Sunday, 16 June 2024
NEWS

เที่ยวด้วยกันมั้ย!! ‘มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์’ ชวนสัมผัสความงาม ณ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ในโครงการ “INTERLINK รักษ์บ้านเกิด”

เพราะความรัก จะนำทางเรากลับบ้าน!! มูลนิธิ อินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ จัดโครงการ “INTERLINK รักษ์บ้านเกิด” 

INTERLINK ชวนทุกคนไปสัมผัสความงดงาม ของ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ที่ ๆ เรา ชาว INTERLINK เรียกกันว่า“บ้าน”

???? คลิกรับชมได้เลย : https://bit.ly/30pbKW4

‘ทาง 3 แพร่ง ม.112' | MEET THE STATES TIMES EP.37

????ชวนคิด!! ‘ทาง 3 แพร่ง ม.112 ' !!
????เปิดหมดเปลือก!! มอง ‘ม. 112’ ผ่าน 3 ทางแยก จะ ‘รอด’ หรือ ‘ร่วง’ !!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

????ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

'พล.อ.ประวิตร'  ลงพื้นที่ สกลนคร  ตรวจติดตาม แก้ปัญหาน้ำ ระยะสั้น/ระยะยาว  สั่งเร่งพัฒนา"บึงหนองหาร" หล่อเลี้ยงชาวสกลนคร  กำชับ สนทช./จังหวัด  แก้น้ำท่วมซ้ำซาก ลดผลกระทบ ปชช. ให้รวดเร็ว

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม./ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จ.สกลนคร โดยมี นางจุรีรัตน์ เทพอาสน์  ผวจ.สกลนคร ให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เดินทางถึง ห้องประชุม ภูริทัตโต  อาคารโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำ และแผนหลักการพัฒนา/ฟื้นฟู บึงหนองหาร จาก สทนช. ทั้งนี้หนองหาร นับเป็นบึงน้ำจืดธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 77,016 ไร่ เป็นต้นน้ำของลำน้ำก่ำ ไหลลงสู่แม่น้ำโขง  ประชาชนในพื้นที่โดยรอบหนองหาร ประกอบอาชีพทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่  มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ 33 ตำบลในเขตจ.สกลนคร และจ.นครพนม  ราษฎรได้ใช้ประโยชน์รวม 80,750 ครัวเรือน  

พล.อ.ประวิตรและคณะ ได้รับทราบความคืบหน้า การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่การบริหารจัดการทรัพยากรประมงและนิเวศสิ่งแวดล้อม จากกรมประมง ,การบริหารจัดการน้ำในหนองหาร การชะลอ   หน่วง กักเก็บน้ำ จากกรมชลประทาน ,การบรรเทาอุทกภัย การปรับภูมิทัศน์ แนวเขตการท่องเที่ยว โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง  รวมทั้งการกำหนดแนวเขตหนองหาร โดยกรมที่ดิน ซึ่งปัจจุบันได้มีการสำรวจรังวัดปักหลักเขตแล้วได้ระยะโดยรอบ 81.25 ก.ม. มีเนื้อที่ 76,322-0-38 ไร่และรับทราบ การจัดการน้ำเสียเทศบาลสกลนคร และชุมชนรอบหนองหาร จาก ก.ทรัพย์ฯ ประกอบด้วย งานหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1)การบำบัดและฟื้นฟูคุณภาพน้ำ,2)การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ,3)การสร้างจิตสำนึก และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและ 4)การวิจัยและนวัตกรรม โดยได้ร่วมกับ ม.เกษตร วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จ.สกลนคร ในการดำเนินงาน

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย โดยกำชับให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เร่งรัดโครงการทั้งระยะสั้น จาก10 มาตรการรับมือฤดูฝน ซึ่งมีการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และโครงการระยะยาวที่รัฐบาลกำหนดในแผนแม่บทฯ 20 ปี เพื่อแก้ปัญหา อย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำให้จังหวัด ,กรมชลประทาน และกรมประมง ร่วมมือกันบริหารจัดการหนองหาร ในการรับมือน้ำท่วม และใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน อย่างทั่วถึง  เร่งขับเคลื่อนปรับปรุง ฟื้นฟู หนองหารให้ได้จริงจังตามแผนงาน เพื่อหล่อเลี้ยงประชาชนในพื้นที่จ.สกลนคร รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง และพัฒนากลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด อีกครั้งหนึ่ง ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ อย่างต่อเนื่อง  

ป.ป.ส. ผนึกกำลัง UNODC จัดประชุมเชิงวิชาการ “กาสิโนและองค์กรอาชญากรรม รับมือปัญหาการฟอกเงินและการลักลอบค้ายาเสพติดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มอบหมายให้ นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ   ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ส. เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยกาสิโนและองค์กรอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างวันที่ 11 – 12 พฤศจิกายน 2564 จัดโดยสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC)

ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายที่เหมาะสมในการควบคุมกาสิโนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนำเสนอผลงานทางวิชาการ การหาความเชื่อมโยงของผู้กระทำผิดกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกาสิโน โดยมีนายเจเรมี ดักลาส (Mr. Jeremy Douglas) ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก นักวิชาการจากสถาบันการศึกษา และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าร่วมประชุม ณ เทวมันตร์ทรารีสอร์ต จ.กาญจนบุรี

นายเจเรมี ผู้แทน UNODC ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมฯ และกล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกาสิโน ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เขตชายแดนรอยต่อ เขตปกครองพิเศษ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมกล่าวชื่นชมความสำเร็จของประเทศไทยในการปรับปรุงร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และการแสดงบทบาทความเป็นผู้นำดำเนินมาตรการต่อต้านการฟอกเงินของเครือข่ายยาเสพติด

นายอภิกิต ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ  กล่าวเปิดการประชุมว่า เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เน้นย้ำและเล็งเห็นถึงความสำคัญ กำชับให้เฝ้าระวังการขยายตัวของกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน และกาสิโนออนไลน์  ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมและการสะสมเงินทุนที่ผิดกฎหมายของเครือข่ายยาเสพติด ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายด้านยาเสพติดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นย้ำความร่วมมือกับต่างประเทศและการบังคับกฎหมาย

โดยการประชุมประกอบด้วยการบรรยายในหัวข้อเรื่อง 

1.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกาสิโน โดย นายอินชิค ซิม นักวิจัยด้านยาเสพติดของ UNODC พบว่าธุรกิจกาสิโนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านบล็อกเชนและการพนันออนไลน์ โดยเฉพาะ “จังเก็ต” (junket = ทัวร์เล่นกาสิโน) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน  ยังไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพมาควบคุมดูแล และความยากลำบากของเจ้าหน้าที่ในการจัดการกาสิโนที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และเขตการค้าเสรี 

2. กลุ่มชาติพันธุ์และนโยบายทุนจีน โดย ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

3. งานวิจัยกรณีศึกษากาสิโนคิงส์โรมัน ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดย ดร.ณัฐกรณ์ วิทิตานนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

4. ข้อมูลเกี่ยวกับกาสิโนในเขตปกครองพิเศษเมียนมา กาสิโนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ไทย-สปป.ลาว และ ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะข้อมูลกลุ่มนักลงทุนในกาสิโน กลุ่มอิทธิพล และกองกำลังชนกลุ่มน้อย โดย ผู้แทนจาก สำนักงาน ป.ป.ส. 

“นายกฯ” ชวนคนไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค ปี 2565 ดัน สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ-พลิกฟื้นประเทศจากโควิดไปสู่อนาคต ในหัวข้อ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance.”นำร่องประชุมแรก 1-3 ธ.ค.นี้ ที่ภูเก็ต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถ้อยแถลงถึงประชาชนไทย เพื่อประกาศการเป็นเจ้าภาพเอเปคปี 2565 ว่า ไทยได้รับมอบการดำรงตำแหน่งเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 และจะปฏิบัติหน้าที่ตลอด 1 ปี ต่อจากนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่ไทยจะเปิดตัว และขับเคลื่อนการฟื้นประเทศจากโควิดไปสู่อนาคต และแสดงความพร้อมในการต้อนรับชาวต่างชาติ ตั้งแต่ระดับผู้นำ นักธุรกิจระดับสูง สื่อชั้นนำ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆที่จะเดินทางมาประเทศไทยตลอดปีหน้า เอเปคเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ประกอบด้วยเขตเศรษฐกิจชั้นนำถึง 21 เขตเศรษฐกิจ มีจีดีพีรวมกันทั้งสิ้นกว่า 53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,700 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าการค้ารวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าโลก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยได้ประโยชน์จากการมีพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ได้ร่วมผลักดันแนวคิดใหม่ ที่ช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็ม อี( SMEs )การสนับสนุนบทบาทสตรีในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน การเป็นเจ้าภาพเอเปคจึงถือเป็นเกียรติ และสะท้อนความเชื่อมั่นที่สมาชิกเอเปคมีต่อไทย โดยภาคส่วนต่างๆได้ร่วมกันเตรียมการอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ภาคธุรกิจ นักวิชาการ ชุมชน จนถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อร่วมสกัดแนวคิดและวางเป้าหมายที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อคนไทย

ในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ไทยจะขับเคลื่อนให้เอเปคพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกยุคหลังโควิดที่ยั่งยืนและสมดุล และทุกคนมีส่วนร่วม ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy จึงกำหนดหัวข้อหลักของการประชุมเอเปคปี 2565 คือ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance.”มีประเด็นสำคัญ 3 ด้าน คือ 1. การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม 2. การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน และ 3. การฟื้นฟูความเชื่อมโยง โดยเฉพาะการเดินทาง และท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด ทั้งนี้การประชุมแรกของเอเปค 2565 จะจัดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 1-3 ธ.ค.นี้ และจะมีการประชุมอื่น ๆ กว่าร้อยการประชุมในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศตลอดปีหน้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกพื้นที่

