Thursday, 2 May 2024
POLITICS NEWS

กรณ์-วรวุฒิ พรรคกล้า  ชวนอุดหนุนมังคุดใต้ คัดเกรดพรีเมี่ยมส่งตรงจากเมืองคอน เพจPokPok ไลฟ์ขายสด อังคารที่ 10 สิงหา เวลา 1 ทุ่มตรง   

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และนายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค ประสานเสียงชวนคนไทยอุดหนุนมังคุดใต้ ส่งตรงจากชาวสวน จ.นครศรีธรรมราช  รสชาติเหมือนนั่งกินในสวน  โดยจะทำการ live สดขายผ่านเพจ  “PokPok รถอาหารแสนอร่อย”

นายกรณ์ กล่าวว่า จากปัญหาภาคขนส่งติดโควิด พ่อค้าคนกลางกดราคา มังคุดขายหน้าสวนราคาเพียง กิโลละ 5-8 บาท  ส่งผลให้ชาวสวนเดือดร้อน PokPok จึงได้ซื้อมังคุดตรงจากชาวสวนในราคา  กิโลกรัมละ 20 บาท  ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรได้กำไร โดยมีเงื่อนไขให้ชาวสวนคัดมังคุดอร่อยของสวนตัวเอง พร้อมติดโลโก้สวนเพื่อประชาชนสัมพันธ์  โดย PokPok รถอาหารแสนอร่อย พร้อมพันธมิตร MuvMi ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า จะนำมังคุดมาช่วยจัดส่งถึงบ้านคุณ ในราคาเพียงกล่องละ 300 บาท (10 กก.) เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากการขนส่งในต่างจังหวัดยังติดขัดด้วยระบบโลจิสติกส์ที่ตัองใช้เวลาหลายวันอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ยังสามารถซื้อได้ที่ WeChef Food Truck ในราคา กก. ละ 30 บาท โดยรถจะจำหน่ายในปั๊ม ปตท.สาขา ถ. กัลปพฤกษ์ 

“เชิญนะครับ นอกจากจะได้อร่อยไปกับมังคุดแล้ว ท่านยังได้ช่วยเกษตรกรโดยตรงอีกด้วยพบกัน 1 ทุ่มตรง 10 สิงหาคมนี้  ของมีจำนวนจำกัดครับ ห้ามพลาด” หัวหน้าพรรคกล้ากล่าว

‘วิโรจน์’ ต้านรัฐบาลออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งผู้จัดหาวัคซีนตัดสินใจผิดพลาดทำประชาชนตาย

‘วิโรจน์’ ต้านรัฐบาลเตรียมออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งผู้จัดหาวัคซีนตัดสินใจผิดพลาดทำประชาชนตาย ชี้เล็งเห็นหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า แต่ก็มิได้ตระเตรียม หรือกระจายความเสี่ยงเอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น ก็ควรต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะถูก หรือผิด ศาลท่านจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ไม่ควรที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเองล่วงหน้า เยี่ยงคณะรัฐประหารเช่นนี้

จากกรณีวันที่ 6 สิงหาคม 2564 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้เปิดเผยเอกสารนำเสนอ เพื่อตรา พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ.... ( https://drive.google.com/file/d/1QsC3KxcyVWtqJDZgYAedkrJz1ByZYmB7/view?fbclid=IwAR1yn-etAjYr6hjgibyhYi7naE1k9AMq1YbfHmPvmuBruXCNRhKy2NUe9y4 )

โดยในเอกสารมีใจความหลักคือเสนอให้มีการออกกฎหมาย เพื่อจำกัดความรับผิดของบุคลากรสาธารณสุขและสถานพยายาลในระดับต่างๆ ที่ทำงานปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่มีการรวมถึงข้อ 7. ว่าด้วย “บุคคล/คณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาหรือบริหารวัคซีน”

โดยในวันที่ 8 สิงหาคม 2564 นายวิโรจน์กล่าวในการแถลงข่าวพรรคก้าวไกลประจำสัปดาห์ว่า “พรรคก้าวไกลเห็นด้วย หากจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อปกป้องการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ โดยสุจริตไม่มีการเลือกปฏิบัติ ของบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ก็คงไม่มีใครแย้ง

