Saturday, 5 July 2025
NEWS

"นุช-นนท์" เจ้าของร้านทุเรียน "ตลาดสี่มุมเมือง" ใจบุญ มอบข้าว 150 กล่อง ให้ "รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ"

วันที่ 16 กรกฎาคม 2564 น.ส.ชาลินี ลอยนุ้ย เจ้าของร้านทุเรียน "นุช-นนท์" ตลาดสี่มุมเมือง ประสานงานสะพานบุญ นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน พร้อมด้วย "นายโกสินธ์ จินาอ่อน" บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์  ให้นำข้าวจำนวน 150 กล่อง เพื่อนำไปมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนรวมถึงคนพิการ ครอบครัวคนพิการที่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสโควิช- 19 ได้รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกาย เป็นการตอบแทนน้ำใจและความเสียสละแรงกาย แรงใจ เวลาอันมีค่ามาดูแลรักษาพี่น้องประชาชนคนไทย คนพิการ คนยากไร้และคนด้อยโอกาส ให้รอดปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปด้วยกัน

ในการนี้ผู้แทนจาก "กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" เป็นผู้รับมอบ ข้าวกล่องจำนวนดังกล่าว และขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีจิตที่ดีที่มอบให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ พร้อมทั้งจะปฏิบัติหน้าที่รับใช้พี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเต็มกำลังให้สุดความสามารถ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564  ที่ผ่านมา น.ส.ชาลินี ลอยนุ้ย เจ้าของร้านทุเรียน นุช-นนท์ ตลาดสี่มุมเมือง ได้มอบข้าวกล่องจำนวน 500 กล่องให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองลาดสวาย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าอาหารให้กับประชาชนได้บ้างซึ่งตนไม่ทำก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือประชาชนคนไทยด้วยกัน

'THG' ยืนยันซื้อวัคซีนจริง หมอบุญลั่น กลต.สั่งไม่ให้พูดเรื่องดีลไฟเซอร์

ความคืบหน้ากรณี นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาเคลื่อนไหวอ้างถึงการเปิดเจรจาซื้อขายวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 20 ล้านโดสของเครือโรงพยาบาลธนบุรี โดยล่าสุดระบุถึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบร่างสัญญาที่ทางอเมริกาส่งมาให้มากกว่า 40 หน้า และคาดว่าจะมีการลงนามภายในวันนี้ ซึ่งล็อตแรกจะสั่งซื้อก่อน 5 ล้านโดส แต่ปรากฏว่าทางไฟเซอร์กลับยืนยันกับรอยเตอร์ว่ายังไม่มีการเจรจาใด ๆ เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้หุ้นในเครือดังกล่าวพุ่งขึ้น

ล่าสุดวันนี้ (16 ก.ค. 64) บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง ชี้แจงการนำเข้าวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ว่า ตามที่นักลงทุนจำนวนมากได้ให้ความสำคัญกับข่าวการเจรจานำเข้าวัคซีนโควิด-19 เทคโนโลยี mRNA ของ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ 'THG' โดยมีข่าวที่อาจก่อให้เกิดความสับสนเนื่องจากมีการสอบถามไป ยังบริษัทผู้ผลิตวัดชีนนั้น

ทั้งนี้ THG ได้มีการตกลงซื้อวัคซีนจริง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการคำเนินการด้านเอกสารกับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ ในส่วนของระยะเวลาหากมีชัดเจนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งเนื่องจากยังต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

THG มุ่งหวังให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไป โดยเร็วที่สุด โดย THG ได้ทุ่มเทกับการป้องกันและรักษาชีวิตของประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ขณะเดียวกันมีข่าวว่า นพ.บุญ ได้ออกมาระบุว่า ตนไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ได้สั่งห้ามไม่ให้พูดอะไร เพราะว่าจะส่อไปในทางปั่นหุ้น ซึ่งความคืบหน้าต่าง ๆ ขอให้สอบถามกับทีมทนายตัวแทนในการเจรจา


ที่มา : https://www.naewna.com/business/588061


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อบจ.ฉะเชิงเทรา โชว์ความพร้อมของ ‘โรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมี จังหวัดฉะเชิงเทรา’ รองรับผู้ป่วยโควิด 1,200 เตียง หวังปกป้องชาวแปดริ้วจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลดการติดเชื้อในครอบครัว และลดการแพร่ระบาดต่อในชุมชน

วันที่ 16 ก.ค. นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ. ฉะเชิงเทรา พร้อมทีมผู้บริหาร และนายธรรมชาติ พรมพิทักษ์ ประธานสภาฯ ลงพื้นที่ พร้อมกับสื่อมวลชน โชว์ความพร้อมของการปรับปรุงสถานที่ท่าเทียบเรืออำเภอบ้านโพธิ์ เป็นโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมีจังหวัดฉะเชิงเทราดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรอการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษาในโรงพยาบาล หรือ Community Isolation ใหญ่ที่สุดของ จ.ฉะเชิงเทรา

มีพื้นที่ขนาด 12,000 ตรม. มีความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออก โดยปรับปรุงสถานที่ให้มีองค์ประกอบครบถ้วน มีการแบ่งพื้นที่ เป็นห้องสำหรับทีมแพทย์พยาบาล แบบมาตรฐานอย่างพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขอนามัย จุดคัดกรองผู้ป่วย จุดบริการอาหารและน้ำดื่ม ติดตั้งเตียงจัดวางที่นอนแยกโซนชาย-หญิง ติดตั้งระบบไฟฟ้า  ระบบรักษาความปลอดภัย CCTV ระบบอินเทอร์เน็ต มีระบบการระบายอากาศขนาดใหญ่ 12 ตัว พัดลมไอน้ำขนาดใหญ่ 3 ตัว พร้อมตู้คอนเทนเนอร์สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 8 ตู้ ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะทั่วไปและขยะติดเชื้อ ณ อาคารโกดังสินค้า ของบริษัท บีอาร์บีพี โลจิสติกส์ จำกัด หมู่ 6 ต.สนามจันทร์ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา

นายกิตติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รอเตียงในโรงพยาบาทำให้มีผู้ป่วยตกค้างอยู่บางส่วน เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดในครอบครัว และในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ทาง อบจ.ฉะเชิงเทรา จึงได้จัดสรรงบประมาณ 12 ล้านบาท ดำเนินการ รพ.สนาม  เพื่อส่งต่อ หรือ Community Isolation เพื่อรองรับผู้ป่วย ที่มีผลตรวจรับรองว่าติดเชื้อโควิด-19 โดยแยกผู้ป่วยออกมาจากบ้าน นำมา คัดกรองอาการและดูแลในเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล

นายกิตติ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิดเช่นนี้ ตนต้องดูแลพี่น้องชาวแปดริ้ว ในการป้องกันควบคุม ระงับโรคติดต่อโควิด-19 และดูแลสุขภาพของทุกคนให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจัดหา จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย แจกจ่ายผ่านไปทางสาธารณสุขจังหวัด เทศบาล อบต. และ อสม. การจัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม 100,000 โดส ที่คาดว่าจะได้รับการส่งมอบในเร็ววันนี้ รวมถึง ปรับปรุงสถานที่ท่าเทียบเรืออำเภอบ้านโพธิ์เป็นโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมีจังหวัดฉะเชิงเทราดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีมาตรฐานแห่งนี้ ซึ่งตนจะทำทุกวิถีทาง ตามกฎระเบียบที่สามารถทำได้ แม้จะทุ่มเทงบประมาณจนหมดหน้าตักตนก็ยอม เพื่อให้พี่น้องชาวแปดริ้วรอดจากโควิด-19 ขอให้มั่นใจและขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างเต็มกำลังทุกท่าน

รมว.คมนาคม เผย ล่าสุดได้พัฒนาระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 เพื่อแก้ปัญหารถติดหน้าด่าน และเปิดให้ผู้ใช้บริการลงทะเบียนกลางเดือนสิงหาคมนี้

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมติดตามและเร่งรัดการพัฒนาและการเปิดให้บริการ ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) ของกรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ล่าสุดได้พัฒนาระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 เพื่อแก้ไขปัญหารถติดหน้าด่าน โดยผู้ใช้รถยนต์สามารถขับขี่ผ่านบริเวณด่านฯ ที่จะติดตั้งโครงเสาแขวนสูงเหนือศีรษะ พร้อมอุปกรณ์ระบบตรวจจับยานพาหนะอัตโนมัติ ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ โดยไม่ต้องหยุด หรือชะลอรถ

ทั้งนี้ได้เริ่มการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว 4 ด่าน คือ ด่านทับช้าง 1, 2และด่านธัญบุรี 1, 2 พร้อมกับเชื่อมต่อข้อมูลกับทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก (และทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครองเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างปรับปรุงกายภาพบริเวณช่องทาง และการเชื่อมต่อระบบเข้ากับสำนักงาน

นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังจะประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับระบบ M-Flow โดยจะทดสอบระบบลงทะเบียนการใช้บริการระบบ M-Flow ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 64 จากนั้นจะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้บริการลงทะเบียนในช่วงกลางเดือนส.ค. 64 ก่อนดำเนินการทดสอบเสมือนจริงในเดือนก.ย. 64 คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนต.ค. 64

สำหรับแผนการพัฒนาระบบ M-Flow ของ กทพ. ประกอบด้วย ระยะที่ 1 บริเวณทางพิเศษฉลองรัช 3 ด่าน (จตุโชติ, สุขาภิบาล 5-1 และสุขาภิบาล 5-2) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในต้นปี 65 ส่วนระยะที่ 2 บริเวณทางพิเศษฉลองรัช บูรพาวิถี และกาญจนาภิเษก 60 ด่าน อยู่ระหว่างการจัดทำทีโออาร์ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในต้นปี 66


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รวมเหล่าคนดัง ติดโควิด-19 แล้วกลายเป็นประเด็นดราม่า

เมื่อวาน ดาราสาว แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ เพิ่งประกาศในอินสตราแกรมส่วนตัวว่า ติดโควิด-19 งานนี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง เพราะเจ้าตัว ‘แคล้วคลาด’ การติดโควิด-19 มาหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะหนล่าสุด ที่มีประเด็นดราม่า ชาวเน็ตจับผิดหาว่าเธอ #กักตัวทิพย์

ถึงตอนนี้ มีเหล่าดาราคนดัง ที่ต้องโชคร้ายติดโควิด-19 กันไปแล้วหลายราย แถมบางรายยังมีประเด็นดราม่าให้ต้องเคลียร์กันเสียอีก THE STATES TIMES ไปรวบรวมกรณีคนดังติดโควิด-19 แล้วต้องรบรากับคดีดราม่า ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้นปี มีใครกันบ้าง ลองไปดูกัน!


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ผศ.ดร.วรัชญ์' เผยมีแค่ 5 หน่วยงานเท่านั้นที่สั่งซื้อวัคซีนได้ ถาม ใครเบอร์ใหญ่กว่าหน่วยงานรัฐ

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์เฟซบุ๊ก 'Warat Karuchit' ว่า...

หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจสั่งซื้อวัคซีนได้มี 5 แห่ง คือ

1.) กรมควบคุมโรค

2.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

3.) องค์การเภสัชกรรม

4.) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

5.) สภากาชาดไทย

ถามว่าที่ไหน ผมก็ตอบได้เลยว่า...ไม่ทราบ ???? (เพราะเช็กกันมาสองสามวันแล้วยังไม่มีใครรู้เรื่องเลย 555)

แต่ 1-2 นั้น เป็นหน่วยงานหลักที่ดีลไฟเซอร์ของรัฐอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ดีลอื่นที่เร็วกว่า

3 หมอบุญเองก็โจมตีเช้าเย็นว่าล่าช้า

ส่วน 4 หมอบุญออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เพราะมีงานเยอะ จึงต้องไปหาหน่วยงานรัฐที่ "ใหญ่กว่า"

จึงเหลือ 5 ซึ่งหมอบุญเองก็บอกว่าไม่ใช่ เคยไปติดต่อแล้ว แต่บอกว่าเป็น non-profit

ก็เลยงงๆ ครับว่า เบอร์ไหนจะเปิดตัวออกมาเป็นหน่วยงานปริศนา

ตกลงจากวันที่ 16 ก.ค. 64 เซ็นสัญญา เปลี่ยนไปเป็น "ภายใน 2 วัน" แล้วนะครับ ("ถ้าทุกอย่างลงตัว" ด้วยนะครับ ถ้ายังไม่ลงตัวก็...รอจนกว่าจะลงตัว?)

แล้วจากที่บอกว่า "มาแน่เดือนนี้" เป็น "อย่างเร็วปลายเดือนนี้"...แล้วอย่างช้าละครับ?

#ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

ขอบคุณโพสต์ของคุณเอกรัฐด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/EakaratTkn/posts/3994353167357219


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4773642245984710&id=100000169455098


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช โต้กลับกรณี ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ อ้าง ‘กรมหม่อนไหม’ มีงบประมาณ 560 ล้าน และตั้งคำถามทำไมต้องให้งบประมาณมากขนาดนี้ ลั่นหม่อนไหม คือ โอกาสของประเทศ ไม่ใช่ภาระของชาติ