‘หมอแล็บแพนด้า’ เตือนวัยรุ่น อย่าหาทำ เจาะเลือดใส่หลอดแก้วห้อยคอ - เสี่ยงติดเชื้อ

เพจเฟซบุ๊กหมอแล็บแพนด้าของ ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ หัวหน้างานตรวจโรคติดเชื้อทางโลหิตวิธีอณูชีววิทยา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โพสต์ภาพที่มีลักษณะของการเจาะเลือดบริเวณหลังมือและนำไปใส่ขวดแก้วเล็ก ๆ จากนั้นนำไปห้อยคอ พร้อมระบุข้อความว่า

อย่าหาทำนะครับ เจาะเลือดใส่หลอดแก้วแล้วเอามาห้อยคอ ถ้าเทคนิคการเจาะไม่สะอาดจะติดเชื้อได้ แถมบางคนจะเอามาแลกกันใส่ก็มี ระวังหลอดแตกแล้วติดเชื้อกันเด้อออ
สรรหาจริงจริ๊งงงง 5555

‘ยาเม็ด’ พลิกโลก!! ‘โมลนูพิราเวียร์-แพกซ์โลวิด’ พิชิตโควิด-19 !! | Knowledge Times EP.35

????รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????‘ยาเม็ด’ พลิกโลก!! ‘โมลนูพิราเวียร์-แพกซ์โลวิด’ พิชิตโควิด-19 !!

จะดีแค่ไหนหากไวรัสตัวร้ายอย่างโควิด-19 จะสามารถรักษาได้ด้วย ‘ยาเม็ด’

โดยยาเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เมื่อมีการตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 ในทันที เพื่อป้องกันการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล

แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่โลกต้องเผชิญกับโรคอุบัติใหม่ ต่างก็พยายามหาทางออกเพื่อรักษาและป้องกันโควิด-19 ซึ่งหนึ่งในทางออกก็คือ ‘ยาเม็ด’ ที่จะมาช่วยรักษาและกู้วิกฤตครั้งนี้ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเมอร์คและไฟเซอร์ก็ได้ประกาศว่า พวกเขาบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่นั้นแล้ว

โดยในต้นเดือนตุลาคม เมอร์ค แถลงว่า กำลังขออนุมัติใช้ยาโมลนูพิราเวียร์กรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ ในด้านของไฟเซอร์ก็เพิ่งจะขออนุมัติใช้ยาแพกซ์โลวิดเมื่อไม่กี่วันก่อน

สำหรับการทำงานของยาทั้งสองตัวเป็นเสมือนยาต้านไวรัส ที่ช่วยลดความสามารถในการแบ่งตัวของไวรัส พร้อมชะลอการเกิดโรค การันตีด้วยผลการทดลองของเมอร์คและไฟเซอร์ ที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่รับยาโมลนูพิราเวียร์มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลหายไป 50% ส่วนคนที่รับยาแพกซ์โลวิดลดความเสี่ยงได้เกือบ 90%

แต่แน่นอนว่าการนำยาทั้ง 2 ตัวมาเปรียบเทียบอัตราประสิทธิภาพกันตรง ๆ ก็คงไม่ได้ เนื่องจากใช้ระเบียบวิธีศึกษาแตกต่างกัน

และแม้ในปัจจุบันจะมีวิธีการรักษาโควิด-19 อยู่แล้วก็ตาม แต่ล้วนเป็นการรักษาในรูปแบบแอนติบอดีสังเคราะห์ ที่ใช้ในผู้ป่วยรุนแรงซึ่งต้องรับยาด้วยวิธีการฉีด ในทางกลับกันการใช้ยาเม็ดย่อมทำให้การรักษาง่ายขึ้น เพียงแค่สั่งยาให้คนไข้นำไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น

ถึงแม้ว่ายาของเมอร์คและไฟเซอร์ที่ใช้ประมาณ 1 ชุด หรือ คอร์สรักษา เป็นเวลา 5 วัน และในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ แต่นั่นก็ชวนคิดถึงข้อจำกัดของยาเม็ดพิชิตโควิด-19 นี้ ว่าจะมีข้อจำกัดบ้างหรือไม่

เนื่องจากทั้งสองบริษัทออกแถลงการณ์ของตนเองโดยที่ยังไม่เผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิก นั่นจึงทำให้ประเมินความเหมาะสมจากยาของเมอร์คและไฟเซอร์ได้ยาก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชาวฝรั่งเศส ถึงกับออกมาเตือนว่า ต้องระวังกับคำประกาศแบบนี้จนกว่าจะตรวจสอบผลการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เพราะถ้ามียารักษาโควิดย่อมหมายถึงโอกาสทางการตลาดอันมหาศาลของบริษัทยา