แต่การที่จะปกป้องบุคคล หรือคณะบุคคลที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย ในการจัดหา และบริหารจัดการวัคซีนด้วย ล้วนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ ที่กำลังประสบกับทุกข์ภัยอย่างแสนสาหัส เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า คับแค้นจนน้ำตาเป็นสายเลือด ไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะหากการที่มีประชาชนตายด้วยโรคระบาดเป็นจำนวนมาก เด็กเล็กๆ หลายคนต้องเป็นกำพร้า เกิดจากการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกับหลักวิชา หรือผลการศึกษาวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่บนวารสารวิชาการทางการแพทย์ระดับนานาชาติไว้แล้ว หรือเล็งเห็นหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า แต่ก็มิได้ตระเตรียม หรือกระจายความเสี่ยงเอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น เบิกจ่ายล่าช้าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ดังนั้น บุคคล หรือคณะบุคคลที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย ก็ควรต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะถูก หรือผิด ศาลท่านจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ไม่ควรที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเองล่วงหน้า เยี่ยงคณะรัฐประหารเช่นนี้”

"ศุภชัย" สุดทน อัด การเมืองใหม่ใช้วิธีทำงานแสนสกปรก เหน็บมีชีวิตได้เพียงเพราะด่าผู้อื่นหลังขี้แพ้ซ้ำซาก

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว หลังเกิดกระแสดราม่า เรื่องป้ายมอบวัคซีนไฟเซอร์ จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โดยระบุว่า มีชีวิตได้ เพียงเพราะได้ด่าผู้อื่น ประเด็นดราม่าเรื่อง “ป้าย รมต.มอบไฟเซอร์” เมื่ออ่านข้อมูลครบถ้วน ก็ไม่มีอะไรมากกว่าการเล่นการเมืองสกปรก ของพวกขี้แพ้ซ้ำซาก ที่จับเอาทุกประเด็นมาโจมตีรัฐบาล โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง หวังเพียงแต่สร้างเรื่องดราม่า ให้เป็นกระแส ได้สนุกสนานครื้นเครงแล้วก็จบไป

เรื่องของเรื่องก็เป็นแค่ความหวังดีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงาน ที่ต้องการให้ให้เกียรติรัฐมนตรีมามอบวัคซีน แล้วก็ทำป้าย มูลค่าป้ายที่ทำไม่เกิน 50 บาทแน่นอน แต่ที่สุดแล้วป้ายนั้นก็เอาลง ไม่ได้ใช้ เพราะทางฝ่ายสถานที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ในงานก็ไม่มีป้ายนั้นปรากฏอยู่ และตอนรัฐมนตรีมาถึง ก็ไม่มีการขึ้นป้ายที่ว่า เรื่องก็มีแค่นี้ 

เปรียบเทียบเหมือนเราทำงานมาเสนอหัวหน้า หัวหน้าไม่เอา ก็ตัดออกจบ แต่สำหรับฝ่ายการเมืองสายปลุกปั่นสังคม พอเห็นภาพนี้ก็เอามาแต่งเรื่องราวใหม่ บิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ คนกลุ่มเดิม ก็หาเรื่องใหม่มาด่าต่อเรื่อยๆ นี่คือการเมืองน้ำเน่าสกปรก ยกตัวอย่าง การที่คนของฝ่ายปลุกปั่นไปเคลมว่าตัวเองมีส่วนในการนำไฟเซอร์ จากสหรัฐอเมริกาเข้ามา พอทางการสหรัฐฯ แถลงว่าไม่จริง พวกเขาก็เงียบ ยิ้มแหะๆ แล้วก็จากไป ต่อมา พวกเขาบอกว่า จะหาไฟเซอร์เข้ามาในเดือน ก.ค. พูดจนหุ้นในกลุ่มพวกเขาพุ่งเอาๆ แต่เมื่อทำไม่ได้ พวกเขาก็เงียบ ยิ้มแหะๆ แล้วก็จากไป จากนั้น เมื่อตำรวจที่มีหน้าที่รับผู้ป่วยได้ฉัดวัคซีนเข็ม 3 พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาด่า แต่เมื่ออาสาในกลุ่มพวกเขาได้รับ พวกเขาก็เงียบ ยิ้มแหะๆ แล้วก็จากไป มีกี่เรื่องแล้ว ที่คนกลุ่มนี้ เอาแต่วิจารณ์โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง 