จากกรณี ดราม่าวงการผ้าไหมไฟลุก หลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อ้าง ‘กรมหม่อนไหม’ มีงบประมาณ 560 ล้าน และตั้งคำถามทำไมต้องให้งบประมาณมากขนาดนี้ พร้อมระบุว่า ‘คนทำงานตัวจริงโต้กลับ งบถูกตัดทุกปี คนทำงานกัดฟันดูแลเกษตรกร’ ชี้ อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่ใช่ได้แค่ผ้าไหม แต่ยังมีทั้งอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง แถมช่วยชีวิตคนในห้องผ่าตัดยื้อจากความตาย ตามที่เคยนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (15 ก.ค.) เพจ ‘ศักดา แสงกันหา มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช’ หรือนายศักดา แสงกันหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มะลิกู๊ด จำกัด ทายาทวัย 30 ปี ของ ‘วันเพ็ญ แสงกันหา’ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรคึมมะอุ-สวนหม่อน จ.นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ตอบโต้ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ‘กรมหม่อนไหม คือ ‘โอกาส’ มิใช่ภาระของชาติ อย่างที่เขาถากถาง จากกรณีมีคนตั้งถามทำร้ายหัวใจพวกเราชาวอีสาน ชาวเหนือผู้ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับ ‘กรมหม่อนไหม’ มายาวนานนับชั่วคน กับคำถามที่ว่าทำไมต้องมีกรมหม่อนไหม ไปส่งเสริมปศุสัตว์ประมง ดีกว่ามั้ย คำถามคำนี้ใจร้ายมาก เปี่ยมไปด้วยอคติ ความตื้นเขินทางความคิด และขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อ วิถีชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะพี่น้องของผมที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ ผม ‘ศักดา แสงกันหา’ ผมโตมากับต้นหม่อนและตัวไหม ผมกับแม่ เราเป็นเกษตรกร เราปลูกหม่อน เลี้ยงตัวไหม ทอผ้าขาย นี่คือชีวิตของเรา นี่คือวิถีชีวิตของครอบครัวอีกหลายครอบครัว และนี่คือคำดูถูกที่พวกเรา รับไม่ได้!

ผ้าไหมกับวิถีชาวบ้าน ผมเกิดและเติบโตมาในภาคอีสาน ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นการใช้ผ้าไหมในวิถีชีวิตต่าง ๆ โดยในสมัยก่อนผ้าไหมไม่ได้เป็นสินค้าในการจำหน่ายซะทีเดียว แต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะเป็นอาชีพเสริมที่ผู้หญิง จะต้องทำผ้าไหม หรือผ้าฝ้าย เพื่อใช้ในพิธีการต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน ใช้เป็นเครื่องไหว้ต้อนรับผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย และตัดชุดซึ่งคิดว่าเป็นชุดที่สวยที่สุดในวันสำคัญของชีวิต ต่อมาหากมีลูกเป็นผู้ชาย ก็จะนำผ้าไหม ให้ลูกใช้ใส่เป็นนาคก่อนบวช หรือ นำไปตัดเป็นผ้าไตรให้ลูกสำหรับใช้บวช นอกจากสองพิธีที่กล่าวมาข้างต้น ในงานมงคลต่าง ๆ ทางศาสนา ก็จะมีผ้าไหมเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ ๆ เพื่อสื่อว่า ‘ผ้าไหมคือผ้าที่ดีที่สุด มงคลที่สุด’ และเมื่อถึงวาระสุดท้าย คุณค่าอันสูงสุดของวิถีชีวิตของพวกเรา ผ้าไหมใช้ห่ออัฐิของบิดามารดาเพื่อเก็บไว้ประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ผ้าไหมกับการสร้างรายได้และอาชีพ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในปัจจุบัน ในหมู่บ้านของผมนั้น ผ้าไหมแทบจะกลายเป็นรายได้หลักในยามที่มีวิกฤต โรคระบาดเช่นนี้ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสามารถสร้างรายได้ได้ตั้งแต่ ใบหม่อน ราคารับซื้อในปัจจุบันตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 10-30 บาท โดย 1 ไร่สามารถผลิตใบหม่อนได้เกือบ 5,000 กิโลกรัมในตลอดทั้งปี ต่อมาคือการเลี้ยงไหม

ชาวบ้านเริ่มด้วยการ ซื้อไข่ไหมราคาเป็นธรรมจากกรมหม่อนไหมมาในราคา 15-20 บาท หรือบางครั้งมีการแจกให้ฟรี ไข่ไหมหนึ่งแผ่น (ขนาดเท่ากระดาษเอสี่) สามารถเลี้ยงและสาวเป็นเส้นไหมได้ 4-6 กิโลกรัม เส้นไหมราคาปัจจุบันอยู่ที่ กิโลกรัมละ 1,400-1,600 บาท นอกจากเส้นไหมที่ขายได้แล้วดักแด้ ซึ่งเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตเส้นไหมยังสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ สามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 80-120 บาท ไข่ไหม 1 แผ่น จะสามารถได้ดักแด้ประมาณ 10-20 กิโลกรัม หลังจากเราได้เส้นไหมมาแล้วเราจะนำเส้นไหมไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การฟอกกาวไหม ย้อมไหม มัดหมี่ และสุดท้ายทอออกมาเป็นผ้าไหม ซึ่งสามารถขายได้ ตั้งแต่ราคาเมตรละ 400 บาทจนถึงราคาเมตรละหลายหมื่นบาทไปจนถึงเมตรละเป็นแสนก็มี

ภูมิปัญหาท้องถิ่น คือโอกาสที่ต้องส่งเสริม เทคนิคที่พูดถึงนั้น ก็หมายถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่เป็นสิ่งล้ำค่า สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้า แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระราชินีในรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านได้นำภูมิปัญญาการทอผ้าไหมของไทยไปตัดเป็นชุดฉลองพระองค์และเผยแพร่ให้กับคนทั่วโลกได้รับรู้ถึงความงามของผ้าไหมไทยและภูมิปัญญาในการทอผ้าของไทย การทำงานร่วมกับ กรมหม่อนไหม ‘กรมหม่อนไหม’ ได้มีส่วนสำคัญในการเข้ามาพัฒนาสายพันธุ์ของไหมไทย เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงไหมให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น และยังสนับสนุนส่งเสริมด้านต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีคุณภาพและมาตฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมไปถึงการประสานงานช่วยหาตลาดร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ อีกด้วย

หม่อนไหม คือ โอกาสของประเทศผมเคยอ่านเจอวิสัยทัศน์หนึ่งของผู้บริหารประเทศเมื่อ 10 ปีก่อน ที่พูดถึง ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ผมอยากจะบอกว่า นี่คือโอกาสของประเทศ ไหมไทย คือโอกาสของเกษตร ของคนไทย เราสร้างมูลค่าเพิ่มมากมายได้จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และโดยเฉพาะจากผ้าไหม

เทียบงบประมาณปีล่าสุด กรมหม่อนไหม ได้รับงบ 560 ล้านบาท เพื่อดูแลเรื่องนี้ทั้งระบบ แต่รายได้ของการขายผ้าไหม และผลิตภัณฑ์ต่างไหมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยา หรือเครื่องนุ่งห่ม เราสร้างรายได้รวมเข้าประเทศได้หลักหมื่นล้าน ใครที่จะมาเป็นนักการเมือง หรือเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ยิ่งต้องมองเป็น ‘โอกาส’ หาใช่การผลักไสวิถีชีวิตของพวกเราไปเป็นเรื่องตลก หรือมองเป็น ‘ภาระ’ และท่านจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงของพวกเราอีกเลย


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000069183

https://www.facebook.com/112126377810669/posts/112220214467952/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พล.อ.ประวิตร  ประธานมอบหนังสืออนุญาต ใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุข-การศึกษา-สิ่งแวดล้อม-การท่องเที่ยว  มุ่งพัฒนาท้องถิ่น  ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.  ลดผลกระทบจากโควิด-19 

