Thursday, 10 October 2024
NEWS FEED

ตำรวจ ปส. แถลงผลงานปิด Job “ปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย“ ในรอบ 1 ปี ยึดยาบ้ากว่า 380 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,170 กก. คีตามีน 2,388 กก. และยึดทรัพย์กว่า 4,100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ขยายผลเครือข่ายเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำชุมชนบำบัดเพื่อให้ผู้เสพกลับคืนสู่สังคม เลี้ยงตน เลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง

วันนี้ 30 ก.ย.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ /รรท. รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ได้ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยึดยาบ้า 6,600,000 เม็ด, ไอซ์ 565 กก. และเฮโรอีน 6.98 กก. ดังนี้

บก.ปส.3
คดีที่ 1
จากการขยายผลการตรวจยึดไอซ์ 7.58 กก. เมื่อวันที่ 16 ส.ค.67 ถูกซุกซ่อนในขวดโรออน ระงับกลิ่นกาย พยายามลักลอบส่งไปประเทศออสเตรเลีย และพบว่าผู้ส่งคือหญิงสาวสัญชาติลาว จากนั้นตำรวจชุดจับกุมจึงสืบสวน และติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา กระทั่งพบว่าจะมีการส่งพัสดุในลักษณะเดิมอีกครั้ง โดยกลับเข้ามาพักอาศัยที่อพาร์ทเม้นท์เดิม ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ กระทั่ง วันที่ 17 ก.ย.67 หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ป.ป.ส. และศุลกากร นำกำลังเข้าตรวจค้นที่ ห้องพัก 514 อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พบ น.ส.ติ่ง พันทะวง อายุ 31 ปี สัญชาติลาว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 506/2567 ลง 17 กันยายน 2567 ในข้อหา “พยายามส่งออกฯ” และพบกล่อง 2 กล่อง ภายในเป็น ขวดโรลออน และยาสีฟัน จากการตรวจสอบมี เฮโรอีน ซุกซ่อนอยู่ น้ำหนัก 6.98 กก.  นอกจากนี้ยัง ตรวจยึดทรัพย์สิน กระเป๋าแบรนเนม 1 ใบ ราคาประมาณ 70,000 บาท จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2
ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติด ส่งออกต่างประเทศ โดยอำพรางไปกับสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ จนทราบว่าจะนำยาเสพติดที่ซุกซ่อนไปกับเฟอร์นิเจอร์มาพักเก็บในพื้นที่ อ.แม่สาย   จ.เชียงราย ตำรวจจึงทำการวางแผนจับกุม กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พบว่าเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้นำมาเก็บพักคอยที่บ้านเช่าเลขที่ 112/6 ม.2 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเตรียมส่งต่างประเทศ จึงนำกำลังตำรวจเข้าตรวจสอบ ภายในบ้านพบเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ ตรวจสอบภายใน พบยาเสพติดเป็นไอซ์ ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ดินน้ำมันสีขาว และ สีชมพู คละกัน มีผงลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวใสผสมอยู่ ซุกซ่อนอำพรางในช่องลับภายในแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ น้ำหนัก 325 กก. และ ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในแผ่นหน้าโต๊ะ น้ำหนัก 240 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 565 กก. จากการสอบถามผู้ดูแลแจ้งว่าเป็นสินค้าที่มีลูกค้านำมาฝากไว้กับทางร้าน จากนั้นจึงนำของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และ จะทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มเจ้าของยาเสพติดต่อไป

คดีที่ 3
ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดเชียงราย กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ จ.เชียงราย จนทราบว่า นายอาตี๋ ชนเผ่าอาข่า จะลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ บ้านผาหมี อ.แม่สาย จ.เชียงราย กระทั่ง วันที่ 25 ก.ย. 67 เวลาประมาณ 21.30 น. ขณะตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกับทหาร ออกสำรวจพื้นที่ ก็พบเข้ากับคารวานลำเลียงยาเสพติด ซึ่งเป็นกลุ่มชาย ฉกรรจ์ จำนวน 12 คนแบกสัมภาระเป็นกระเป๋าที่คาดว่ามียาเสพติดถูกบรรจุอยู่ด้านใน ขณะเดินลัดเลาะออกมาจากชายป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะไปหยุดรวมตัวกันบริเวณริมถนนทางเข้าหมู่บ้านผาหมี หน้าศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตำรวจจึงนำกำลังแสดงตัวเข้าตรวจสอบและตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย 