แต่แน่นอนว่าแม้จะมีการออกมาเตือน แต่สัญญาณบางอย่างจากเมอร์คและไฟเซอร์ กลับตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 บริษัทยักษ์ไม่ได้ให้คำสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ จากการที่บริษัทหยุดการทดลองทางคลินิกเร็วเกินคาดเพราะได้ผลน่าพอใจเป็นอย่างยิ่งชนิดที่คณะกรรมการตรวจสอบอิสระเห็นชอบด้วย

อย่างไรก็ตาม ‘ยาเม็ด’ รักษาโควิดทั้ง 2 ตัว ก็ยังคงเป็นความหวังใหม่ของชาวโลกที่จะเข้ามากู้วิกฤตโควิด-19 ซึ่งล่าสุดหน่วยงานสาธารณสุขจากเมืองผู้ดีอย่างสหราชอาณาจักร ก็เป็นชาติแรกที่ไฟเขียว ใช้ยา ‘โมลนูพิราเวียร์’ ในการรักษาโควิด-19

โดยอนุมัติใช้ในผู้ป่วยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยร้ายแรง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี

ในด้านสหรัฐฯ เอง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แถลงว่า ‘รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีการสั่งจองยาเม็ดต้านโควิด-19 แพกซ์โลวิดจากบริษัทไฟเซอร์แล้วหลายล้านคอร์ส ซึ่งถ้าหากยาแพกซ์โลวิดได้รับการอนุมัติโดย FDA แล้ว ทางการสหรัฐฯ อาจจะนำยาเม็ดต้านโควิดนี้มาใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทันที ซึ่งการรักษาด้วยยาเม็ดแพกซ์โลวิดจะกลายเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งในการคุ้มครองประชาชนจากผลร้ายแรงที่สุดของโควิด-19'

ในด้านประเทศไทยเอง ก็ได้ลงนามเบื้องต้นกับไฟเซอร์ไว้แล้วเช่นกัน โดยเมื่อผ่านขั้นตอนการอนุมัติจาก อย. สหรัฐอเมริกา และมีการดำเนินการตามขั้นตอน อย. ในไทยแล้วจึงมีการลงนามยืนยันคำสั่งซื้อต่อไป

และถึงแม้ว่าไฟเซอร์ยังไม่ได้กำหนดราคายาแพกซ์โลวิด แต่บริษัทให้คำมั่นว่าจะเป็นยาที่ ‘เข้าถึงได้’ โดยใช้วิธีกำหนดระดับราคาตามฐานรายได้ประเทศผู้ซื้อ และกำลังเจรจาทำสัญญาซื้อขายกับอีก 90 ประเทศเพื่อให้เข้าถึงยาเม็ด ‘แพกซ์โลวิด’ ได้เร็วที่สุด โดยไฟเซอร์คาดว่าจะผลิตยาเม็ดได้ 180,000 คอร์ส ในช่วงสิ้นปีนี้ และอย่างน้อย 50 ล้านคอร์ส ในช่วงสิ้นปีหน้า

ในด้านของเมอร์คฯ ก็ได้มอบสิทธิบัตรผลิตยา ‘โมลนูพิราเวียร์’ ให้กับประเทศกลุ่มรายได้ต่ำและปานกลาง กว่า 105 ประเทศทั่วโลก โดยจะไม่เก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งจะทำให้ยา ‘โมลนูพิราเวียร์’ จะมีราคาถูกลงเหลือเพียงคอร์สละ 20 ดอลลาร์ หรือ ประมาณ 650 บาทเท่านั้น

เรียกได้ว่าการเกิดขึ้นของ ‘ยาเม็ดรักษาโควิด’ เป็นอีกขั้นหนึ่งในการกู้วิกฤตโลกจากไวรัสโควิด-19 ที่ง่าย สะดวก ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากกว่าก่อน และนี่อาจเป็นความหวังใหม่ที่จะพลิกโลกในการต่อกรกับไวรัสตัวร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต!

