Friday, 9 June 2023
NEWS FEED

น.ศ. ‘หลักสูตรนักบริหารการงบประมาณระดับสูง’ ลงพื้นที่เก็บข้อมูล เพื่อหาแนวทาง จัดการกับภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

วันที่ 4-5 มิถุนายน 2566 นักศึกษา "หลักสูตรนักบริหารการงบประมาณระดับสูง (นงส.) รุ่นที่ 10 กลุ่มไข่มุก" ลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัย เรื่อง "แนวทางการบริหารงบประมาณด้านภัยพิบัติแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน" กรณีศึกษาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสระบุรี และจังหวัดชุมพร

ในการนี้ นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัด (พี่ดวง กลุ่มบุษราคัม) ให้การต้อนรับ และให้ข้อมูลภาพรวมการดำเนินการของจังหวัด

กลุ่มไข่มุก นำโดยนายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ได้ร่วมสัมภาษณ์ หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจน ผู้บริหาร สมาชิก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ภาคเอกชน สถานศึกษา และประชาชน ในพื่นที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม รวมถึงปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ ซึ่งได้รับความร่วมมือในการสะท้อนปัญหาและให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาพื้นที่เป็นอย่างดียิ่ง

เขตพื้นที่อำเภอท่าแซะ โดยเฉพาะตำบลนากระตาม เป็นพื้นที่ลุ่ม ได้รับผลกระทบอุทกภัยน้ำท่วมมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รับน้ำจากคลองท่าแซะและคลองรับล่อ ซึ่งเกิดน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี ได้รับความเสียหายและผลกระทบมากหรือน้อย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในแต่ละปีมีปริมาณน้ำฝนมากหรือน้อย 

จากการสัมภาษณ์พบว่า แนวทางการป้องกันเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ประชาชนเสนอขุดลอกคลองเพื่อช่วยระบายน้ำ ลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนรวมถึงพืชผลทางการเกษตร การดำเนินการแก้ปัญหาจะเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการงบประมาณของภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

นอกจากผลกระทบจากอุทกภัยแล้ว เมื่อน้ำได้ไหลลงสู่ทะเลแล้ว แม่น้ำ ลำคลอง ก็จะแห้ง เนื่องจากไม่มีเขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำ หรือฝายชะลอน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภค และใช้เพื่อการเกษตรหลังฤดูฝน "เกษตรกรสวนทุเรียน ต้องจ้างรถขนน้ำไปรดต้นทุเรียนในช่วงหน้าแล้ง" เกษตรกรกล่าว 

ปัญหาเรื่องน้ำ ต้องมีการบริหารจัดการร่วมกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน เกษตรกร อาทิ สทนช. กรมชลประทาน จังหวัด อบจ. อบต. พื้นที่ส่วนใหญ่ในท่าแซะเป็นพื้นที่ป่า ต้องมีการบูรณาการในพื้นที่อย่างจริงจัง และสร้างการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน
"น้ำมามาก ก็ท่วม น้ำลงทะเลหมด ก็แล้ง" ผู้นำท้องถิ่นกล่าว
 
ดังนั้น หากจะก่อนสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝายกั้นน้ำ จะอยู่ในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกร แนวทางเบื้องต้นที่ได้จากพื้นที่อาจต้องมีการบริหารงบประมาณแบบกระจายลงสู่เชิงพื้นที่ การปรับแก้กฎหมาย ให้อำนาจจังหวัด หรือท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งผลจะสรุปอย่างไร ทางกลุ่มจะสรุปและนำเสนอต่อสำนักงบประมาณ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารงบประมาณด้านภัยพิบัติแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ต่อไป

ลิซ่า BLACKPINK ใส่ผ้าซิ่นเที่ยวอยุธยาสวยสง่างามอย่างไทย

โดยหลังจาก ลิซ่า ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK บินลัดฟ้ามาทำงานที่เมืองไทย ก็ได้มีโอกาสอยู่เที่ยว พักผ่อนกับครอบครัว และได้แวะเที่ยวจังหวัดอยุธยา