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ได้เป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อสนับสนุนภารกิจของส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กค. และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กค. เข้าร่วมในพิธี  ณ  ห้องประชุมวายุภักษ์ 4  กระทรวงการคลัง

พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธาน และทำพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ แก่หัวหน้าหน่วยงาน ภายใต้มาตรการ ป้องกันโควิด-19  เพื่อสนับสนุนภารกิจของส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 71 รายการ รวมเนื้อที่ 561 ไร่เศษ โดยเป็นการสนับสนุนที่ดินให้กับหน่วยงานภาครัฐ ที่มีภารกิจ ด้านสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาพื้นที่เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ โควิด-19 ด้วย

พล.อ.ประวิตร  ยังได้กล่าวขอบคุณ กระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ ที่ได้ดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุนภารกิจของหน่วยงาน ผู้ขอใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของ พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ในการใช้ที่ราชพัสดุ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด พร้อมกำชับ ส่วนราชการและองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งขับเคลื่อนภารกิจให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และบรรลุวัตถุประสงค์ ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชน ต่อไป

“นิพนธ์” ร่วม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19” เติมของอุปโภค-บริโภคใส่ “ตู้ปันสุข” หน้ากระทรวง มท. ช่วยเหลือประชาชน พร้อมเชิญชวนผู้มีจิตกุศลร่วมบริจาคสิ่งของช่วยเพื่อนร่วมชาติยามวิกฤติ

ที่บริเวณหน้ากระทรวงมหาดไทย  นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พร้อมข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ อส.ร่วมกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19”  เพื่อนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมาเติมเต็มที่ตู้ปันสุข เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้แก่ประชาชนโดยรอบกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับผลกระทบเป็นการคลายความทุกข์ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และประชาชนที่เดือดร้อน เชิญเข้ามาหยิบสิ่งของนำไปใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนกันได้ทุกวัน และสำหรับผู้มีจิตกุศลและต้องการแบ่งปันสามารถนำสิ่งของไปเติมได้ในตู้ปันสุขทุกแห่ง เพื่อเป็นการแบ่งปันและพร้อมที่จะก้าวผ่านช่วงระยะเวลายากลำบากไปด้วยกัน 

สำหรับกิจกรรม "มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด 19" กรมการปกครอง โดยกระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมตามปรัชญากระทรวงมหาดไทยที่ว่า "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข"ให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์โควิด-19  โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ซึ่งมีประชาชน ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะอย่างแท็กซี่  และวินมอเตอร์ไซค์ มารอรับสิ่งของอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)ให้เป็นไปตามแนวทางมาตรการป้องกันโรค และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A โดยเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด

จีนแผ่นดินใหญ่ เผยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วมากกว่า 1.4 พันล้านโดส

Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ระบุว่า วันที่ 13 กรกฎาคม จีนแผ่นดินใหญ่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วทั้งหมด 1,402,019,000 โดส ซึ่งครอบคลุมครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศ โดยมีวัคซีนซิโนแวคและซิโนฟาร์มเป็นวัคซีนหลักในการฉีดให้แก่ประชาชนชาวจีน

ประสบการณ์ในการต่อสู้กับโควิด-19 ของจีนแสดงให้เห็นว่า วัคซีนจีนรวมถึงซิโนแวคมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เมืองกว่างโจวและพื้นที่อื่น ๆ

จากผลการวิจัยสถานการณ์โควิด-19 ในเมืองกว่างโจวของนาย จงหนานซาน ผู้เชี่ยวชาญจีน แสดงให้เห็นว่า สำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดที่ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้ว วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการเจ็บป่วย 60% มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคปอดอักเสบ 80% และไม่มีผู้ป่วยรายใดที่มีอาการรุนแรงหรือป่วยหนัก


ที่มา : https://www.facebook.com/846555798724560/posts/4202923013087805/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ยาฟาวิพิราเวียร์ ขององค์การเภสัชกรรม ได้รับการขึ้นทะเบียนอย.แล้ว ต้นสิงหาคมนี้เริ่มกระจายเข้าระบบการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กล่าวว่า ยาฟาเวียร์ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) มีชื่อสามัญทางยา คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ที่องค์การเภสัชกรรมได้ดำเนินการ วิจัย พัฒนา และผลิตเอง ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว

โดยยาฟาเวียร์เป็นผลิตภัณฑ์ยาสามัญรายแรกของประเทศไทยมีคุณภาพมาตรฐานสากล จะเริ่มผลิตและกระจายให้ผู้ป่วยได้ใช้ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยในระยะแรกผลิตได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 2 ล้านเม็ด ที่โรงงานขององค์การฯ ที่ถนนพระราม 6 และจะขยายกำลังการผลิตไปยังโรงงานผลิตยาที่ คลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การผลิตยาดังกล่าวขององค์การฯ ครั้งนี้ ทำให้ราคายาถูกลงกว่าการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ส่งผลให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ

“ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นรายการยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ ตามแนวทางการรักษาของประเทศไทย ซึ่งเดิมต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 มีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ถึงประมาณวันละ 3 แสนเม็ดหรือเดือนละประมาณ 9 ล้านเม็ด

ซึ่งองค์การฯ ได้มีการจัดหาเข้ามาจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และองค์การฯ จะเริ่มผลิตยาฟาเวียร์คู่ขนานไปด้วย โดยองค์การฯ จะได้มีการบริหารจัดการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ให้เพียงพอและสอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ”

ดร.ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวต่อไปว่า องค์การฯ ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาและผลิตยาฟาเวียร์ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ มาใช้ในการพัฒนาสูตรตำรับ จนขยายขนาดการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ยาดังกล่าวได้ผ่านการศึกษาความคงตัวและประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) ซึ่งเป็นการศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบแล้ว โดยผลการศึกษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสากลและผลการศึกษาชีวสมมูลเทียบเท่ากับยาต้นแบบ

“องค์การฯ ต้องขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมทรัพย์สินทางปัญญา ภาคประชาสังคม และอีกหลายหน่วยงาน ที่ร่วมกันผลักดันให้การดำเนินการในครั้งนี้สำเร็จ จนส่งผลให้องค์การฯ สามารถที่ผลิตยารักษาโควิด-19 ให้กับผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้”


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขณะที่คนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนด้วยการด่าทำให้สังคมไทยดีขึ้น แต่มันเป็นแบบนั้นจริงหรือ?

