Monday, 5 June 2023
NEWS FEED

ตำรวจไซเบอร์รวบสาวใหญ่เครือข่าย Romance Scam ปลอมเป็นลูกครึ่งเกาหลี แชทลวงเงินเกือบ 3 แสน

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.2 ทราบว่า นางสาวดารัตน์  อายุ 36 ปี ชาวอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งพฤติการณ์ในคดี ผู้ต้องหารายนี้อยู่ในแก๊งขบวนการ หลอกให้รักออนไลน์ (romance scam) ซึ่งได้สร้างความเสียหายและยังมีเหยื่อหลงเชื่อส่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

กล่าวคือ เมื่อประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผู้เสียหายได้แชตคุยกับบคคลที่แสดงตัวเป็นชายลูกครึ่งสัญชาติอเมริกัน-เกาหลี หน้าตาดีมีฐานะดี ติดต่อผ่านแอพพลิเคชั่น อินสตราแกรม ต่อมาคนร้ายได้ชักชวนและหลอกมาคุยกันใน Whatapp โดยคนร้ายได้อ้างว่าได้เดินทางไปทำงานในประเทศไทย และอ้างว่าติดปัญหาเรื่องเงินเนื่องจากว่าใช้สกุลเงินต่างกัน บัญชีธนาคารถูกระงับการใช้งานคนร้ายได้ขอให้จ่ายค่าปลดล็อคแทนโดยจะคืนให้ในภายหลังผู้เสียหายได้หลงเชื่อได้โอนเงินไป จำนวน 5 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 266,710 บาท ซึ่งผู้ต้องหารายนี้เป็นเจ้าของบัญชีที่รับเงินที่ได้จากการหลอกลวงจากผู้เสียหาย 

ต่อมา 25 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับมาซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ตำบลตีนเป็ด เมืองฉะเชิงเทรา จึงนำกำลังไปตรวจสอบพบบุคคลตำหนิรูปพรรณตรงกับบุคคลตามหมายจับ จึงทำการตรวจสอบโดยบุคคลดังกล่าวรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ทราบว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่จะเกิดความเสียหาย” จึงจับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เบื้องต้น ผู้ต้องหายังปฏิเสธ โดยอ้างว่าตนได้ให้หมายเลขบัญชีธนาคารของตนเองไปกับเพื่อนที่รู้จักกันทางเฟสบุ๊คเพื่อไปใช้ในการรับเงินโอน 

เตือนภัย “หลอกให้รักออนไลน์ ด้วยรูปภาพบุคคลหน้าตาดี ใช้ชีวิตหรูหรา ร่ำรวย แล้วบอกว่าโอนเงินมาให้ ส่งของมีค่ามาให้ แต่ต้องเสียภาษี ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางศุลกากร นั่นคือ การหลอกลวง Romance scam”
ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., 
พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ณัฐกรณ์ ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ปกรณ์กิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

ย้อนไทม์ไลน์ ‘พิธา’ เส้นทางการเมืองจากคนตัวเล็กๆ สู่ผู้ถืออำนาจใหญ่ของการเลือกตั้งไทย ปี 66

นาทีนี้ ไม่มีใครร้อนแรงเกินกว่า ‘ทิม - พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ใช้เวลากว่า 3 ปี เปลี่ยนผ่านจากยุคอนาคตใหม่มาสู่ยุคของพรรคก้าวไกลที่มีเขาเป็นผู้นำพรรค สั่งสมความนิยม จากพรรคอันดับรอง ไต่กระแส สร้างปรากฏการณ์ ‘สีส้ม’ ทั่วทั้งแผ่นดิน จนสามารถโกยคะแนนเสียงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งล่าสุด

ความสำเร็จของ ‘พิธา’ ไม่ได้ไหลบ่ามาเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการค่อย ๆ สั่งสม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากการข้องเกี่ยวกับผู้คนในแวดวงการเมืองมานานเกือบ 20 ปี ขยับจากเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ ที่นั่งจดวาระการประชุมหลังห้อง จนกระทั่งกลายเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ผู้กำหนดวาระของประเทศไทยในวันนี้ เส้นทางการเมืองของ ‘พิธา’ เป็นอย่างไร ย้อนไปดูกัน 

#เลียบเคียงการเมือง
ถ้ากล่าวถึง ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ คนที่ติดตามการเมืองคงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเป็นนามสกุลของ ‘ผดุง’ เลขานุการส่วนตัวของ ‘ดร.ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี และด้วยความที่ ‘พิธา’ มีศักดิ์เป็นหลานของนายผดุง ทำให้เขามีโอกาสได้รู้จักมักคุ้นกับบุคคลการเมืองในพรรคไทยรักไทย รวมถึงทายาทของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง โอ๊ค เอม และอุ๊งอุ๊งมาตั้งแต่ก่อนก้าวขาเข้ามาสัมผัสบรรยากาศ และกลิ่นอายของการเมืองด้วยตัวของเขาเอง

