เพราะไม่ได้อยู่ในห้องประชุม กมธ.ฯแต่อยากจะบอกว่าติดตามทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุมกมธ.ฯ และจากข่าวสารอยู่ตลอด

“บอร์ดกยค.” เห็นชอบ ข้อเสนอขับเคลื่อนมติสมัชชาครอบครัวฯ-ร่างแผนป้องกัน-แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จับมือ 16 หน่วยงานรัฐ แก้ปัญหา เตรียมชงครม.เห็นชอบ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ(กยค.)เมื่อวันที่4ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอต่อการขับเคลื่อนมติสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2563 ดังนี้ 1.จัดพื้นที่เรียนรู้สำหรับครอบครัว โดยบูรณาการความร่วมือกับองค์กร เครือข่าย ชุมชน สถานประกอบการ สร้างแกนนำส่งเสริมความรู้สำหรับครอบครัว ส่งเสริมสื่อสร้างสรรค์สำหรับครอบครัวและควบคุมสื่อที่ไม่เหมาะสม 2.จัดสวัสดิการครอบครัวในภาวะวิกฤตโควิด-19 เช่น ทบทวน ปรับปรุงระเบียบ หรือกำหนดมาตรการทางภาษี เพื่อแบ่งเบาภาระของสถานประกอบการที่มีศูนย์เด็กเล็ก พัฒนาระบบให้คำปรึกษาครอบครัว สร้างกระบวนการเรียนรู้ของครอบครัวในภาวะวิกฤต จัดสวัสดิการสำหรับการเลี้ยงดูเด็กเล็กและที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และ3.จัดการเชิงนโยบายด้านครอบครัว เช่น ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เอื้อต่อการสร้างครอบครัวคุณภาพ ทบทวนรูปแบบการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับบริบทความเปลี่ยนแปลง เช่น การจัดการศึกษาแบบเรียนที่บ้าน(Home School)จัดทำหลักสูตรออนไลน์ โดยข้อเสนอดังกล่าว จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณามอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานต่อไป

น.ส.รัชดา กล่าวว่า คณะกรรมการฯเห็นชอบในร่างข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงภายใน 24 ชั่วโมง และปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างรอบด้าน โดยความร่วมมือ 16 หน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และองค์กรจากภาคประชาสังคมและเอกชนด้วย โดยยึดหลักมาตรการ 3P คือ 1.การป้องกัน (Prevention) 2.การคุ้มครอง (Protection) และ3.การดำเนินคดี (Prosecution) ทั้งนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ กำชับให้อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว เร่งศึกษาเรื่องพัฒนาการของเด็กที่จะหายไปในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ www.เพื่อนครอบครัว.com ซึ่งเป็นเว็บที่ให้สาระความรู้เกี่ยวข้องคนทุกวัยในครอบครัว และไลน์ @linefamily ที่จะให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัว เป็นพื้นที่การเรียนรู้ของครอบครัวผ่านระบบออนไลน์ ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“แรมโบ้” ซัด "เต้น ณัฐวุฒิ "เป็นถึงอดีตรัฐมนตรี คงหมดแสงจึงหิวแสงต้องหันมาเดินตามหลังแกนนำเด็กๆม็อบสามกีบ ช่างอับอายขายขี้หน้าแทนเห็นด้วยกับ “นายนิพิฏฐ์” โพสต์เฟซบุ๊กแนะให้จ่ายค่าเผาบ้านเผาเมือง จะได้ไม่ถูกคนค่อนแคะว่าไม่รับผิดชอบ และสู้แล้วรวย

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กนายกฯบริหารจัดการโควิด-19 ล้มเหลว อยู่มาเกือบ 8 ปี เกินพอบทพิสูจน์ เตรียมสู้แบบสันติวิธีพร้อมกันทั่วประเทศ โดยนายเสกสกล ระบุว่านายณัฐวุฒิคงลืมไปแล้วว่านายกฯเข้ามาบริหารบ้านเมืองแบบถูกต้องตามกฎหมาย และจะต้องทำงานจนครบเทอมตามกฎหมายไม่มีการยุบสภาหรือลาออก นายณัฐวุฒิอย่าไปรับคำสั่งจากนายใหญ่ทางไกลให้ไล่เพื่อหวังรางวัลโบนัสตอบแทนจากนายใหญ่เหมือนในอดีตที่ได้รับรางวัลเป็นสส.เป็นรัฐมนตรีมาแล้วประชาชนคนเสื้อแดง รู้เช่นเห็นชาติหมดแล้วมุกเก่าๆที่คนเสื้อแดงอ่านออก 

และการที่นายกฯบริหารประเทศตลอดเวลาที่ผ่านมา หากจะพิสูจน์ศักยภาพแล้วตนเองก็มองว่ามีศักยภาพมากกว่ารัฐบาลนายกฯที่มาจากพรรคเพื่อไทยในสมัยที่นายณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี เพราะในยุคเพื่อไทย บริหารงานแบบไม่เคยทำอะไรเพื่อประชาชนและประเทศเลย มีแต่เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องปล่อยให้มีการทุจริตมากมาย พอทำผิดก็หนีไปสุขสบายอยู่ในต่างประเทศ แบบนี้เรียกว่า ผู้นำที่มีศักยภาพตรงใหน โกงจนรวยแล้วหนีไปแสวงหาความสุขส่วนตัวมากกว่า ที่จะคิดสงสารชาวนาที่ถูกโกง
จะเดือดร้อนเช่นไร ฉันไม่สน นี่นะหรือผู้นำที่มีศักยภาพที่ทรงค่าของนายณัฐวุฒิช่างอับอายขี้หน้าสิ้นดี