โดยเก็บภาพถ่าย บรรยากาศการเที่ยว อัพเดทลงสื่อ โซเชียล โดยระบุแคปชั่นว่า 'Ayutthaya ' เป็นที่ประทับใจ ของประชาชนชาวไทย ต่างแฟนคลับ หรือพ่อแม่พี่น้อง ชาวเน็ต ต่างรีบจัดหาผ้าซิ่นใส่ไปเที่ยวอยุธยากันตาม ‘ลิซ่า’  

เชื่อว่าวัดดัง จ.อยุธยา จะกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่แฟน ๆ ตามไปปักหมุดเช็คอิน แถมผ้าแซิ่นสวยๆ ก็จะ Sold out กระตุ้นเศรษฐกิจให้กับพ่อค้าแม่ค้าอย่างแน่นอน

ผบช.ภ.5 สั่งจับชาวจีนพร้อมแก๊งหลอกทำบุญออนไลน์ กลางเมืองเชียงราย

ตามนโยบายของ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในเรื่องการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 ได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ

โดยเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาได้รวม 12 คน ซึ่งกระทำความผิดหลอกลวงผู้อื่นทางอินเตอร์เน็ตได้ที่อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย 

สำหรับการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 ได้สั่งการให้ บก.สส.ภ.5 ทำการสืบสวนเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ภ.5 ต่อมา บก.สส.ภ.5 ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มคนมีพฤติกรรมรับสมัครพนักงานทำงานในลักษณะหลอกลวงเอาทรัพย์สินของผู้อื่น โดยใช้อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงรายเป็นสถานที่ทำงาน 

ต่อมาวันที่ 3 มิ.ย.66  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดเชียงรายเพื่อเข้าตรวจค้นที่อาคารหลังดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบ  คนไทย จำนวน 8 คน ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์และมีหน้าที่ทำเฟซบุ๊กปลอมแชทกับเหยื่อ คนไทย จำนวน 1 คน เป็นผู้จัดการ/ล่าม และ คนจีน จำนวน 1 คน เป็นนายจ้างคอยสั่งการและตรวจสอบไม่มีเอกสารหนังสือเดินทาง จึงได้ทำการตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และจับกุมผู้กระทำความผิดนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีรูปแบบในการกระทำความผิด คือ คนจีนจะให้พนักงานคนไทย สมัครเฟซบุ๊กปลอม ให้มีโปรไฟล์ดี หน้าตาดี และทำกลุ่มในโปรแกรมเฟซบุ๊กชื่อ ทำบุญออนไลน์ และเพจทัวร์บุญ พนักงานคนไทยจะใช้โปรไฟล์ปลอมเข้าไปคุย ไปกดไลด์ในกลุ่มดังกล่าว เพื่อเป็นการล่อเหยื่อคือบุคคลทั่วไปที่เข้ามาเกิดความเชื่อถือ และพูดคุยกับเหยื่อในแนวทางชู้สาวจนสนิทใจกันแล้ว จะหลอกเหยื่อที่เข้ามาคุย ให้โอนเงินทำบุญตามสถานที่ต่างๆ และให้ดาวโหลดแอพพลิเคชั่น APP.SHAOXIANG.CFD ซึ่งมีการเอาภาพสถานที่ศักดิ์สิทธิต่างๆในจังหวัดเชียงรายเอามาใส่ในแอพพลิเคชั่น เพื่อหลอกให้คนทำบุญออนไลน์ด้วย และจากนั้น จะหลอกคุยกับเหยื่อเรื่อยๆ เพื่อหลอกให้โอนเงินเข้าแอพพลิเคชั่น โดยผ่านบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ซึ่งจะมีคนจีนคอยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมดูแลหลังบ้านของแอพพลิเคชั่นดังกล่าว 
         
สำหรับความผิดของผู้ต้องหากลุ่มนี้ เป็นความผิดฐาน ซ่องโจร,ฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนคนจีนที่เป็นนายจ้างไม่มีหลักฐานการเดินทางเข้าประเทศไทยนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากพบว่าได้เข้าประเทศมาโดยผิดกฎหมายจะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมและนำส่ง ตม.เพื่อผลักดันตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการขยายผลการจับกุมสู่ผู้รับจ้างเปิดบัญชีม้า ซิมโทรศัพท์ม้า ผู้ให้การช่วยเหลือ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และผู้สั่งการต่อไป

