Saturday, 4 May 2024
POLITICS NEWS

'ณัฐชา' จี้ ‘ผบ.ตร.’ แจงความคืบหน้ากรณีเหตุยิงผู้ชุมนุมหน้า ‘สน.ดินแดง’ เผย กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เปิดรายงานชี้เป้าผู้ต้องสงสัยมา 5 วันแล้ว แต่ยังไม่เห็นความกระตือรือร้นเร่งคลี่คลายคดีจากตำรวจ

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน ระบุว่า จากการแถลงข่าวเปิดหลักฐานรายงาน เหตุยิงผู้ชุมนุมหน้า สน. ดินแดง เมื่อ 16 ส.ค. ซึ่งผ่านมาเป็นเวลาถึง 5 วันแล้ว จนขณะนี้ยังไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าหรือมีคำตอบเพิ่มเติม รวมถึงไม่มีการติดต่อจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อขอข้อมูลและรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อไปทำงานต่อเลย ทั้งที่หลักฐานที่รวบรวมมานั้นค่อนข้างชัดเจน จนสามารถมีข้อสันนิษฐานเบื้องได้ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุอาจมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ เพราะถึงแม้วันนั้นจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายจุด แต่ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงว่า เป็นการกระทำของกลุ่มบุคคลเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดได้ไปรวมกันในพื้นที่สุดท้ายคือหน้า สน.ดินแดง ในจุดที่ไม่อนุญาตให้ผู้ชุมนุมหรือประชาชนทั่วไปเข้าไปได้ เราจึงยังรอคำตอบอยู่ว่า กลุ่มบุคคลก่อเหตุที่ปรากฏในหน้า สน.ดินแดง กลุ่มนั้นเป็นใคร และเมื่อมีข้อมูลปรากฏชัดเจนว่ามีกลุ่มบุคคลอยู่ในพื้นที่ควบคุมดูแลเฉพาะของเจ้าหน้าที่ แต่ทำไมเวลาผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้วยังหาตัวคนกลุ่มนี้ไม่ได้ เปรียบเทียบกับกรณีของผู้ชุมนุมอื่น ๆ แค่มีภาพปรากฏในกล้องวงจรปิดก็จะเห็นว่าสามารถหาตัวและตามไปถึงบ้านได้ทุกครั้ง ทำไมพอเป็นกรณีที่คาดว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องจึงดำเนินการอย่างล่าช้า ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนกรณีที่ต้องการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม

“คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ได้ตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและมีการเปิดเผยรายงานจากการรวบรวมหลักฐานกล้องวงจรปิด 54 ตัว ในบริเวณที่เกิดเหตุและพื้นที่ข้างเคียง รวมถึงได้สัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เด็กชาย A อายุ 14 ปี ถูกยิงหน้าปากซอยประชาสงเคราะห์ 14 กระสุนเข้าบริเวณหัวไหล่ด้านหลัง ทะลุออกด้านหน้า และเด็กชาย B อายุ 15 ปี ถูกยิงบนถนนฝั่งตรงข้าม สน.ดินแดงกระสุนเข้าบริเวณคอ และฝังอยู่ใกล้แกนสมอง ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในอาการโคม่าและครอบครัวยังคงรอความยุติธรรมจากเจ้าหน้าที่ในการติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีจนถึงตอนนี้”

"ธนาธร" เชื่อชัยชนะอยู่ไม่ไกล ปลุกประชาชนล้มระบอบประยุทธ์ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปใน 5 ด้าน

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่าน เพจเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 โดยมีข้อความดังนี้

15 ปีรัฐประหาร 19 กันยาฯ ประชาชนยังสู้ และเราจะชนะ

วันนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นผมกำลังเจรจาธุรกิจอยู่กับบริษัทคู่ค้าในเซาท์แอฟริกา มีสายโทรศัพท์จากประเทศไทยโทรเข้ามาหลายสาย บอกว่าเกิดการทำรัฐประหารขึ้นแล้วในประเทศไทย มีเพื่อนฝูงหลายคนออกมาต่อต้าน พลังหลักปักหลักกันอยู่ที่สนามหลวง