ขณะที่การบริหารงานของนายกฯประยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ทั้งการรักษา ตรวจหาเชื้อเชิงรุก เยียวยาประชาชน รวมถึงการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชน นายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งคนที่ดีแต่ตำหนิและไม่เคยช่วยเหลืออย่างนายณัฐวุฒิ ก็คงจะไม่รู้คนอื่นๆเขาทุ่มเททำงานเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ไม่เคยรู้เรื่อง รู้อยู่เรื่องเดียวรอรับคำสั่งจากนายใหญ่ทางไกลสั่งมาว่าจะให้ปลุกระดมพาคนลงถนนขับไล่นายกฯเมื่อไร 

นายเสกสกลยังระบุว่าการที่นายณัฐวุฒิเตรียมที่จะเคลื่อนไหวอีกนั้นขอให้มีจิตสำนึกด้วยว่าการเคลื่อนไหวจะสร้างความเดือดร้อน และซ้ำเติมประเทศและประชาชนมากน้อยแค่ไหนในสถานการณ์โควิดระบาดหนักเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายณัฐวุฒิเองก็ไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติจริง แต่ที่เคลื่อนไหวออกมาเพราะทำตามใบสั่ง เพื่อช่วยนายใหญ่กลับประเทศและช่วยให้พ้นจากคดีทุจริตให้ได้ สมองคิดได้แต่เรื่องนี้ใช่ไหม

“อันที่จริงควรไปทำตามที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ  อดีตส.ส. จังหวัดพัทลุง พรรประชาธิปัตย์ ได้โพสต์แนะนำว่า ขอให้นายณัฐวุฒิจ่ายค่าเผาบ้านเผาเมืองที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ณัฐวุฒิจ่ายค่าเสียหาย จะไม่ได้ถูกใครเขาค่อนแคะเอาว่าคนใต้มันไม่จริงใจ ไม่รับผิดชอบกับคำว่า "เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" และจะไม่ได้ถูกใครเขาค่อนแคะเอาว่า "สู้แล้วรวย" หากไม่จ่ายก็เอาผ้าถุงคลุมหัวซะ..นี่ทำเต๊ะท่า ยืนกอดอก นายมันก็เป็นตลกบริโภคชั้นต่ำ หากินไปวันๆ ช่างน่าอาย! ซึ่งเรื่องนี้ตนเองก็เห็นด้วยกับนายนิพิฏฐ์ ทุกประการ

"อันที่จริงตนยังสงสัยไม่เคยหายเลยว่าโครงการทุจริตจำนำข้าวในสมัยอดีตนายกฯนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชื่อ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล ศาลตัดสินจำคุกเพราะทุจริตโครงการจำนำข้าวชาวนา แต่ตนก็อดสงสัยมาจนทุกวันนี้ว่า ทำไมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อีกคนที่ชื่อณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทำไมรอดคุกในคดีนี้มาได้ มีคนถามตนมาเยอะ จนตอบไม่ไหว ทั้งที่ตอนนั่งแถลงข่าวเรื่องโครงการจำนำข้าวก็นั่งอยู่ด้วย มีนักข่าวถามก็เห็นนั่งตอบเหมือนคนเป็นใบ้ จนคนหัวเราะกันทั้งประเทศว่ารัฐมนตรีไม่มีความรู้อะไรเลยหรือ แต่คำถามที่ว่า ทำไมนายณัฐวุฒิไม่ติดคุกคดีโกงข้าวชาวนาด้วยนั้น ตรงนี้ต้องช่วยกันค้นหาคำตอบ ตนเองยังสงสัยมาจนทุกวันนี้"

"แต่ที่น่าละอายใจที่สุด จากคนเคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีกลับกลายมาเป็นลูกน้องนายอานนท์ นายเพนกวิน นายไผ่ ดาวดิน นายไมค์ จาดนอก นายโตโต้ นางสาวรุ้งปภัสยา แกนนำม็อบสามกีบที่คิดล้มเจ้า  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่า หมดน้ำยาแล้วจริงๆใช่ไหม กับนักโต้วาทีสภาโจ๊ก ตลกบริโภคที่หมดแสงและวิ่งหาแสงในยามนี้  ช่างหมดค่าหมดราคาต้องหันมาเกาะหลังเดินตามแกนนำม็อบเด็กๆสามกีบที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันฯ ไม่ละอายใจตัวเองเลยหรือไง นายณัฐวุฒิไม่ละอายใจ แต่คนเสื้อแดงที่ปกป้องสถาบัน อับอายขายขี้หน้าแทนอย่างแน่นอน"

ดีอีเอส-เอ็นที ลุยพัฒนาระบบ DE Covidhomecare Solution สู้โควิด

'ชัยวุฒิ' พาหมอ ลุยเยี่ยมผู้ป่วยโควิด เขตบางคอแหลม กทม.ติดตามการใช้งานระบบแอป “DE Covidhomecare Solution” โซลูชั่นช่วยโรงพยาบาลบริหารจัดการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ประยุกต์ใช้ไลน์และซูม (Zoom) หนุนผู้ป่วยได้รับคำปรึกษาแพทย์แบบเห็นหน้าผ่านจอมือถือ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ดีอีเอส ร่วมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที พัฒนาแอปพลิเคชั่น DE Covidhomecare Solution เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการผู้ป่วยโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการตอกย้ำบทบาทของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดในการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19

โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำงานร่วมกับแพทย์จิตอาสา พัฒนาระบบแอปพลิเคชั่นดังกล่าว ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดกลุ่มกักตัวที่บ้าน ให้สามารถเข้าถึงการรักษาผ่านการประยุกต์ใช้ Line official account เข้ากับ Zoom เพื่อใช้ Video Call ติดต่อสื่อสาร และรับคำแนะนำในการดูแลรักษาได้แบบเห็นหน้ากัน ผ่านจอมือถือ หรือจอคอมพิวเตอร์ เป็นการให้บริการระบบสาธาณสุขที่สอดรับกับมาตรการ social distancing อีกด้วย  

“เพราะวันนี้ก็อย่างที่เราทราบกันว่าคนไข้เยอะมาก บางทีมันโหลดเกินไปสำหรับคุณหมอ เราก็เลยพัฒนาแอปนี้ขึ้นมาให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข สำหรับผู้ป่วยกลุ่มรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพื่อจะช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโควิด-19 และสามารถรักษาตัวเองที่บ้านได้ ก็จะมีการติดต่อคุณหมออยู่ตลอดทุกวัน และที่สำคัญก็จะมียา มีการช่วยเหลือเบื้องต้นนะครับ
แต่ถ้าผู้ป่วยอาการหนัก เช่น จำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาล เราก็จะติดต่อประสานให้ เพื่อบริหารจัดการการใช้เตียงให้เกิดประโยชน์ที่สุด” นายชัยวุฒิกล่าว

อีกทั้ง ความร่วมมือข้ามภาคส่วนในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพในการจัดระบบการบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพซึ่งประชากรทุกระดับสามารถเข้าถึงได้ดีขึ้น เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ในการเข้าถึงผู้ป่วย ทำให้การรักษาและติดตามอาการ ง่ายและสะดวก ที่สำคัญสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อีกทางหนึ่ง

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลหลายแห่งติดต่อเข้ามาเพื่อขอใช้บริการแล้ว  และวานนี้ (3 ส.ค. 64) ตนได้ลงพื้นที่เขตบางคอแหลม  กับคุณหมอจิตอาสาเพื่อสำรวจการใช้งานว่าติดขัดหรือไม่ และต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกบ้าง รวมทั้งได้รับเสียงตอบรับว่าการที่กระทรวงฯ และเอ็นที ช่วยพัฒนาระบบนี้ เป็นประโยชน์อย่างมาก

ด้านนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (เอ็นที)  กล่าวว่า เอ็นที ยินดีที่ได้เข้ามาร่วมพัฒนา DE Covidhomecare Solution  และได้มีส่วนช่วยประชาชนในสถานการณ์โควิด ที่ทุกคนต้องช่วยกันผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ปัจจุบันได้จัดตั้งไลน์กลางสำหรับระบบนี้ไว้ที่บัญชีไลน์ทางการชื่อ Covid Home Care

ขณะที่ น.พ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก กล่าวว่า ระบบช่วยบริหารจัดการผู้ป่วยซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ และเอ็นที ช่วยพัฒนาขึ้นมาครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ป่วยที่อาจไม่ต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาล หรือไปศูนย์พักคอยต่างๆ  อีกทั้งช่วยแบ่งเบาภารกิจของแพทย์ สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

“ก็ต้องยอมรับนะครับว่าเป็นระบบที่ใช้งานง่าย เป็นระบบที่คุ้นเคยอยู่แล้ว คนไข้มาปุ๊ป สามารถบอกว่าโอเค มีส่วนที่เหมือน Line เหมือน Zoom ส่วนที่ทำงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” น.พ.ฆนัทกล่าว

'น้าเดช' เปิดต้นเหตุความแตกแยกมาจากคำสั่ง 66/23 ทหารประมาทต่อ 'ศึกในเมือง' ที่ก่อตัวคุกรุ่นอยู่เงียบ ๆ

นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ หรือ 'น้าเดช' นักสื่อสารมวลชนด้านยานยนต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง 66/23  มีเนื้อหาดังนี้...

๖๖/๒๓

ข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีหลักวิชาการ ไม่มีหลักฐานอะไรมาอ้างอิง ความคิดเห็นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าต่อขานใคร เพราะในช่วงเวลาที่แตกต่าง ในสถานการณ์ที่แตกต่าง คนที่ตัดสินใจย่อมคิดเอาเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ มาเป็นองค์ประกอบสำหรับตัดสินใจ ต่างจากผมที่ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมานาน มาเป็นองค์ประกอบในการแสดงความคิดเห็นครั้งนี้

เหตุการณ์ในประเทศไทยทุกวันนี้ ที่คนต่างวัยมีความเห็นที่แตกต่างกัน ผู้คนในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา มีความคิดที่ไปกันไม่ได้กับคนสูงวัยส่วนใหญ่ มีนักวิเคราะห์ นักวิชาการ มากมายออกมาแสดงความเห็นกันเอาไว้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มาจากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คราวนี้ผมจะขอแสดงความเห็นของผมบ้าง