‘นพวรรณ’ เตือนระวังมิจฉาชีพ โทรเข้ามา ป้องกันโดนหลอก โอนเงินหรือล้วงข้อมูล

วันนี้(4 มิ.ย.2566)  น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น อดีตโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ฝ่ายการเมือง) ออกมาโพสต์เตือนมิจฉาชีพโทรหลอกลวง  โดยระบุว่า  ถ้าใครยังคงมีเบอร์แปลกๆที่ไม่รู้จัก หรือเบอร์โทรที่มีเครื่องหมายบวก (+) นำหน้าตามด้วยรหัสต่างประเทศโทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือ  ให้ต้องสงสัยว่าอาจเป็นมิจฉาชีพโทรเข้ามาหลอกลวง เพื่อล้วงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลธนาคารทางการเงิน  โดยมักจะอ้างว่ามีการโอนเงินผิด, มีพัสดุตกค้าง หรือพัสดุผิดกฎหมาย, อ้างว่าเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัล ฯลฯ ควรห้ามรับสายจะช่วยป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวงได้  โดยเราสามารถตรวจสอบเบอร์มิจฉาชีพ ดังนี้

1. นำเบอร์โทรศัพท์ หรือเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาไปเช็กใน Google เพื่อตรวจสอบประวัติเบอร์ผู้ใช้
2. พิมพ์หมายเลขค้นหาใน Facebook หากเบอร์โทรนั้นเคยผูกกับบัญชีเฟซบุ๊ก คุณก็มีสิทธิ์จะพบเบอร์โทรดังกล่าว
3. เช็คเบอร์มิจฉาชีพ ค้นหาผ่านช่องทาง Line โดยกดช่อง “เพิ่มเพื่อน” จากนั้นเลือก “หมายเลขโทรศัพท์” ถ้าเบอร์โทรนั้นผูกกับไลน์ ก็มีสิทธิ์จะพบเบอร์โทรดังกล่าว
4. เช็คเบอร์มิจฉาชีพ แอปพลิเคชัน WHOSCALL เพื่อช่วยระบุตัวตนผู้โทรเข้าที่ไม่รู้จัก  ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ เบอร์โทรแปลก ๆ ที่โทรเข้ามา โดยแอปจะแจ้งเตือนที่หน้าจอว่าเบอร์ที่โทรเข้ามานั้นเป็นเบอร์ของใคร
5. เช็กเบอร์มิจฉาชีพ โดยเช็คผ่านทางเว็บไซต์
www.blacklistseller.com โดยผู้เสียหายที่เคยโดนหลอกลวงต่างๆจะโพสต์แจ้งข้อมูลเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นๆหลงกลมิจฉาชีพเหล่านี้

‘ลุงตู่’ ปลื้ม จุฬาฯ-มหิดล-มช.-มข.  ขึ้นท็อป 100 ด้านความยั่งยืนปี 2566

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ Times Higher Education (THE) ผู้จัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดโลกที่เป็นที่ยอมรับแห่งหนึ่ง ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) หรือ THE Impact Rankings ประจำปี 2566

โดยมีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 1,591 แห่ง จาก 112 ประเทศ และสถาบันอุดมศึกษาไทยเข้ารับการจัดอันดับทั้งสิ้น 65 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2022 ที่มีจำนวน 52 แห่ง โดยสถาบันอุดมศึกษาไทยในปีนี้ที่ติดอันดับ Top 100 แบบคะแนนรวม มีจำนวน 4 สถาบัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ติดอันดับ Top 100 มีจำนวน 2 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอันดับที่ 17 มหาวิทยาลัยมหิดล ติดอันดับที่ 38 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ติดอันดับที่ 74 และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ติดอันดับที่ 97 นอกจากนี้ ยังมีสถาบันอุดมศึกษาของไทย ที่ได้รับการจัดอันดับ Top 10 ของโลกในด้านต่าง ๆ อีก 6 ประเด็น ดังนี้ 

มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 3 ใน SDG3 เรื่องสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย รวมทั้งอันดับ 5 ใน SDG7 เรื่องสร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยาว์ และยังได้อันดับ 5 ใน SDG17 เรื่องเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้อันดับที่ 4 ใน SDG1 เรื่องขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 7 ใน SDG5 เรื่องบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมอำนาจให้แก่สตรีและเด็กหญิง และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้อันดับที่ 9 ใน SDG2 เรื่องยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