เมื่อผมกลับถึงไทยในสัปดาห์ต่อมา ก็ได้ไปร่วมต่อต้านการทำรัฐประหารกับกลุ่ม ‘19 กันยา’ ตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย

หลังจากนั้นผมก็พยายามมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อผลักดันวาระประชาธิปไตยอย่างแข็งขันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 50 และ 60 ในกระบวนการประชามติ, การแสดงจุดยืนทางการเมืองไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อเปิดทางให้เกิดการทำรัฐประหาร, การแสดงพลังในฐานะพลเมือง เข้าร่วมการเสวนาและการชุมนุมต่าง ๆ ของฝ่ายประชาธิปไตย (และได้รู้จักปิยบุตรครั้งแรกก็จากการเข้าฟังเสวนาของคณะนิติราษฎร์), แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการบอยคอตการเลือกตั้งและการปิดคูหาการเลือกตั้ง

และนำมาสู่การรวมกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์คล้ายกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้น

ผ่านไป 15 ปี ประเทศไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรของการที่สถาบันที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงกับประชาชน พยายามกุมอำนาจสูงสุดเหนือประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ทำลายกลไกที่เป็นปากเสียงให้แก่ประชาชน ทำลายความชอบธรรมของระบอบรัฐสภา ทำให้พรรคการเมืองและสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียงกลไกค้ำยันอำนาจของชนชั้นนำ แทนที่จะทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน

ศปก.ศบค. แนะ ผู้ประกอบการ เตรียมตัวเข้าสู่พื้นที่โควิดฟรีเซ็ตติ้ง เข้ม มาตรการสาธารณสุข-ฉีดวัคซีนครบ 80% ยกตัวอย่าง ร้านก๋วยเตี๋ยวเจี๊ยบเชิญยิ้ม ทำได้ดี ย้ำ พร้อมก่อนเปิดก่อน ทยอยกันไป

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)แถลงข่าวประจำวันในช่วงหนึ่ง ว่า พื้นที่ที่จะพัฒนาให้เป็นโควิดฟรีเซ็ตติ้ง ตามเกณฑ์ของสาธารณสุข คือจะต้องระดมการฉีดวัคซีนของอำเภอนั้นๆ หรือตำบลนั้นๆ ให้ครบ 80% และการจะเปิดกิจการนั้นพนักงานที่จะเปิดร้านจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 100% โดยหลักเป้าหมายทั่วประเทศ เดือนตุลาคมจะเป็นการระดมการฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้เราจะได้เห็นอัตราฉีดเกิน 8แสนโดสต่อวัน ในทุกจังหวัดจะมีอย่างน้อยหนึ่งอำเภอที่ประชากรจะได้รับวัคซีนเข็มที่หนึ่ง ครอบคลุม 70% และถ้าอำเภอใดหรือตำบลใดได้รับการคัดเลือกเป็นโควิดฟรีเซ็ตติ้งหรือเป็นพื้นที่นำร่องปลอดโควิดจะต้องมีการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 80% ดังนั้นแต่ละจังหวัดจึงมีบริบทที่ต่างกัน บางที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว บางที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม หรือบางจังหวัดเป็นตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ ซึ่งทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สามารถพิจารณาจัดสรรได้ตามเหมาะสมตามบริบทของพื้นที่

ราเมศ เผย จุรินทร์ ขอบคุณ ปชช. มีส่วนร่วมเป็นสมาชิกสูงสุดในทุกพรรค ย้ำ ตัวแทน สาขา ดูแล ปชช. เต็มที่