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนสัญชาติเมียนมาร์ ส่วนคนที่เหลือวิ่งหลบหนีไปได้ ตรวจค้นในกระเป๋าพบกระสอบ 11 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวมทั้งสิ้น ประมาณ 1,600,000 เม็ด โดยตำรวจเตรียมขยายผลหาเพื่อนร่วมขวนการที่สามารถหลบหนีไปได้ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บก.สกส.
คดีที่ 4
เมื่อวันที่ 6 ก.ย.67 เวลาประมาณ 20.00 น. – 23.50 น. ต่อเนื่องกัน ตำรวจ บก.สกส., ตำรวจด่านพยุหะคีรี บก.ปส.3 ตำรวจ สภ.วังทอง ภ.จว.พิษณุโลก และ หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังนเรศวร ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 คน หลังตำรวจจับกุมผู้ต้องหาลักลอบลำเลียงยาเสพติดเมื่อวันที่ 31 มี.ค 60 ของกลางยาบ้า 500,000 เม็ด ก่อนจะขยายผลพบว่ายังมีเครือข่ายซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ลงมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ ภาคกลาง  กระทั่ง พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จึงจัดชุดติดตามจนมาถึงพื้นที่ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก พบว่า รถทั้ง 2 คัน คือ รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 21xx เชียงใหม่ และ รถยนต์ หมายทะเบียน 8กข 31xx กรุงเทพฯ ขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ปตท.วังทอง ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบนายสมศักดิ์ และนายสุทธิศักดิ์ พี่น้องกัน จึงเชิญตัวทั้ง 2 คน และนำรถมายังด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี เพื่อเข้าเครื่อง X-Ray ตรวจค้นโดยละเอียด ปรากฏว่าพบวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่ในช่องลับผนังด้านข้างทั้ง 2 ข้าง ของรถบรรทุก  ตรวจสอบพบเป็นยาบ้า 2,500 มัด จำนวนรวมทั้งสิ้น 5,000,000 เม็ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกัน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ บช.ปส. ยังได้สรุปภาพรวมการปราบปรามยาเสพติดในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ภายใต้การขับเคลื่อนของ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่ถูกกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งแผนงานและภารกิจ ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและ  ตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ซี่งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ขับเคลื่อนการปราบปราม การสกัดกั้นการลำเลียง และการขยายผลจับกุมยึดทรัพย์เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด  อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกำหนด “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ ตอนในและพื้นที่ปลายทาง และทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมาย ส่งผลให้ปีงบประมาณ พ.ศ.2567

สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ถึง 1,322 คดี เพิ่มขึ้น 427 คดี มีผู้ต้องหา 1,729 คน เพิ่มขึ้น 518 คน  ตรวจยึดยาบ้าได้ 380,317,464 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 137,871,101 เม็ด คิดเป็น 56.87%  และคิดเป็น 41.05% ของ ตร., ไอซ์ 13,170 กก. คิดเป็น 58.34% ของ ตร. คีตามีน 2,388 กก. คิดเป็น 47.09% ของ ตร. ในส่วนการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดทั้งตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน โดยเฉพาะยาบ้า สามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญรายใหญ่ ยาบ้า 500,000 เม็ดขึ้นไป จำนวน 90 คดี สกัดกั้นยาบ้าได้ 361,853,712 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว คิดเป็น 87.24 %                 

โดยภารกิจสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และพื้นที่ปลายทาง รวมทั้งทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในพื้นที่เป้าหมาย ถือเป็นภารกิจสำคัญของ “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีผลการดำเนินการที่น่าสนใจ ได้แก่ วันที่ 20 เม.ย.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 14,648,000 เม็ด  ขณะลักลอบลำเลียงจากแนวชายแดนเข้ามาส่งต่อให้เครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นับเป็นการสกัดกั้นการขนลำเลียงยาบ้าที่มีปริมาณมากที่สุดของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่จับกุมได้ในปีนี้ และล่าสุดเมื่อ 23 ส.ค.2567 ยังจับกุมผู้ต้องหาขณะลำเลียงยาบ้า 14,000,000 เม็ด จากพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ชั้นในได้อีกด้วย ปฏิบัติการ“ ตามล่าเครือข่าย VUITTON วิตตอง” เป็นปฏิบัติการสำคัญที่สามารถสืบสวนจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ตอนใน ได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 คดี จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายไปแล้วกว่า 50 ราย ยึดยาบ้า กว่า 46 ล้านเม็ด ไอซ์และ คีตามีนรวมกว่า 100 กิโลกรัม ยึดทรัพย์กว่า 26 ล้านบาท

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติ  ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านลำเลียงยาเสพติดไปต่างประเทศ วันที่ 4 ธ.ค.2566 ได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรีปราบสมุทร “Operation Poseidon ” จับกุมผู้ต้องหา             พร้อมไอซ์และเคตามีนกว่า 2,200 กก. การขยายผลนำไปสู่การออกหมายจับนายชาญชัยหรือกัปตันตุ้ยฯ พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท จากการแกะรอยไล่ล่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าว นำไปสู่การจับกุมผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเลได้เพิ่มเติมอีก 2 คดี ได้แก่ วันที่ 8 ก.ย.67 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 600 กก.ที่ท่าเรือริมแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร และ วันที่ 10 ส.ค.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 1,500 กก. ที่ท่าเรือในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ทั้ง 3 ปฏิบัติการสำคัญนี้สามารถสกัดกั้นการพยายามลักลอบลำเลียงไอซ์และคีตามีนข้ามชาติได้ถึง 4,300 กก. หรือ 4.3 ตัน

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ที่มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกไปยังแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ 12 ก.ค.2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) 90 ตัน ลักลอบนำเข้าจากเกาหลีใต้มาที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมส่งไปแหล่งผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน สารโทลูอีนที่ยึดได้ หากหลุดรอดไปถึงแหล่งผลิต จะใช้ผลิตยาบ้าได้จำนวนมหาศาลถึง 270 ล้านเม็ด ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปร่วมตรวจสอบและแถลงข่าวผลการตรวจยึดด้วยตนเอง ผลงานสำคัญในการยึดและอายัดทรัพย์สินปีงบประมาณ2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 4,096,626,323 ล้านบาท  หรือคิดเป็น 32.78% ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการที่สำคัญในการยึดทรัพย์สิน ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค.2567 เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่าย “ใหม่ Logistics” ของ บก.ปส.2 ที่ปูพรมตรวจค้นในพื้นที่ 8 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่ง จากพื้น