#จากเจ้าหน้าที่แถวหลัง ค่อยๆ ขยับก้าวมาสู่แถวหน้าการเมือง 
ช่วงปลายของการศึกษาปริญญาตรี สาขาบัญชี - การเงิน ที่ ม.ธรรมศาสตร์ พิธาเริ่มต้นฝึกงานที่บริษัทหลักทรัพย์ซึ่งมี ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ เป็นผู้บริหาร และเป็นผู้ที่พิธายกให้เป็นเจ้านายคนแรกของเขา ก่อนจะขยับมาทำงานเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับอีกบริษัท ซึ่งพิธาเล่าว่า ช่วงนั้นเขามีโอกาสดูแลลูกค้ารายแรก คือ ‘ไทยซัมมิท’ ของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งมีโปรเจกต์ขยายตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไปที่ประเทศอินเดีย  

หลังจากนั้น 2 ปี พิธาได้มีโอกาสขยับเข้าใกล้งานการเมืองมากขึ้น ในช่วงหลังเหตุการณ์สึนามิ ที่ภาคใต้ และทีมงานของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ติดต่อมายังบริษัทของเขา ให้เข้าไปทำงานให้กับหลายกระทรวง ทำให้พิธา ได้เริ่มสัมผัส และซึมซับการทำงานของนักการเมืองหลายคนในรัฐบาลในช่วง ปี 2547-48

ก่อนที่เขาจะขยับเข้าใกล้การเมืองมากขึ้น เมื่อตัดสินใจข้ามฝั่ง จากที่ปรึกษาธุรกิจเอกชน มารับบทบาทข้าราชการ ติดตาม ‘ดร. สมคิด’ ตั้งแต่ในทำเนียบรัฐบาล ก่อนย้ายไปที่กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ตามลำดับ ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานกับทีมงานของ ดร. สมคิด อย่าง ดร. อุตตม สาวนายน, ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รวมถึง ดร.โอฬาร ไชยประวัติ 

ในบทบาทของทีมเลขาฯ ตามนาย ที่นั่งอยู่แถวหลังสุดมุมห้อง พิธาใข้ช่วงเวลานั้น แอบบันทึก และซึมซับสาระสำคัญ รวมถึงวิธีคิด ของคีย์แมนทางการเมืองไปพร้อมกันด้วย แม้เป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน ก่อนเขาจะตัดสินใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา กระทั่งเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ในปี 2549

#เป็นผู้สังเกตการณ์การเมืองระดับโลก
อีกด้าน พิธา มีโอกาสได้เปิดมุมมอง และได้พบเห็นการทำงานการเมืองระดับโลก ที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาที่เขาเดินทางไปศึกษาต่อ ทั้งในปี 2000 ช่วงการเลือกตั้งใหญ่ ที่เป็นการขับเคี่ยวกัน ของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช จากรีพับลิกัน และ อัล กอร์ จากเดโมแครต  ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาไปเรียนต่อด้านการเงิน ที่รัฐเท็กซัส ทำให้ได้เห็นบรรยากาศและวิธีการหาสียงในฟากของพรรครีพับลิกัน 

กระทั่ง 16 ปี คล้อยหลัง พิธากลับไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่สหรัฐอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐฯ แต่หนนี้เขาได้ไปอยู่ในพื้นที่ของพรรคเดโมแครต ได้เห็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง ‘โอบามา’ กับ ‘แม็คเคน’ ซึ่งพิธาได้เห็นวิวัฒนาการการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ร่วมคลาสการเมือง ซึ่งต่อมาเติบโตไปเป็นคนการเมืองระดับประเทศในสหรัฐฯ รวมถึงได้ติดตามเพื่อน ออกไปหาเสียง ได้เห็นและเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘เครื่องจักรทางการเมือง’ ซึ่งเป็นยุทธวิธี ในการลงพื้นที่เรียกคะแนน รวมถึงการเคาะประตูเพื่อขอรับบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง จนได้นำสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัส กลับมาปรับใช้ได้จริง เมื่อเขาตัดสินใจผันตัวเองเข้าสู่บทบาท ‘นักการเมือง’ เต็มตัว