หลายครั้งการด่าของเขา ไปกระทบกับคนทำงาน ไปกระทบกับการทำงาน แต่ถามว่าเขาเคยสำนึกหรือไม่ เขาเชื่อว่าสังคมไทยขับเคลื่อนด้วยการด่า การด่าของพวกเขาช่างมีพลัง ทั้งที่การด่า และพลังงานด้านลบไม่ใช่แรงผลักให้คนทำงานลงมือทำ เพราะต่อให้ไม่มีแรงด่า เขาก็ต้องทำทุกอย่างไปตามแผนอยู่แล้ว แต่การด่าทอ การบิดเบือนทั้งหลาย เป็นขุมพลังงานให้กลุ่มการเมืองเลวๆ พรรคการเมืองเลวๆ ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง เป็นการทำงานการเมืองที่แสนสกปรก และไร้ค่าสิ้นดี #การเมืองใหม่ที่แสนสกปรก 

‘โรม’ ห่วง ใช้ ‘แก๊สน้ำตา - กระสุนยาง’ เป็น ‘มาตรฐานปกติ’ คือการทำร้ายประชาชนเพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพ ชี้ ศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับคำสั่ง ‘ห้ามเผยแพร่ความกลัว’ ของ ‘ประยุทธ์’ สะท้อน ขัดรัฐธรรมนูญและผิดจริยธรรม เตรียมยื่น ปปช.สอบ ตาม ม.234 สัปดาห์หน้า

ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงใน 3 ประเด็น ได้แก่ ความเห็นต่อมาตรการสลายการชุมนุมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วน เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ,ความเห็นต่อกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ประกาศฉบับ 29 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการบังคับใช้ และข้อสังเกตต่อคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 83 และมาตรา 91 ที่มีความเร่งรัดและไม่เป็นไปตามหลักการรัฐสภา

ทั้งนี้ รังสิมันต์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลรู้สึกผิดหวังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมการชุมนุมของประชาชนด้วยความรุนแรงและกังวลว่าความรุนแรงแบบนี้จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จากที่ได้ติดตามมาตลอดพบว่าความรุนแรงของการควบคุมการชุมนุมมีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ก่อนหน้านี้การฉีดน้ำแรงดันสูงหรือยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมยังไม่มากขนาดนี้ และการใช้กระสุนยางยิ่งไม่บ่อยนัก แต่ช่วงที่ผ่านมา การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางกับผู้ชุมนุมเหมือนกลายเป็นมาตรฐานการควบคุมการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ไปเสียแล้ว

“เมื่อวานช่วงเที่ยง มีหลักฐานเป็นภาพเคลื่อนไหวว่า มีการใช้กระสุนยางกับคนในบริเวณนั้นซึ่งอาจแค่มารอการชุมนุมที่จะมีขึ้นในตอนบ่ายโมง คือยังไม่ทันทำอะไร แค่มารอและคนยังเบาบาง แต่กลับมีการควบคุมสถานการณ์และบีบพื้นที่เข้ามา ธรรมชาติของการชุมนุมที่มีคนหลายพันคน อาจมีคนหลายประเภทในนั้น จริงอยู่ว่าที่อาจมีบ้างที่เตรียมอุปกรณอย่างหนังสะติ๊กมาเพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ แต่ก็มีคนจำนวนมากเช่นกันที่มีแค่กระดาษเพื่อมาเรียกร้องต่อรัฐบาลในความเดือดร้อนของเขาอย่างสันติ การใช้ความรุนแรงในการจัดการจึงทำให้เสียงของเขาเหล่านี้หายไปด้วยเช่นกัน”

รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ไปสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดบริเวณดินแดง เชื่อว่าภายในหนึ่งนาที มีการยิงแก๊สน้ำตาไม่ต่ำกว่า 3 ลูก จำนวนหนึ่งไปตกอยู่บริเวณบ้านเรือนใกล้เคียงที่ชุมนุมและปั๊มน้ำมัน สะท้อนว่าเป็นการยิงดะโดยไม่สนว่าผู้ชุมนุมมีพฤติการณ์รุนแรงหรือไม่ ทั้งนี้ ตามมาตรฐานในการควบคุมการชุมนุมที่ควรเป็น อุปกรณ์เหล่านี้ควรใช้กับต่อกรณีที่เผชิญกับพฤติการณ์รุนแรงจริงๆ เช่น มีการฝ่าไปจะทำร้ายเข้าหน้าที่ แต่การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดขึ้นคือการใช้เพื่อทำลายการชุมนุมซึ่งเป็นเสรีภาพประชาชน ขอย้ำว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาในกรณีที่ประชาชนออกมาเรียกร้องเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากรัฐบาล ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการตอบโต้ด้วยการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด หรือไม่การลาออกก็เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งในการแก้วิกฤตการเมืองได้ อย่าใช้เจ้าหน้าที่เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน เพราะเรารู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ถูกฝึกในการรับมือสถานการณ์อย่างถูกต้องมาแล้ว เราอยากเห็นความอดกลั้น ซึ่งในส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่ชั้นผู้น้อยก็พอเห็นความพยายามอยู่ แต่ในส่วนผู้อยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจตัดสินใจก็มีคำถามว่าเหมือนจะต้องการให้บานปลายหรือไม่ 

ประเด็นที่สอง การออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อนุญาตให้ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ซึ่งอาจส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ล่าสุด ศาลแพ่งได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่มีประเด็นสำคัญสองประเด็น คือ หนึ่ง การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะเกินความจำเป็นต่อสถานการณ์ สอง คือการไม่มีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ตัดอินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้น ในสัปดาหหน้า พรรคก้าวไกลจะรวบรวมหลักฐานเพื่อทำคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ปปช.) ตาม มาตรา 234 อนุ 1 ตามรัฐธรรมนูญเพื่อเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยรายละเอียดของมาตรานี้ว่าด้วย ปปช. มีหน้าที่และอํานาจไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อดําเนินการต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งกรณีนี้เห็นได้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดที่ศาลวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และยังมีความผิดในเรื่องจริยธรรม เช่น ข้อที่ 7 ต้องถือผลประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งการห้ามกระทั่งการเผยแพร่ข่าวจริงจึงเป็นการกระทำที่อาจจะเกินเลยกว่าผลประโยชน์ของชาติ หรือข้อที่ 12 จะ ต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรม เป็นต้น

ทั้งนี้ รังสิมันต์ กล่าวว่า หาก ปปช.วินิฉัยว่ามีมูล จะต้องดำเนินต่อตาม มาตรา 235 หากเป็นการผิดจริยธรรมร้ายแรงต้องส่งต่อเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่หากผิดจริยธรรมไม่ร้ายแรงต้องส่งต่อไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และหากมีการรับเรื่องไว้พิจารณา พล.อ.ประยุทธ์ก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

ประเด็นที่สาม ความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  รังสิมันต์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาเพื่อพิจารณา 13 ฉบับ ปรากฏว่า
มีเพียงฉบับเดียวที่ผ่านการรับหลักการของสภาในวาระที่ 1 คือ ร่างที่เสนอมาโดยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งระบุในหลักการอย่างชัดเจนว่า เพื่อแก้ 83 และ 91 โดยทั้งสองมาตราไม่ใช่การแก้เรื่องระบบเลือกตั้งทั้งหมด 

“ปรากฏว่าในกระบวนการพิจารณาชั้น กมธ. ผมซึ่งอยู่ในกมธ.ด้วย สังเกตว่ามีความพยายามเร่งรัดเพื่อแก้รัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธาน กมธ. ต้องการพิจารณาให้เสร็จในสัปดาห์นี้ ในสถานการณ์โควิดที่ประชาชนกำลังลำบากกลับไม่พบว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้รฐธรรมนูญได้เลย ทั้งที่เรื่องระบบเลือกตั้งซึ่งก็คือการกำหนดว่าเขาจะได้รัฐบาลแบบไหนมาบริหาร ประชาชนก็ควรมีสิทธิ มีปากมีเสียงในการแสดงความเห็นว่าเขาต้องการเห็นระบบอะไร เราเห็นแต่การรวบรัดโดยไม่สนใจขั้นตอนปฏิบัติ เป็นการแก้รัฐธรรมนูญในแบบที่คนไม่กี่คนมาสุมหัวกันโดยประชาชนไม่มีสิทธิอะไร ที่สำคัญก็คือคนที่แก้ต้องการให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกับ ร่างที่สภามีมติไม่รับหลักการไปแล้ว หากเป็นแบบนี้กลไกสภาและสิทธิประชาชนอยู่ตรงไหน จึงอยากให้จับตาว่ารัฐธรรมนูญจะมีหน้าตาอย่างไรต่อไป เพราะในสัปดาห์หน้าจะเป็นสัปดาห์ของการแก้รัฐธรรมนูญ”