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม สำนักข่าว The Straits Times ของสิงคโปร์รายงานข่าวว่า "บุคลากรแพทย์ไทยหลายร้อยคนติดเชื้อทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนชิโนแวค โควิด-19" พร้อมกับโปรยหัวข่าวในเฟซบุ๊คของสำนักข่าวว่า "บุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับ Sinovac จำนวน 2 โดส ติดเชื้อจำนวน 618 จาก 677,348 คน"

ข่าวเดียวกันนี้ปรากฎขึ้นที่ไทยก่อน แน่นอนว่าในโลกโซเชียลของไทยนั้นด่าแบบเสียผู้เสียคนทั้งวัคซีนจีนและคนนำเข้าวัคซีนเข้ามา (รัฐบาล) รวมถึงคนที่เสนอข้อมูลเรื่องวัคซีนจีนคือ "หมอยง" ศ. นพ. ยง ภู่วรวรรณ ยังถูกคนมือบอนแก้ไขข้อมูลประวัติในวิกิพีเดียของคุณหมอว่าเป็น "เซลล์แมนของซิโนแวค"

ขณะที่ไทยหัวหมุนกับเกมการเมืองเรื่องวัคซีน และพยายาม "ขับเคลื่อนประเทศด้วยการด่า" อย่างที่อินฟลูเอนเซอร์บางคนคุยโว ในช่องความเห็นของ The Straits Times นั้นไปคนละทางกับไทย เช่น

Jonathan Tan บอกว่า "600 เคสจาก 677,000 น้อยกว่า 0.1% นี่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่พาดหัวข่าวทำให้ดูแย่ รายงานควรมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ?"

Mohd Faliq Putrans บอกว่า "ที่มาเลเซีย บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อทั้ง ๆ ที่ฉีด Pfizer ไปแล้ว 2 โดส กรุณารายงานอย่างเป็นธรรม ผมไม่ใช่พวกโปรจีน แต่น่ารำคาญกับรายงานที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้น"

Richard Ker (ซึ่งมีคนกดไลค์มากที่สุด) บอกว่า "รายงานมีอคติ >68% ของคนอังกฤษได้รับวัคซีน AZ แต่ปัจจุบันมีผู้ป่วยมากกว่า 30,000 ราย? มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?" ซึ่งเขาอาจจะหมายความรายงานนี้เอนเอียงไปทางโจมตี Sinovac ขณะที่วัคซีนตัวอื่นมีข้อกังขาเรื่องประสิทธิภาพเหมือนกัน

ในเทรดคอมเมนต์ของ Richard Ker มีผู้แสดงความเห็นมากมาย (500 คอมเมนต์) หนึ่งในนั้นถามว่า "ช่วยอธิบายหน่อยรายงานข่าวนี้อคติอย่างไร?" ซึ่ง Tan Kia Sin อธิบายเหมือนความเห็นแรกว่า "จากตัวเลขที่กำหนดโดย Reuters/ST เปอร์เซ็นต์ของ 618 เทียบกับ 677, 348 นั้นน้อยมาก ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์ของบุคลากรแถวหน้าในสิงคโปร์ที่ติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนครบโดสอาจสูงกว่าในประเทศไทย ในสิงคโปร์ในคลัสเตอร์เดียว 50% ของผู้สูงอายุที่ติดเชื้อได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว"

ความเห็นเรื่องนี้บอกกับเราว่าคนสิงคโปร์

1.) คิดว่าสถานการณ์ไทยดีกว่า

2.) พูดคุยอย่างเป็นสุภาพชนและมีเหตุผล

3.) รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลและ "อ่านเนื้อข่าวโดยไม่อ่านแค่พาดหัว"

เรามักบอกว่าสิงคโปร์แซงหน้าไทย แต่มีสักกี่คนที่สังเกตว่าสิงคโปร์ไม่ได้แซงแค่วัตถุ แต่คุณภาพของประชาชนยังแซงหน้าด้วย และกรณีข่าวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว หากลองอ่านความเห็นใน The Straits Times ทุก ๆ ข่าวเราจะเห็นคุณภาพของประชาชนสิงคโปร์ได้ดี

เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในโลกโซเชียลในไทย ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่มีแต่มีน้อยจนน่าเศร้าใจที่จะคุยกันด้วยเหตุและผลอย่างคนสุภาพ

สิ่งที่คนสิงคโปร์มีคือ Digital Civility หรือความมีอารยะทางอินเทอร์เน็ต

ไม่ใช่ว่าเรามีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งขอโลก (ซึ่งไทยเป็นแบบนั้นจริง ๆ) แล้วจะถือว่ามีอารยะ มันไม่ใช่แบบนั้น ความมีอารยะในโลกดิจิทัลเขาวัดกันที่พฤติกรรมที่ดีต่อกันในโลกโซเชียล อัตราการใช้วาจาประทุษร้ายต่อกัน และหลงเชื่อข่าวปลอมมากแค่ไหน

จากดัชนีความมีอารยะหรือความสุภาพทางอินเทอร์เน็ต (Digital Civility Index) ของบริษัท Microsoft ประจำปี 2020 พบว่าประเทศที่มีอารยะสูงสุดในโลกออนไลน์คือเนเธอร์แลนด์ ส่วนในเอเชียอันดับที่ 1 คือสิงคโปร์ ขณะที่ไทยอยู่กลุ่มท้ายตารางอันดับบ๊วยคือเวียดนาม ไล่ขึ้นมาอินโดนีเซีย และไทย

ที่ทำให้รู้สึกว่าคนสิงคโปร์มองเห็นอนาคตในวิกฤตก็คือ จากการสำรวจพบว่า 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามในสิงคโปร์กล่าวว่าความมีอารยะทางออนไลน์ดีกว่าในช่วงการระบาดใหญ่ โดยเป็นผลมาจากความรู้สึกของชุมชนและผู้คนที่รวมตัวกันเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้มากขึ้น

ในขณะที่ 31% ระบุว่าความสุภาพทางออนไลน์แย่กว่าเนื่องจากมีการแพร่กระจายของข่าวเท็จและข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดมากขึ้น และผู้คนใช้โลกออนไลน์แสดงความผิดหวังต่าง ๆ นานา

ดังนั้น สิงคโปร์ก็เหมือนไทยคือเจอข่าวปลอมเล่นงานหนักและผู้คนก็สิ้นหวังจนต้องมาระบายทางเน็ต แต่ถึงแม้จะเจอปัญหาเดียวกันแต่คุณสมบัติด้านความเป็นสุภาพชนของคนสิงคโปร์ดีกว่า

เช่น ข่าวที่ The Straits Times รายงานเรื่องยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งข่าวนี้ไล่หลังข่าวที่ไทยเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งคนสิงคโปร์สนใจกันมากเพราะอยากมาเที่ยวไทยกันเต็มแก่แล้ว ปรากฏความเห็นที่มีคนสนใจมากที่สุดบอกว่า Steven Rostron "พาดหัวข่าวที่แย่และไม่ถูกต้อง เคสที่เพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดภูเก็ตเลย"

เราจะเห็นว่าตั้งแต่ข่าวบุคลากรแพทย์ในไทยที่ฉีด Sinovac ติดเชื้อแล้วจนถึงข่าวข้างต้น ผู้อ่านสื่อสิงคโปร์มักแย้งการรายงานของสื่อ ซึ่งไม่ได้รายงานข่าวเท็จ แต่พาดหัวหวือหวาจนเกือบจะทำให้คนเข้าใจผิด ความละเอียดลออนี้ทำให้คนสิงคโปร์มีภูมิคุ้มกันสูงต่อข่าวปลอม ซึ่งหมายความว่ามีอารยะสูงในโลกออนไลน์ด้วย