‘พิธา’ ในบทบาทของผู้นำจัดตั้งรัฐบาล เพิ่งประกาศเอ็มโอยู ระหว่าง 8 พรรค 313 เสียง ที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลไปเมื่อต้นสัปดาห์ แน่นอนว่า กระแส ‘พิธาฟีเวอร์’ และ ‘ด้อมส้ม’ มาแรงต่อเนื่อง หากไม่มีอุบัติเหตุ หรือความผิดพลาดทางการเมืองเกิดขึ้น ว่าที่ผู้นำคนรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมความคาดหวังในความเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์ทางการเมือง ที่ชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ กับประสบการณ์การเมืองที่เขาเรียนรู้และสั่งสมมา จะได้ใช้งานอย่างเต็มที่ในบทบาท และฐานะผู้นำของประเทศต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะเดินทางประชุมร่วมทวิภาคีเมียนมา-ไทย แสวงหาความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 66) เวลา 09.00 น.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีเมียนมา-ไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 24 - 25 พ.ค.66 ณ โรงแรมปาร์ค รอยัล กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งผู้แทนฝ่ายเมียนมา นำโดย พล.ต.ต.อ่อง อ่อง รอง ผบ.ตร.เมียนมา พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมียนมา เข้าร่วมหารือความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกัน ซึ่งสลับกันเป็นเจ้าภาพ ยาวนานมาจนถึงครั้งที่ 10 แล้ว

ในที่ประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้นำเสนอสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียนมา โดยมีการยกตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้น เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกแสวงหาประโยชน์จากการหลอกลวงไปค้าประเวณีที่เมืองป๊อก และเมืองล็อกก่าย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 65 – 66 ที่ผ่านมา โดยสามารถช่วยเหลือคนไทยกลับมายังประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั้งสองประเทศ ดังนั้นจึงอยากสานต่อความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้ขบวนการของผู้กระทำผิดเหล่านี้ ไม่สามารถกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวได้อีก 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า การเดินทางมาประชุมทวิภาคีร่วมกับตำรวจเมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะได้ประสานความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมืออันดีจากเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมา ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งประสานจับกุมผู้ต้องหาเพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย ดังนั้นหลังจากการประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ จะยิ่งทำให้การทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแพการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

เปิดนาทีชีวิต! คลอดลูกในล็อบบี้โรงแรม ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ฯ ช่วยทำคลอดทารกน้อยปลอดภัย นับเป็นรายที่ 257 “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง “สุภาพบุรุษจราจร”

วันนี้ (26 พฤษภาคม 2566) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.)  เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (25 พฤษภาคม 2566) ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ทำคลอดฉุกเฉินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในซอยรามคำแหง 50 กทม.             

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า กรณีล่าสุด เหตุเกิดเวลา 08.40 น. ของวานนี้ ด.ต.จักรภูมิ เสมียนชัย ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้รับแจ้งว่ามีหญิงคลอดบุตรมาแล้วบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรามคำแหง 50 ขอตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสนับสนุน หลังรับแจ้ง      พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง ( โครงการใต้ 1 ) ร.ต.ท.มานะ จอกโคกสูง ( โครงการเหนือ1-8 ) และ ร.ต.ต.อนุชา กัลยา ( โครงการธน1-3 ) นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วย ด.ต.สุทิน อินทโชติ ( 6-202 ) ด.ต.อุดมศักดิ์ ศาลา ( 6-204 ) ส.ต.อ.ชนะ คณะจันทร์ ( 6-617 ) ส.ต.อ.ศิวา ชินฝั้น ( 6-615 ) ส.ต.อ.พลอย เนื่องมัจฉา ( 6-611 ) และตำรวจช่าง ด.ต.สุนทร สติยศ ( 6-432)จ.ส.ต.วัชรนนท์ คงสินจีราภัทร์ ( 6-434 ) เข้าสนับสนุนยังจุดเกิดเหตุทันที ไปถึงบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม พบหญิงสาวชาวเมียนมาคลอดทารกเพศหญิงออกมาแล้ว จึงรีบเข้าช่วยเหลือทั้งแม่และเด็ก

“ตำรวจจราจรฯ ร่วมกับอาสาสมัครให้การช่วยเหลือทารกอย่างเร่งด่วน โดยใช้ลูกยางแดงดูดของเหลวภายในช่องปาก และจมูกเพื่อป้องกันไม่ให้ทารกน้อยสำลัก แล้วเช็ดตัวทารกให้สะอาดเปลี่ยนผ้าห่อตัวทารกให้ใหม่เพื่อสร้างความอบอุ่น ใช้แคลมป์หรือคีมหนีบสายสะดือระหว่างรอหมอ พร้อมทั้งดูอาการของแม่เด็กให้อยู่ในภาวะปลอดภัย ต่อมาทีมแพทย์ประจำรถศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ คุณหมอจึงได้ตัดสายสะดือแม่ และเด็กอย่างปลอดภัย จากนั้นตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ช่วยเคลื่อนย้าย และขี่รถนำทางอำนวยความสะดวกพาแม่ และเด็กนำส่งโรงพยาบาลสิรินธรเรียบร้อยปลอดภัย”  หัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ศจร.ตร. กล่าว

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสภ.สาขลา เข้าระงับเหตุปล้นชิงทอง