ในความเห็นของผมก็คือ มันมีต้นเหตุมาจากคำสั่ง ๖๖/๒๓ อันโด่งดัง ครั้งนั้นประเทศไทยเรามีเหตุการณ์ต่อสู้กัน ทั้งทางความเชื่อและต่อสู้กันด้วยอาวุธ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ มีคนไทยบาดเจ็บล้มตายกันทุกฝ่าย คนที่มีการศึกษากลุ่มหนึ่ง หนีภัยการเมืองเข้าป่า บางคนก็เตลิดไปไกลถึงประเทศอื่น แล้วก็ไปเพาะบ่มเชื้อทางความคิดให้กับชาวบ้านที่ห่างไกล ภายใต้แนวคิดแบบ “ป่าล้อมเมือง” จนกระทั่งมีนักคิดทางการทหาร ได้คิดมาตรการที่เรียกกันว่า ๖๖/๒๓ ขึ้นมา เป็นการเรียกร้องให้ฝ่ายที่ต่อสู้อยู่ในป่า กลับคืนมาเข้าเมืองโดยไม่มีความผิด  เพื่อให้กลับมาเป็น “ผู้พัฒนาชาติไทย” ร่วมกัน

คำสั่ง ๖๖/๒๓ ได้ผลดีตรงที่มีคนออกจากป่ากลับเข้าสู่บ้านเมืองมากมาย จนทำให้การต่อสู้ทางอาวุธยุติลงแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การต้อนรับคนกลับจากป่า แม้จะมีการวางแผนเอาไว้ในทางวัตถุ แต่ไม่ได้มีการวางแผนในทางปฏิบัติการจิตวิทยาเอาไว้อย่างจริงจัง มันจึงเป็นการดึงศัตรูที่เคยปฏิบัติการ “ป่าล้อมเมือง” ให้เปลี่ยนแผนยุทธวิธีมาเป็น “ส้องสุมกำลังในเมืองเพื่อล้มเมือง”

โดยจะเห็นได้ว่า นักศึกษา นักวิชาการ นักคิดทางการเมือง นักปลุกระดมทางการเมือง ที่กลับออกมาจากป่า กลับมาส้องสุมกันในมหาวิทยาลัยในฐานะ “ผู้สอน” มาส้องสุมกันในสื่อหลายสำนักในฐานะ “คนเดือนตุลา” ที่เป็นนักคิดนักเขียน หลายคนกลับเข้ามาในฐานะนักการเมืองหัวก้าวหน้า คนกลุ่มนี้กลับจากป่ามาสู่เมือง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา “ปลูกฝังความคิด” เสกเป่าความเชื่อและแนวทางของตนเอง ใส่คนรุ่นใหม่ในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีการศึกษาดี ๆ สูง ๆ

พ่อแม่ที่เป็นคนอายุเท่าเทียมกับคนที่กลับเข้าเมืองและรู้เท่าทัน ก็ยังไม่ได้คิดระแวงอันใด เพราะยังคิดเหมือนกับสมัยที่ตนเองยังศึกษาอยู่ ว่าสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยคือที่เพาะบ่มความรู้ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นความรู้พิษที่ถูกเพาะบ่มเอาไว้อย่างเนิ่นนาน ฝ่ายด้านนักการทหารก็คิดว่าศึกนี้สงบราบคาบไปแล้ว เพราะแนวคิด ๖๖/๒๓ ก็มาจากนักคิดฝ่ายทหารเอง จึงปล่อยวางและประมาทต่อ “ศึกในเมือง” ที่ก่อตัวคุกรุ่นอยู่เงียบ ๆ

วันนี้เมื่อสังคมไทยมีคนรุ่นใหม่ที่ถูกบ่มเพาะจากเชื้อร้าย ของผู้กลับออกมาจากป่าภายใต้คำสั่ง ๖๖/๒๓ มากขึ้น เราจึงเห็นสภาพความคิดของคนในสังคมแตกแยกกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จนยากที่จะประสานได้ และหากต้องการที่จะแก้ไขในระยะยาว ก็คงต้องใช้วิธีการ “กำจัดปลวกด้วยการทำลายรังปลวก” เท่านั้น แต่ทั้งนี้ “แมงเม่า ที่บินออกมาจากรังปลวกเดียวกัน” ก็ต้องทำใจได้ หากว่ารังปลวกจะต้องถูกทำลายไป เพื่อสร้างรังใหม่ที่เข้มแข็งขึ้นมาแทนที่…

หมายเหตุ >> คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/23 เป็นคำสั่งรัฐบาลไทยที่กำหนดนโยบายสำคัญในการต่อสู้กับการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ช่วงปลายสงครามเย็น คำสั่งดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2523 และลงนามโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ คำสั่งนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากท่าทีทหารสายแข็งที่ดำเนินมาตั้งแต่รัฐบาลฝ่ายขวาธานินทร์ กรัยวิเชียร (ครองอำนาจ 2519 ถึง 2520) มาสู่สายกลางมากขึ้น ซึ่งให้ความสำคัญมาตรการทางการเมืองเหนือการปฏิบัติทางทหารอย่างเป็นทางการ

คำสั่งนี้กำหนดให้มีการจัดการความอยุติธรรมทางสังคม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตย มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสอดคล้องกับคำสั่งอนุญาตให้ผู้แปรพักตร์ผละขบวนการก่อการกำเริบ ซึ่งเมื่อประกอบกับการเสื่อมลงของการสนับสนุนจากต่างชาติ นำไปสู่การเสื่อมลงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4236655333084162&id=100002192101649

https://www.thaipost.net/main/detail/112196

https://th.m.wikipedia.org/wiki/คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่_66/2523


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พท.แถลงย้ำชัดตัดเงินเข้างบกลางเพื่อแก้โควิด ปชช.เท่านั้น ปัดให้ “ประยุทธ์” ถลุงตามอำเภอใจ ชี้มีกลไกตรวจสอบ ลั่นอย่าทำร้าย ปชช.

