Saturday, 5 July 2025
NEWS

'พินตัวตัว'​ แอปฯ​ ซื้อขายออนไลน์ตัวฉกาจ!! ผู้เขย่าบัลลังก์​ Alibaba​ ดึงความนิยมด้วยแนวคิด​ 'ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​ | Knowledge Times EP.3

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’ I EP.3
???? 'พินตัวตัว'​ แอปฯ​ ซื้อขายออนไลน์ตัวฉกาจ!! 
ผู้เขย่าบัลลังก์​ Alibaba​ ดึงความนิยมด้วยแนวคิด​ 'ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​

การค้าขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ดุเดือดขึ้นอีกครั้ง​ หลังจาก​ “พินตัวตัว” (Pinduoduo) แอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซจีน​ กลายเป็นอีกตัวเลือกใหม่ของการซื้อขายออนไลน์​ ด้วยจุดเด่นในการขจัดทุนผูกขาดอำนาจพ่อค้าคนกลาง 

“พินตัวตัว” เป็นแอปฯ​ ซื้อขายสินค้าออนไลน์​ ที่เริ่มต้นนำเสนอกลุ่มสินค้าด้านการเกษตรเป็นหลัก...ถูกออกแบบโดย Colin Huang (โคลิน หวง) หรือหวงเจิง​ ซึ่งเกิดที่เมืองหางโจว เมืองเดียวกับ Jack Ma เจ้าของอาณาจักร ALEBABA และเขาก็เคยทำงานให้กับบริษัท Google และเคยเป็นผู้พัฒนาเกมมาก่อน

หวง ออกแบบ “พินตัวตัว” ขึ้นมา​ ภายใต้กลยุทธ์​ “Group Buy” หรือ 'การซื้อสินค้าเป็นกลุ่ม'​ ซึ่งพัฒนามาจากเทรนด์การซื้อสินค้าที่เรียกว่า​ Social​ Shopping​ หากยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ จะได้สินค้าในราคาที่ถูกลงเท่านั้น เป็นแนวคิดดี ๆ​ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ในราคาที่ประหยัดมากขึ้น 

นอกจากนี้​ 'พินตัวตัว'​ ยังใช้โมเดลการประชาสัมพันธ์แพลตฟอร์ม​ โดยกระตุ้นให้กลุ่มผู้ซื้อแนะนำสินค้าต่อไปยังกลุ่มเพื่อนหรือคนใกล้ตัวผ่านวีแชท (Wechat) เพื่อให้ได้ส่วนลดพิเศษสำหรับไว้ใช้ซื้อสินค้านั้น ๆ​ อีกด้วย

การเข้ามาในตลาดนี้ของ​ “พินตัวตัว” เป็นการอาศัยช่องว่างของยักษ์ใหญ่อย่าง ALIBABA และ JD.com ที่เน้นเจาะแต่กลุ่มชนชั้นบน และชนชั้นกลางในจีน 

โดย “พินตัวตัว” จะเลือกเจาะไปที่กลุ่มชนชั้นล่าง​ (คนจนมาก) ซึ่งมีสัดส่วนถึง 65% ของประเทศจีน !! ในขณะที่ตลาดที่ Alibaba แข่งกับ JD.com นั้นมีสัดส่วนเพียง 35% เท่านั้น

แต่อีกจุดที่น่าสนใจต่างจาก ALIBABA และ JD.Com คือ​ 'การตัดอำนาจตัวกลาง'​ ทิ้งไป​ ต่างจากทั้ง​ 2​ ที่มีระบบตัวกลางเรียกเก็บค่าบริการ เนื่องจากต้องมีโรงเก็บสินค้า ทำให้มีการเก็บค่าวางสินค้าในแพลตฟอร์มนั้น ๆ

ความน่ากลัวของ “พินตัวตัว” กับการตัดอำนาจตัวกลางการจำหน่ายสินค้า​ หรือ​ '​ฆ่าพ่อค้าคนกลาง'​ บนโลกอีคอมเมิร์ซนั้น​ อยู่ที่การปล่อยให้ผู้ซื้อและผู้ขาย สามารถติดต่อกันได้โดยตรง แบบไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง บนรูปแบบการช้อปปิ้งที่มีโมเดล​ 'Group Buy'​ มาเป็นตัวกระตุ้น

ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภค​ 'ตลาดระดับล่าง'​ ของจีน​ หันมาสนใจซื้อสินค้าออนไลน์จาก “พินตัวตัว” มากขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคในชีวิตประจำวัน, สินค้าประเภทอาหาร, ขนมขบเคี้ยว และผลไม้ เป็นต้น เนื่องจากสินค้ามีราคาดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ ​จนทำให้แอปพลิเคชันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว... 

รวดเร็วจนถึงขั้น...ก้าวขึ้นมาเป็นอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มเบอร์ 2​ รองจาก​ Taobao ของ​ Alibaba และแซงหน้า​ JD.Com ไปเป็นที่เรียบร้อย​และไม่แน่ว่า​ในอนาคตแอปฯ “พินตัวตัว” อาจจะสามารถขึ้นแท่นเป็นที่อันดับ 1 แทน ALIBABA ก็เป็นได้...

ปัจจุบัน​ 'พินตัวตัว'​ มีเกษตรกรถึง 6 แสนราย ที่ใช้พื้นที่นี้ในการจำหน่ายสินค้า และกลายเป็นที่รักของนักชอปออนไลน์ ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 2-3 ร้อยล้านคน 

โดยคาดกันว่า​ ในอนาคตอันใกล้​ อาจจะไม่ได้มีเพียงแต่สินค้าการเกษตรเท่านั้นที่อยู่ใน​ 'พินตัวตัว'​ แต่อาจจะได้เห็นสินค้า/บริการที่หลากหลาย​ หรือแบรนด์เนมราคาแพงมาลงในแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ 8 แนวทาง และ 5 วิธีปฎิบัติ สำหรับ 'หญิงตั้งครรภ์' ในการเข้ารับวัคซีนโควิด-19

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า ‘หญิงตั้งครรภ์’ ที่มีความเสี่ยงป่วยเป็นโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป และเพิ่มความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้แนะ 8 แนวทางให้แก่ โรงพยาบาลและคลินิกฝากครรภ์ ให้ความรู้ คำแนะนำ เรื่อง ‘ฉีดวัคซีนโควิด-19’ ลดอาการป่วยหนัก ลดเสี่ยง เสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก รวมถึง 5 วิธีปฏิบัติของ ‘หญิงตั้งครรภ์’ ในการดูแลตนเองเป็นพิเศษ มีอะไรบ้าง ? ไปติดตามกันเลย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อาชีวะเกษตรและประมง เร่งช่วยเหลือชุมชน แจกจ่ายฟ้าทะลายโจรและกระชาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด-19

ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) และประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์อาชีวะเกษตรและประมง เปิดเผยว่า ดร. คุณหญิงกัลยา ได้มอบนโยบายเร่งด่วนให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในทุกชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อน