นอกจากนี้ยังมีกรณีตัวอย่างเรื่อง "การตำหนิรัฐบาล" ขอยกตัวอย่างคอมเมนต์ "ตำหนิ" ใน The Straits Times ข่าวที่นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง แถลงต่อประชาชนถึงแนวทางรับมือโควิด-19 เมื่อเดือนพฤษภาคม ชาวสิงคโปร์ใช้เฟซบุ๊กของสำนักข่าวนี้ตำหนิและเยาะเย้ยผู้นำ

Eric Wong บอกว่า "นี่เป็นเพียงจุดสีแดงเล็กๆ โปรดจัดการกับการระบาดใหญ่นี้ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดมากกว่ารัฐมนตรีที่ได้รับค่าตอบแทนสูงๆ ทั้งหมดของคุณ โปรดอย่าอ่านสคริปต์เดิม ๆ ของคุณ มิฉะนั้นเราทุกคนจะรีบแห่ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต" คำตำหนินี้มีคนกดไลค์มากที่สุด ซึ่งเป็นความเห็นตำหนิที่เบามากเมื่อเทียบกับที่ผู้นำไทยเจอ

วันที่ 14 กรกฎาคม คราวนี้เป็นทีของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อมีหญิงจากเวียดนามถือใบอนุญาติเข้าเมืองระยะสั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ในสิงคโปร์ ข่าวนี้ทำให้คนสิงคโปร์เดือดดาลมาก แต่ในความเดือดดาลนั้นยังอาการก็ยังไม่หลุดเหมือนชาวเน็ตไทย เช่น ความเห็นท็อปเมนต์นี้

Joy Lee "Can MOH pls disclose the list of public places visited by the infected Vietnamese lady? This sounds like a super spreading event."

ผู้เขียนไม่ขอแปลข้อความนี้เพื่อจะให้เห็นรูปแบบของข้อความที่สุภาพและมีเหตุผล ไม่มีการใส่อารมณ์ แม้จะเรียบราบและไม่ได้เดือดดาลอย่างบ้าคลั่งก็ยังมีคนกดไลค์มากที่สุด

อีกท็อปเมนต์หนึ่งของอีกข่าวที่รายงานเรื่องเดียวกันแสดงอาการเล็กน้อย Vik Vicknesh บอกว่า "This is a joke. What is a short term pass holder doing here? Isn't travel suppose to be only for extreme essential if not citizens?"

คอมเมนต์นี้ถือว่าเจ็บที่สุดแล้ว ในไทยนั้นใครแสดงความเห็นแบบนี้จะไม่ใช่ท็อปเมนต์แต่จะเป็น "ท้ายเมนต์"

อย่างไรก็ตาม ที่ยกตัวอย่างการเจรจาระหว่างประชาชนกับรัฐบาลสิงคโปร์ ไม่ได้ผู้เขียนหมายความว่าจะให้ไปพูดนะจ๊ะนะจ๋ากับพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะกับเรื่องการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพที่สมควรถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนให้ตระหนักถึงความผิดพลาดนั้น

ย้ำว่า "วิจารณ์" ไม่ใช่ด่า เพราะด่าแล้วนายกฯ ไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็คงไม่แคร์ อย่าว่าแต่คนระดับหัวของประเทศ คนเดินดินเท่า ๆ กันด่ากันเองยังไม่ยอมฟัง นี่คือสัจธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

เพียงแต่จะบอกว่านี่คือระดับคุณภาพความสุภาพของสิงคโปร์ที่สมกับอันดับที่หนึ่งในเอเชีย ส่วนในไทยนั้นถึงกับมีแคมเปญของคนบางกลุ่มที่บอกว่า "ประเทศขับเคลื่อนด้วยการด่า"

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมไทยถึงติดอันดับที่ 3 จากบ๊วย

กรกิจ ดิษฐาน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/658025


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“จีน” รุกคืบ​อินโดแปซิฟิก เปิดศึกเกมชิงบัลลังก์มหาสมุทรจากสหรัฐอเมริกา I Knowledge Times EP.2

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? “จีน” รุกคืบ​อินโดแปซิฟิก เปิดศึกเกมชิงบัลลังก์มหาสมุทรจากสหรัฐอเมริกา

เมื่อความคาดหวังของจีนไม่ได้หยุดแค่ความมั่นคงของประเทศ แต่คือการก้าวเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร อันดับ 1 ของโลก !!

สำหรับประเทศจีนแล้ว การป้องกันประเทศ​ ด้วยการแสดงแสนยานุภาพทางทะเล​ อาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่การเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร​ น่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริง ที่จะรับประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของจีนได้มากกว่า 

ปัจจุบันจีนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ สามารถอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง แต่การแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ​ จำเป็นต้องหาจุดยุทธศาสตร์สำคัญแล้วเข้าไปตั้งมั่นให้ได้

และแน่นอนว่า เป้าหมายที่จีนหมายตา​ คือ​ เส้นทางลำเลียงวัตถุดิบ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญที่หลายประเทศมหาอำนาจหมายปอง อย่าง 'อินโด-แปซิฟิก'​

ซึ่ง​หากใครมีอำนาจเหนือน่านน้ำอินโดแปซิฟิกได้ ก็จะทำให้ประเทศนั้น ๆ มีทั้งอำนาจและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพราะครอบคลุมอาณาบริเวณตั้งแต่​ ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ไปถึงชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ขยายแผ่คลุมเอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดียและเอเชียใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก

แน่นอนว่า​ นี่คือสมรภูมิทางยุทธศาสตร์โลกที่น่าสนใจ​ โดยแต่แรกเริ่ม ทางสหรัฐฯ​ ที่มีอำนาจครอบคลุมเหนือน่านน้ำทั่วทวีปอเมริกาอยู่แล้ว​ ก็มีเป้าหมายใหญ่​ขึ้นไปอีก​ ซึ่งหมายจะควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจของทั้งโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์​ The Great Power​ ซึ่งมีการแผ่ขยายอำนาจมาถึงอินโดแปซิฟิก ส่งผลให้สหรัฐฯ​ มีอำนาจเหนือน่านน้ำอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เอง จีนที่แทบจะไม่มีอิทธิพลเหนือน่านน้ำนี้ จึงต้องแก้เกม ด้วยการคิดโครงการ String of Pearls ขึ้น เพื่อรุกคืบเข้าไปแทรก The Great Power ของสหรัฐฯ

โดยในสาระสำคัญของโครงการ String of Pearls นั้น​ น่าจับตาอย่างมาก​ เพราะจีนใช้วิธีการแทรกซึมเข้าไปถึงแอฟริกาตะวันตก ที่มีชายฝั่งสำคัญ คือ มหาสมุทรแอตแลนติก จากนั้นก็ได้แทรกซึมไปถึง นามิเบีย และมอริเชียส 