“รองโฆษกพปชร.” ชง “นายกฯ”ปรับครม. โยก “บิ๊กป็อก” นั่งคุมสธ. ให้ “อนุทิน”เป็นมท.1

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดในขั้นรุนแรง ซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงสุดติดต่อกันเกือบทุกวัน จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการสถานการณ์ จึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พิจารณาปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีในการบริหารงานของรัฐบาลใหม่ โดยสลับให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีมหาดไทย รมว.มหาดไทย มาเป็นรมว.สาธารณสุข เนื่องจากบุคลิกการทำงานที่เป็นผู้นำ มีความเด็ดขาดของทหาร สามารถสั่งการ ทั้งเรื่องของควบคุมการแพร่ะระบาดโควิด การตรวจเชื้อเชิงรุก และการจัดสรรวัคซีน และทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายไปได้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การควบคุมโควิด-19 ที่จะต้องรัดกุม และเด็ดขาด ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เหมาะสมที่จะเป็นรมว.มหาดไทย เนื่องจาก นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดา เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว สามารถถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานได้ รวมทั้งประสบการณ์ของนายอนุทิน ซึ่งเคยบริหารบริษัทเอกชนมาแล้ว จะสามารถนำมาปรับใช้กับรูปแบบการบริหารในส่วนของการปกครองที่จะต้องกระจายอำนาจให้กับส่วนภูมิภาคได้ 

ทั้งนี้ตนเสนอในนามส.ส.มีหน้าที่ดูแลประชาชน และเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้ การดูแลและแก้ไขสถานการณ์โควิดในปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ต่อการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลได้มากยิ่งขึ้น

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอประณามผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ออกมาเคลื่อนไหว ม็อบ 7ส.ค.

ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีการก่อเหตุรุนแรงก่อน มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำลายทรัพย์สินของราชการ  และมีความผิดกฎหมาย ทั้งพ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ตามขั้นตอน   นอกจากนี้ตำรวจยังสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 8 คน พร้อมของกลาง ประกอบด้วย พลุไฟ สิ่งเทียมวัตถุระเบิด, หัวน็อต , หนังสติ๊ก, วิทยุสื่อสาร, เกราะอ่อนพลาสติก รวมถึงหมวกนิรภัย และหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา น้ำเกลือจำนวนมากจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ตั้งใจเคลื่อนไหวที่จะมาเรียกร้องตามข้อเรียกร้อง แต่เป็นการเตรียมตัวมาเพื่อที่จะสร้างความรุนแรงวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง 

“ขอเตือนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมหากจะออกมาเคลื่อนไหว ทำให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อน และเพื่อสร้างความรุนแรงตามใบสั่งของแกนนำม็อบและนายทุนที่สนับสนุน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องบังคับและทำตามกฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุม หรือแม้แต่ผู้ที่สนับสนุนผู้ชุมนุมโดยเฉพาะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หรือแม้แต่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ไม่ควรออกมาเรียกร้องเช่นเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ  ใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุม และจะต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกับผู้ชุมนุมถ้าตรวจสอบพบหลักฐานว่ามีการสั่งการเชื่อมโยงกับม็อบกลุ่มนี้จะเจ้าหน้าที่ไม่ปล่อยให้ลอยนวลเด็ดขาด”นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า หากนายธนาธร จึงรุ่งเรื่อวกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แน่จริงก็ไม่ควรที่จะหลอกใช้เยาวชน หรือเป็นอีแอบ อยู่เบื้องหลังเยาวชนในการเคลื่อนไหว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ มองว่าการที่นายธนาธร และนายปิยบุตร ไม่กล้าออกมา เพราะอาจไม่อยากรับผิดชอบในเรื่องใด แต่อยากได้ประโยชน์จากเยาวชนกลุ่มนี้” 