แรงงาน 3 สัญชาติ เฮ! ศบค. เคาะ นำเข้า MoU ตามกระทรวงแรงงานเสนอ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 18/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คาดว่าหลังวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นายจ้างสามารถยื่นความต้องการจ้างแรงงานที่กรมการจัดหางานได้เลย 

โดยแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ต้องกักตัว 7 วัน หากฉีด 1 เข็ม หรือยังไม่เคยรับวัคซีน จะต้องกักตัว 14 วัน ระหว่างกักตัวจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT – PCR 2 ครั้ง โดยให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานที่กักกัน วันละ 500 – 1,000 บาท และค่าตรวจหาเชื้อโควิด 2 ครั้ง รวม 2,600 บาท กรณีคนต่างด้าวติดเชื้อฯ นายจ้างหรือบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษา ซึ่งวันสุดท้ายของการกักตัวแรงงานต่างด้าวที่ยังรับวัคซีนไม่ครบเกณฑ์ จะได้รับการฉีดวัคซีนโดยกระทรวงแรงงานเป็นผู้จัดหาให้ ในส่วนของเข็มที่ 2 กระทรวงแรงงานจะประสานสาธารณสุขจังหวัดปลายทางเพื่อนัดหมายฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานต่างด้าวตามกำหนด โดยนายจ้างจ่ายแค่ค่าบริการทางการแพทย์

“กระทรวงแรงงานได้รับข้อสั่งการจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อให้นายจ้าง และสถานประกอบการมีแรงงานที่เพียงพอในการขับเคลื่อนกิจการตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ แก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมือง สามารถควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างเป็นระบบ และเพื่อให้แรงงานต่างด้าวได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข ความมั่นคง และระบบการจ้างงานของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 มีค่าใช้จ่ายรวมในการนำเข้าฯ ระหว่าง 11,490 – 22,040 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน ประกอบด้วยค่าตรวจโควิด 2 ครั้ง 2,600 บาท ตรวจลงตราวีซ่า (2 ปี) 2,000 บาท ใบอนุญาตทำงาน (2 ปี) 1,900 บาท ตรวจสุขภาพ 6 โรค 500 บาท ค่าประกันสุภาพรวมโรคโควิด-19 (บริษัทประกันภัยเอกชน (4 เดือน)) 990 บาท ค่าบริการทางการแพทย์ (ฉีดวัคซีน) 50 บาท  และค่าสถานที่กักตัว (วันละ 500 – 1,000 บาท) กักตัว 7 วัน 3,500/7,000 บาท และกักตัว 14 วัน 7,000 – 14,000 บาท  โดยมีแนวทางการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้ 

ชาวอินเดีย ‘แหวกว่าย’ ฟองโฟมขาวในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจคำเตือน แม้เป็นที่สุดแห่งมลพิษในน้ำ

ชาวอินเดียแตกตื่น!! หลังแม่น้ำยมุนา หนึ่งในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดีย ในรัฐอุตตราขันฑ์ ปรากฏฟองโฟมสีขาวหนาทึบ ปกคลุมไปทั่วทั้งลำน้ำ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการปล่อยสารเคมีปนเปื้อนน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมรอบนอกกรุงนิวเดลี 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข่าวปรากฏการณ์โฟมขาวบนแม่น้ำยมุนา ที่เป็นสัญญาณเตือนของมลพิษในแหล่งน้ำในระดับรุนแรง แต่ก็มิได้ทำให้เกิดการหวาดหวั่น โดยชาวอินเดียเป็นจำนวนมากกลับแห่มาเที่ยวชม แถมทั้งมาลุยน้ำ ถ่ายรูปเซลฟี่ หรือแม้แต่ดำน้ำชำระกาย 

เหตุผลเพราะชาวฮินดูมีความเชื่อว่า นี่เป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากต้นน้ำของแม่น้ำยมุนา มาจากธารน้ำแข็งละลายจากยอดเขาบันดารปูจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยตอนล่าง มีความยาว 1,376 กิโลเมตร ก่อนจะไหลรวมกับแม่น้ำคงคาที่เมืองประยาคราช อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นมากกว่า 20 ล้านคน โดยมากกว่าครึ่งของชาวกรุงแห่งนี้ อาศัยน้ำจากแม่น้ำยมุนามาใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย

ผบ.ทบ.ร่วมประชุม “ผบ.ทบ.กลุ่มประเทศอาเซียน (ACAMM) ครั้งที่ 22  แบบออนไลน์”  มุ่งสร้างความร่วมมือทางการทหารในสถานการณ์โควิดของภูมิภาคอย่างยั่งยืน

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีการจัดประชุมผู้บัญชาการทหารบกกลุ่มประเทศอาเซียน ครั้งที่ 22 (22nd ASEAN Chiefs of Army Multilateral Meeting – 22nd ACAMM) ผ่านระบบออนไลน์ โดยในปีนี้กองทัพบกเมียนมา เป็นเจ้าภาพ ภายใต้หัวข้อ “บทบาทของกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียน ในกระบวนการฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” (The Role of ASEAN Armies in the Process of Rehabilitation After the COVID-19 Pandemic) 

ในส่วนของกองทัพบกไทย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เข้าร่วมประชุมในระบบดังกล่าวด้วย โดยมีผู้บัญชาการทหารบกจาก 10 ประเทศ เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ไทย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, มาเลเซีย, ลาว, อินโดนีเซีย, กัมพูชา และบรูไน 

โดยการประชุมจัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของกองทัพบกแต่ละประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมครั้งนี้ และให้กำลังใจเพื่อนสมาชิกกลุ่มอาเซียนทุกประเทศในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ คาดหวังว่าสถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียนจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งกองทัพบกไทยได้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหา และคลี่คลายผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยจัดตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก” เพื่อบริหารจัดการและประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งด้านกำลังพล, บุคลากรทางการแพทย์ และยุทโธปกรณ์ต่างๆ มาใช้ในภารกิจช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้บุคลากรของกองทัพบกปฏิบัติตามมาตรการพิทักษ์พลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง และช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่าเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศทั่วโลก ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่อันส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรโลกในทุกมิติ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวได้คลี่คลายลงแล้ว กองทัพบกได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟูประเทศภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตในสังคม “ปกติวิถีใหม่” พร้อมร่วมมือกับกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียนในการฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านกลไกต่างๆ ที่ได้จัดตั้งไว้แล้ว อาทิ ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Centre of Military Medicine : ACMM) และการฝึกแลกเปลี่ยนในโอกาสต่างๆ มุ่งสู่การพัฒนาอาเซียนอย่างยั่งยืนภายใต้บริบทของ "ความปกติถัดไป” เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ สำหรับการประชุม ACAMM นี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ด้วยความริเริ่มของกองทัพบกไทย เป็นการประชุมหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความร่วมมือด้านการทหารระหว่างกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในปี 2543, 2550, และ 2558 และจะครบวาระเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไปในปี 2566 

'จุรินทร์' นำทัพเอกชนด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ สร้าง CEO GenZ จาก 94 สถาบันการศึกษา "วัยรุ่นชอบ-คนรุ่นใหม่ไปต่อด้วยการค้า" 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานให้โอวาทและมอบประกาศนียบัตร ในพิธีปิด โครงการ From Gen Z to be CEO พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขา กอศ. ผู้บริหาร TRUE ผู้บริหาร Huawei ผู้บริหาร EXIM Bank ผู้บริหาร Bitkub และผู้บริหารบริษัท TikTok (ไทยแลนด์) จํากัด ที่ True Digital Park สุขุมวิท 101

นายจุรินทร์ กล่าวว่า การจัดโครงการ Gen Z to be CEO เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เพราะเดิมกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ NEA ช่วยกันสร้างนักธุรกิจหรือ CEO รุ่นใหม่ให้กับประเทศ ตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ได้ซัก 10,000 คน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีมาช่วยในการอบรม แต่เริ่มนับเดือนมิถุนายนปีที่แล้วก็เริ่มต้นที่ 12,000 คน และมีสมัครมาอีกสุดท้ายขึ้นเป็น 20,000 คน ดำเนินการครบ 20,000 คนแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทุกคนที่เข้ามาเรียนได้รับความรู้การบริหารจัดการธุรกิจ การผลิตสมัยใหม่ การให้บริการยุค New Normal และการตลาด ซึ่งปัจจุบันเราจะทำแต่เรื่องการผลิตเหมือนสมัยในอดีตแล้วไปหาตลาดไม่ทันแล้ว เพราะมีความเสี่ยง ยุคนี้ต้องใช้ตลาดนำการผลิต เหมือนแนวคิดของกระทรวงพาณิชย์และแนวคิดของวิสัยทัศน์”เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” CEO Gen Z ที่ได้รับการอบรมจะมีหลักสูตรต่างๆ และการใช้เทคโนโลยี การบริหารจัดการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การส่งออก โลกยุคใหม่

เป็นโอกาสดีที่น้องๆ 20,000 คนมีโอกาสเรียนสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นโอกาสแรกๆที่ได้รับล้ำหน้าหลายคน ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆทั้งของ TRUE Huawei แนวคิด Bitkub การเข้าถึงแหล่งทุนจาก EXIM Bank และ TikTok โลกเศรษฐกิจการค้ายุคใหม่ ยุค New Normal หัวใจสำคัญ คือ ใช้เทคโนโลยีช่วยทำการค้า เป็นอีคอมเมิร์ซ ตนเจรจาการค้ามาหลายกลุ่มทั้ง FTA ทวิภาคี หรือแบบพหุภาคี  ไม่มีข้อตกลงทางการค้าไหนในปัจจุบันที่ไม่ระบุว่าเรื่องอีคอมเมิร์ซ หรือ Digital Economy สัปดาห์ที่แล้วตนประชุมรัฐมนตรีการค้า APEC Digital Economy เป็นหัวข้อที่มีความสำคัญยิ่ง และปีนี้เราจะเป็นเจ้าภาพรับไม้ต่อจากนิวซีแลนด์วันนี้และ RCEP เราให้สัตยาบันไปแล้ว จะมีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า ก็มีบทบัญญัติว่าด้วยอีคอมเมิร์ซ จะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง น้องทุกคนเรียนจบแล้วก็จริงแต่ที่สำคัญต้องเรียนเพิ่มเติมแม้ผู้ที่เป็น CEO เชี่ยวชาญทำการค้าก็จำเป็นต้องศึกษากฎระเบียบ เพื่อแสวงหาความได้เปรียบในการทำธุรกิจการค้ากับโลกต่อไปในอนาคต