โดยนอกจากให้การช่วยเหลือด้านสถานที่และอาหารแล้ว ยังให้สถานศึกษาอาชีวะเกษตรฯ ทั้ง 47 แห่งเพาะพันธุ์ปลานิล ซึ่งแพร่ขยายพันธุ์ง่าย มีรสชาติดี และดีต่อสุขภาพ รวมถึงพืชสมุนไพรไทยอย่างกระชาย และฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสรรพคุณทางการแพทย์ในการเสริมภูมิคุ้มกัน เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

“สืบเนื่องจากนโยบายของคุณหญิงกัลยา ให้เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จึงได้จัดการประชุมหารือผ่าน ระบบ Zoom เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโดยมี ดร. ชาติชาย เกตุพรหม ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรและประมง นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ โดยวิทยาลัยเกษตรและประมงทั้ง 47 แห่ง เตรียมดำเนินการ แจก-ปล่อย ปลานิลจำนวน 999,999 ตัว และเพาะ-แจกต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวนกว่า 2 แสนต้นภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19” ดร.ศุภชัย กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/110537


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘เฉลิมชัย’ เดินหน้านโยบาย “พืชอนาคตพืชเศรษฐกิจ” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เร่งพัฒนา “กัญชง” เชิงพาณิชย์ต่อยอด 10 คลัสเตอร์ อุตสาหกรรม สวก.-สวพส.-สถาบันเอสเอมอี ผนึกความร่วมมือพัฒนากัญชงทำ MOU 6 สิงหาคม นี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (21 ก.ค.) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายพืชอนาคตพืชเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19

ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ผนึกความร่วมมือกับมูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สพว. ยกระดับภาคเกษตรพัฒนากัญชงเชิงพาณิชย์สู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรม โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการทำงานและการใช้ทรัพยากรร่วมกันของทั้ง สวก. สวพส. และ สพว. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านกัญชงอย่างครบวงจร และร่วมกันนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยไปต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยีและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานได้มีการดำเนินงานในการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมในเรื่องของกัญชงมาอย่างต่อเนื่อง

“กัญชง สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น ช่อดอก เมล็ด เปลือก ลำต้น และราก ในการแปรรูปสร้างมูลค่าอย่างน้อยใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มเวชภัณฑ์ยา, กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์, กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเครื่องดื่มและอาหารเสริม (Super Food), กลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษ, กลุ่มผลิตภัณฑ์สิ่งทอเสื้อผ้า, กลุ่มผลิตภัณฑ์นิรภัย, กลุ่มก่อสร้างและวัสดุภัณฑ์, กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี่ เช่น ซูเปอร์คาพาซิเตอร์ (Super Capacitor) เป็นต้น จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยและเกษตรกรของเราที่จะมีพืชเศรษฐกิจฐานรากใหม่เป็นพืชแห่งอนาคต เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาผ่านกฎหมายฟาร์มบิลล์ (Farm bill2018) ปลดล็อคกัญชงสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น ในขณะที่จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายประเทศทั่วโลกก็ส่งเสริมสนับสนุนกัญชงจนกล่าวได้ว่าเป็นเฮมพ์อีโคโนมีพืชเศรษฐกิจแสนล้านของไทยและของโลก” นายอลงกรณ์ กล่าว

ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สวก. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัยด้านการเกษตรของประเทศ ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการโครงการวิจัยด้านสมุนไพรไทย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557– ปัจจุบัน เป็นจำนวนกว่า 240 โครงการ งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนาต่อยอดสมุนไพรไทยในด้านการรักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ตลอดจนขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทำให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งผลการวิจัยที่ได้ต้องมีเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดย สวก. ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการสนับสนุนกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและประเทศ โดยจะมีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนทุนวิจัยและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงการให้ทุนวิจัยด้านกัญชงเพื่อสร้างเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ที่ผ่านมา สวก. ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยนเรศวร ในโครงการการวิจัยและพัฒนากัญชง เพื่อการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย การทดลองปลูกกัญชงในโรงเรือนระบบปิด การศึกษาวิจัยข้อมูลด้านประสิทธิภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชง

สำหรับความร่วมมือในขั้นแรก สวก. จะสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนาการเก็บข้อมูลต้นทุนตลอดห่วงโซ่การผลิตกัญชง ตั้งแต่การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งที่ผ่านมา สวพส. และ สพว. ได้มีการดำเนินงานร่วมกันมาในระยะหนึ่งแล้ว แต่ประสบปัญหาในด้านต้นทุนการเก็บผลผลิตที่สูง เนื่องจากต้องใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ด้วยเหตุนี้ สวก. จึงจะสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือ/เครื่องทุ่นแรงในการเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการลดต้นทุนและลดเวลาในการดำเนินงาน รวมถึงการสนับสนุนทุนวิจัยด้านการวิเคราะห์ปริมาณสาร CBD THC ที่เหมาะสมของกัญชงในการทำเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ นอกจากนี้ สวก. ได้หารือกับ ISMED ในการรวบรวมข้อมูลในทุก ๆ ด้านของกัญชง เพื่อจัดเป็นฐานข้อมูลด้านกัญชงของประเทศต่อไป ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ สวก. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนการพัฒนากัญชงให้สามารถพัฒนา ต่อยอดไปสู่ภาคอุตสาหกรรมของประเทศต่อไปได้

ด้านนายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวว่า สวพส. ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้วิจัยและพัฒนากัญชง (Hemp) เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน โดยผลการวิจัยและพัฒนาทำให้มีข้อมูลและองค์ความรู้ที่นำมาสู่แก้ไขกฎหมาย เพื่อส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน และผลการวิจัยและพัฒนาจำนวนไม่น้อย นับจากปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน กว่า 15 ปี  เริ่มจากการพัฒนาพันธุ์เพื่อให้มีสารเสพติดต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด การพัฒนาวิธีการเพาะปลูก การแก้กฎหมาย และสร้างการตลาด เพื่อให้สามารถปลูกเป็นอาชีพได้จริง ในช่วงแรก มุ่งการใช้ประโยชน์จากเส้นใยสำหรับในครัวเรือน ต่อมาขยายการศึกษาวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จากแกน ลำต้น เมล็ด และเส้นใยในเชิงอุตสาหกรรม และนำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มุ่งการใช้ประโยชน์ครอบคลุมทุกส่วน ทั้งเส้นใย เมล็ด และช่อดอก สำหรับอาหาร เวชสำอาง และการแพทย์ โดยมีผลงานที่สำคัญคือ ระยะที่ 1 (ปี พ.ศ.2549-2554) ปรับปรุงและขึ้นทะเบียนพันธุ์ ระยะที่ 2 (ปี พ.ศ.2555-2559) วิจัยและพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง และระยะที่ 3 (ปี พ.ศ.2560-ปัจจุบัน) ศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก ในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ประโยชน์

นายธนนนทน์ พรายจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย กัญชงมีความสำคัญต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความต้องการใช้กัญชงเป็นวัตถุดิบเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับอุตสาหกรรมมานานแล้ว ขณะที่ภาคการเกษตรต้องการปลูกพืชกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชมูลค่าต่ำอื่น ๆ  รวมถึงปัจจุบันกฎหมายกำลังเปิดกว้างเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น