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รองประธานกรรมาธิการงบประมาณปี 65 และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท.แถลงข่าวเรื่องงบกลางเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า เราตระหนักถึงสถานการณ์ การแพร่ระบาดส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นในส่วนของการปรับลดในชั้นอนุฯ จึงช่วยกันปรับลดโดยหลายพรรคช่วยกัน เห็นว่าควรนำมาใช้แก้ปัหาโควิด เพราะเงินจำนวนนี้รัฐบาลไม่ต้องไปกู้เงิน ประชาชนไม่ต้องแบกภาระหนี้ ทั้งนี้ มีคำถามเกี่ยวกับการใช้งบกลางช่วงที่ผ่านมา คือเอางบกลางไปให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้ โดยสิ่งที่กรรมาธิการของพรรคพท.คิดและตัดสินใจนั้น คือเอางบกลางเป็นงบโควิด  เป็นงบให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ยืนยันได้จากคำขอในการใช้งบกลางของรัฐบาล และกรรมาธิการสามารถตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณได้ เราเห็นโดยสุจริตว่าการเอาไว้ในงบกลางจะปลอดภัยจากปัญหาการถูกกล่าวหาว่าการแปรญัตติ ทำให้ ส.ส.หรือกรรมาธิการมีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณตามข้อวิตกกังวลของหลายฝ่าย ซึ่งเป็นความผิดถึงขั้นมีโทษทางอาญา และเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่ง

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การใช้งบกลางมีเหตุผลในกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ได้ตั้งงบปกติไว้ มีระเบียบการใช้งบกลางรองรับมิได้หมายความว่าจะสามารถใช้ได้โดยปราศจากการตรวจสอบ ในความเป็นจริงข้อเสนอว่าจะนำงบที่ปรับลดไปใช้อะไร ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรรมาธิการแต่ละท่าน แม้ว่าพรรคพท.จะเห็นด้วยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านบางพรรคให้เอาไปใช้ในทางใด ในความเป็นจริงก็ไม่อาจที่จะเป็นมติของกรรมาธิการเสียงข้างมากได้อยู่แล้ว ดังนั้น ที่เถียงกันอยู่นี้ คือเถียงกันในประเด็นที่ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายรัฐบาลได้ เป็นการทำลายตัวเองด้วยกันโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ ขอย้ำการตัดสินใจของกรรมาธิการของพรรค พท. ไม่เกี่ยวกับสถานภาพการยอมรับในตัว พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ซึ่งเรายังยืนยันว่าไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ และจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเร็วๆ นี้ เป็นการตัดสินใจโดยสุจริต ปราศจากผลประโยชน์ใดๆ อยู่บนพื้นฐานว่างบส่วนนี้ควรนำไปใช้ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนซึ่งกำลังลำบากแสนสาหัสจากพิษภัยของโควิด และมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อไม่อาจจบสิ้นไปได้โดยง่าย

“ส่วนคำกล่าวที่ว่าเอางบกลางไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ จะเอาไปใช้อย่างไรก็ได้ เอาไปซื้ออาวุธมายิงประชาชน จึงเป็นคำกล่าวที่เกินเลยข้อเท็จจริงไปมาก เป็นไปไม่ได้ ส่วนที่อ้างว่าเอาไปไว้ในงบกลางคือการรื้อฟื้นงบส.ส.จะเกิดการวิ่งเต้นเหมือนในอดีต หรือแบ่งเค้กกันนั้น ท่ามกลางการมีมาตรา 144 ที่เอาผิดทั้ง ส.ส.กรรมาธิการ รวมไปถึง ครม.เจ้าหน้าที่ประจำ จะมีกรณีนั้นเกิดขึ้นได้หรือ เราไม่เคยคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว แต่ต้องทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด ผมขอใช้คำว่างบกลางว่างบโควิดเพื่อประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนที่มีคนกล่าวอ้างว่าเราไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น หรือกระทรวงอื่นๆนั้น เราให้ความสำคัญกับท้องถิ่นตลอดมา แต่หากไปพิจารณาดูรายการในงบประมาณหน่วยงานต่างๆ ที่กล่าวมานั้นมิได้มีแผนงานหรือรายการงบประมาณที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาโควิดไว้เลย และการนำงบประมาณส่วนนี้ไปไว้ในงบกลาง มิได้หมายความว่าหน่วยงานอื่นๆ จะไม่สามารถใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้ ยังสามารถที่จะมีคำขอใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้  เพียงแค่ต้องเป็นกรณีนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในกรณีโควิดเท่านั้น ทั้งนี้ พรรคพท.ยืนยันว่าการตัดสินใจของกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยเป็นไปโดยรอบคอบ สุจริต คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ระมัดระวังมิให้ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ เป็นการตัดสินใจที่อยู่บนสภาพความเป็นจริง บนสภาพที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา แยกมิตร แยกศัตรู ไม่ทำร้ายใคร สภาพความจริงคือการต่อสู้ไป ยืนยันไปก็ไม่ชนะ แทนที่จะหาทางเอาชนะ แต่ไม่อยากให้เรามาทะเลาะกันเองในเรื่องที่ไม่ชนะ เราต้องต่อสู้กับความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลอีก ทั้งนี้ เราสามารถตรวจสอบได้การใช้งบได้ ทั้งการยื่นญัตติ หรือการตั้งกระทู้ถามที่ฝ่ายค้านตรวจสอบได้ และงบกลางตามระเบียบที่เขียนไว้ชัด 