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 66) เวลา 16.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจสายตรวจ สภ.สาขลา เข้าระงับเหตุปล้นชิงทองได้อย่างทันท่วงที

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2566 หรือเมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. มีคนร้ายเป็นชายไม่ทราบชื่อขับขี่รถจักรยานยนต์และใช้อาวุธปืนพก ขนาด 9 มม. ก่อเหตุชิงทรัพย์ที่ห้างทองเยาวราชบางกอก จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ทรัพย์สินเป็นแหวนทอง จำนวนกว่า 600 วง มูลค่าประมาณ 5,600,000 บาท

หลังก่อเหตุคนร้ายได้ยิงปืนเพื่อเปิดทางหนีออกจากร้านเนื่องจากประตูนิรภัยล็อคอยู่ และขณะกำลังขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อทำการหลบหนี ส.ต.ท.ตฤณ ทรงการุณย์ และ ส.ต.ต. พิพัฒน์ ธรรมไข ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรสาขลา หลังได้รับแจ้งเหตุ เมื่อมาถึงจึงได้ตัดสินใจทำการสกัดการหลบหนี และระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีสากล จนสามารถระงับเหตุได้ในที่สุด ก่อนประสานมูลนิธิกู้ชีพเพื่อมารักษาผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ (ซึ่งก็คือคนร้าย) และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตำรวจทั้ง 2 นายเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ปฏิบัติงานตามหลักยุทธวิธีตำรวจสมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลายังต้องพิสูจน์คน!!

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในอีก 2 เดือนข้างหน้าได้หรือไม่? แต่ที่เหนือกว่าการเป็น ‘นายกฯ’ คือการนำพารัฐนาวาให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

ซึ่งกุญแจสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ การมี ‘ทีมที่ดี’ ว่าแล้วลองเหลียวมอง (ว่าที่) ส.ส.ที่จะมาเป็นลูกทีมบริหารของพิธา แต่ละคน สายล่อฟ้าเรียกพี่!!

‘ว.นานาชาติ มธบ.’ เปิดหลักสูตรจีนธุรกิจ ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้ พร้อมชู 4 จุดแข็ง ‘บุคลากร-คอมมูนิตี้-ทุนเรียนฟรี-พันธมิตรธุรกิจ’

วันที่ (25 พ.ค. 66) อาจารย์จุฑามาศ ลิมศุภนาค หัวหน้าหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผยว่า ในโลกของการทำงานภาษานั้น นับเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการนำพาให้ประสบความสำเร็จในสายงานอาชีพ ปัจจุบันการใช้ภาษาจีนมีอัตราเติบโตมากขึ้น

เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดขยายไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้ภาคธุรกิจต้องการแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาจีนมากขึ้นด้วย ดังนั้น การมีทักษะด้านภาษาจีนจึงเพิ่มโอกาสในการทำงานและได้เปรียบในการทำธุรกิจ รวมไปถึงเพิ่มความเป็นมืออาชีพอีกด้วย

หลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เล็งเห็นความสำคัญของการผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนจึงออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ

โดยให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาจีนพร้อมกับบูรณาการความรู้เฉพาะทางในสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่นักศึกษาจะได้นำเป็นความรู้ในการประกอบอาชีพตามความต้องการภายหลังจบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ภาษาจีนเพื่อธุรกิจสายการบิน ภาษาจีนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ภาษาจีนเพื่อการค้าออนไลน์ ภาษาจีนด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ฯลฯ ดังนั้น บัณฑิตที่จบออกไปจึงสามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ

อาจารย์จุฑามาศ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ DPU เปิดมานานกว่า 36 ปี โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดสอนในสาขานี้ นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่จะได้เรียนกับอาจารย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากประเทศจีนโดยตรง ทั้ง ป.ตรี ป.โท ป.เอก ซึ่งอาจารย์จะมีความเข้าใจในโครงสร้างด้านวัฒนธรรม บริบทต่างๆ ตลอดจนการเติบโตของประเทศจีน โดยความรู้สำคัญที่จะส่งเสริมกับการเรียนภาษาเหล่านี้ก็นักศึกษาจะได้รับการถ่ายทอดควบคู่กับการเรียนรู้ไปด้วย เพราะเนื่องจากมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาชาวจีนจำนวนกว่า 3,000 คน ซึ่งนับเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ นักศึกษาจะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมทางภาษากับเจ้าของภาษาโดยตรง ได้เรียนรู้การปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันในวัฒนธรรมที่แตกต่าง

