Saturday, 15 March 2025
NEWS FEED

‘เฉลิมพร’ ชี้ รัฐบาลบริหารงานแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ถามเปิดบ่อนคาสิโน หวังอะไร? นักพนันไทย หรือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ

(4 มี.ค.68) นายเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Chalermporn Tantikarnjanarkul' ว่า ผมไม่เข้าใจว่าผู้บริหารประเทศเข้าใจในเรื่องที่ทำแค่ไหน เพราะแต่ละเรื่องดูสับสนและนั่งเถียงกันผิดจุดไปหมด

อย่างเรื่องคาสิโน ถ้าจะมีมุมให้ทำคาสิโนในไทยอย่างสมเหตุสมผล คนไทยส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วย ไม่ต้องเสียเวลาเถียง คือเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อทลายกำแพง 40 ล้านคน ที่น่าจะเป็นกรอบบนของศักยภาพการท่องเที่ยวไทย ณ ตอนนี้ให้ได้ 

ซึ่งถ้ามีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กที่มีคุณภาพ เราอาจขยับเพดานนักท่องเที่ยวไปได้ถึง 50 ล้านคน สร้างเงินเข้าประเทศได้ไม่น้อย

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้มาเถียงกันว่า คนไทยต้องมีเงินเท่าไร ต้องมีเงื่อนไขไหน คนไทยถึงเข้าไปเล่นได้ เพราะคนไทยไม่ใช่เป้าหมายเลย โดยส่วนตัวคิดว่าคนไทยไม่ต้องเข้าไปเล่นเลยน่าจะดีที่สุด พาสปอร์ตต่างชาติล้วน ๆ ถึงเข้าไปได้ หรือไม่ก็ตั้งเงื่อนไขว่ามีทรัพย์สิน 50 ล้านขึ้นไป ก็พอรับฟังได้ แต่พอท่านพยายามปรับเงื่อนไขให้คนไทยเข้าไปเล่นได้ง่ายขึ้น ก็แปลว่าท่านหวังพึ่งดีมานด์จากนักพนันไทยอยู่พอสมควร

สรุปแล้ว ท่านต้องการอะไรกันแน่? ทำไมทุกอย่างดูมั่วไปหมดแบบนี้?

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืน ‘Nailname’ ปมใช้ข้อมูลเท็จใส่ร้าย แถมฟ้องหมิ่นแก้เกี้ยว แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยฟ้อง Nailname ปมใช้ข้อมูลเท็จปั้นน้ำเป็นตัวประเด็น "สนธิ VS ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง"

(4 มี.ค. 68) จากกรณีนางสาวรติศา วิเชียรพิทยา ยูทูบเบอร์สาวที่ใช้ชื่อว่า Nailname ที่เคยออกออกมาไลฟ์สดโดยมีหัวข้อว่า “สนธิ vs ทักษิณ ตํานานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงินจุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง” กระทั่งถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฟ้องหมิ่นประมาท และทางยูทูบเบอร์สาว ก็ได้ฟ้องหมิ่นประมาทนายสนธิด้วยเช่นเดียวกัน

ล่าสุด นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่คุณเนลเนม ได้ออกมาไลฟ์สด ด้วยการเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ มาบอกว่าสาเหตุที่ตนทะเลาะกับทักษิณ ชินวัตรเพราะว่าไปยืมเงินไม่ได้ จากนั้นก็ออกมาฟาดฟันทักษิณ พูดง่าย ๆ ก็คือ พูดง่าย ๆ ที่ตนออกมาประท้วงทักษิณนั้น เป็น เพราะว่าไปยืมเงินทักษิณแล้วทักษิณไม่ให้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนั้น ตนจึงฟ้องหมิ่นประมาท และจากการไต่สวนสวนมูลฟ้องแล้ว ในที่สุดศาลอาญาบอกมีมูล 