"พี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีคนไทยส่วนใหญ่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมม็อบก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันกลุ่มนี้ ใช้ความรุนแรงอย่างป่าเถื่อนใช้อาวุธหนังสติ๊กลูกเหล็ก ระเบิดไฟ ระเบิดเพลิง ปะทัดยักษ์ระเบิดปิงปอง และอาวุธสารพัดชนิด ถล่มใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหนัก จนได้รับบาดเจ็บหลายนายบางคนบาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด พฤติกรรมเช่นนี้นายธนาธรยังกล้าออกมาพูดว่า ม็อบสู้สองมือเปล่า มีความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธ นายธนาธรช่างกล้าออกมาพูด ไม่อายปากตัวเอง ยิ่งพูดยิ่งทำให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่า นายธนาธรจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังวางแผนเกี่ยวข้องกับม็อบกลุ่มนี้ คงไม่ต้องเป็นอีแอบอีกต่อไป ตนก็ขอท้านายธนาธร นายปิยะบุตร แน่จริงอย่าเป็นนักปั่น ยุยงอยู่เบื้องหลัง ให้ออกมาเป็นแกนนำม็อบเหล่านี้ให้ชัดเจนไปเลย อย่าเกาะหลังเด็กหากินกับเด็ก ให้ออกไปสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในบ้านเมือง นิสัยประเภทนี้เขาไม่เรียกว่า ลูกผู้ชายตัวจริง ประเภทพวกหนักแผ่นดินคิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำลายประเทศชาติมากกว่า" นายเสกสกลกล่าว

แจงประเด็นโซเชียลมีเดียวิจารณ์ “อนุทิน” กรณีมอบวัคซีนไฟเซอร์จังหวัดนครสวรรค์ “ยัน”เกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด  

ข้อเท็จจริงคือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด  

“ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19  จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน” น.ศ.ไตรศุลี กล่าว  

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว  แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก  โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่  

“โจ้ ยุทธพงศ์” กัด “เรืองไกร” ไม่ปล่อย ขอ “ชวน” สอบเบนซ์หรู ก่อนบรรจุ งบ65 วาระ 2-3 อัด “อาคม” ไม่ยอมสอบเรื่องนี้ ระวังโดนม. 144 ด้วย

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และน.ส.ชนก จันทร์ทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องรถเบนซ์ ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการ(กมธ.)ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565  สัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ เคยให้สัมภาษณ์เอง ว่า จริงๆ นายเรืองไกรอยากได้เงิน 30 ล้านบาท แต่อีกฝ่ายให้เป็นรถหรูราคา 5 ล้านบาทมาแทน ขณะเดียวกันนายเรืองไกรก็ยอมรับว่าถูกผู้ใหญ่ใจดีเฉ่งปมรถหรู เรื่องนี้เป็นข่าวที่นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์เอง ปัญหาคือ นายเรืองไกรได้รับรถเบนซ์คันนี้มาขณะมีตำแหน่งเป็นกมธ.งบประมาณ มีหน้าที่พิจารณา และปรับลดงบประมาณต่างๆ ดังนั้น ตนจึงทำหนังสือร้องไปยังนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณปี 65  ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ตามมาตรา 144  แต่ผลปรากฎว่านายอาคมกลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ แต่มีหนังสือไปถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร  

“ผมมองว่าไม่ถูกต้องเพราะนายอาคมเป็นประธาน กมธ.ฯและเรื่องของนายเรืองไกรเกิดใน กมธ.ฯ นายชวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย นายอาคมทำไมจึงไม่สอบเอง การที่ไม่ยอมสอบเองนี้นายอาคมอาจจะผิดมาตรา 144 ด้วย”นายยุทธพงศ์ กล่าว 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนได้มีหนังสือไปถึงนายชวน ลงวันที่ 30 ก.ค. 64 ด้วยว่าก่อนบรรจุวาระร่างพ.ร.บ.งบ 65 ในวาระ 2 และ 3 ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้กับนายอาคมก่อน ว่ารถถเบนซ์หรูนี้ได้มาอย่างไร มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพิจารณางบประมาณของ กมธ.หรือไม่ และนายเรืองไกรต้องบอกมาว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ให้รถเบนซ์หรูคนนั้นคือใครเพราะนายเรืองไกรบอกว่า ใหญ่กว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ไม่เช่นนั้นการพิจารณางบฯ 65 อาจมีการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ได้