หลักสูตรปั้น GenZ เป็น CEO จึงทันต่อสถานการณ์และมีความทันสมัยอย่างยิ่ง ถือเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ เป็นความภาคภูมิใจ 3 ฝ่าย 1.น้องทั้ง 20,000 คน 2.น้อง 100 รายที่ประสบความสำเร็จ และน้อง Gen Z Ambassadors 3.กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะอาชีวศึกษา ที่นำมาทำ MoU กับกระทรวงพาณิชย์ให้นักศึกษาในสถาบันอาชีวศึกษา 5,000 คน ร่วมโครงการ From Gen Z  to be CEO และกระทรวงอุดมศึกษาส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกชนและภาครัฐ

หวังว่าน้องทุกคนที่ผ่านหลักสูตรนี้จะมีอนาคตที่งดงามต่อไป ปี 2564 จะมีนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยจบการศึกษา 290,000 คน คำถามคือ จะไปทำอะไรหรือจะหางานได้ที่ไหน และปี 2565 อีก 280,000 คน รวม 2 ปีที่เจอวิกฤตโควิด 570,000 คนเป็นภาระหนักของรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาช่วยให้น้องๆมีงานทำ อย่างน้อยที่สุด 20,000 คนนี้ คิดว่าได้เปรียบไม่แพ้คนอื่น ถือเป็นแต้มต่อและขออวยพรให้น้องๆทั้ง 20,000 คน ที่เข้าร่วมอบรมสำเร็จได้ดังฝัน ขอให้ทุกคนสามารถก้าวต่อไปเป็นแม่ทัพ เจนเนอเรชั่นใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อทำรายได้ให้กับตัวเอง ครอบครัว องค์กรและประเทศของเราต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "หัวเว่ยเชื่อมั่นว่า การส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัลเป็นพื้นฐานสำคัญ  เป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของท่านรองนายก คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความความสำคัญที่ในการยกระดับขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการไทย  ขอขอบคุณท่านรองนายกฯรวมถึงทางภาครัฐที่ให้ได้รับความไว้วางใจและร่วมมือกับหัวเว่ย ประเทศไทย ในการช่วยต่อยอดศักยภาพของบุคคลากรไทย เพื่อการก้าวไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 โดยหัวเว่ยมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมด้านไอซีทีของไทยต่อไปภายใต้พันธกิจ Grow in Thailand, Contribute to Thailand เพื่อผลัดดันประเทศไทยให้เปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลและมีการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน”

นายกฯ-ศบค. ไฟเขียว ก. แรงงาน ออกมาตรการเข้ม นำเข้าแรงงานต่างด้าว รองรับความต้องการภาคการผลิต

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. รับทราบและเห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในโรงงาน ตามที่กระทรวงแรงงานนำเสนอ เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการสามารถดำเนินกิจการ ซึ่งจะสร้างขวัญและกำลังใจในการดำเนินกิจการทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน 

โดยมีมาตรการ ดังนี้
 1) ยื่นแบบคำร้องขอนำเข้าคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ โดยสามารถยื่นได้ที่กรมการจัดหางาน สำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ 1-10  
2) ส่งคำร้องความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งกรมการจัดหางานจะมีหนังสือแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวผ่านสถานทูตประเทศต้นทางประจำประเทศไทยไปยังประเทศต้นทาง 
3) ประเทศต้นทางดำเนินการรับสมัคร คัดเลือก ทำสัญญา และทำ Name List ส่งให้กรมการจัดหางานผ่านสถานทูตประเทศต้นทางประจำประเทศไทย และกรมการจัดหางานจัดส่ง Name List ให้กับนายจ้าง 
4) เตรียมเอกสารยื่นขอใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว ได้แก่ หลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 (ถ้ามี) หลักฐานการซื้อประกันสุขภาพบริษัทประกันภัย 4 เดือน โดยนายจ้างต้องแจ้งขึ้นทะเบียนประกันสังคม 
5) การอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ กรมการจัดหางานจะมีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตประเทศต้นทาง เพื่ออนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 

6) การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จะต้องแสดงเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้ 
1. หนังสือยืนยันการอนุญาตให้เข้ามาทำงานพร้อมบัญชีรายชื่อ
 2. ผลตรวจโควิด-19 (วิธี RT-PCR) ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางเข้ามา หรือผลรับรองการตรวจ ATK 
3. หลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 (ถ้ามี) 
4. ตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร 2 ปี 
5. เดินทางไปยังสถานที่กักตัวโดยยานพาหนะที่แจ้งไว้ 7) สถานที่กักตัว กรณีฉีดวัคซีนครบโดส เข้ารับการกักตัวอย่างน้อย 7 วัน ขณะอยู่ในสถานกักตัวตรวจโรคโควิด-19 จำนวน 2 ครั้ง (ครั้งที่ 1 ไม่เกินวันแรกของการกักตัว ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 ของระยะเวลากักตัว) กรณีฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์หรือยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้ารับการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ขณะอยู่ในสถานที่กักตัวต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 2 ครั้ง (ครั้งที่ 1 ไม่เกินวันแรกของการกักตัว ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 12-13 ของระยะเวลาที่ถูกกักตัว กรณีตรวจโรคโควิด-19 พบเชื้อ ให้เข้ารับการรักษาโรค โดยค่าใช้จ่ายนายจ้างและกรมธรรม์เป็นผู้รับผิดชอบ และ 8) เมื่อคนต่างด้าวกักตัวครบกำหนด นายจ้างต้องไปรับคนต่างด้าวมายังสถานที่ทำงาน เพื่อทำการอบรมผ่าน Video Conference และแจ้งเข้าทำงานขอรับในอนุญาตทำงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด

'นายก' ห่วงผู้ประกันตนทุพพลภาพตาบอด สั่ง รมว.เฮ้ง ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ มอบเงินเยียวยาและสิทธิประโยชน์ทดแทนถึงบ้านที่นนทบุรี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบสิทธิประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้จำนวน 2,400 บาทต่อเดือน ตลอดชีวิต และเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 10,000 บาท
แก่นางสาวบุษกร เจริญชัย อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ทุพพลภาพพิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง 

ณ บ้านของผู้ประกันตน ใกล้กับวัดเฉลิมพระเกียรติ ซอย 10 ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) และนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม มอบหมายให้ นางสาวลัดดา  แซ่ลี้ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า กรณีของนางสาวบุษกร กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้รับข้อร้องเรียนผ่านรายการ เรื่องนี้คุณต้องรู้ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า ตนเป็นผู้พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง มีสถานะเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 และเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลแต่ไม่สามารถผูกพร้อมเพย์ เพื่อรับเงินเยียวยาได้

เนื่องจากเป็นบุคคลที่เคยถูกศาลมีคำสั่งให้ล้มละลาย ทันทีที่ทราบข่าวท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนและเงินเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งนางสาวลัดดา แซ่ลี้ โฆษกสำนักงานประกันสังคม ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านของนางสาวบุษกร เพื่อให้ความช่วยเหลือกรอกข้อมูลรับเงินเยียวยา พร้อมให้ยื่นเอกสารเป็นผู้ทุพพลภาพเพื่อพิจารณาจ่ายเงินทดแทน

 

“ประวิตร” ลงพท.นครสวรรค์ ดูระบบระบายน้ำ พื้นที่เจ้าพระยาตอนบน พร้อมติดตามความคืบหน้าการพัฒนาบึงบอระเพ็ด และการช่วยเหลือน้ำท่วม

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ จ.นครสวรรค์  รับฟังการบรรยายสรุปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภาพรวม จากส่วนราชการต่างๆ ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนบน และการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับ จ.นครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ด้านทรัพยากรนำ้ของประเทศ รวมทั้งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งน้ำธรรมชาติบึงบอระเพ็ด ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคในช่วงฝนทิ้งช่วงในคราวเดียวกัน 

พล.อ.ประวิตร จึงได้กำชับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง และ จ.นครสวรรค์ ให้การสนับสนุน สทนช. เร่งขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบนในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ให้มีความคืบหน้า โดยเฉพาะโครงการระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนวัดไทรย์ ให้เสร็จสิ้นทันรองรับสถานการณ์น้ำหลากในปีถัดไป  

'จีน' ผ่านมติประวัติศาสตร์ ปูทาง 'สี จิ้นผิง' กุมอำนาจยาว

12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 16 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 19 ที่มีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน เริ่มต้นมาตั้งแต่วันจันทร์และปิดฉากลงแล้วในวันเดียวกันนี้ ได้ผ่าน "มติประวัติศาสตร์" ปูทางให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ครองอำนาจต่อไปอีกยาวนาน

ที่ประชุมของคณะกรรมการกลางซึ่งมีสมาชิกประมาณ 350 คน ได้ผ่านมติว่าด้วย "ความสำเร็จครั้งใหญ่และประสบการณ์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์การต่อสู้รอบ 100 ปีของพรรค" ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อ 100 ปีก่อน ที่คณะกรรมการกลางพรรคฯ ผ่านมติประวัติศาสตร์ เพื่อเพิ่มอำนาจผู้นำสูงสุด โดยครั้งแรกในยุคท่านประธานเหมา เจ๋อตง และครั้งที่ 2 ในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top