“ตอนที่เธอถูกฟ้องอยู่นั้น ทนายผมบอกว่า เธอติดต่อมาว่า จะขอไกล่เกลี่ย ขอขมาลาโทษแล้วเธอก็ไม่ติดต่อไปอีกเลย ที่เธอไม่ติดต่อมาอีก คือเธอก็สวมวิญญาณของคุณเดชา (ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์) โดยไปฟ้องผมที่ศาลนนทบุรีว่า ระหว่างที่ผมพูดถึงเรื่องเธอนั้น ได้หมิ่นประมาทเธอหลายเรื่อง ผมก็สู้ด้วยการเข้าไปชี้แจง จนกระทั่งในที่สุดแล้วศาลนนทบุรี ก็มีคําสั่งออกมา ว่ายกฟ้อง เพราะศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า สิ่งที่คุณเนลเนมยกมานั้น ไม่มีมูล”

ทั้งนี้ สุดท้ายแล้วปรากฏว่า ข้ออ้างข้อกล่าวหา ที่เนลเนม บอกว่าตนไปหมิ่นประมาทเธอ อย่างเช่นคําว่า “เด็กเมื่อวานซืน” เธอฟ้องด้วยนะว่าหาว่าหมิ่นเธอ ซึ่งศาลก็บอกว่า ในข้อเท็จจริงแล้วโจทย์ก็อายุน้อยกว่าจำเลยมาก การที่พูดว่าเด็กเมื่อวานซืนจึงไม่ใช่เรื่องผิด หรือแม้กระทั่งที่บอกว่าเธอเคยทํางานในร้านนวด เธอก็เห็นว่า เป็นการดูหมิ่น และด้อยค่า ทางศาลก็ได้ระบุว่า อาชีพหมอนวดเป็นอาชีพสุจริต ทั้งมีวิญญูชนทั่วไป ก็ไม่น่าจะคิดว่าผู้ประกอบเช่นนี้จะไม่สามารถทํางานสื่อได้ ข้อความส่วนนี้จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาท

ส่วนคำว่า เด็กเมื่อวานซืน ซึ่งเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบมา เนื่องจากโจทย์มีอายุน้อยกว่า อีกทั้งยังมีประสบการณ์น้อยกว่าจำเลยมาก ซึ่งเป็นความจริงจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทย์ และสุดท้ายแล้วศาลก็ยกฟ้อง 

ดังนั้น กระบวนการที่จะฟ้องตนให้คดีมีมูลแล้วนำเอาคดีมาแลกกันนั้น ก็ถือว่าล่มสลายไปแล้ว หลังจากนี้ ในส่วนคดีที่ตนเป็นโจทย์ฟ้องเนลเนมนั้นก็จะยังคงดำเนินต่อ โดยศาลท่านให้ดำเนินการเรื่องสืบพยานโจทย์ ซึ่งทางทนายได้แจ้งมาว่า คุณเนลเนมได้เลื่อนมาหลายครั้งแล้ว แต่หลังจากนี้ตนจะไม่ให้เลื่อนอีกแล้ว 

นายสนธิ ย้ำว่า สำหรับคดีที่ตนถูกฟ้องนั้น ก็จะสู้คดีโดยไม่ถอย แต่หากเป็นกรณีที่ตนฟ้องคนอื่น ถ้าอะไรที่ยอมได้ก็จะยอมให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ก็จะไม่ยอม จะไม่ไกล่เกลี่ยเด็ดขาด ต้องดำเนินการไปให้สุดซอย

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่า ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจําหน่าย เน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลําเลียงยาเสพติด ปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสําคัญ และข้อสั่งการของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการปราบปรามแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางที่จะส่งมายังกรุงเทพมหานคร ประกอบกับนโยบาย ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งกําชับการปราบปรามยาเสพติด อย่างเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร/ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.อ.ประจวบ  วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป) และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ บช.ปส. ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร, นบ.ยส.35และ ป.ป.ส. โดย พล.ท.กัณห์ สถิตยุทธการ  ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ร่วมปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ และจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. โดยมีการจับกุม ดังนี้
 
บก.สกส.