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงรายงานข่าวที่ระบุถึงการตรวจสอบข้อมูลของพรรคการเมือง ที่ยื่นจดแจ้งจัดตั้งพรรคกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยยังดำเนินการอยู่ ข้อมูลล่าสุด พบว่า 
มีพรรคการเมืองที่ดำเนินการอยู่จำนวน 83 พรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีสมาชิกสูงสุด คือ 90,780 ราย สาขาพรรคการเมือง 18 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 312 ราย ว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ขอขอบคุณประชาชนที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นสมาชิกพรรค มีจำนวนมากที่สุดในทุกพรรคการเมือง ส่วนเหตุที่มีตัวเลขลดน้อยลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีสมาชิกที่อยู่ในระหว่างการต่ออายุสมาชิกอีกเป็นจำนวนมาก ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการทางทะเบียน นายจุรินทร์ ย้ำกับบุคลากรของพรรคทุกภาคส่วนรณรงค์ ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรค เพื่อร่วมในการขับเคลื่อนอุดมการณ์ ร่วมสะท้อนปัญหาเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พรรคพร้อมยินดีรับฟังในทุกเรื่อง และนายจุรินทร์มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการรับฟังทุกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นโครงการฟังไทย หรือจุรินทร์ออนทัวร์ ที่เคลื่อนออกไปนอกพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนเป็นประจำทุกสัปดาห์ 

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ยังให้ความสำคัญกับการตั้งตัวแทนพรรคประจำจังหวัดประจำเขตเลือกตั้ง รวมถึงสาขา เนื่องจากมีความสำคัญในการทำงานขับเคลื่อนร่วมกับพรรคส่วนกลางรวมไปถึง ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรค เพื่อทำงานรับใช้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ จนขณะนี้สาขาพรรคมีถึง 18 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด มีจำนวนถึง 312 ราย จำนวนมากที่สุด 

‘ปารีณา’ ฉะโพลดัง สำรวจประชาชนพันกว่าคนจากทั้งประเทศ ไม่อยากให้ ‘ประยุทธ์’ เป็นหัวหน้าพรรคลงสู้ศึกเลือกตั้ง เหตุบริหารล้มเหลว - ขาดภาวะผู้นำ แนะอย่าเชื่อมาก

จากกรณีที่ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “นายกรัฐมนตรีกระชับอำนาจ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-16 กันยายน 2564 จำนวน 1,317 ตัวอย่าง เกี่ยวกับการกระชับอำนาจของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

กรณีความเห็นของประชาชนต่อการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ แทน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 56.11 ระบุว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับพรรคพลังประชารัฐเลย และความคิดเห็นของประชาชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์เกี่ยวกับการตั้งพรรคของตนเองเพื่อเตรียมการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.24 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์บริหารงานล้มเหลว ขาดภาวะผู้นำนั้น

“เสกสกล” สวน “ทักษิณ” ถ้าไม่โกงกิน ปชช.คงไม่ไล่เต็มเมือง เย้ย นโยบายทรท. แค่ขายฝัน “คิดใหม่ทำใหม่ เพื่อใครบางคน" ป้องรัฐบาลรัฐประหาร ทำประเทศพัฒนา-ไม่ด่างพร้อยเรื่องทุจริต 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ 15 ปีที่แล้วประเทศไทยและคนไทยเสียโอกาสในสังคมโลกยุคใหม่ เพราะการนำประเทศถอยหลังด้วยระบบเผด็จการ ว่า อยากให้นายทักษิณ ย้อนกลับไปดูสาเหตุในอดีตที่ต้องมีการทำรัฐประหาร ก็น่าจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าทำอะไรจนทำให้ประชาชนนับแสนนับล้านคนต้องออกมาขับไล่บนถนน จนเกิดรัฐประหารเพื่อให้ประเทศชาติสงบและเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าปล่อยบริหารต่อ จะเกิดการทุจริตโกงบ้านโกงเมืองเต็มแผ่นดิน ขอให้นายทักษิณ ดูที่การกระทำและดูที่ผลงานมากกว่า ไม่ใช่นายกฯหรือรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารจะทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนไม่ได้ แต่ตนมองว่าทำได้ดีกว่า หากประเทศได้นายกฯที่ดี มีคุณธรรม ทำงานโปร่งใสเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ประชาชนคงไม่ออกมาขับไล่และไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น ดังนั้นให้มองในข้อเท็จจริง หรือต้นตอของสาเหตุด้วยว่าเกิดจากอะไร