ที่ผ่านมา สพว. มีองค์ความรู้และประสบการณ์ในการศึกษาและพัฒนาพืชกัญชงมาไม่น้อยกว่า 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – ปัจจุบัน โดยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ สวพส. และการสนับสนุนงบประมาณจากหลายหน่วยงาน โดยมีประสบการณ์ครอบคลุมทั้งด้านสถานการณ์การตลาด การผลิต กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของกัญชง การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสอดคล้องกับกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมของภาคเอกชนไทย การขยายขนาดการผลิต (Scaleup) ไปสู่ระดับอุตสาหกรรม คลัสเตอร์กัญชง การบริหารจัดการซัพพลายเชน และการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางธุรกิจในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ สำหรับการลงทุนในระดับกลางน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปกัญชง จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านในสาขาต่าง ๆ  เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับเทคโนโลยีในระดับกลางน้ำ เพื่อให้ได้วัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำในสาขาต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนแก้โจทย์ที่สำคัญให้กับภาคอุตสาหกรรมกัญชงของประเทศไทย และตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)  ตามนโยบายประเทศไทย 4.0

สำหรับการถ่ายทอดสดการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว สามารถรับชมได้ทาง https://www.facebook.com/ardathai ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ เผยข่าวดี ไอโอซี ลงมติโหวตรับ "มวยไทย" และ สหพันธ์กีฬามวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ปูทางลุ้นบรรจุเข้าชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์ ในอนาคต

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 มร.โธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) เป็นประธานในการประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมโอกุระ กรุงโตเกียว โดยงานนี้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์หญิงไทย ซึ่งเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมพร้อม ๆ กับคณะกรรมการบริหารคนอื่น ๆ ด้วย

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ กล่าวว่า สำหรับวาระสำคัญของงานประชุมสมัชชาใหญ่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 อยู่ที่การโหวตลงมติอย่างเป็นทางการให้ สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ได้รับรองอย่างเป็นทางการ ให้เป็นสหพันธ์กีฬานานาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ถือเป็นการปูทางไปสู่การบรรจุแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ในอนาคตข้างหน้า ร่วมกับสหพันธ์เชียร์นานาชาติ, สหพันธ์แซมโบ้นานาชาติ, สหพันธ์ไอซ์สต็อคสปอร์ต, สมาคมองค์กรบ็อกซิ่งโลก และเวิลด์ ลาครอส

สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" ก่อตั้งขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ก้าวไกลของสุภาพบุรุษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานก็จะมีกลุ่มสุภาพสตรีเข้าร่วมด้วย โดยมีเป้าหมายรวมมวยไทย ที่มีอยู่ทั่วโลกนั้นให้มาอยู่ภายใต้กฏกติกาอันเดียวกัน โดยปี 2549 มวยไทยกลายเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ หลังได้รับการเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น โดยขยับอยู่ในฐานะเดียวเทียบเท่ากับฟีฟ่า (FIFA) ของวงการฟุตบอล, ฟีบ้า (FIBA) ของบาสเกตบอล และ ฟีน่า (FINA) ของกีฬาว่ายน้ำ โดยการรับรองจากสมาคมสหพันธ์กีฬานานาชาติ (General Association of International Sports Federations : GAISF) ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "มวยไทย" และอยู่ภายใต้การดูแลของ "อิฟม่า"

ในปี 2555 อิฟม่า ประกาศตัวให้สังคมโลกและโอลิมปิกได้รับทราบถึงความตั้งใจ ก่อนจะยื่นขอการรับรองชั่วคราวจากไอโอซี และได้รับการรับรองในปี 2559 หลังผ่านเกณฑ์สำคัญทั้งหมด 54 ข้อใน 8 หมวด ก่อนที่ล่าสุดจะได้รับการรับรองอย่างเต็มรูปแบบในที่ประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่การผลักดันให้กีฬามวยไทยให้ยิ่งเป็นที่รู้จัก ให้บรรจุเป้าหมายมีจัดชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมอำนวยการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกและคณะอนุกรรมการดำเนินการการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิก เปิดเผยว่า ในฐานะที่ไอโอซีได้รับรองมวยไทยและอิฟม่าให้เข้าเป็นสมาชิกถาวร ตน ในฐานะประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการ คณะรัฐบาล และประชาชนชาวไทย รู้สึกภาคภูมิใจ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ผมต้องขอขอบคุณท่านประธานไอโอซี โธมัส บาค รวมถึงคณะกรรมการทุกท่าน ที่ได้ให้การยอมรับกีฬามวยไทยในครั้งนี้ ผมอยากจะขอชื่นชมอิฟม่า และสมาชิกทั้ง 146 ประเทศ ที่ได้ร่วมมือกัน ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของโอลิมปิก จนได้รับความไว้วางใจอย่างดีจากไอโอซี ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะส่งเสริมมวยไทย และสนับสนุนการดำเนินงานของอิฟม่าอย่างเต็มที่ เพราะพวกเรามีเป้าหมายร่วมกัน คือ การผลักดันให้กีฬามวยไทยได้บรรจุเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ภายในอนาคตอันใกล้” พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธานอิฟม่า เปิดเผยว่า ตนต้องขอขอบคุณ สำนักงานระหว่างประเทศของอิฟม่าเป็นพิเศษ ซึ่งนำโดยผู้อำนวยการ ชาริสซ่า ไทนัน ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ได้จริงและมีการจัดทำเอกสารในแอปพลิเคชันที่มีความหนากว่า 1,000 หน้า เพื่อแสดงให้ไอโอซีได้เห็นถึงความสอดคล้องของเรากับวาระโอลิมปิก 2020+5


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เดือดร้อนหนักมาก! 'ครูเป็ด มนต์ชีพ'​ ขอ 'บิ๊กตู่'​ รีบสั่ง กยศ. พักชำระหนี้-เบี้ยปรับ 6 เดือน ย้ำ สถานการณ์วิกฤตต้องช่วยกัน อย่าซ้ำเติมประชาชนทั้งน้ำตา

นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหารพรรคกล้า ฝ่ายการศึกษา เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเยียวยามาตรการเพิ่มเติม ให้กับลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพราะลูกหนี้กองทุนนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เช่นเดียวกัน จึงขอเรียกร้องให้พักการชำระหนี้ ลดและพักเบี้ยปรับไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

“บางคนโดนดึงเงินในบัญชีทั้งที่ตกงานเพราะโควิด-19 บางคนจะไปคลอดลูกก็ไม่มีเงินไปคลอดลูก ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาอีกทอด เกิดภาระหนี้ไม่รู้จักจบสิ้น เกิดปัญหาต่อกันเป็นลูกโซ่ โดยที่หน่วยงานของรัฐยังคงตั้งหน้าตั้งตาทวงหนี้ต่อไป ไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แบบนี้เหมือนกับการซ้ำเติมประชาชนทั้งน้ำตา” นายมนต์ชีพ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม. ให้ ทส. ประชุมออนไลน์ ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสีย 26-30 กค.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสีย สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 15 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 10 และการประชุมรัฐภาคี อนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 10 ปี พ.ศ.2564 

ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ  ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อส่งมอบให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาทั้งสามฉบับ ก่อนการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาทั้งสามฉบับ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 30 ก.ค.64 ในรูปแบบออนไลน์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ฉบับนี้ เป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการจัดการสารเคมีและของเสียที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้อนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.ป้องกันการเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายและสารเคมีข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย และให้สัตยาบันเร่งด่วนสำหรับข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลฯ ในการห้ามการส่งออก (Basel Ban Amendment) เพื่อการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสารเคมีและของเสีย

2.เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบรรจุรายชื่อสารเคมีอันตรายของอนุสัญญาต่างๆ

3.จัดการสารเคมีอันตรายและของเสียตลอดวงจรชีวิต ลดการเกิดของเสีย ตามหลักการ 3Rs และหลักการว่าด้วยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามกรอบกฎหมายของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน

4.วิจัยและพัฒนาทางเลือกในการใช้สารเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยกระดับกรอบการดำเนินงานเกี่ยวกับการจำกัดสารเคมี

5.ดำเนินการร่วมกับภาคีอื่นและองค์กรพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อสร้างขีดความสามารถ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และแบ่งปันข้อมูลเพื่อจัดการของเสียอันตรายและสารเคมี รวมทั้งการลักลอบขนส่งอย่างผิดกฎหมายในภูมิภาค

เพจลงทุนแมน เผย 'เจฟฟ์ เบโซส' บุคคลที่รวยสุดในโลก เจ้าของธุรกิจ Amazon ได้ขึ้นจรวด New Shepard ของบริษัท Blue Origin ซึ่งเป็นบริษัทของเขาเองขึ้นสู่อวกาศ และกลับลงมาถึงพื้นดินได้สำเร็จ

เมื่อวานนี้ (20 ก.ค. 64) เพจลงทุนแมน เผย 'เจฟฟ์ เบโซส' บุคคลที่รวยสุดในโลก เจ้าของธุรกิจ Amazon ได้ขึ้นจรวด New Shepard ของบริษัท Blue Origin ซึ่งเป็นบริษัทของเขาเองขึ้นสู่อวกาศ และกลับลงมาถึงพื้นดินได้สำเร็จ

- โดยจรวด New Shepard จะเป็นแบบเดียวกับ จรวด Falcon ของ SpaceX ที่อีลอน มัสก์ เป็นเจ้าของ คือจรวดสามารถกลับลงจอดบนพื้นดิน เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้

- แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ เจ้าของบริษัทอย่าง เจฟฟ์ เบโซส ได้ขึ้นไปกับจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่ง อีลอน มัสก์ ยังไม่เคยขึ้นไปแบบนี้เลย

- เรื่องนี้จะเปิดโลกของการท่องเที่ยวอวกาศอย่างเป็นทางการ โดยเมื่อจรวดขึ้นไปถึงอวกาศแล้ว นักท่องเที่ยวก็จะพบสู่สภาวะไร้น้ำหนัก

- จรวด New Shepard ที่นำตัวห้องโดยสารขึ้นไปจะแยกตัวออกมา และแล่นลงจอดในพื้นที่ที่กำหนดไว้

- สำหรับตัวยานห้องโดยสารที่นักท่องเที่ยวนั่งก็จะตกลงสู่พื้นโลกด้วยร่มชูชีพ

- โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 Virgin Galactic ก็ได้ทำการทดลองเที่ยวบินอวกาศ ซึ่งเที่ยวบินนี้มีเจ้าของบริษัทคือ Sir Richard Branson อยู่ในการเดินทางด้วย

- แต่การเดินทางท่องอวกาศของ Virgin Galactic จะไม่ใช่จรวดแนวตั้งที่เราคุ้นเคย แต่เป็นการใช้เครื่องบิน 2 เครื่อง ในการเดินทาง

- เครื่องบิน 2 เครื่องจะขึ้นไปพร้อมกันเหมือนเครื่องบินปกติ โดยเมื่อไปถึงจุดหนึ่งบนท้องฟ้า เครื่องบินเครื่องเล็กจะถูกปล่อยออกจากเครื่องใหญ่ เพื่อจุดเครื่องยนต์ขึ้นไปบนอวกาศ ก่อนที่เครื่องบินลำเล็กจะกลับลงสู่พื้นโลก ด้วยการลงจอดบนรันเวย์ เหมือนเครื่องบินปกติ

- ซึ่งการเดินทางของ Blue Origin แบบแนวดิ่งแบบจรวดจะทำให้เดินทางออกไปในอวกาศในระดับที่สูงกว่า และมีกระจกโดยสารที่กว้าง เห็นวิวชัดเจนกว่า

- แต่การเดินทางของ Virgin Galactic จะเป็นรูปแบบการนั่งเครื่องบินที่ผู้คนคุ้นเคยกัน

- น่าติดตามว่า การท่องเที่ยวอวกาศ จะเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่สำหรับเหล่าเศรษฐี ด้วยค่าตั๋วหลักล้านบาทต่อเที่ยว

- บางคนอาจบอกว่าแพง แต่จริง ๆ แล้ว รถยนต์สะสมของเศรษฐีเหล่านี้ อาจจะแพงกว่า ค่าตั๋วเดินทางไปอวกาศ ด้วยซ้ำ


ที่มา : https://www.facebook.com/113397052526245/posts/1106552213210719/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยรายงานการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่า 90% และเดลตา 75%

จากเฟซบุ๊ก 'ไทยคู่ฟ้า' ได้โพสต์ชี้ผลศึกษา 'ซิโนแวค' ใน 4 แหล่ง พบประสิทธิผลดีว่า...

กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยรายงานการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค จากสถานการณ์จริงที่ได้นำมาฉีดให้กับคนไทยใน 4 แหล่ง มีดังนี้...

1.) จ.ภูเก็ต ได้ติดตามกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ช่วงเดือนเม.ย. - พ.ค. 2564 จำนวนกว่า 1,500 ราย พบการติดเชื้อ เพียง 124 ราย หากเทียบกันระหว่างผู้รับวัคซีนและไม่ได้รับวัคซีน พบว่าประสิทธิผลป้องกันติดเชื้ออยู่ที่ 90.7%

2.) จ.สมุทรสาคร ได้ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กว่า 500 ราย ช่วงเดือนเม.ย. 2564 พบติดเชื้อ 116 ราย ประสิทธิผลป้องกันติดเชื้ออยู่ที่ 90.5%

3.) จ.เชียงราย ได้ศึกษากรณีการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุข ช่วงเดือนมิ.ย. 2564 กว่า 500 ราย พบการติดเชื้อ 40 ราย

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามความรุนแรงเรื่องปอดอักเสบ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลพบว่า ประสิทธิผลของซิโนแวค 2 เข็มป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 88.8% และป้องกันปอดอักเสบอยู่ที่ 84.9%

สำหรับ บุคลากรที่ได้รับแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็มครบ 14 วัน ป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 83.8%