รายชื่อหน่วยร่วมปฏิบัติการ : นบ.ยส.35 นำโด พ.อ.ประณต  ศิริพันธ์ หน.ฝขว.นบ.ยส.35 และ พ.อ.อัศนัย  เมืองมูล หน.ฝนผ.นบ.ยส.35 คดี (ยาบ้า 7,990,000 เม็ด) (ผู้นำเสนอ  พ.ต.อ.จักริน พิริยะจิตตะ ผกก.3 บก.สกส.) เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.สกส. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ขอ นบ.ยส.35 สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ และจะนำมาส่งให้ลูกค้าตามสั่งการของผู้ว่าจ้างในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยจะใช้รถยนต์ทะเบียน กธ 37xx พะเยา, รถยนต์ทะเบียน บม 16xx พะเยา และรถยนต์ ทะเบียน บพ 44xx พะเยา ใช้เส้นทางจากพื้นที่ชายแดน จว.เชียงราย ผ่าน จว.พะเยา - จว.แพร่ - จว.สุโขทัย -จว.พิษณุโลก -จว.พิจิตร - จว.นครสวรรค์ ปลายทางพื้นที่ กทม. และปริมณฑล จึงได้เฝ้าติดตามกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 27 ก.พ.68 พบความเคลื่อนไหวของรถยนต์กลุ่มดังกล่าว ในพื้นที่ อ.พรหมพิราม จว.พิษณุโลก ลักษณะเป็นขบวนมีรถนำ/ตาม ทิ้งระยะประมาณ 2-3 กม. มุ่งหน้า จว.พิจิตร- จว.นครสวรรค์ จึงจัดชุดสะกดรอยติดตาม และได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจพยุหะคีรี ให้หยุดรถยนต์ทั้งสามคัน รถยนต์คันที่ 1 ทะเบียน บพ44xx พะเยา เลยด่านตรวจไป รถยนต์คันที่ 2 ทะเบียน บม 16xx พะเยาสามารถหยุดไว้ได้ที่ด่านตรวจ ส่วนรถยนต์คันที่ 3 ทะเบียน กธ 37xxพะเยา จอดริมถนนก่อนถึงด่านตรวจพยุหะคีรี เจ้าพนักงานตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าตรวจค้น แต่รถยนต์คันดังกล่าวได้ขับขี่รถยนต์หลบหนี ทิศทางมุ่งหน้า อ.เมือง จว.นครสวรรค์ โดยสามารถหยุดรถคันดังกล่าวบริเวณริมถนนพหลโยธิน อ.เมือง จว.นครสวรรค์ ผลตรวจค้นพบ ยาบ้า 7,990,000 เม็ด ในห้องผู้โดยสาร ส่วนผู้ขับขี่เป็นชายวัยรุ่น ได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีขณะเข้าจับกุม ต่อมาเวลาประมาณ 05.40 น. ชุดที่ติดตามรถยนต์คันที่ 1ทะเบียน บพ 44xx พะเยา สามารถจับกุมได้ที่โรงแรมฟ้าใส รีสอร์ต ต.ตาคลี อ.ตาคลี จว.นครสวรรค์ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
บก.ปส.3
รายชื่อหน่วยร่วมปฏิบัติการ : 
1. บช.ก. นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล.
2. ทหาร : หน่วยข่าวกรองทางทหาร
3. นบ.ยส.35 คดี (ยาบ้า 5,000,000 เม็ด) (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 ปส.3) จากการที่ กก.2 บก.ปส.3 ทำการจับกุม นายสรวุฒิฯ และพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้า 800,000 เม็ด, ไอซ์ 380 กก. และคีตามีน 265 กก. ในพื้นที่ อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี นั้น เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการขยายผลอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 27 ก.พ.68 เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกับ บช.ก., บก.ป., บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ทหาร ขกท.ศปก.นสศ. สืบสวนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ชายแดนผ่านพื้นที่ อ.เชียงดาว - แม่แตง - สันทราย -เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้เส้นทาง จว.เชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - กำแพงเพชร - นครสวรรค์ – ชัยนาท - สิงห์บุรี - อ่างทอง – พระนครศรีอยุธยา จึงได้ทำการเฝ้าระวัง จนพบความเคลื่อนไหวรถยนต์กลุ่มบุคคลในเครือข่าย โดยมีรถยนต์เก๋งมีลักษณะขับนำรถบรรทุก 6 ล้อ ซึ่งบรรทุกพืชผลทางการเกษตร ประเภทข้าวโพด เจ้าหน้าที่เฝ้าติดตาม ต่อมาวันที่ 28 ก.พ.68 รถบรรทุก 6 ล้อ ได้มาจอดหน้าปั๊มน้ำมัน ใน ต.หันสัง อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา

เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเพื่อทำการจับกุมพบมีนายนเรศฯ เป็นผู้ขับ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุก พบยาบ้า 5,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอำพรางอยู่ใต้พืชผลทางการเกษตร (ข้าวโพด) และสกัดรถเก๋งที่ขับนำพบจับกุม น.ส.หมวยพองฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการขยายผล จับกุมชาย 2 คน ลงจากรถยนต์ตู้มาขับรถบรรทุกยาเสพติดดังกล่าว โดยมีรถเก๋งฟรีดอีก 1 คัน ลักษณะคุ้มกันการลำเลียงยาเสพติด ต่อมาพบว่ารถทั้ง 3 คัน ได้ขับติดตามกันไปจนถึง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง 
จว.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสกัดรถทั้ง 3 คัน โดยรถยนต์ฟรีดที่ขับในลักษณะคุ้มกันพบนายจอมพลฯ ได้ลงจากรถ และวิ่งลงป่าข้างทางหลบหนีไป และรถตู้ที่ขับตามมาแต่รถตู้ได้เร่งความเร็วและเสียหลักลงข้างทาง พบผู้ต้องหาจำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3  ซึ่ง บก.ปส.3 จะได้ทำการขยายผลเพื่อติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนีต่อไป

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน สามารถจับกุมขบวนการ
ค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 524 คดี ผู้ต้องหา 520 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 134,797,295 เม็ด, ไอซ์ 11,313 กก., เฮโรอีน 107 กก., คีตามึน 509 กก. และยาอี 575 เม็ด ยืดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 1,384,689,753 บาท

นราธิวาส-ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมอันประเสริฐของพี่น้องมุสลิมในเดือนรอมฎอน 

(4 มี.ค.68) ที่ มัสยิดบันนังกาแย อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ได้จัดกิจกรรมพบปะระหว่างหน่วยงานภาครัฐและผู้นำศาสนา ตลอดจนพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ และรับมอบสิ่งของละศีลอดในเดือนรอมฎอน จาก พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมกิจกรรมสำคัญทางศาสนาในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ พร้อมทั้งส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างภาครัฐและประชาชน โดยแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ขอยึดมั่นในนโยบายที่วางไว้ ในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐของพี่น้องไทยมุสลิม ที่จะให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก สร้างความมั่นคงปลอดภัยในการประกอบศาสนกิจอย่างเต็มที่แก่ประชาชน เพื่อให้เดือนรอมฎอนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี 

เจ้าหน้าที่และส่วนราชการพร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวก แต่ทั้งนี้ต้องขอความร่วมมือผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นทุกส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยกันรณรงค์ชักชวนการทำความดีละเว้นความชั่วทั้งปวงสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนร่วมกันสร้างสังคมสันติสุขให้เป็นเดือนรอมฎอนสันติสุข ปราศจากความรุนแรง อย่างไรก็ตามพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมอัตลักษณ์ความงดงามของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายชุดมลายู หรือการประกวดซุ้มประตู ทั้งนี้ทุกกิจกรรมสามารถกระทำได้ตามความเหมาะสมโดยต้องไม่ละเมิดหรือผิดกฎหมายหรือปล่อยให้บุคคลที่สามมาทำกิจกรรมแอบแฝง ส่งผลกระทบความมั่นคงรวมถึงขอให้ผู้ปกครองให้ช่วยกันกำชับลูกหลานในเรื่องการเล่นจุดประทัดและดอกไม้ไฟเพราะก่อให้เกิดอันตรายเพราะเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักศาสนาและผิดกฎหมายอีกด้วย

ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือก่อนออกเดินทางไปฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศ

พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์  ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยม หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ  บนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจอดเทียบท่า ณ ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบจังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งมอบโอวาทแก่ นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1 - 4 ที่จะเดินทางไปฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศ ประจำปีการศึกษา 2567  