ด้านนายวรวัจน์ ​กล่าวว่า งบประมาณมีกฎเกณฑ์และระเบียบวิธีการค่อนข้างมาก วันนี้เราต้องยอมรับก่อนว่าวิกฤตจากสถานการณ์โควิดค่อนข้างมาก งบ 3.1 ล้านล้านบาทนั้น มาจากการที่หน่วยงานต่างๆทำเรื่องขอไปยังไปรัฐบาล กมธ.ทำการปรับลดงบประมาณจากส่วนที่เราเห็นว่ามีความจำเป็นน้อย หรือไม่เข้ากับสถานการณ์ การจัดงบประมาณปี 65 เป็นการจัดตามแผนเดิมที่ไม่มีเรื่องของโควิดอยู่เลย เพราะจัดทำงบฯตั้งแต่เดือนปลายปี 63 ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์โควิดดีขึ้นจากการระบาดรอบแรก มีเพียงแผนงบกลางเท่านั้นที่เขียนให้ใช้เงินในเรื่องโควิดได้ เมื่อเราเห็นว่าสถานการณ์โควิดที่ทวีความรุนแรงขึ้น เราจึงตัดสินใจนำเงินไปใส่ไว้ในแผนที่สามารถนำมาใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับโควิดได้ นั้นคือแผนงานงบกลาง ที่ถามว่าทำไมให้งบกับท้องถิ่นนั้น ก็ไม่มีเรื่องของคำขอการแก้ปัญหาโควิดเช่นเดียวกัน ในส่วนของกองทุนประกันสังคมและกองทุนเพื่อการศึกษา หรือแม้แต่เรื่องหลักประกันสุขภาพ ก็ไม่มีคำขอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 เลย ทั้งนี้ ที่บอกว่าตีเช็กเปล่านั้นไม่เป็นความจริง เพราะไม่สามารถใช้งบเป็นอย่างอื่นได้นอกเหนือคำขอ ต้องระบุรายการให้ชัดเจน 

“ต้องแยกความไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์กับสถานการณ์โควิด เราเลือกการแก้ปัญหาโควิดให้พี่น้องประชาชนก่อน อย่าตัดโอกาสประชาชน ถือเป็นความประมาท ผิดพลาดที่ไม่มีหน่วยงานใดที่จัดสรรงบเพื่อโควิดเลย ทั้งนี้ สี่ปีข้างหน้าอย่าเลือกคนที่เราไม่ไว้วางใจเข้ามาอีก” นายวรวัจน์ กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ที่มีการกล่าวหาว่าพรรคพท.เอางบไปใส่งบกลางเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ตามอำเภอใจ ใช้งบซื้อกระสุนยางมายิงประชาชนนั้น เป็นข้อหาที่รุนแรงจริงๆ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับงบก้อนนี้ เราไม่ได้ให้ พล.อ.ประยุทธ์เอางบไปยิงประชาชน ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องช่วยกันประณาม ทั้งนี้ ในส่วนของงบ 1.6 หมื่นล้าน คำอภิปรายของ ส.ส.ทุกคนในวาระแรก พูดตรงกันว่าต้องนำเงินมาใช้แก้ไขสถานกาณ์โควิดให้มากที่สุด ดังนั้นกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพท.ระบุว่าเมื่อตัดงบแล้ว ต้องนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาโควิดโดยตรง เราพยายามหาช่องทางที่นำไปใช้ซึ่งก็คืองบกลางที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อแก้ปัญหาโคิดเท่านั้น เราจึงจัดงบเพื่อประชาชน แต่โชคร้าย คือนายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบบริหารจัดการงบกลาง ส่วนจะว่าตีเช็กเปล่าหรือไม่นั้น หน้าที่ของกรรมาธิการฯ คืออนุมัติงบตามคำขอ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะใช้ตามอำเภอใจไม่ได้เพราะมีกฎหมายกำกับ เช่น พ.ร.บ.เงินคงคลัง หรือ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฯ  กำหนดไว้ชัดว่าต้องใช้ตามวิธีงบประมาณ และมีระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ.2562 ระเบียบนี้กำหนดแม้กระทั่งว่าหน่วยรับงบที่จะแก้โควิดต้องทำคำขอขึ้นมา จึงไม่ใช่การตีเช็กเปล่า ที่สำคัญสภาฯ มีบันทึกแนบท้ายร่างกฎหมายว่างบ 1.6 หมื่นล้านเพื่อแก้ปัญหาเยียวย่โควิดเท่านั้น นอกจากนี้มีระบบการตรวจสอบโดยกรรมาธิการสามัญ เช่น กรรมาธิการสาธารณสุข หรือกรรมาธิการแรงงานที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ได้ 

“แม้จะเป็นประเด็นระหว่างพรรคการเมือง แต่ก็เป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้แทนของเขา พรรคพท.อดทนเพื่อประชาชน เราทำถูกตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เราไม่ได้ให้งบกลางไปใช้ซื้ออาวุธทำร้ายประชาชน แต่โชคร้ายที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนใช้ ถามว่าทำไมเราไม่เอาคนไร้ความสามารถออกไป แล้วหาคนที่มีความสามารถมาบริหาร ช่วยกันทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกไป อย่าทำร้ายประชาชนด้วยการไม่ให้เงิน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดี เอา พล.อ.ประยุทธ์ออกไป เราต้องช่วยกัน แต่ไม่ใช่ทำร้ายพี่น้องประชาชนโดยการไม่ให้เงินเขา เขาไม่มีข้าวกิน ไม่มีออกซิเจน ไม่มีเครื่องตรวจ เงิน 1.6 หมื่นล้านบาทนี้มีประโยชน์ต่อเขามาก ที่จะทำให้เขาไม่ตาย การทำงานของ กมธ.พรรคพท. เรามั่นใจในความสุจริต” นพ.ชลน่าน กล่าวและว่า ในวาระสอง เราจะอภิปรายสนับสนุนกรรมาธิการฯ ว่าทำเพื่อประชาชน ใครที่หากินกับโรคระบาด คนๆ นั้นจะเป็นผู้เสียหายเองในที่สุด เพราะไปหากินกับซากศพประชาชน 