“นายกฯ ยินดีและชื่นชมสถาบันอุดมศึกษาของไทย ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้ชาติใด ทุกสถาบันต่างมีความแตกต่างและความเป็นเลิศที่เฉพาะตัว โดยเฉพาะการมุ่งสู่ความยั่งยืนในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของไทยมีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล ทั้งนี้ ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาที่มีพื้นฐานที่ดี ในการทำงานที่ตอบโจทย์ของประเทศรวมทั้งความยั่งยืนที่กำหนดโดยสหประชาชาติ ซึ่งรัฐบาล และ อว. พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาไทยก้าวสู่ความสำเร็จและเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนต่อไป” นายอนุชา กล่าว

“อลงกรณ์”หวังประเทศเดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย วอนหยุดปลุกระดมสร้างความเกลียดชังหวั่นซ้ำรอย 6 ตุลาฯ.19

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟสบุ๊ควันนี้เรื่อง “ สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracy “อย่างน่าสนใจโดยมีใจความดังนี้

“สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracy” ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองการปกครองที่เรียบง่ายและมีสปิริต ประชาชนเลือกตั้งเสร็จ ใครชนะก็เป็นรัฐบาล ใครแพ้ก็เป็นฝ่ายค้าน

พรรคก้าวไกลชนะได้เสียงอันดับ1มีสิทธิ์และความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลโดยต้องรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยอันดับ2และพรรคภูมิใจไทยอันดับ3ในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ผมหวังว่าวุฒิสมาชิกจะสนับสนุนแนวทางนี้ของสภาผู้แทนราษฎรในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้มีนายกรัฐมนตรีแล้วก็ให้ทำงาน 4 ปี  ฝ่ายค้านทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาล 
แต่ละฝ่ายมีโอกาสทำงานเท่ากันในการพิสูจน์ผลงานแล้วตัดสินด้วยคะแนนเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาธิปไตยต้องมีสปิริต รู้แพ้รู้ชนะเหมือนแข่งกีฬา 

ถ้าเราไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง แล้วเราจะให้ประชาชนมาออกเสียงลงคะแนนทำไม การยอมรับผลการเลือกตั้งเป็นหลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ที่น่าวิตกคือมีการปล่อยข่าวเฟคนิวส์ข่าวดีลลับข่าวฐานทัพอเมริกัน ข่าวอเมริกาหนุนหลัง ข่าวรัฐบาลแห่งชาติ ข่าวเลือกตั้งโมฆะมีคลิปปลุกระดมสร้างความเกลียดชังมุ่งดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามออกมาถี่ยิบทั้งในสื่อหลักสื่อโซเชียล เหมือนการปลุกผีคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์6ตุลา2519   

ข่าวสารเหล่านี้สร้างความความแตกแยกในบ้านเมือง ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยประชาธิปไตยไม่ได้สร้างด้วยความเกลียดชังแต่สร้างด้วยการเคารพในความเห็นต่างอย่างมีเหตุผลด้วยสันติวิธีและขันติธรรม การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลหนึ่งสู่อีกรัฐบาลหนึ่งควรเป็นไปโดยราบรื่นและรวดเร็วประเทศกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่าซ้ำเติมด้วยวิกฤติการเมือง หนทางเดียวคือช่วยกันทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้าตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยครับ

เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้โพสต์ข้อความแจ้งเกี่ยวกับ การปิดเส้นทางการจราจรงาน Pride Parade 2023

เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้โพสต์ข้อความแจ้งเกี่ยวกับ การปิดเส้นทางการจราจรงาน Pride Parade 2023 โดยมีใจความว่า ...