การเข้าไปในครั้งนี้ จีนได้พยายามติดต่อรัฐบาลต่าง ๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งขอสร้างท่าเรือในบริเวณนั้น ๆ​ อีกด้วย ซึ่งโครงการนี้เองเรียกได้ว่าเป็นการแทรกซึม​ เพื่อหวังเข้ามาแทนที่มหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐฯ ซึ่งถ้าจีนเข้าไปได้สำเร็จ สิ่งนี้จะสะเทือนไปถึงสหรัฐฯ​ อย่างแท้จริง และนี่ก็คืออีกศึกระหว่าง 2 มหาอำนาจทางนาวา ที่น่าจับตา ต้องดูกันต่อไปถึงการแก้เกมระหว่าง​ 2​ ยักษ์ที่น่าสนใจจริง ๆ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช ประกาศ เรื่อง ประทานพระอนุเคราะห์แก่การฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ขาดแคลน

วันนี้ (15 ก.ค.) สำนักงานเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช ประกาศ เรื่อง ประทานพระอนุเคราะห์แก่การฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ขาดแคลน

อนุสนธิ มติมหาเถรสมาคม ที่ 250/2564 ในการประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 ข้อ 4 ระบุว่า “กรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และไม่มีค่าใช้จ่ายในการฌาปนกิจศพ ให้วัดช่วยดำเนินการ แล้วให้เบิกค่าใช้จ่ายได้ที่สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ในต่างจังหวัดให้แจ้งความประสงค์เบิกค่าใช้จ่ายผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด” ความแจ้งแล้ว นั้น

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระปรารภให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สอดส่องสำรวจตรวจตราวัดในปกครองอย่างใกล้ชิด ว่ามีข้อขัดข้องหรือความยากลำบากในการสงเคราะห์ประชาชนเกี่ยวกับการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่เพียงใด พร้อมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้แก่วัดและประชาชนที่ประสบความยากลำบากในเบื้องต้นอย่างตามกำลังความสามารถ

ทั้งนี้ ในกรณีเจ้าภาพศพเป็นผู้ขาดแคลน ให้วัดดำเนินการสงเคราะห์หีบศพ และเชื้อเพลิงปลงศพทุกราย แล้วให้นำความกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 250/2654 โดยเร็ว เพื่อโปรดประทานพระอนุเคราะห์ต่อไป

อนึ่ง โปรดให้เชิญรับสั่งทรงอนุโมทนาและประทานกำลังใจแก่วัดและชุมชนซึ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อการสาธารณสงเคราะห์อย่างเต็มสติกำลัง ตามบทบาทหน้าที่ที่วัดและชุมชนพึงมีต่อกัน อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามของสังคมไทย อีกทั้งประทานพรให้ทุกรูปและทุกคนจงประสบสวัสดิภาพ ถึงพร้อมด้วยสรรพกำลังในอันที่จะประกอบกรณียกิจเกื้อกูลประโยชน์มหาชนอย่างมิลดละ แม้ในสถานการณ์อันยากลำบากนี้

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล สาขาวิชาโรคภูมแพ้ รพ.รามาธิบดี เล่าอาการติดโควิดสายพันธุ์เดลตา เผยข้อดีซิโนแวค ช่วยกำจัดไวรัสได้เร็ว ลดการอักเสบที่ปอด

วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 หลัง พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล สาขาวิชาโรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (2 ก.ค.) ว่าตนเองตรวจพบเชื้อโควิด หลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด พญ.ประภาพร ได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้ง เล่าถึงอาการหลังการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) พร้อมระบุ ตนได้ทราบผลการตรวจ Swab พบว่า ไวรัสที่ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์เดลตา ว่า...

เป็นไปตามคาดนะคะ ทราบผล Sequencing ของไวรัสที่ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์ Delta (B.1.617.2) ผลตรวจจาก Swab ของหมอแสดงในข้อมูล COVID-19 Network Investigations (CONI) Alliance หมอ hi-lighted ด้วยสีแดงนะคะ

ล่าสุดมีข้อมูลตีพิมพ์ในวารสาร Science (DOI: 10.1126/science.abg6296) พบว่าในสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศปิดและมีปริมาณไวรัสสูง ๆ ที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี (หรือไม่มี filter ที่ดักจับไวรัสได้) ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นนาน ๆ ในที่สุดแล้วเราก็จะต้องหายใจเข้าปอดไปอยู่ดี (ไม่ว่าหน้ากากที่เราใส่จะดีเพียงใด) สิ่งนี้คงเป็นปัจจัยที่ทำให้หมอติดเชื้อด้วยค่ะ

เพราะฉะนั้นถ้าต้องเข้าไปในสถานที่แบบนั้นอย่าอยู่นานนะคะ เพราะจะมีโอกาสรับเชื้อได้มากขึ้น

จากข้อมูลที่ทราบกันดีว่าสายพันธุ์เดลตามีการกลายพันธุ์ที่เพิ่มความสามารถในการติดเชื้อได้ดีและสามารถเพิ่มจำนวนไวรัสในเซลล์มนุษย์ได้ดี ดังนั้น จึงสามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้เร็ว มีระยะฟักตัวที่สั้น และทำให้มีอาการแสดงได้เร็ว

ดังนั้น การรู้ว่าเราเกิดการติดเชื้อโควิดได้เร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะให้การรักษาได้อย่างรวดเร็วและลดโอกาสการเกิดข้อแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ การเข้าถึงการตรวจได้เร็วจะช่วยในส่วนนี้มาก (หวังว่าการปลดล็อคการตรวจหลายอย่างจะทำให้ขั้นตอนนี้เร็วขึ้น)

วันนี้หมอเลยมาเล่าอาการของการติดเชื้อโควิด สายพันธุ์ Delta ของหมอให้ฟังกันและดูว่าการฉีด Sinovac ช่วยเราอย่างไรนะคะ

โดยอาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดจะแบ่งเป็น 2 ระยะคือ..

1.) ระยะแรกของการติดเชื้อ : ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเริ่มต้นคล้ายเป็นหวัดทั่วไปนะคะ มีไข้ ปวดเมื่อยตัว มีน้ำมูก ระคายคอ คันคอ เจ็บคอ อาการเหล่านี้แถบจะแยกไม่ได้จากอาการหวัดทั่วไปเลย แต่อาการจมูกไม่ได้กลิ่น ดูเหมือนจะเป็นอาการที่ค่อนข้างจำเพาะกับการติดเชื้อโควิด (แต่อาการจมูกไม่ได้กลิ่นนี้ ไม่ได้เกิดในวันแรก ๆ จะมาพร้อม ๆ กับอาการคัดจมูกและมีน้ำมูก)

ถ้าดูในรูปจะเห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกาย การรักษาก็คือการรักษาตามอาการ (ให้ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก แก้ไอ เจ็บคอ) และการให้ยาต้านไวรัสในช่วงนี้จะช่วยลดปริมาณไวรัสลงและช่วยให้มีโอกาสการเกิดอาการแทรกซ้อนลดลง โดยระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อ การทำงานของภูมิคุ้มกัน

การฉีดวัคซีนช่วยเราอย่างไรในระยะนี้ วัคซีนที่กระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด CD8 T cells ให้มีความทรงจำต่อเชื้อโรคได้ดีจะทำให้เมื่อร่างกายเรารับเชื้อเข้าไปแล้ว CD8 T cells เหล่านี้จะเป็นกองหน้าที่แข็งแรงและมีความทรงจำกับเชื้อโรคที่เคยเห็นตอนได้วัคซีนกระตุ้นก็จะออกมาขจัดเชื้อโรคและอาจทำให้เรารับเชื้อแต่ไม่มีอาการเลยก็ได้

โดยวัคซีนที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้น CD8 memory T cells ที่ดีคือ mRNA vaccine และ Viral vector DNA ค่ะ ส่วน Sinovac ซึ่งใช้ตัวกระตุ้นภูมิเป็น Alum จะมีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้าง antibody ได้ดี แต่ไม่ค่อยกระตุ้น CD8 memory T cells (อันนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Sinovac ป้องกันการติดเชื้อได้ไม่ค่อยดีค่ะ)

>> แล้ว Sinovac ช่วยระบบภูมิคุ้มกันเราตรงไหน?