4.) กรมควบคุมโรค ได้ใช้ฐานข้อมูลติดตามบุคลากรสาธารณสุขที่ติดเชื้อทั้งประเทศ และข้อมูลการรับวัคซีน ตั้งแต่ 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2564 พบว่า ประสิทธิผลอยู่ที่ 71%

โดยช่วงเดือนพ.ค. 2564 ที่พบการระบาดเป็นสายพันธุ์อัลฟา ประสิทธิผลอยู่ที่ 75% และช่วงเดือนมิ.ย. 2564 ที่เริ่มมีการระบาดของสายพันธุ์เดลตาแทนที่อัลฟาประสิทธิผลอยู่ที่ประมาณ 20-40%

ดังนั้น หากฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม สามารถป้องกันติดเชื้อ จากสายพันธุ์อัลฟาได้ประมาณร้อยละ 90 และป้องกันปอดอักเสบได้ร้อยละ 85 ส่วนประสิทธิผลต่อสายพันธุ์เดลตาขณะนี้ ถือว่ายังคงที่คือร้อยละ 75 ซึ่งไม่ต่างจากเดิมที่ร้อยละ 71

สำหรับการฉีดเข็มกระตุ้น และการฉีดสลับประเภทของวัคซีนนั้น จากการศึกษาทางห้องปฏิบัติการ พบว่าจะสามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้ได้สูงกว่าเดิมได้รวดเร็วและสูงมากขึ้น


ที่มา : https://www.facebook.com/154553218343826/posts/1219637678502036/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

องค์การอนามัยโลก เผย ทวีปอเมริกาครองสัดส่วนยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก

20 กรกฎาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่าแม้เมื่อไม่นานนี้ ทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ จะมีจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ยังคงครองสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมทั่วโลก รวมถึงครองสัดส่วนร้อยละ 40 ของจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตทั่วโลก

มาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโรคโควิด-19 ขององค์การฯ กล่าวระหว่างไลฟ์สดเมื่อบ่ายวันจันทร์ (19 ก.ค.) ว่ามีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เกือบหนึ่งล้านรายในทวีปอเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยบราซิลตรวจพบผู้ป่วยเกือบ 300,000 ราย และสหรัฐฯ ตรวจพบผู้ป่วยมากกว่า 200,000 ราย จึงเตือนการแพร่ระบาดแตะจุดสูงสุด หากยังคงมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ระดับสูงต่อเนื่อง

ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 ในสัปดาห์ก่อน โดยทวีปยุโรปและแปซิฟิกตะวันตกได้รับผลกระทบมากที่สุด

แวน เคอร์คอฟ กล่าวว่าภูมิภาคอเมริกามีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นปานกลางที่ร้อยละ 0.5 แต่บางประเทศได้รับผลกระทบรุนแรงมาก ซึ่งอาจเป็นผลจากเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ ๆ พร้อมเสริมว่าดูเหมือนยังไม่มีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ “แลมบ์ดา” (Lambda) ซึ่งพบครั้งแรกในอเมริกาใต้และเริ่มมีแนวโน้ม “รุนแรงแซงหน้า” เชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์อื่น ๆ

ด้านไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพขององค์การฯ กล่าวว่าอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และสถานที่อื่น ๆ ทั่วโลกต้องเร่งจัดหาวัคซีนมากขึ้น หากต้องการทำลายวงจรการติดเชื้ออันร้ายแรงถึงชีวิตนี้


https://www.naewna.com/inter/589011


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กลุ่มสาวประเภทสองนางโชว์ คาบาเร่ต์ และอาชีพเกี่ยวข้อง รวมตัวลงชื่อทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องขอเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 หลังจากต้องตกงานนานเกือบ 2 ปี แต่กลับไร้การเหลียวแล

กลุ่มสาวประเภทสองนางโชว์ คาบาเร่ต์ และอาชีพเกี่ยวข้อง รวมตัวลงชื่อทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องขอเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 หลังจากต้องตกงานนานเกือบ 2 ปี แต่กลับไร้การเหลียวแล ทั้งที่เป็นหนึ่งในอาชีพที่สร้างสีสันและรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศ จี้ช่วยเหลือค่าครองชีพและจัดสรรวัคซีนคุณภาพดี

รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า กลุ่มตัวแทนสาวประเภทสองที่ประกอบอาชีพนางโชว์ หรือคาบาเร่ต์โชว์ ออแกไนซ์ และอาชีพอิสระกลางคืน ทั้งนักร้อง นักดนตรี นักแสดงและภาคธุรกิจบันเทิงต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่กระทบโดยตรงต่อการประกอบอาชีพ รวมตัวกันยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องการช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายให้กับนักแสดงโชว์และอาชีพบันเทิงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมลงชื่อผู้สนับสนุนจากทั่วประเทศ โดยมีนายศุภลักษณ์ บำรุงกิจ ผู้ชำนาญการประจำ กรรมาธิการแรงงาน ของพรรคก้าวไกล รับหนังสือเพื่อนำไปส่งมอบให้กับนายกรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ ตัวแทนกลุ่มระบุว่า กลุ่มสาวประเภทสองที่ประกอบอาชีพนางโชว์ หรือคาบาเร่ต์โชว์ ออแกไนซ์ และอาชีพเกี่ยวข้อง ถือเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ต้องหยุดงาน และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะได้พิจารณาให้กลับมาทำงาน แต่ด้วยสถานการณ์ที่คิดว่าจะต้องยืดยาวจนไม่สามารถหารายได้เลี้ยงชีพได้ไปอีกนาน แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลหรือหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในเรื่องของมาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่าง ๆ เลย ซึ่งผ่านมากว่า 1 ปี ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้จะพยายามปรับตัวสร้างงานหารายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวแต่ก็ได้รับผลกระทบซ้ำซ้อน

อีกทั้ง กลุ่มสาวประเภทสองต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังไม่ได้เปิดกว้างให้มากนักในการประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่ยังมีทัศนคติไม่ตรงกัน ทำให้หลายคนไม่สามารถหางานใหม่หรือปรับเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นได้เต็มที่ จนหลายคนเริ่มได้รับผลกระทบหนัก บางรายถึงกับป่วยด้วยโรคซึมเศร้า บางรายก็ถึงกับฆ่าตัวตายไปอย่างเงียบ ๆ โดยไร้คนเหลียวแล ตอนนี้ต่างก็ต้องช่วยเหลือพยุงกันให้มีชีวิตรอดอยู่ให้กำลังในกันและกัน

จากผลกระทบดังกล่าวได้มีการระดมความคิด และรวมตัวกันเพื่อที่อยากจะเรียกร้องให้ภาครัฐได้เหลียวแลอาชีพนางโชว์ และผู้ที่อยู่ในอาชีพกลางคืนได้รับความช่วยเหลือเยียวยา เบื้องต้นมีผู้ร่วมลงชื่อจากทั่วประเทศแล้ว 109 คน และได้ร่างหนังสือเปิดผนึกไปถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ว่าอาชีพนางโชว์ที่เคยสร้างชื่อเสียงสร้างรายได้ให้กับชาวไทย จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น กลับไม่ได้รับการเหลียวแลหรือเยียวยาจากผลกระทบต่าง ๆ ดังนี้