อีกทั้งทุกปีนักศึกษายังมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาไปเรียนคอร์สระยะสั้นในช่วงซัมเมอร์ที่มหาวิทยาลัยของจีนซึ่งเป็นพันธมิตรกัน ขณะเดียวกันยังมีทุนเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศจีนกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยจีนของเราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยครุศาสตร์เทียนจิน มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง และยังมีสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งให้ทุนมาปีหนึ่งๆ จำนวนกว่า 20 ทุน ที่สำคัญนักศึกษาที่จบจากหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจของเรา ส่วนใหญ่บริษัทที่เป็นพันธมิตรจะรับเข้าทำงานทันที

“หลักสูตรนี้ น้อง ๆ ที่ไม่มีพื้นฐานภาษาจีนก็สามารถเรียนได้ เพราะก่อนจะเปิดเทอมเราจะปรับระดับภาษาจีนให้มีพื้นฐานก่อน และพอเปิดเรียนแล้วเราก็จับคู่บัดดี้ที่เป็นนักศึกษาจีนให้กับเขา เพื่อให้ได้ฝึกสื่อสารกับเจ้าของภาษาอยู่ตลอดเวลา นักศึกษาจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนคนจีน จะทำให้เขาคุ้นเคยกับเจ้าของภาษา กล้าที่จะสื่อสาร ทำให้สามารถสื่อสารภาษาจีนได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ หลักสูตรยังมีคลินิกภาษาจีนไว้คอยสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาจีนขอนักศึกษา โดย นักศึกษาสามารถเข้าไปฝึกฝนทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน หรือติวเพิ่มในส่วนที่เรียนไม่ทันหรือไม่เข้าใจได้ตลอด รวมไปถึงหลักสูตรยังสนับสนุนให้นักศึกษาในชั้นปีที่สูงขึ้นมีประสบการณ์การทำงานในด้านภาษา เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้ทักษะจากการทำงานจริง ทั้งผ่านการฝึกงาน และการทำงาน Part Time ในสถานประกอบการต่าง ๆ เช่น การรับงานแปล พนักงานขายสินค้าให้ชาวจีน การเป็นล่ามฝึกหัด ซึ่งจะมีบริษัทติดต่อมาเข้ามาอยู่ตลอดเวลา

ทางหลักสูตรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้นักศึกษาได้ฝึกประสบการณ์จริงอีกด้วย ที่ผ่านมา Feedback และเสียงตอบรับจากผู้ประกอบการก็ดีมาก ทั้งยังแสดงความจำนงให้เราส่งนักศึกษาไปทำงานและฝึกงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเยอะมากขึ้น ยิ่งต้องการแรงงานที่สามารถใช้ภาษาไทย และภาษาจีนอีกด้วย” หัวหน้าหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ กล่าว

อาจารย์จุฑามาศ กล่าวอีกว่า นอกจากทักษะด้านภาษาจีนแล้ว มหาวิทยาลัยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในทุกด้าน โดยเฉพาะทักษะแรงงานที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ทักษะการวิเคราะห์และแก้ปัญหา ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นทีม และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเราเรียกว่า DPU Core โดยทักษะเหล่านี้จะถูกฝึกฝนผ่านโครงงานที่เรียกว่า Capstone Project ซึ่งจะเป็นโครงการ ที่ให้นักศึกษาต่างคณะต่างสาขามาร่วมกันทำโครงงาน ซึ่งจะได้ฝึกทุกทักษะที่จำเป็นตั้งแต่ปี 1-2-3 ได้ฝึกลองผิด ลองถูก ในการทำธุรกิจซึ่งนักศึกษาจะได้ทั้งทักษะด้านภาษาจีนและทักษะการทำธุรกิจไปด้วย ที่ DPU จึงต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นตรงนี้ เราให้นักศึกษาฝึกการทำธุรกิจตั้งแต่ปี 1 และเข้มข้นขึ้นในทุกปี

“แรงงานที่พูดภาษาจีนได้นั้น ขาดแคลนจริง ๆ ผู้ประกอบการมักจะติดต่อมาอยู่เสมอๆ ขอให้ส่งนักศึกษาไปให้ตลอด นักศึกษาหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจที่จบอออกไป จึงเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจมาก และระหว่างที่เรียนนักศึกษายังสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ล่าม แปลงาน ประสานงาน ขายสินค้าจากประเทศจีนหรือให้นักท่องเที่ยวชาวจีน หรือ ติวเตอร์ต่าง ๆ” อาจารย์จุฑามาศ กล่าวในตอนท้าย

สำหรับผู้สนใจหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
 

‘บิ๊ก บลจ.บัวหลวง’ ชี้!! ถึงเวลาที่ไทยต้องสวมบท ‘รจนา’ เลือกข้างระหว่าง ‘จีน - สหรัฐฯ’ หลังมะกันไม่ขาย F-35 ให้

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ไม่ขาย ก็ไม่ซื้อ’ มีเนื้อหาว่า…

สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ยอมขาย F-35 ให้ไทย เพราะไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาของเขา ซึ่งน่าจะมาจากการที่เราซ้อมรบกับจีนบ่อยขึ้น และเราไม่เข้าร่วมขบวนการนาโต้ 2

แต่นี่ไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับไทย เป็นข่าวดีด้วยซ้ำ เพราะ F-35 เนี่ยะมันมีปัญหาเยอะ เช่น บางทีก็บินไม่ขึ้น หลายครั้งที่เครื่องยนต์มีปัญหา ระบบนำร่องไม่เสถียร ฯลฯ เรียกว่าซ่อมมากกว่าใช้ (อันนี้ข้อมูลมาจากผู้รู้จริง จะลองหาเพิ่มในกูเกิ้ลก็ได้)

ถ้าไม่ติดว่าโยกงบที่จะซื้อ F-35 ไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ ก็อาจจะเล็งไปที่ SU-35 จะดีกว่า

ผู้สันทัดกรณีระบุว่า “SU-35 ของรัสเซียนี่น่ะหลายชาติอยากได้มาก เนื่องจากถ้ามีไว้ก็เรียกได้ว่าน่านฟ้าเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ขนาด F-35 เห็นแล้วต้องรีบหลบ เพราะ SU-35 มีเรดาร์ขั้นเทพ จะพรางตัวก็ขั้นเซียน ยิงได้ไกลโคตรจนเป้าหมายตายทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าในจอเรดาร์”

ส่วนเรื่องการเมืองในไทยยุคนี้ ต้องขอย้ำว่า อย่าไปอินอะไรมากนัก ข่าวสารที่ได้รับต่าง ๆ ก็ไม่แน่ว่าใครเป็นคนเผยแพร่ให้แฟนคลับเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ให้เขาตกลงกันเล่นเถิดเทิงตั้งรัฐบาลกันไปตามลำบากเหอะ พวกเราคั่วป๊อปคอร์นกินไป ดูไป บันเทิงใจดีออก

แต่ถ้าจะดูทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ก็ขอให้ดูที่การต่อสู้ของมหาอำนาจสองฝั่งที่กำลังรุกคืบมาแถวนี้แล้ว โดยที่กระแสโลกที่ ‘ไม่เอานาโต้ ไม่เอากองทัพสหรัฐฯ’ กำลังแพร่กระจายอย่างฉุดไม่อยู่… แหม มันสาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก

ผู้สันทัดกรณีระบุอีกว่า “ไทย พม่า ลาว คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้อาเซียนรอด มีรัสเซียกับจีนคอยโอบอุ้ม กับพร้อมลงมือทันทีหากฝ่ายตรงข้ามเขยิบ”

สรุปคือ สองขั้วมหาอำนาจขยายอิทธิพลและเป้าหมายมาที่อาเซียนแล้ว แบบไม่มีใครยอมใคร ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนต่างเลือกข้างแล้ว

เหลือแต่พี่ไทยนี่แหละ ซึ่งมันชัดขึ้นทุกทีว่าเราถูกกดดันให้เลือกข้าง จะเล่นบทเดิมเป็นนางวันทองสองใจอีกไม่ได้ ต้องเป็นรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกระหว่าง ‘หยางหยาง’ กับ ‘คริส อีแวนส์’

แหม ก็มันหล่อคนละแบบ จะให้ตัดใครไปได้ลงเล่า!?

ควันหลังเลือกตั้ง!! ย้อนทำความรู้จัก ‘MOU’ จากทั่วโลก เวิร์คหรือไม่? ทางการเมือง

หนึ่งประเด็นที่ดูเป็น ‘เรื่องใหม่’ ของการเมืองไทย และถูกจับตามากที่สุด หลัง ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาประกาศต่อสาธารณชน เมื่อทราบผลการนับคะแนนไม่เป็นทางการ และปรากฏว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากที่สุด ก็คือ การเตรียมจัดทำข้อตกลง หรือ ‘เอ็มโอยู’ ระหว่างพรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยยืนยันว่า…

“เวลาที่เราจะร่วมรัฐบาลกัน มันไม่ใช่แค่แบ่งกระทรวง หรือดู ส.ส. จำนวนเท่าไร แต่เราจะทำเป็นเอ็มโอยู ที่เป็นเอกสารเปิดเผยต่อสาธารณชน ว่าการร่วมรัฐบาลเราคาดหวังอะไรซึ่งกันและกันบ้าง เวลาทำงานจะได้ไม่สะดุดระหว่างทาง แล้วก็ให้ประชาชนสามารถคาดหวังได้ว่าสิ่งที่เคยสัญญา ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังเหมือนเดิมทุกประการ”

ก่อนอื่น มาดูนิยามของ เอ็มโอยู (MOU-Memorandum of Understanding) ก็คือ “บันทึกความเข้าใจ” ซึ่งทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างบุคคล องค์กร หรือสถาบัน ตั้งแต่สองฝ่าย หรือมากกว่านั้น ไม่ได้เป็นสัญญาผูกมัด แต่เพื่อเป็นการแสดงความต้องการอันแน่วแน่ของผู้ลงนามว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ได้ระบุและตกลงกันไว้

ในส่วนของการเมือง เมื่อการเลือกตั้งปรากฏผลลัพธ์ออกมา ว่าไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสภาฯ การฟอร์มรัฐบาลจึงต้องออกมาในรูปแบบการเจรจาจัดตั้ง ‘รัฐบาลผสม’ 

ที่ผ่านมาในการเมืองไทย การจัดตั้งรัฐบาลหลายพรรค มักเริ่มที่การดูจำนวน ส.ส. ก่อนตกลงผลประโยชน์ แบ่งโควต้ารัฐมนตรี และจับจองกระทรวงต่างๆ อาจมี ‘การให้สัตยาบัน’ เพื่อเป็นพันธะยึดโยงร่วมกันบ้าง แต่แทบไม่เคยเห็นการทำเอ็มโอยู เป็นตัวหนังสือกำหนดแนวทางดำเนินนโยบายร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะแต่ละพรรคการเมือง ย่อมมีนโยบายและจุดยืนแตกต่างกัน จึงต้องหาความลงตัว แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เพื่อเดินหน้าทำงานร่วมกันให้ได้ 

แต่สำหรับในหลายประเทศทั่วโลก การจัดทำข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสม ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เรามาลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น

เริ่มต้นกันที่ ‘เยอรมนี’ ที่หลังสิ้นสุดยุคการบริหารบ้านเมืองโดยพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต หรือ ‘CDU’ ภายใต้การนำของ ‘อังเกลา แมร์เคิล’ มานานกว่า 16 ปี ก็นำมาสู่การเลือกตั้งทั่วไป 26 กันยายน 2021 ซึ่งพรรคโซเชียลเดโมแครต ที่นำโดย ‘โอลาฟ ชอลซ์’ ได้เสียงสนับสนุน 25.7% ร่วมกับ พรรคกรีน ที่มีเสียง 14.8% และพรรคฟรีเดโมเครต อีก 11.5% จับมือกันจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีการลงนาม ‘ข้อตกลงภายใน’ ร่วมกัน จำนวนกว่า 177 หน้า เพื่อเป็นแบบร่างแผนการบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 4 ปี

สำหรับสาระสำคัญในข้อตกลงนี้ ครอบคลุมการดำเนินนโยบาย ทั้งการสร้างรัฐทันสมัย การเปลี่ยนแปลงสู่ยุครัฐบาลดิจิทัล มาตรการป้องกันและลดโลกร้อน การส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรมการลงทุนและธุรกิจ  การพัฒนาที่อยู่อาศัย การสร้างงาน รัฐสวัสดิการ กระบวนการยุติธรรม และนโยบายต่างประเทศและสหภาพยุโรป

ส่วนที่ ‘สหราชอาณาจักร’ ถ้าย้อนไปดูบรรยากาศหลังการเลือกตั้งในปี 2010 ปรากฏว่าไม่มีพรรคการเมืองได้ครองเสียงเบ็ดเสร็จในสภาฯ โดยพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่นำโดย ‘เดวิด คาเมรอน’ ได้เสียงมากที่สุด ได้ตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคลิเบอรัลเดโมแครต และนำมาสู่การทำ ‘ข้อตกลง’ ร่วมกัน ที่ครอบคลุมวาระสำคัญ เช่น การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ นโยบายและความรับผิดชอบที่จะผลักดันให้เกิดขึ้น โดยมีการประเมินและทบทวนความคืบหน้าของข้อตกลงและเผยแพร่เป็นเอกสารชี้แจงสู่สาธารณะในช่วงครึ่งเทอม เพื่อประเมินการทำงานร่วมกันรวมถึงพิจารณาความร่วมมือกันในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คล้อยหลังมา 5 ปี หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2015 ‘เทเรซา เมย์’ ไม่สามารถพาพรรคคอนเซเวทีฟ ที่ได้ 318 ที่นั่ง แต่ยังไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ จึงตัดสินใจใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์ในการเจรจาจับมือพรรคลำดับ 5 อย่าง สหภาพประชาธิปไตยหรือดียูพี ที่มีจำนวน ส.ส. 10 คน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยที่พรรคดียูพีจะไม่ร่วมรัฐบาล โดยมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกัน 