กทม.แจ้งปิดการจราจรบางเส้นทางวันนี้ งาน Pride Parade 2023 
เนื่องด้วยกิจกรรม Pride Parade 2023 จะมีการปิดการจราจร ถนนพระรามที่ 1 ขาออก ‘ฝั่งโลตัสพระรามที่ 1 ถึงเซ็นทรัลเวิลด์’ ในวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายนนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00-18.00 น. (หรือจนกว่าขบวนพาเหรดจะแล้วเสร็จ)

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ Bangkok Pride เริ่มต้นเฉลิมฉลองเทศกาลเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลายทางเพศ ด้วยขบวน #PrideParade2023 ซึ่งจะมีการเคลื่อนขบวนจากหอศิลปกรุงเทพฯ ผ่านศูนย์การค้าสยาม (สยามดิสคัฟเวอรี สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน) และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยจะมีการปิดการจราจรถนนพระรามที่ 1 เฉพาะฝั่งขาออก และปิดการจราจรแยกปทุมวันช่วงละ 10 นาที เพื่อสลับให้ขบวนพาเหรดเดินผ่าน ทั้งนี้ถนนพระรามที่ 1 ฝั่งขาเข้า หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สยามสแควร์วัน มุ่งหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ยังสัญจรได้ตามปกติ
กรุงเทพมหานคร จึงแนะนำให้ผู้ที่จะสัญจรผ่านในวันและบริเวณดังกล่าวโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง และรณรงค์ให้ผู้ที่จะเดินทางมาร่วมงานรวมถึงบริเวณโดยรอบใช้ขนส่งสาธารณะ ซึ่งสามารถใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ หรือ สถานีสยาม หรือรถประจำทางอีก 27 สาย ที่ยังคงให้บริการตามปกติ  

ส่วนประชาชนที่ใช้บริการป้ายหน้าเทคโนฯ ปทุมวัน, หอศิลปฯ, สยามเซ็นเตอร์ และ วัดปทุมฯ กรุงเทพมหานครได้ส่งแผนหลีกเลี่ยงเส้นทาง (ตามรูป) ไปยังผู้เดินรถสาย 15 16 25 40 47 48 54 73 79 204 501 508 และ 1-63 เพื่อให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้บริการได้ที่ป้ายใกล้เคียงจุดเดิมมากที่สุด  
ทั้งนี้ ระยะเวลาและเส้นทางการจราจรอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมของสถานการณ์  

4 มิถุนายน พ.ศ. 2490  วันสถาปนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานระดับคณะวิชาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 โดยสังกัดอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จนกระทั่งถูกโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2510 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ถือกำเนิดจากพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 

การดำเนินการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้เริ่มขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเพียงแปดเดือนเท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทย ประสบความยากลำบากทางการเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งจำเป็นต้องมีการบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายจากการทิ้งระเบิด คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการสาธารณสุขของประเทศ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานแพทยศาสตรศึกษา 

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก 3 สาขา ได้แก่ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

‘รถไฟฟ้าสายสีเหลือง’ รถไฟฟ้าโมโนเรลสายแรกของไทย ลดต้นทุนด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ เปิดให้บริการฟรี 1 เดือน!!

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ ในหัวข้อ “ว้าววว...รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โมโนเรลสายแรกของไทย” ระบุว่า…

น่าดีใจที่วันนี้ (3 มิ.ย. 66) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดให้ประชาชนทดลองใช้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองฟรีเป็นเวลา 1 เดือน หลายคนสงสัยว่าทำไมรถไฟฟ้าสายสีเหลืองต้องเป็นโมโนเรล ?

1.) ทำไมต้องเป็นโมโนเรล ?
โมโนเรล (Monorail) คือรถไฟฟ้า แต่เป็นรถไฟฟ้าที่วิ่งคร่อมรางโดยใช้รางเดี่ยว หรืออาจจะแขวนห้อยอยู่ใต้รางก็ได้ แต่ที่นิยมใช้กันมากก็คือ แบบคร่อมราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้กำหนดว่า โครงข่ายรถไฟฟ้าเส้นทางใด ควรใช้รถไฟฟ้าประเภทไหน โดยพิจารณาจากการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร หากเส้นทางใดคาดว่าจะมีผู้โดยสารมาก สนข. ก็จะใช้รถไฟฟ้าขนาดหนัก ซึ่งมีความจุมากกว่า ดังเช่น รถไฟฟ้า BTS หรือ รถไฟฟ้า MRT เป็นต้น