“ยุทธพงศ์” เตรียมชงชื่อ “บิ๊กป้อม” ขึ้นเขียงซักฟอก ต่อหน.พท.พรุ่งนี้

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีกการยื่นญัตติในวันที่ 16 ส.ค.นั้น คนที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคือแน่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข โดยประเด็นที่ตนจะยกเป็นนำจิ้มคือ กรณีพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม เพราะกองทัพบกได้ขอเงินจากสภาฯจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ จำนวน 921 ล้านบาท เมื่อสภาฯอนุมัติไปแล้วแทนที่จะนำไปซื้อรถใหม่ กลับมีการเปลี่ยนแปลงงบฯเป็นเอาไปซ่อมรถ M35 ค่าซ่อมคันละ 2.5 ล้านบาท ขณะที่บริษัทซ่อมรถดังกล่าวที่เสนอราคามาแล้ว คือ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด เรื่องนี้มีความผิดปกติ เพราะขอสภาฯซื้อรถใหม่ แต่กลับเอาเงินไปซ่อมรถเก่าที่ใช้มากว่า 40 ปี และไม่มีการผลิตอะไหร่แล้ว ต้องไปเอาอะไหร่เก่าจากประเทศเกาหลีมาซ่อม ซึ่งพล.อ.ประยุทธเป็นผู้เซ็นต์เสนอเรื่องนี้เข้า ครม. 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่าในวันที่9 ส.ค. นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ ส.สงเชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เชิญตนในฐานะรองหัวหน้าพรรคให้เข้าพบเวลา 13.00 น. โดยตนเตรียมเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้ให้กำเนิดเรือดำน้ำในประเทศไทยตอนที่ยังเป็น รมว.กลาโหม ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ซึ่งตนมีข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของประทรวงกลาโหมจำนวนมาก

“องอาจ” เสนอภาครัฐระดมหมอ พยาบาลเกษียณช่วยงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดจะลดลง ทำให้ภาครัฐพยายามหาวิธีการต่างๆ ในการแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากผู้ไม่ติดเชื้อ ด้วยการเพิ่มระบบ Home Isolation (HI) Community Isolation (CI) ศูนย์พักคอย โรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น 

แต่การดำเนินการทุกระบบดังกล่าวจำเป็นต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ คือ แพทย์ พยาบาล มาทำงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อตามมาตรฐานการดูแลผู้ติดเชื้อที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดขึ้นมา เช่น โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ทำงานเต็มเวลาอยู่แล้ว รวมถึงการจัดตั้งศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation (CI) ก็ต้องมีโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาทำงานดูแลผู้ติดเชื้อจึงจะเปิด CI หรือศูนย์พักคอยได้ ถ้าไม่มีแพทย์ พยาบาลมาทำงานก็เปิดไม่ได้ ถึงแม้จะมีสถานที่ มีอาหาร 3 มื้อ มีที่นอน หมอนมุ้ง และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น แม้แต่ระบบ HI ก็ต้องมีแพทย์ พยาบาลคอยดูแลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมาการทำศูนย์พักคอย และ CI เพิ่มเติมให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะไม่สามารถหาสถานพยาบาลที่มีแพทย์ พยาบาลมาช่วยทำงานตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นได้ รวมทั้งเสียงติติงของผู้ติดเชื้อในระบบ HI บางส่วนที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควรจากภาครัฐก็เพราะไม่มีบุคลากรมากเพียงพอที่จะดูแล 

จึงขอเสนอภาครัฐระดมแพทย์ พยาบาลเกษียณ และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่เกษียณแล้วมาช่วยงานรักษาผู้ติดเชื้อโควิด โดยมีค่าตอบแทนให้ตามสมควร

เชื่อมั่นว่าจะมีแพทย์ พยาบาลเกษียณจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเข้ามาช่วยงาน ซึ่งจะทำให้มีคนทำงานที่มีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้นก็จะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ที่กำหนดขึ้นสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทุเลาเบาบางลงได้ในที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top