สาระสำคัญคือ พรรคดียูพีจะโหวตสนับสนุนพรรคคอนเซเวทีฟในวาระสำคัญ เช่น การผ่านร่างงบประมาณและการลงมติไว้วางใจ รวมถึงสนับสนุนการออกกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับเบร็กซิท ความมั่นคง และอื่นๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคคอนเซอเวทีฟต้องให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนโครงการและนโยบายของพรรคดียูพี เช่น การเพิ่มงบประมาณ 1 พันล้านปอนด์ให้กับไอร์แลนด์เหนือ ฐานที่มั่นของพรรคดียูพี เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข และการศึกษา ในช่วง 2 ปี 

หรือลองแวะมาดูในพื้นที่ใกล้ตัว อย่าง ‘มาเลเซีย’ ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ที่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 15 ปรากฎว่าไม่มีพรรคใดชนะขาดการเลือกตั้งและมีเสียงข้างมากในสภาฯ แต่ในที่สุด ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม และสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว

ซึ่งต่อมา ในเดือนธันวาคม มีการลงนามในเอ็มโอยู เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสม โดยพรรคแนวร่วมได้ลงนามยืนยันว่าจะสนับสนุน ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ผ่านการออกเสียงให้รัฐบาลหรืองดเว้นการออกเสียงเมื่อมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ รวมทั้งให้การสนับสนุนรัฐบาล อย่างเช่น การผ่านงบประมาณรายจ่าย

ย้อนกลับมาที่บ้านเรา สูตรจัดตั้งรัฐบาลผสม ที่มี ‘ก้าวไกล’ เป็นแกน จับมือกันถึง 8 พรรค จำนวน 313 เสียง เพิ่งผ่านเวลามาเพียงสัปดาห์เศษเท่านั้น ขณะเดียวกันการจัดทำ ‘เอ็มโอยู’ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องใหม่ และไม่ง่าย 

แต่ถ้าการทำข้อตกลง เอ็มโอยู ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้น ในการยกระดับ การ ‘เจรจา’ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเปิดทางนำไปสู่การทำงานด้านนโยบายร่วมกันเพื่อประชาชน ก็จะเป็นการเริ่ม ‘เปลี่ยน’ หากจุดสมดุล และเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการเมืองไทยนับจากนี้ ที่จะทำให้การบริหารบ้านเมือง เป็นไปตามที่เคยสัญญาและให้คำมั่นกับประชาชนเอาไว้ แทนที่จะเป็นไปเพื่อการรักษาผลประโยชน์ และตำแหน่งแห่งที่ของนักการเมือง เป็นประชาธิปไตยของประชาชนเพียงแค่สี่นาที อย่างที่เคยฝังรากอยู่ในบ้านเรามานาน

พิษณุโลก ตำรวจภูธรภาค 6 แถลงข่าวการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ (ป้ายภาษีรถยนต์)

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เวลา 14.00 น .พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ. 6 ได้สั่งการชุด ศปจร.ภ.6 นำโดย พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.6  พล.ต.ต.เสถียร บุญ รอง ผบช.ภ.6 พล.ต.ต.สารนัย คงเมือง ผบก.สส.ภ.6 พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน รอง ผบก.สส.ภ.6 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.สส.ภ.6 ให้ทำการสืบสวนขยายผลกลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ (ป้ายภาษีรถยนต์) มาปฏิบัติจนเกิดเป็นรูปธรรม โดยได้บูรณาการกำลังทุกหน่วย ในส่วน ภ.5 ร่วมปฏิบัติการ

ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในพื้นที่รับผิดชอบของ ภ.6 สามารถจับกุมยึดทรัพย์ได้ จำนวน 34 คัน ซึ่งบางส่วนได้ส่งคืนให้กับผู้ถือกรรมสิทธิ์บางส่วนเรียบร้อยแล้ว รวมมูลค่าความเสียหายต่อรัฐและบริษัทไฟแนนซ์เป็นจำนวนเงินมากกว่า 30 ล้านบาท

เนื่องจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 6 ขยายผลการสืบสวน
จับกุมจาก กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ได้ดำเนินการจับกุม นายณัฐฉัตร รัตนน้อย อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 1 ต.บางซ้าย อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ทำการรับทำป้ายทะเบียนรถ รับสวมทะเบียนรถ รับจัดทำแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถ ต่อภาษีรถหลุดจำนำ รับทำใบขับขี่ บัตรประชาชน เช็คทะเบียนราษฎร์ เช็คหมายจับ ดึงสำเนาหน้าเล่มรถ สำเนาบัตรประชาชน

โดยระบุว่าใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เมื่อทำเสร็จจะส่งภาพรีวิวให้ดู จากนั้นจึงจะทำการจัดส่งพัสดุผ่านทางบริการไปรษณีย์ไทยให้แก่ลูกค้า จากนั้นได้ขยายผลทราบว่ามีบุคคลในพื้นที่ ภ.6 ได้ดำเนินการสั่งซื้อรายการดังกล่าวข้างต้น เป็นจำนวนมาก

เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 6 ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่อง
ระวังป้องกันการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน 191 
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top