1.) นักแสดงไม่มีงานทำขาดรายได้ ขาดปัจจัยในการดำรงชีพ ทั้งที่ยังมีภาระในการเลี้ยงดูครอบครัว แม้จะได้พยายามขวนขวายหางานในสายอาชีพอื่นๆ ทำแล้ว แต่ด้วยประเด็นความแตกต่างในเรื่องเพศสภาพ วิถีทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ทำให้การหางานอื่นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยากทั้งในแง่ของโอกาสในการเข้าถึงแหล่งงาน การสมัครงาน การเปิดกว้างยอมรับจากนายจ้างหรือผู้ประกอบการ และทัศนคติของคนในสังคมไทยที่ยังไม่ค่อยยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากนัก

2.) นอกจากสถานที่สำหรับเปิดการแสดงคาบาเร่ต์โดยเฉพาะที่ถูกห้ามดำเนินงาน หรือต้องปิดกิจการไปบางส่วนแล้ว โดยคำสั่งของรัฐบาลยังส่งผลให้สถานประกอบการประเภทอื่น ๆ เช่น ผับ บาร์ โรงละครขนาดเล็ก หรือคณะละครที่อาจพอช่วยเหลือ สร้างงาน หรือเปิดการแสดงให้พวกเราได้บ้าง ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ไปด้วย จึงส่งผลให้นักแสดงกลางคืนไม่มีช่องทางในการหารายได้ใดใดได้เลย

3.) เมื่อนายจ้างปิดกิจการลง หรือจำเป็นต้องเลิกจ้าง แม้นักแสดงบางคนอาจพอหาอาชีพเสริม หรือเอาชีวิตรอดได้ แต่ด้วยสถานะที่ต้องกลายเป็นคนไม่มีงานประจำทำ จึงส่งผลให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ได้อีกต่อไป ไม่สามารถกู้เงินมาลงทุนทำอาชีพของตัวเองได้ เพราะไม่มีหลักประกันการชำระหนี้ ในรายที่ยังมีหนี้สินก็ไม่ได้รับการลดหย่อนผ่อนผันการชำระหนี้จากสถานบันการเงินใดใดให้

4.) แม้ความเดือดร้อนของคนทำงานในกลุ่มอาชีพนี้จะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอาชีพอื่น หรืออาจจะมีปัญหามากกว่าด้วยเหตุแห่งความไม่เสมอภาคในทางเพศดังกล่าวถึงไปแล้วในข้อ 1 แต่รัฐบาลกลับไม่เคยมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ ชดเชย หรือเยียวยาความเสียหายใดใดเลย ที่ผ่านมาไม่เคยมีหน่วยงานใดทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความช่วยเหลือพวกเราอย่างจริงจังคงมีเพียงสวัสดิการรัฐเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

5.) มีนักแสดงกลางคืนจำนวนมาก ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาใดใดในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33, 35, 39 รวมทั้งไม่เข้าข่ายที่จะยื่นประกันตนเองตามมาตรา 40 ทั้งจำนวนไม่น้อยไม่ได้อาศัยหรือทำงานอยู่ในเขตพื้นที่ที่จะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล ดังนั้น ที่ผ่านมากลุ่มนักแสดงเหล่านี้จึงไร้ซึ่งหนทางใดใดในการได้รับการเยียวยาความเสียหาย

6.) ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีช่วงเวลาที่ผู้ประกอบกิจการต้องปิดการแสดงไป และกลับมาเปิดการแสดงได้ใหม่สลับกัน ทั้งในช่วงที่มีการแสดง ก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาดูการแสดงด้วย แต่อาชีพนักแสดงกลางคืนกลับไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ด้วยการจัดสรรวัคซีน (ไม่ว่าชนิดใด) มาฉีดให้แก่นักแสดงเพื่อป้องกันโควิด ทั้งต่อตัวนักแสดงเอง และต่อนักท่องเที่ยวเลย ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวที่กล้ามาเที่ยวชมลดจำนวนลงไปอีก แม้ในเวลาที่สามารถเปิดการแสดงได้แล้วก็ตาม

7.) นอกเหนือจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มคนในสายอาชีพ บันเทิง, นักร้อง, นักดนตรี, กลางคืน, อีเว้นท์, พิธีกร, ออกาไนเซอร์, ฯลฯ ยังได้รับผลกระทบดังที่กล่าวมาข้างต้น และต้องการให้ภาครัฐบาลเยียวยารับผิดชอบด้วยเช่นกัน

จากสภาพปัญหาทั้งหมดตามที่กล่าวมา ไม่เพียงแต่ผลกระทบที่ทำให้ตกงาน ขาดรายได้และไม่มีปัจจัยในการดำรงชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุทำให้เหล่านักแสดงจำนวนไม่น้อยเริ่มล้มป่วยจากภาวะความตึงเครียด เป็นโรคซึมเศร้า จนถึงขั้น เสียชีวิตมาแล้ว และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ตัวเลขความสูญเสียเหล่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้พวกเราในนามของนักแสดงคาบาเร่ต์ นางโชว์ นายโชว์ นักแสดงกลางคืน รวมทั้งผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแสดงเหล่านี้ จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยา บรรเทาความเสียหายความทุกข์ยากต่าง ๆ ให้กลุ่มอาชีพนี้ด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเงินช่วยเหลือเยียวยา การสนับสนุนด้านการหางาน การหาอาชีพเสริม รวมทั้งการจัดสรรวัคซีน เพื่อให้พร้อมสำหรับการทำงานแสดงต่อไป เมื่อถึงเวลาที่สามารถเปิดการแสดงได้

โดยเหตุผลทั้งหมดนั้น เพื่อให้พวกเราได้มีสิทธิเทียบเท่ากับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ให้พวกเราได้มีพลังชีวิตพอที่จะร่วมฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ ไปพร้อม ๆ กันกับพวกท่าน ทั้งนี้ ตามหลักแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างเพศ ซึ่งหากท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไม่สามารถเยียวยาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับประชาชนอาชีพดังกล่าวได้ โปรดพิจารณาความสามารถในการบริหารจัดการ และจงยุติการทำงานของพวกท่าน ทั้งเข้าสู่กระบวนการลาออกจากการดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำประเทศและผู้บริหารประเทศแล้วให้ผู้ที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการเข้ามาดำรงตำแหน่งรับผิดชอบดูแลประชาชนดังที่กล่าวข้างต้นต่อไป


ที่มา : https://mgronline.com/local/detail/9640000070865


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กิจการ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ทำอะไรได้บ้าง?

กิจการ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ทำอะไรได้บ้าง?

- ร้านอาหาร / เครื่องดื่ม เปิดถึงเวลา 20.00 น. ห้ามนั่งในร้าน

- ห้าง / ศูนย์การค้า / คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะแผนก ซูเปอร์มาร์เก็ต ยาและเวชภัณฑ์ และบริการฉีดวัคซีนหรือบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข เปิดถึงเวลา 20.00 น.