สำหรับสายสีเหลือง สนข. คาดว่าจะมีผู้โดยสารไม่มากจึงเลือกใช้โมโนเรล ซึ่งมีความจุน้อยกว่า หากเลือกใช้รถไฟฟ้าขนาดหนักก็จะเป็นการลงทุนเกินความจำเป็น สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โดยทั่วไปวงเงินลงทุนโมโนเรลจะถูกกว่ารถไฟฟ้าขนาดหนักประมาณ 40%

2.) ถึงวันนี้รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ มีกี่ประเภท?
มี 3 ประเภท ได้แก่

(1) รถไฟฟ้าขนาดหนัก มี 5 สาย ประกอบด้วย สายสีเขียว สีน้ำเงิน แอร์พอร์ตลิงก์ สีม่วง และสีแดง

(2) รถไฟฟ้า APM (Automated People Mover) มี 1 สาย คือ สายสีทอง APM เป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับ ใช้ล้อยางวิ่งบนพื้นคอนกรีตโดยมีรางเหล็กวางอยู่ตรงกลางระหว่างล้อซ้ายขวาเพื่อช่วยนำทาง เลี้ยววงแคบและไต่ทางลาดชันได้ดี กินพื้นที่น้อยเนื่องจากใช้โครงสร้างขนาดเล็ก APM เป็นที่นิยมใช้ในพื้นที่ที่มีผู้โดยสารไม่มาก โดยเฉพาะในสนามบินเพื่อขนผู้โดยสารเครื่องบินไปมาระหว่างเทอร์มินัลกับเทอร์มินัล หรือระหว่างเทอร์มินัลกับอาคารเทียบเครื่องบินรอง (อาคารรอขึ้นเครื่องบิน) ดังเช่นที่ใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขนผู้โดยสารเครื่องบินระหว่างเทอร์มินัล 1 กับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1

(3) โมโนเรล มี 2 สาย ประกอบด้วยสายสีเหลือง และสายสีชมพู (ยังไม่เปิดให้บริการ) เป็นรถไฟฟ้าไม่ใช้คนขับเช่นเดียวกับ APM ใช้ล้อยางวิ่งบนรางคอนกรีต (หรือรางเหล็ก) เพียงรางเดียว เลี้ยววงแคบและไต่ทางลาดชันได้ดี กินพื้นที่น้อยเนื่องจากใช้โครงสร้างขนาดเล็ก โมโนเรลเป็นที่นิยมใช้ในพื้นที่ที่มีผู้โดยสารไม่มากเช่นเดียวกัน แต่มักนิยมใช้ขนผู้โดยสารไปป้อนให้กับรถไฟฟ้าขนาดหนักที่สามารถขนผู้โดยสารได้มากกว่า พูดได้ว่าใช้โมโนเรลสำหรับรถไฟฟ้าสายรองเพื่อขนผู้โดยสารไปป้อนให้รถไฟฟ้าสายหลัก ดังเช่นรถไฟฟ้าสายสีเหลืองซึ่งเป็นโมโนเรลที่ขนผู้โดยสารริมถนนลาดพร้าวไปป้อนให้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT) ที่สถานีลาดพร้าว

3.) ใครเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง?
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ร่วมกับพันธมิตรเป็นผู้ชนะการประมูล โดยชนะ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนื่องจาก BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิจาก รฟม. (เงินสนับสนุนจาก รฟม. ลบด้วย เงินตอบแทนให้ รฟม.) โดย BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 22,087.06 ล้านบาท ในขณะที่ BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 157,721.81 ล้านบาท หรือ BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิจาก รฟม. ต่ำกว่า BEM มากถึง 135,634.75 ล้านบาท BTSC จึงคว้าชัยชนะไป โดย BTSC ได้รับสิทธิ์ในการบริหารจัดการเดินรถเป็นเวลา 30 ปี