นายเสกสกล กล่าวว่า นายทักษิณ มองว่าประเทศไทยและประชาชนจะเสียโอกาส แต่ยืนยันว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่ได้เสียโอกาสและมีการพัฒนาในทุกด้านอย่างมาก มีการแก้ไขปัญหาในหลายอย่าง รวมถึงปัญหาที่รัฐบาลในอดีตทำเอาไว้  และนานาประเทศให้การยอมรับ เพราะผู้นำประเทศในปัจจุบัน ไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ไม่มีประวัติด่างพ้อยเรื่องการทุจริต เหมือนในยุคนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

รัฐบาล หนุน อุตสาหกรรมแห่งอนาคต วอน เปิดใจกว้าง รับต่างชาติศักยภาพสูงเข้าไทย หวัง ศก.เติบโต หลังโควิด-19

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลง อาจไม่สามารถสร้างรายได้  ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ 

นายธนกร กล่าวว่า มีการกำหนด กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ  ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 -500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลล่าร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น 

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วน 2 แนวทางในการดำเนินมาตรการ ฯ ทั้งการกำหนดให้มีวีซ่าประเภทพิเศษ (Long-Term Visa) และการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น มุ่งขจัดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งมาตรการต่างๆ ยังถูกกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุกๆ 5 ปี โดยสามารถยกเลิกหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับการส่งเสริมการลงทุนจากทั่วโลกได้ ในส่วนการเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงยึดหลักการตามมาตรการทื่มีอยู่เดิม ไม่ได้เป็นไปตามที่บางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลมาโจมตีรัฐบาล 

โฆษกรัฐบาลย้ำมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติศักยภาพสูง มุ่งดึงคนเก่งทั่วโลกเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศ  ทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่หายไป เตือนผู้ไม่หวังดีอย่าบิดเบือน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น  การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลง อาจไม่สามารถสร้างรายได้  ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ   ทั้งนี้  มีการกำหนด กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ  ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 -500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลล่าร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในส่วน 2 แนวทางในการดำเนินมาตรการ ฯ ทั้งการกำหนดให้มีวีซ่าประเภทพิเศษ (Long-Term Visa) และการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น มุ่งขจัดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งมาตรการต่างๆ ยังถูกกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุกๆ 5 ปี  โดยสามารถยกเลิกหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับการส่งเสริมการลงทุนจากทั่วโลกได้ ในส่วนการเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงยึดหลักการตามมาตรการทื่มีอยู่เดิม ไม่ได้เป็นไปตามที่บางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลมาโจมตีรัฐบาล 

โฆษกรัฐบาล วอน อย่าบิดเบือนข้อมูล ยืนยัน รับต่างชาติศักยภาพสูงเข้าไทย หวังช่วยเศษฐกิจประเทศเติบโต

20 ก.ย. 64 - นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลงอาจไม่สามารถสร้างรายได้ ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ   

ทั้งนี้  มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1.) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2.) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3.) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4.) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 - 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลลาร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

อดีตทูตฯ ยอมรับ!! เกาหลีใต้ สุดเทพด้าน Soft Power ยกกรณี 'ลิซ่า' ดัน Soft 2 ชาติ แบ่งกัน 'ภูมิใจ'

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า... 