เมื่อเรารับเชื้อเข้ามาในร่างกาย ตัวเชื้อจะจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ในทางเดินหายใจ แล้วมุดเข้าไปในเซลล์ไปใช้อุปกรณ์ของใช้ทั้งหลายในเซลล์ของเราเพื่อเพิ่มจำนวนไวรัส และเมื่อไวรัสกินอยู่หลับนอนในเซลล์เราเรียบร้อยแล้ว ไวรัสก็ทำลายผนังเซลล์ทำให้เซลล์ตายและย้ายไปอยู่บ้านใหม่ เมื่อเซลล์ตายก็เหมือนกับบ้านพังต้องมีเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ๆ มาเก็บกินซากปรักหักพัง รวมทั้งออกมารบกับไวรัสตัวร้ายที่ทำลายบ้านช่อง ดังนั้นการปล่อยให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่าย ๆ และเพิ่มจำนวนเร็ว ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบตามมาและการอักเสบที่มาก ๆ จะนำไปสู่ระยะที่สองของการติดเชื้อ

2.) ระยะที่สองของการติดเชื้อ : เมื่อเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็มีโอกาสรุกล้ำเข้าไปสู่ปอดและทำให้เกิดการอักเสบได้ โดยการดำเนินของโรคระยะที่สองจะอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์แรกต่อกับสัปดาห์ที่สอง ในช่วงนี้ถ้าภูมิคุ้มกันของเราสามารถจัดการขจัดเชื้อโรคได้เร็ว เราก็อาจไม่เกิดปอดอักเสบหรือเกิดเล็กน้อยและสามารถดีขึ้นได้

แต่ถ้าภูมิคุ้มกันเราคุมไวรัสไม่อยู่อะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดการสู้รบกันระหว่างเม็ดเลือดขาวกับเชื้อโรค มีการใช้อาวุธ ทิ้งระเบิด (Cytokine เป็นอาวุธของเม็ดเลือดขาวที่ใช้สั่งการและทำลายไวรัส) ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Cytokine storm เกิดขึ้น และเมื่อเกิดภาวะนี้แล้วก็ต้องมีการใช้ยาต้านอักเสบกลุ่ม Steroid หรือยา Biologics อื่น ๆ เพื่อหยุดการอักเสบ

ดังนั้น Protective immunity ที่ได้จาก Sinovac ก็จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถจัดการขจัดไวรัสไปให้เร็วขึ้นและการอักเสบและการลุกลามไปที่ปอดเกิดลดลง ถึงเป็นที่มาของข้อมูลที่ Sinovac ช่วยลดอาการรุนแรง ลดการตายในผู้ป่วยติดเชื้อโควิดไงคะ

สำหรับข้อสังเกตของผู้ติดเชื้อโควิดว่าเราจะเริ่มมีอาการของปอดอักเสบร่วมไหม แนะนำว่าให้วัด Oxygen ปลายนิ้วมือก่อนและหลังออกกำลังกายสัก 3 นาที ถ้าลดลงหลังออกกำลังกายคงต้องสงสัยว่าอาจมีอาการของปอดอักเสบร่วมด้วย

ทีนี้มาดูอาการของหมอก็จะเห็นว่าไม่ใช่ Mild case ซะทีเดียวเพราะวันที่ 5 ของการติดเชื้อก็มีค่าเม็ดเลือดขาว Lymphocyte ที่ต่ำ (จริง ๆ แล้วลดลงทั้งเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือดด้วย ถ้าเทียบกับผลการตรวจร่างกายเมื่อก่อนหน้านี้) มีค่าการอักเสบ CRP เพิ่มขึ้น มีตับอักเสบ และ CT chest พบว่ามีปอดอักเสบ 5%

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างตกใจพอสมควร เพราะเรารู้เรื่องกลไกการเกิดโรคด้านภูมิคุ้มกันของโควิดค่อนข้างละเอียด กังวลว่าเราจะเดินหน้าไปเป็น Cytokine storm ไหม ต้องได้ยา Steroid ไหม เมื่อมีปอดอักเสบหมอเลยได้ยาต้านไวรัส ซึ่งใช้เวลา 2 วันหลังได้ยาต้านไวรัสแล้วอาการก็ดีขึ้น

>> ซึ่งหมอคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ดีขึ้น คงมีส่วนจากระบบภูมิคุ้มกันที่เคยได้รับการกระตุ้นด้วย Sinovac มาสองเข็ม ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันจะตกและทำให้ติดเชื้อ แต่ Memory cells ทั้งหลายก็คงจะพอมีให้เรียกกลับมาทำงานขจัดเชื้อโรคได้ทันในช่วงปลายสัปดาห์แรก และส่วนตัวไม่ได้มีโรคประจำตัวในกลุ่มเสี่ยง (นอกจากอยู่ในกลุ่มอายุที่ระดับ Antibody ลดลงเร็ว) และเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (ตอนเม็ดเลือดขาวต่ำก็ออกกำลังกายในห้องพักกับลูกชาย) ถึงแม้จะมีปริมาณเชื้อค่อนข้างมาก (ถ้าจำได้ Ct 18) ก็สามารถรอดกลับมาหายได้ด้วยการมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ Delta ที่แข็งแรงมากขึ้นค่ะ และการป่วยครั้งนี้ได้เข้าโครงการวิจัยของทางรามาธิบดีที่ทำการตรวจและติดตามผู้ป่วยโควิดด้วยค่ะ หวังว่าตัวเองจะไม่เกิด Long Term Side Effect ใด ๆ ตามมา

สุดท้ายนี้อยากบอกทุกท่านว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ วัคซีนก็คงช่วยเราไม่ได้ 100% เราคงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันของเราเองให้ดี

ป.ล. หวังว่าจะเข้าใจการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบง่าย ๆ ที่เล่ามานี้นะคะ

ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าหลักการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนแต่ละเทคโนโลยี และวิธีง่าย ๆ ของการเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการฉีดวัคซีนค่ะ

#Sinovacveteran

#Deltasurvivor


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4449830471702843&id=100000278023117


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top