เมื่อถามว่าที่ผ่านมา เช่น งบประมาณปี 64 หลังจากที่ตัดแล้วเอาไปไว้ตรงส่วนไหน นายวรวัจน์​ กล่าวว่า มีการโอนงบฯไปไว้งบกลางเพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิดบางส่วน เพราะปีที่แล้วเรามีแผนงบตรงนี้ตั้งไว้ แต่ปีนี้ งบฯ 3.1 ล้านล้านบาทไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับโควิดเลย ดังนั้นในส่วนนี้เราจึงตัดสินใจเอางบฯ 1.6 หมื่นล้านบาทนี้ไปไว้ที่งบฯกลาง เพื่อให้มีงบฯในส่วนของโควิด นี่คือความผิดพลาดของการจัดสรรงบฯ 65 ที่ไม่มีหน่วยงานใดจัดสรรงบฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโควิดเลย เป็นความประมาทอย่างยิ่ง เราเพียงมาช่วยแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้นเอง 

ยื่นป.ป.ช.! “ศรีสุวรรณ” เตรียมร้อง ป.ป.ช. สอบจริยธรรมร้ายแรง “เสรีพิศุทธ์” หลังศาลปกครองสูงสุดยกคำขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่าวันที่ 5 ส.ค. 64 สมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและมีความเห็นกรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย อันเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ 

เนื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำการทิ้งหิน ดิน ล่วงล้ำลำน้ำแควน้อยเกินกว่าแนวเขตที่ดินของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ตาม ม.119 แห่ง พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทย 2456  พร้อมกับมีการปลูกต้นไม้ทำเป็นสวนหย่อมและทำทางเท้าปูด้วยแผ่นหิน อันเป็นการปลูกสร้างสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในน้ำ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี 2551 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอำนาจโดยชอบตาม ม.118 ทวิ แห่งกฎหมายเดียวกันที่กรมเจ้าท่าใช้อำนาจโดยชอบสั่งให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำในแม่น้ำแควน้อยออกไปภายใน 30 วัน  ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว 

การกระทำของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  ซึ่งเป็น ส.ส.และหัวหน้าพรรคการเมือง  จึงอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของ ส.ส.ปารีณา ไกรคุปต์  สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย  จึงร้องเรียนขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และมีมติส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกันต่อไปด้วย

พท.แนะ พปชร.ประกาศให้ชัดเสนอ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ อีก พรรคร่วมรบ.ยืนยันไม่ถอนตัว หนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ ต่อ เย้ยรอรับผลหลัง ลต.ได้เลย

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พร้อมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ออกมาย้ำภาพความสัมพันธ์ ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว หลังล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่ง ผู้เสียชีวิตเพิ่มยิ่งกว่านิวไฮ จนอาจเป็นนิวนิวไฮ มาตรการล็อกดาวน์ต้องขยายจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัดสีแดงเข้ม เป็นหลักฐานยืนยันว่ามาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย แม้รัฐบาลจะไอโอว่าไม่ทิ้งประชาชน แต่ประชาชนเกือบทั้งประเทศได้ทิ้งรัฐบาลไปนานแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลเชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ สวนทางกับประชาชนที่ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล ดารา คนรุ่นใหม่ ประชาชนทุกภาคส่วนออกมาคอลเอาต์ เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทุกอย่างต้องรอ ตั้งแต่รอวัคซีน รอตรวจ รอเตียง รอหมอ จนถึงรอเมรุ น่าเสียใจที่นักการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ไม่รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน พรรคร่วมรัฐบาลมีสิทธิตัดสินใจอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อกล้าท้าทายความรู้สึกของประชาชน ถึงวันเลือกตั้งต้องรอฟังและเคารพการตัดสินใจของประชาชน ยอมรับชะตากรรมจากการตัดสินใจสวนทางกับประชาชน 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ภาพการอุ้มชู พายเรือให้พล.อ.ประยุทธ์นั่ง ไม่สนใจปัญหาเดือดร้อนความทุกข์ยากของประชาชน จะอยู่ในความทรงจำของประชาชนอย่างยาวนาน เพื่อให้เป็นหลักฐานชัด ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลดำเนินการยืนยัน 3 ข้อดังนี้ 1.พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคควรออกมายืนยันว่าจะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล 2.พรรคพลังประชารัฐควรออกมายืนยันให้ชัดว่าจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 3.พรรคร่วมรัฐบาลควรออกมายืนยันจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นการทำหน้าที่ครั้งสำคัญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ส่วนจะมีอภิปรายรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น จะหารือกันต่อไป

“ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค จำวันที่พวกท่านเชื่อมั่นพล.อ.ประยุทธ์ จำวันที่ท้าทายประชาชนไว้ให้ดี เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ต้องรอรับผลการตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้ง และก้มหน้ายอมรับผลนั้นให้ได้” นายอนุสรณ์ กล่าว