มีพวกร่านที่ออกมาดีดดิ้นรับไม่ได้ที่ ลิซ่า ได้รับความนิยมติดอันดับโลก จาก Single เพลง Lalisa ที่มีการสอดแทรกความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า ไว้ในฉากหนึ่ง และในเนื้อเพลงก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “From Thailand to Korea” 

พวกร่านพวกชังชาติจะดิ้นมากและออกมาบอกว่า อย่ามาอ้างความเป็นไทย เพราะมันไม่มี 

ฟังแล้วก็ได้แต่สมเพช คือ ถ้ามันไม่มีสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า เขาก็คงไม่ใส่คำว่า Thailand ลงในเนื้อเพลง และคงไม่ใส่ ฉากปราสาทหินพนมรุ้ง ฉากลิซ่าใส่รัดเกล้า ใส่ชุดไทยประยุกต์ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์คนไทย ไว้ในคลิป หรือแม้แต่ ป้ายร้านอาหารที่เป็นภาษาไทยที่ปรากฏแว่บนึงในคลิปด้วย

ตอนที่ผมไปออกรายการของคุณต้น วรเทพ ช่อง Top News ผมก็ได้เล่าเบื้องหลังการทำการบ้านของ Korea ที่เก่งมากสามารถผลักดันเรื่อง Soft Power จนทำให้เกาหลีเป็นผู้นำทางด้านสื่อบันเทิงสมัยใหม่ได้ในระดับแถวหน้า 

ผมขอนำมาอธิบายตรงนี้อีกครั้ง เพราะตอนออกรายการเวลามันน้อย อาจจะอธิบายไม่หมด 

1.) เกาหลีเป็นประเทศที่ทำการบ้านทางด้านใช้ Soft Power เป็นตัวนำได้ดีที่สุดในโลก ในสายตาผม เก่งกว่าญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม

2.) Soft Power ของเกาหลี สามารถทำให้สินค้าเกาหลีจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเป็นสินค้าที่เมื่อเอ่ยชื่อคนยังไม่รู้จักดีพอ เช่น มือถือซัมซุง รถยนต์ฮุนได กลายเป็นแบรนด์ชั้นนำแนวหน้าได้ เพราะภาครัฐและภาคเอกชนเกาหลีเขามีส่วนช่วยกันผลักดันสร้าง Soft Power (ผ่านทางการดูแลขององค์กรที่ชื่อว่า Korea Foundation) อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างขันแข็ง

3.) ศิลปินเพลงแร็พร่วมสมัย หนังซีรีส์เกาหลี ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลที่ภาครัฐและเอกชนเกาหลีเขาบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ครองใจคนทั้งโลก เริ่มจากในอดีตนักร้องดังอย่าง Rain ก็เป็นเหมือน “หุ่นยนต์” ที่ Korea Foundation เป็นผู้อยู่เบื้องหลังปั้นขึ้นมาจากเด็กหนุ่มโนเนมคนนึงจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์

4.) การที่ผมบอกว่าเกาหลีเก่งกว่าญี่ปุ่นในเรื่องการสร้าง Soft Power นั้น เพราะเกาหลีใช้เวลาน้อยกว่าญี่ปุ่น แต่สามารถผลักดันจนตอนนี้สื่อบันเทิงแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว 

5.) เกาหลีทำการบ้านล่วงหน้ามากกว่าญี่ปุ่นหลายสิบปี อย่างที่ผมเคยเกริ่น เคยเขียนลงใน FB และพูดในรายการคุณต้นไป ขอเล่าอีกทีคือ ทางเกาหลีเขาทำการบ้านอย่างระมัดระวัง และคิดล่วงหน้าไปไกลมาก เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยผมเป็น ผอ.กองการทูตวัฒนธรรม (ดูแลงานด้าน Soft Power ของไทยในต่างแดน) วันนึงก็ได้รับการติดต่อจากสถานทูตเกาหลีว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านสารนิเทศ (ดูแลงานด้าน Soft Power) ขอมาพบผมที่ กต.เพื่อหารือเรื่อง Soft Power


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top