การฝึกภาคต่างประเทศของนักเรียนนายเรือมีวัตถุประสงค์เพื่อ - เพื่อฝึกอบรม นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1-4 ให้มีความรู้พื้นฐานในวิชาชีพทหารเรือและมีขีดความสามารถที่จะปฏิบัติงานในเรือหลวงเมื่อสำเร็จการศึกษา รวมถึงเพิ่มพูนความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่าง ๆ ในโอกาสที่ หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ แวะเยี่ยมเมืองท่าต่างประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ศิลปะและวัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
  
สำหรับหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ มี เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ประกอบกำลังเป็น หมู่เรือฝึก ฯ มี พลเรือตรี บวร พรมแก้วงาม หัวหน้าฝ่ายศึกษาโรงเรียนนายเรือ เป็น ผู้บังคับหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ มีกำลังพล จำนวน 763 นาย ประกอบด้วย
- กองบังคับการหมู่เรือฝึก  จำนวน 76 นาย
- นักเรียนนายเรือ ชั้นปีที่ 1 - 4 จำนวน 338 นาย
-  กำลังพลเรือฝึก (เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงเจ้าพระยา และเรือหลวง
ประจวบคีรีขันธ์) จำนวน 349 นาย

สำหรับการฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศของนักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1 - 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ในครั้งนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 11 เมษายน 2568 โดยจอดแวะเยี่ยมเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือมิตรประเทศ จำนวน 3 เมืองท่า ได้แก่ เมืองท่าซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองท่าโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น และเมืองท่าจ้านเจียง ประเทศจีน มีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ อาทิ การฝึกนำเรือเทียบ-ออกจากเทียบ การฝึกยิงอาวุธประจำกาย การฝึกยิงอาวุธในทะเล การฝึกรับ-ส่งจากเฮลิคอปเตอร์ การฝึกสถานีรบ การฝึกรับ-ส่งสิ่งของในทะเล การฝึกพ่วงจูงเรือ การฝึกเก็บคนตกน้ำด้วยเรือใหญ่ และฝึกการแปรกระบวน เป็นต้น

“เฉลิมชัย” เปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ชูแนวคิด "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" กรมอุทยานฯ ปลุกกระแสอนุรักษ์ พร้อมภาคีอนุสัญญา CITES ทั่วโลก

(3 มี.ค.68) - ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ประจำปี 2568 กล่าวว่า ปีนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ประเทศไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสวยงามของธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยได้จัดงานนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยงานในปีนี้มีแนวคิดหลัก คือ "Wildlife Conservation Finance: Investing in People and Planet" หรือ "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างด้านงบประมาณและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยและของโลก ด้วยการบอกเล่าถึงความสำคัญของทรัพยากรเหล่านี้ไปยังคนรอบข้าง ร่วมกิจกรรมการอนุรักษ์ หรือสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สู่คนรุ่นหลังต่อไป

ทั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของไทยสู่เวทีโลกจัดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด "Wildlife Conservation Finance: Investing in People and Planet" หรือ "การเงินสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า ลงทุนเพื่อปกป้องมนุษยชาติและโลก" มุ่งแก้วิกฤตขาดแคลนงบประมาณด้านการอนุรักษ์ พร้อมดึงภาคเอกชนร่วมลงทุน หวังสร้างระบบนิเวศการเงินที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของทรัพยากรธรรมชาติ  

โดย นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลกเกิดขึ้นจากข้อเสนอของประเทศไทยในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ครั้งที่ 16 เมื่อปี 2556 ณ กรุงเทพมหานคร โดยเสนอให้วันที่ 3 มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันลงนามรับรองอนุสัญญาไซเตส เป็น "วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก"  การจัดงานในปีนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมด้านวิชาการ การเสวนาและนิทรรศการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จากหน่วยงานพันธมิตรและผู้สนับสนุนกว่า 20 แห่ง กิจกรรมด้านการมีส่วนร่วมของสาธารณชน อาทิ การประกวดงูบอลไพธอนสวยงาม ซึ่งนำมาจัดแสดงหลากหลายลวดลาย และการแสดงผลงานจากการประกวดภาพวาดสัตว์ป่าและพืชป่าในบัญชีไซเตส ที่มีเยาวชนส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 190 ชิ้น สะท้อนพลังและความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ต่อการอนุรักษ์ นอกจากนี้ กรมอุทยานฯ ยังได้จัดกิจกรรมมอบรางวัลประกวดภาพวาด มอบเข็มพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ กิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัล และกิจกรรมสำรวจสัตว์ป่า เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กับผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน 