คนรุ่นใหม่ ปชป. วอน ศบค. และ กพท. ทบทวนเดินทางด้วยบัสมาใช้เครื่องบินแทนสำหรับนักท่องเที่ยวภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์  เหตุใช้เวลาเดินทางกว่า 14 ชม. เสี่ยงติดเชื้อ 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าจากมาตรการยกระดับระลอกใหม่ ของศบค. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ได้ส่งผลให้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศห้ามสายการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่สีแดงเข้ม ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้เที่ยวบินทุกสายในประเทศ ต้องหยุดทำการบินทันที เพื่อรองรับมาตรการควบคุมโรค

จากมาตรการดังกล่าว ทำให้สายการบินไม่สามารถทำการบินเที่ยวบินในประเทศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมืองได้ ขณะที่บางสายการบินย้ายฐานการบินไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภา จ.ระยอง เพื่อให้บริการผู้โดยสาร แต่หลังจากที่ ศบค. ได้ประกาศพื้นที่ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 เพิ่มเป็น 29 จังหวัด ในวันที่ 1 ส.ค. โดยพบว่าจังหวัดระยองเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ทำให้ไม่สามารถทำการบินได้ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.เป็นต้นไป จึงส่งผลกระทบกับการเดินทางของนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์”

ภาครัฐจึงได้จัดโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ เอ็กเปรส บัส” เพื่อทดแทนเครื่องบินที่ไม่สามารถทำการบินได้ และรถโดยสารประจำทางที่หยุดให้บริการเดินรถ ให้บริการเฉพาะผู้โดยสารโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ผู้ติดตามและสมาชิกครอบครัวของผู้โดยสารเท่านั้น ต้นทางจังหวัดภูเก็ต ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดินทางจากภูเก็ตตั้งแต่ 05.00 น. ถึงกรุงเทพมหานครเวลา 21.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 14 ชั่วโมง ใน ขณะที่การโดยสารทางเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น 

นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช หนึ่งในคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอาชีพเป็นนักบิน และเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาสาศูนย์ประสานงานฉุกเฉินในสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.) ได้มีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่าการที่ผู้โดยสารต้องใช้เวลาอยู่บนรถบัสถึง 14 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ในการเดินทางร่วมกับผู้โดยสารท่านอื่นที่อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ในขณะที่การโดยสารทางเครื่องบินนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่ากันมาก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในเรื่องของระบบระบายอากาศ และระยะเวลาในการเดินทางที่สั้นกว่า 
“จาก 14 วันที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม) ตั้งแต่การประกาศหยุดบินครั้งแรก 14 วัน ก่อนที่จะมีการต่อขยายนั้น จะพบว่าไม่สามารถช่วยควบคุมสถานการณ์ได้เลย ผู้ติดเชื้อยังคงสูงทุกวัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นแนวทางที่ไม่ได้ผล แต่ในทางกลับกันเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ซ้ำร้ายยิ่งกว่าเดิม” นายพันธ์พิสุทธิ์ กล่าว

นายพันธ์พิสุทธ์ ยังกล่าวต่อด้วยว่านอกจากนี้การปิดการบินในประเทศยังทำให้คนมีความจำเป็นต้องเดินทางในระยะทางไกล ต้องหาหนทางอื่นในการเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นการผลักดันคนกว่า 20,000 ชีวิตเป็นอย่างน้อยในอุตสาหกรรมนี้ให้กลายเป็นคนตกงานหรือว่างงานทันที จึงอยากให้ ศบค. และ กพท. ทบทวนการหยุดบินในประเทศแบบ ”เร่งด่วน” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในกลุ่มที่มีความจำเป็นในการเดินทาง และเป็นการช่วยเหลือกลุ่มสายการบินให้ต่อลมหายใจต่อไปได้ โดยอาจเพิ่มมาตรการบางอย่างในการเดินทางเพื่อลดความเสี่ยง เช่นการนั่งเว้นที่ หรือแม้กระทั่งใช้เอกสารยืนยันการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจโควิดมาใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยงต่อไป

‘ราเมศ’ เผย ‘ชินวรณ์’ ยังตามติด แก้ รธน. 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการว่า กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยังคงเดินหน้าตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้คืออยู่ในชั้นการพิจารณา 

กรรมาธิการในส่วนของพรรคที่ 3 คน คือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ยังคงติดตามและทำงานในชั้นคณะกรรมาธิการอย่างเต็มที่ ทั้งการแสวงหาแนวร่วม พูดคุยเพื่อให้กรรมาธิการมีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และที่สำคัญ นายชินวรณ์ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการเชื่อมความเข้าใจ และความเห็นพ้องต้องกันกับบุคคลในพรรคและในส่วนของพรรคต่างๆด้วย ซึ่งคาดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็จะมีการประชุมพรรคเพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหตุเพราะมีสมาชิกรัฐสภายื่นคำแปรญัตติมาหลายคน ก็มีความจำเป็นต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อให้ได้ทราบว่าทิศทางของกรรมาธิการจะเป็นไปในทิศทางใดในเรื่องโครงสร้างระบบเลือกตั้งทั้งหมด วันนี้ก็จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดกรอบการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพ ในส่วนของพรรคเชื่อว่าจะมีการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทันในสมัยประชุมนี้ 

นายราเมศ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคได้มีจุดยืนชัดเจนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ภายใต้หลักการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้วจะมีการยุบสภาหรือไม่คงไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นเรื่องของอนาคตและเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top