- โรงแรม เปิดได้ปกติ งดกิจกรรมจัดประชุม สัมมนา หรือจัดเลี้ยง

- ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสด ปิด 20.00 - 04.00 น.

- โรงเรียน / สถานศึกษา / สถาบันการศึกษา เรียนผ่านระบบทางไกล

- กิจการต่อไปนี้เปิดได้ตามความจำเป็น และดำเนินการตามมาตรการ สธ. อย่างเคร่งครัด โรงพยาบาล / สถานพยาบาล / คลินิกแพทย์รักษาโรค / ร้านขายยา / ร้านค้าทั่วไป / โรงงาน / ธุรกิจหลักทรัพย์ / ธุรกรรมการเงิน / ธนาคาร / ตู้เอทีเอ็ม / ธุรกิจสื่อสาร / คมนาคม / ไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ / ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ / ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ / ร้านจำหน่ายเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ก่อสร้าง / ร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด / ร้านจำหน่ายแก๊สหุงต้ม / เชื้อเพลิง / ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส / บริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง (Delivery online)

สำหรับ 13 จังหวัด ประกอบไปด้วย กรุงเทพฯ, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, พระนครศรีอยุธยา, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา และสงขลา


ที่มา : https://www.facebook.com/108669090743003/posts/356452002631376/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'จองชัย'​ แนะรัฐ ออกข้อกำหนดให้ 'ถังออกซิเจน' เป็นสินค้าควบคุม ห้ามกักตุน-ห้ามส่งออก

ร.อ.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขยายเป็นวงกว้าง ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ส่งผลให้ตอนนี้ถังออกซิเจนทางการแพทย์และถังออกซิเจนสำหรับใช้ที่บ้าน กำลังขาดตลาดเนื่องจากมีคนแห่ไปซื้อมากักตุน

ดังนั้น การขาดแคลนถังออกซิเจน ถือเป็นวิกฤต ที่กำลังเกิดขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยยังผลิตไม่ได้ รัฐต้องเร่งส่งเสริมการนำเข้าและจัดให้เป็นสินค้าควบคุม ทั้งราคา ห้ามกักตุน และห้ามส่งออก เพราะตอนนี้ผู้ป่วยหนักจำนวนมากที่ต้องการต่อลมหายใจ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"IWRM" ภาคธุรกิจจัดการน้ำ เพื่อบริโภคและอุตสาหกรรม มอบน้ำดื่มขนาด 600 มล. จำนวน 3,600 ขวด เพื่อร่วมแบ่งปันน้ำใจให้โรงพยาบาลสนาม และสถานพักคอย เพื่อผู้ป่วยโควิด-19 อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

วันนี้ 20 กรกฎาคม 2564 ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นายสรุชัย สันติธรรมนนท์ และ นายอำเภอบางปะกง รับมอบน้ำดื่ม ชล วอเตอร์ ขนาด 600 มล.จำนวน 3,600 ขวด จาก นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์กรรมการผู้จัดการ บ.อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ท แมนเนจเม้นท์ จก. (IWRM) , นายศราวุฒิ เปลี่ยนอารมณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท IWRM และ นายวิเชษฐ์ เกตุแก้ว ผู้ประสานงานพื้นที่และชุมชน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีชี) มอบให้เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการบริโภค สำหรับแพทย์พยาบาลบุคลากร ผู้ปฎิบัติหน้าที่และผู้ป่วยโควิด-19 สถานพักคอย อ.บางปะกง

IWRM ได้กล่าวถึง เจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ ที่นำน้ำดื่มมามอบให้วันนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง การแบ่งปันน้ำใจสร้างขวัญกำลังใจและขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือดูแลในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

และเชิญชวนแบ่งปันน้ำใจเพื่อผู้ป่วยได้ที่สถานพักคอย อำเภอบางปะกง ตั้งอยู่บริเวณ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 อ.บางปู-อ.บางปะกง (แขวงทางหลวงฉะเชิงเทรา) จำนวน 85 เตียง

ติดต่อประสานงาน

นายภูนันท์ บุญสีทอง ปลัดอำเภอบางปะกง เบอร์โทรศัพท์  090-243-9879

นางสาวมนัญญา กุยโกฏิ์ ปลัดอำเภอบางปะกง เบอร์โทรศัพท์ 06-3901-7384

นายสิชล  แก้วกุลปรีชา ปลัดอำเภอบางปะกง เบอร์โทรศัพท์ 097-210-3412

นายสรุชัย ยุติธรรมนนท์ นายอำเภอบางปะกง (กล่าวว่า) ขอบคุณผู้บริหาร IWRM พร้อมคณะ ที่ได้เป็นกำลังใจได้นำน้ำมามอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชน ในช่วงสถานการณ์ covid-19  เพื่อให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน

สุดท้ายนายวิเชษฐ์ เกตุแก้ว ได้กล่าวเชิญชวนพร้อมทั้งขอประชาสัมพันธ์ประชาชน ผู้ประกอบการร่วมบริจาคอาหาร น้ำดื่ม หรือสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ให้กับโรงพยาบาลทั้ง 11 อำเภอ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และสามารถร่วมบริจาคมายัง ที่ทำการอำเภอบางปะกง หรือสถานพักคอย อ.บางปะกง ดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ รายงาน

อังกฤษประกาศยุติการล็อกดาวน์ ถือเป็นการประมาท-ถอดใจ หรือเป็นการวางแผนในการอยู่ร่วมกับเชื้อโควิด-19?

ชาวโลกคงได้ทราบแล้วว่า​ ชาวอังกฤษเริ่มต้นใช้ชีวิตปกติแล้วในวันจันทร์ที่​ 19​ ก.ค.​ ซึ่งถูกเรียกขานเป็น 'วันเสรีภาพ'​ (Freedom day)

โดยรัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมไวรัสเกือบทั้งหมด รวมถึงกฎบังคับสวมหน้ากากอนามัย ขณะนักวิทยาศาสตร์เตือนยอดติดเชื้ออาจพุ่งถึงวันละแสนคน จากยอดปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 50,000 ราย

การยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของอังกฤษ​ ทำให้ไนท์คลับและสถานที่ในร่มอื่น ๆ ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการเต็มความจุ และข้อกำหนดทางกฎหมายเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยและการทำงานจากบ้านถูกยกเลิก

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ​ 'บอริส จอห์นสัน'​ ซึ่งถูกกดดันจนต้องยอมกักตัวเองหลังจากรัฐมนตรีสาธารณสุข​ 'ซาจิด จาวิด'​ ติดเชื้อโควิด-19 กล่าวปกป้องการตัดสินใจของรัฐบาลที่ยุติมาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้มาปีกว่าและยกเลิกข้อกำหนดเกือบทั้งหมด ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของอังกฤษยังสูงถึงวันละ 50,000 ราย น้อยกว่าแค่อินโดนีเซียและบราซิลเพียง 2 ประเทศ โดยระบุว่าสัปดาห์นี้เริ่มต้นวันหยุดปิดภาคเรียนฤดูร้อนของอังกฤษ ซึ่งถือเป็น 'แนวกันไฟอันล้ำค่า'​