รู้จัก ‘ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล’ ช่างภาพ Pictorial Art ระดับโลก ผู้รังสรรค์ศิลปะผ่านเลนส์กับนิยาม ‘แสงสะท้อนชีวิต และเงาที่ซ่อนเรื่องราว’

(3 มี.ค. 68) “แสงและเงา” คือหัวใจของการถ่ายภาพ ศิลปินที่แท้จริงต้องความสามารถใช้แสงกับเงาเพื่อสร้างความลึกซึ้งให้กับเรื่องราว และถ้ามีใครสักคนที่สามารถดึงอารมณ์ออกมาผ่านแสงและเงาได้อย่างทรงพลัง ‘ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล’ ก็คือหนึ่งในนั้น

70 ปีบนเส้นทางศิลปะภาพถ่าย ชัยโรจน์ได้สร้างผลงานที่สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก และจิตวิญญาณของผู้คน ทว่าชื่อของเขาในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่ากลับเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากกว่าประเทศบ้านเกิด วันนี้ถึงเวลาที่แสงของเขาจะต้องส่องมาถึงที่นี่ เพื่อให้วงการศิลปะไทยตระหนักถึงคุณค่าของชายผู้นี้ ในฐานะศิลปินผู้ควรค่าแก่การยกย่อง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายเกียรติยศสายที่ 2
จากเด็กชายผู้หลงใหลในเงาสู่ศิลปินแห่งแสง ชัยโรจน์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2480 ในครอบครัวนักธุรกิจที่บุกเบิกวงการนาฬิกาไทย แต่แทนที่จะเติบโตมาพร้อมตัวเลขและกำไรเท่านั้น เขายังหลงใหลในภาพถ่าย ความอยากรู้อยากเห็นว่ากล้องจะสามารถ “หยุดเวลา” ได้จริงหรือไม่ ทำให้เขาหยิบกล้องฟิล์มตัวแรกขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

“ภาพถ่ายไม่ใช่แค่การบันทึกความจริง แต่มันเป็นศิลปะ เป็นวิธีที่เราสามารถเล่าเรื่องราวโดยไม่ต้องพูด”

เส้นทางของเขายิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ London University สาขาวิศวกรรมศาสตร์ พร้อมทั้งเรียนศิลปะการถ่ายภาพที่ Saint Martin’ s School of Art ที่อังกฤษ ที่นั่นเขาได้ฝึกฝนการใช้กล้อง ตั้งแต่วิวทิวทัศน์ใน Hyde Park ไปจนถึงภาพถ่ายบุคคลที่สะท้อนอารมณ์ลึกซึ้ง และถ่ายทอดมันด้วยหัวใจ และนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปิน
เส้นทางสู่ช่างภาพระดับโลก เมื่อเงาใหญ่กว่าชื่อเสียงในบ้านเกิด

หลังได้ศึกษาและฝึกฝนการถ่ายภาพอย่างจริงจัง กระทั่งรังสรรค์ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เรียกว่า Pictorial Art หรือ “ศิลปะเชิงภาพ” ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพที่ผสมผสานความคลาสสิกและความร่วมสมัย การใช้แสงและเงาสร้างมิติของภาพให้ดูเหมือนจิตรกรรม เทคนิคนี้ทำให้ภาพของเขามีความนุ่มนวล ทรงพลัง และสามารถเล่าเรื่องราวโดยไม่ต้องพึ่งพาคำบรรยาย กลายเป็นผลงานที่มีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศ โดยเฉพาะในระดับสากล

ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล ได้สร้างสรรค์ผลงานภาพถ่ายอันทรงคุณค่ามากมาย ทั้งภาพถ่ายบุคคล วิถีชีวิต ภาพทิวทัศน์ และวัฒนธรรม ผลงานของเขาได้รับการจัดแสดงในนิทรรศการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก อาทิ
รางวัลถ้วยพระราชทานชนะเลิศประเภทภาพถ่ายดิจิทัล จากการแข่งขันถ่ายภาพทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2543
.
รางวัลดาว 5 ดวง จากสมาคมถ่ายภาพแห่งอเมริกา (P.S.A.) ในปี พ.ศ. 2552
ติดอันดับ World Top Ten หลายครั้ง

โดยผลงานของเขาได้รับการยอมรับจากเวทีระดับโลกเป็นครั้งแรกเมื่อเขาส่งภาพเข้าประกวดใน PSA Gold Medal ซึ่งทำให้เขากลายเป็นศิลปินไทยที่วงการศิลปะภาพถ่ายทั่วโลกจับตามอง หลังจากนั้นรางวัลและเกียรติยศก็ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น FIAP Gold Medal (ฝรั่งเศส) , Tokyo International Photography Awards และ Grand Award จาก Asia Photo Awards

“เวลาผมไปต่างประเทศ นักวิจารณ์ศิลปะพูดถึงงานของผมในเชิงปรัชญา พวกเขาบอกว่าผมสามารถใช้แสงและเงาเล่าเรื่องราวได้ลึกซึ้ง แต่ในไทยกลับมีคนรู้จักผมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น”

Pictorial Art – ศิลปะผ่านเลนส์
แสงสะท้อนชีวิต และเงาที่ซ่อนเรื่องราว
ชัยโรจน์ ไม่ได้ถ่ายภาพเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เขาใช้มันเป็นเครื่องมือสื่อสารทางศิลปะ ผลงานของเขามักสะท้อนถึงชีวิต ความเป็นมนุษย์ และอารมณ์ที่ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ “ผมไม่ต้องการให้คนแค่ดูภาพของผม ผมต้องการให้พวกเขารู้สึกถึงมัน”

หนึ่งในผู้ที่ให้ความสำคัญกับงานของ ชัยโรจน์ มากที่สุด คือ เกรซ มหาดำรงค์กุล ลูกสาวของเขา ในปี 2565 เธอได้จัดนิทรรศการ “ย้อนเวลาผ่านเลนส์” เพื่อให้คนไทยได้รู้จักและเข้าใจในคุณค่าของศิลปะของบิดา ซึ่งไม่เพียงเป็นการแสดงภาพถ่าย แต่เป็นการส่งเสียงให้วงการศิลปะไทยตระหนักถึงคุณค่าของ ชัยโรจน์

“ผลงานของคุณพ่อไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่เป็นบันทึกของยุคสมัยเป็นศิลปะที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” เกรซกล่าวในวันเปิดนิทรรศการ

อย่าปล่อยให้เงากลืนกินชื่อ ชัยโรจน์
ส่องแสงมาเพื่อให้ “โลกจารึก”
ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล คือศิลปินที่ใช้แสงและเงาเป็นภาษาของเขา ส่งผ่านให้มันคงอยู่ตลอดกาลผ่านงานศิลปะ สร้างผลงานที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมากมาย แต่กลับไม่เป็นที่จดจำในประเทศไทยเท่าที่ควร กระทั่งมีความพยายามให้เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นนานแล้ว

70 ปีบนเส้นทางศิลปะ ผลงานของเขาได้รับการยกย่องมากมาย สร้างคุณูปการต่อวงการศิลปะภาพถ่ายมาอย่างยาวนาน การได้รับเสนอชื่อเป็นศิลปินแห่งชาติ จึงไม่ใช่เพียงแค่รางวัลสำหรับตัวเขา แต่เป็นรางวัลสำหรับวงการศิลปะไทย ที่ควรให้เกียรติผู้สร้างสรรค์งานระดับโลก
“ภาพถ่ายที่ดีไม่ได้หยุดเวลา แต่มันทำให้เราหวนคิดถึงความหมายของมันตลอดไป”

อย่าปล่อยให้เงากลืนกินชื่อของเขา แต่ควรส่องแสงมาเพื่อให้โลกจารึก “ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล” ไม่ใช่เพียงศิลปินแห่งภาพถ่าย แต่คือศิลปินแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ควรได้รับการจารึกชื่ออย่างสมเกียรติ

หลังเกิดเหตุ ‘กองทัพกะเหรี่ยง’ KNLA ทิ้งระเบิดใส่ฐานเมียนมา ห่างชายแดนไทย 1 กม.