4.) ถ้าโมโนเรลเสีย ผู้โดยสารต้องทำอย่างไร?
ในกรณีฉุกเฉิน ผู้โดยสารจะต้องลงจากโมโนเรลไปที่ทางเดินระหว่างรางทั้งสอง (รางขาไปและขากลับ) ทางเดินเป็นตะแกรงเหล็กกัลวาไนซ์เพื่อให้ผู้โดยสารเดินไปสู่สถานีที่ใกล้ที่สุด ความสูงจากพื้นโมโนเรลถึงทางเดินเกือบ 2 เมตร ดังนั้น จะต้องลงทางบันไดที่พาดจากประตูโมโนเรลไปที่ทางเดิน บันไดดังกล่าวจะถูกเก็บไว้บนรถและบนทางเดินตลอดทาง ส่วนผู้โดยสารที่ใช้วีลแชร์จะต้องช่วยกันอุ้มลงมาที่ทางเดินแล้วเข็นไปที่สถานี

5.) สรุปและข้อเสนอแนะ
(1) โมโนเรลไม่ใช้คนขับ แต่ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาด หรือข้อบกพร่องที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ (Human Error) ได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูง แต่การไม่ใช้คนขับทำให้ต้องลงทุนงานระบบควบคุมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวจะช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายในการประกอบการเดินรถถูกลง

(2) โมโนเรลใช้ล้อยาง ไม่ใช่ล้อเหล็ก เพื่อลดเสียงดังและการสั่นสะเทือนที่สร้างความรำคาญต่อผู้อยู่อาศัยริมทาง มีความนุ่มนวลในการขับขี่ดีกว่า และช่วยให้สามารถเร่งความเร็วหรือเบรกได้อย่างรวดเร็วในระยะทางสั้นๆ ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าสามารถวิ่งต่อเนื่องใกล้ๆ กันได้

(3) เพื่ออำนวยความสะดวก ประหยัดเวลา และลดค่าเดินทางให้ผู้โดยสาร รฟม. ควรพิจารณาต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากสถานีลาดพร้าว บริเวณทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว วิ่งบนถนนรัชดาภิเษกไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีรัชโยธิน ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวได้แบบไร้รอยต่อ เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วขึ้น

‘รศ.อัศวิณีย์’ หวั่น สถานศึกษากลายเป็นที่บ่มเพาะความแตกแยก สอนเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยวิธีเผด็จการ อ้างสิทธิเพื่อละเมิดผู้อื่น

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย 66 รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ภาควิชาศิลปะไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Asawinee Wanjing’ ถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับสถานศึกษา ก่อนจะกลายเป็นแหล่งบ่มเพราะเผด็จการในคราบนักประชาธิปไตย สร้างความแตกแยกให้ประเทศชาติบ้านเมือง โดยระบุว่า…

“วันใดที่การศึกษา เป็นเพียงสถานสร้างวิชา ละเลยคุณธรรม บ่มเพาะความก้าวร้าว พัฒนาการต่อต้าน สร้างความแตกแยก ชี้นำคำลวง ให้โกหกกลายเป็นถูก สอนเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยวิธีเผด็จการ สนับสนุนใช้อำนาจกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ให้สิทธิเสรีภาพในการละเมิดผู้อื่น ใครใคร่ละเลยปล่อยเยาวชนตกเป็นเครื่องมือ บำเรอความใคร่อุดมการณ์ จินตนาตนเป็นนักสู้ ผู้สอนแอบหลังเด็กบังหน้า อ้างวิชาการ ไปปะทะและทำลาย ใครหมดความหมายย้ายคนใหม่ ทนอยู่ได้ อยู่รักษาตัวให้รอดเป็นยอดดี

ผู้บริหารปิดตา ไม่มอง ไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน เพื่อไม่เดือดร้อน เพราะภาระงานมาก เร่งทำ Ranking หารายได้บริหารงบ ปล่อยแกนนำนักศึกษาจะนำไหนก็นำไป ขอให้จ่ายครบจบส่งออก คืนปัญหาสู่สังคม ไปกัดเซาะโครงสร้าง สถาบันแตกร้าว สุดท้ายพุพองในบ้าน ให้ครอบครัวคอยเยียวยา เมื่อนั้นคือ ความอัปยศทางการศึกษา เข้าสู่กลียุคอย่างแท้จริง

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะให้ความสำคัญกับสถานศึกษา ก่อนจะกลายเป็นแหล่งบ่มเพราะสร้างปัญหา การละเลยเห็นประกายไฟเป็นเรื่องเล็กน้อยปล่อยให้ลุกลาม สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรเลย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top