เขากล่าวในวิดีโอถ้อยแถลงว่า หากไม่เปิดประเทศในตอนนี้ ก็จะต้องไปเปิดในฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูหนาว ที่สภาพอากาศเอื้อต่อการแพร่เชื้อไวรัส

"ถ้าเราไม่ทำเสียตอนนี้ เราก็ต้องถามตนเองว่า แล้วเราจะทำเมื่อไหร่ ฉะนั้นนี่คือเวลาที่เหมาะสม แต่เราต้องทำด้วยความระมัดระวัง เราต้องจดจำว่าไวรัสยังคงอยู่" จอห์นสัน​ กล่าว

อย่างไรก็ตาม​ ในทางการสาธารณสุขนั้น​ ก็คงไม่เห็นดีเห็นงามด้วยกับเรื่องนี้​ โดย ศาสตราจารย์นีล เฟอร์กูสัน จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน เตือนว่า ทิศทางนี้จะทำให้อังกฤษก้าวไปบนเส้นทางที่จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละ 100,000 คน เนื่องจากยังคุมการระบาดสายพันธุ์เดลตาไม่ได้

ปัจจุบัน​ อังกฤษมีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่ 128,789 ราย และคาดการณ์ว่าอีกไม่ช้าอังกฤษจะมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นกว่าช่วงสูงสุดระหว่างการระบาดระลอกที่ 2 เมื่อต้นปีนี้

ถึงกระนั้น​ อังกฤษ​ ก็มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงกว่าเพื่อนบ้านในทวีปยุโรปมาก โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ 87% ฉีดวัคซีนแล้ว 1 โดส และมากกว่า 68% มีภูมิคุ้มกันเต็มที่หลังฉีดแล้ว 2 โดส อัตราการเสียชีวิตปัจจุบันอยู่ที่วันละประมาณ 40 คนเท่านั้น เป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงพีคในเดือนมกราคม ที่ตายมากกว่าวันละ 1,800 คน

ความสำเร็จของโครงการวัคซีน ซึ่งรัฐบาลเสนอฉีดให้ผู้ใหญ่ทุกคนในประเทศอย่างน้อยคนละ 1 โดส ทำให้รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่าสามารถบริหารความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลได้ แม้นักวิทยาศาสตร์และอีกหลายคนจะยังคงไม่เห็นด้วยก็ตาม

แม้จะมีผู้คัดค้าน แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ยินดีกับการได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงนักเที่ยวราตรีที่ต่อแถวด้านนอกไนท์คลับไฟเบอร์ในเมืองลีดส์ ซึ่งนักเที่ยวเข้าไปแดนซ์กันแน่นฟลอร์โดยไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย นักเที่ยวคนหนึ่งบอกว่า ในเมื่อไม่ได้ฉลองปีใหม่ ก็ควรออกมาฉลองเสียหน่อย มันเหมือนกับการเริ่มต้นบทใหม่

เรื่องนี้สะท้อนอะไร? ทำไม​ 'อังกฤษ'​ ถึงกล้าให้ ประชาชน กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ​ ทั้ง ๆ​ ที่มีการติดเชื้อโควิดร่วม ๆ​ วันละ 50,000 ราย

ภาพของการไล่ฉีดวัคซีน​ เพื่อยับยั้งเชื้อแบบวิ่งไล่ตาม​ อาจจะไม่ใช่ทางออกในการทำให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่? เรื่องนี้น่าคิด!!

บทบาทของวัคซีนจะกลายเป็นเพียงตัวยับยั้งความอันตรายถึงชีวิตของผู้ติดเชื้อ​ แต่ไม่ใช่คำตอบในการกอบกู้​ 'ความปกติ'​ ของประเทศกลับมา

แน่นอนว่า​ หลาย ๆ​ คนคงไม่ชื่นชมกับการปลดล็อกมาตรการเช่นนี้​ และต้องการให้ช่วยกันทุบกราฟผู้ติดเชื้อและตายให้ลงมาก่อน แล้วค่อยว่ากัน​ต่อไป ซึ่งอาจจะใช่​ แต่เอาเข้าจริง​ ก็ทำได้เฉพาะแค่ช่วงล็อกดาวน์เท่านั้น

แต่เราเริ่มเห็นวัฏจักรของการติดเชื้อที่วนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ ไม่ว่าจะ​ 'ป้องกัน'​ หรือ 'ประมาท'​

ฉะนั้น​ หากมองกรณีศึกษาของอังกฤษว่าทำไมจึงยกเลิกมาตรการโควิด​ จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด​ เพราะเชื่อเถิดว่าประเทศระดับแนวหน้าอย่าง​ อังกฤษ​ หรือ​ สิงคโปร์​ ไม่น่าคิดหรือตัดสินใจทำอะไรแบบง่าย ๆ​ แน่นอน เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ​ ที่รัฐต้องปกป้องดูแล ประชาชน

แนวคิดในการ Treat โควิดให้เหมือนไข้ตามฤดูกาลปกติแบบ ไข้หวัดใหญ่​ ซึ่งก็มีเสียชีวิตกันทุกปี​ อาจจะชัดขึ้นในหลายประเทศใช่ไหม?

การอยู่ร่วมกันกับโรค​ และ​เลิกวิ่งหนีด้วยการปิด ๆ​ เปิด ๆ​ มาตรการ​ หรือไล่ตามด้วยวัคซีนที่ไม่รู้จะตามทันเมื่อไร​ อาจไม่ทันใจต่อสถานการณ์ความเก็บกดของคนในประเทศ ใช่หรือเปล่า?

ถ้าเป็นแบบนั้น​ หากวันนี้รัฐบาลแต่ประเทศจะวางแผนให้คนอยู่ร่วมกับโควิด​ เท่ากับยอมรับในวิถี​ New​ Normal​ หรือความปกติแบบใหม่​ค่อนข้างชัด​ โดยต่อจากนี้ บางอาชีพ บางกิจกรรม​ บางธุรกิจจะหายไปกับการมาของโควิด​ และทดแทนด้วยสิ่งใหม่

วิถีชีวิต วัฒนธรรม สังคม ความคิด ความเชื่อ จะเปลี่ยนไป

เอาเข้าจริง ๆ ตอนนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญภัยพิบัติธรรมชาติ ที่ผิดปกติ​ บวกกับโรคระบาดใหม่ ๆ​ แต่ประเทศไทยยังไม่เจอถึงขั้นนั้น

แต่เราจะเตรียมการอย่างไร? จะมีการริเริ่มผุดแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน​ ด้วยยุทธศาสตร์แบบไหนกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนไว้ได้แค่ไหน เพราะการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบทุกคนไม่ว่าจะฐานะการเงิน ฐานะทางสังคม ระดับการศึกษา อาชีพ​ ชัดมากแล้ว

ฉะนั้น​ เราจะมองเหตุการณ์ของอังกฤษในครั้งนี้​ เป็น​ 'ความประมาท'​ เป็น​การ​ 'ถอดใจ'​ หรือ​ 'วางแผน'​ อนาคตไว้แบบไหน​ อยู่ที่สติล้วน ๆ


อ้างอิง : https://www.thaipost.net/main/detail/110337


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top