(3 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร เปิดเผยภาพทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 กองกำลังนเรศวร ยังคงตรึงกำลังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างเข้มงวด จากเหตุการณ์กองกำลังกะเหรี่ยง KNLA โจมตีฐานทหารเมียนมา (ทมม.) ที่ฐานปูลูตู่วานนี้

โดยมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการของทมม. บริเวณเนิน 1248 อำเภอแลงปอย จังหวัดผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านตะละออกา ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ห่างจากแนวชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณเพิงพักของฐานและลุกลามไปยังพื้นที่โดยรอบ

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา (ผภสม.) ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย

‘พีระพันธุ์’ ควง ‘เสธหิ’ มอบบ้านพร้อมทุนการศึกษา เยาวชนชาวกรุงเก่า ‘นางสาวสรัญญา’ เรียนดีแต่ฐานะยากจน

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ มอบบ้านและเกียรติบัตรแสดงความยินดี ให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

เมื่อวันที่ (2 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายฝันเด่น จรรยาธนากร โครงการใจถึงใจ พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบบ้าน ชุดเครื่องมือช่างซ่อมรถยนต์และเกียรติบัตรแสดงความยินดีพร้อมทั้งทุนการศึกษาให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด ซึ่งเป็น “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

พร้อมกันนี้ “มูลนิธิพระราหู” ยังได้สนับสนุนสร้างบ้านและอุปกรณ์ซ่อมรถยนต์ ตามโครงการ  “ใจถึงใจ” ให้กับ นายสรสัณฑ์ เรืองสวัสดิ์ นางสาวเรียม มาลาพัด นางสาวสรัญญา มาลาพัด เด็กหญิงสุนิสา เรืองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.เตชิต เขื่อนหมั่น นายโอภาส ศรีเจริญ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ 

การสนับสนุนในครั้งนี้คือกำลังใจสำคัญที่ให้นางสาวสรัญญา มาลาพัดและครอบครัวมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในการศึกษา และใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขต่อไป

ยืนยันผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ไม่ได้เขียนจดหมาย กระดาษและตราประทับไม่ใช่ของเรือนจำ

(3 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงเรื่องผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ เขียนจดหมายมีตราประทับจากเรือนจำกลางคลองเปรม 

ก่อนหน้านี้ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ภาพจดหมาย 3 ฉบับจากผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก ซึ่งเรียกร้องให้ทางการไทยอย่าส่งตัวผู้อพยพชาวอุยกูร์ที่เหลือให้กับจีน โดยพบว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มชาวอุยกูร์ 43 คน เขียนเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งขอให้นายกฯ เข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของชาวอุยกูร์

ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ออกหนังสือระบุว่า ได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว โดยผู้ต้องขังชาวอุยกู ให้การยืนยันไม่เคยเขียนจดหมายฉบับดังกล่าวตามที่ปรากฏในสื่อ และลายมือ ที่ปรากฏมิใช่ลายมือของพวกตน โดยในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยส่งจดหมายออกภายนอกเรือนจำแต่อย่างใด

เบื้องต้นเรือนจำฯ ได้เปรียบเทียบลายมือแล้วพบว่า แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งตราประทับที่ปรากฏบนจดหมายฉบับนั้น ก็มิใช่ตราประทับของเรือนจำกลางคลองเปรมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ก่อนส่งจดหมายถึงภายนอกเรือนจำฯ ต้องตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีจดหมายฉบับดังกล่าว และโดยเฉพาะจดหมายผู้ต้องขังจากเรือนจำจะไม่มีตราประทับของเรือนจำแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องขังดังกล่าวไม่มีญาติหรือทนายความมาเยี่ยม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top