(สุรินทร์) มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ที่ 25 ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 953/2567 เรื่องให้นายทหารออกจากราชการ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับ กระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อน และลดตำแหน่งข้าราการกลาโหม พ.ศ. 2502 จึงให้นายทหารชั้นนายพล สังกัด กองทัพบก ซึ่งรับราชการมาครบกำหนดเกษียณอายุราชการออกจากราชการ ลำดับที่ 58 พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ เป็นนายทหารนอกราชการ สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สั่ง ณ วันที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2567 รับคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงชื่อ พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหารรับราชการมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการ สนองพระเดช พระคุณ ดังต่อไปนี้ กองทัพบก ลำดับ 442 พันเอก ไชยนคร กิจคณะ  เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (อัตรา พลตรี) ทั้งนี้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2567 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2567 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ซึ่ง พิธีรับ-ส่งหน้าที่ ประกอบด้วย พิธีสักการะอนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน ณ อนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน พิธีลงนามในเอกสารการรับ – ส่ง หน้าที่ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ณ ห้องประชุม 2 กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 และ พิธีรับ – ส่งหน้าที่ (หน้าแถวทหาร) ณ ลานหน้า กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 โดยมีกำลังพลข้าราชการหน่วยขึ้นตรงมณฑลทหารบกที่ 25 และสมาคมแม่บ้าน ทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25  รวมทั้งสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ ร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง พันเอก ชัยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (อัตรา พลตรี) กล่าวว่า ตามที่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ในครั้งนี้ รู้สึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น จนหาที่สุดมิได้ และขอตั้งปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะปฏิบัติราชการในตำแหน่งอันทรงเกียรติ และสำคัญยิ่งนี้ ให้ดีที่สุดอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมที่จะปฏิบัติงานเคียงบ่าเคียงไหล่ กับบรรดาเพื่อนทหารที่รักทุกนายอย่างจริงจัง และจริงใจ เพื่อทำให้มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นหน่วยที่มีศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจในทุกรูปแบบ ให้ปรากฏผลสัมฤทธิ์ ในการสร้างคุณประโยชน์ต่อกองทัพบกและประเทศชาติ สืบไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

‘Scomadi Turismo Electronica’ สองล้อ EV วินเทจยุค 60 โฉม 'บริทิช โมเดิร์น คลาสสิก' เปิดราคาแสนต้น วิ่งไกลร้อยโล

(30 ก.ย. 67) ‘Scomadi Turismo Electronica’ รถสกู๊ตเตอร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประเทศไทย ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ในสไตล์บริทิช โมเดิร์น คลาสสิก

ด้วยดีไซน์ รูปลักษณ์ยังคงรักษาเอกลักษณ์รถวินเทจยุค 60 คลาสสิกด้วยโคมไฟหน้าทรงกลมและเบาะนั่งแบบสโลป และเส้นสายโค้งมนของตัวรถ พร้อมโลโก้เสือดำสัญลักษณ์ของแบรนด์ น้ำหนักรถ 137 กิโลกรัม และความสูงเบาะที่นั่ง 800 มิลลิเมตร ออกแบบเพื่อรองรับสรีระของนักขับขี่ทุกเพศทุกวัย ผู้หญิงไทย ไซส์เล็ก ก็ขับขี่ คุมรถได้สบาย ๆ 

รถสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้มีทั้งหมด 3 สี คือ สีเขียว Emerald Green, สีเทา Coal Pearl และสีดำ Panther Black

หน้าจอล้ำสมัย แสดงผลแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว บอกเวลา ความเร็ว ระยะแบตเตอรี่ และโหมดการขับ รองรับการเชื่อมต่อและสั่งการผ่านแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวก ส่วนชุดชาร์จแบตอยู่ตรงกลางของตัวรถ สามารถเสียบชาร์จไฟบ้านได้สะดวกสบาย ส่วนแบตเตอรี่แบบฝังอยู่ใต้เบาะ และมีสวิตซ์ตัดระบบไฟเพื่อความปลอดภัยติดตั้งมาให้ 

 

‘Scomadi Turismo Electronica’ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3,000 วัตต์ แบตเตอรีความจุ 72 โวลต์ 40 แอมแปร์ต่อชั่วโมง ให้การขับระยะทางไกลถึง 101 กิโลเมตร ในระยะเวลาชาร์จเต็มเพียง 3 ชั่วโมง ทำความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ทั้ง Economy Sport และ Normal พร้อมด้วยเกียร์ถอยหลัง 

สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นนี้ ขี่ง่ายมาก แม้จะเป็นรถไฟฟ้า แต่ก็ไม่ต้องปรับตัวเยอะ มีความคล่องตัวสูง และมีจุดเด่นที่ความเงียบ ช่วยลดมลพิษทางเสียง 

อุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานนั้นประกอบด้วย โช้คคู่หน้า และ โช้คเดี่ยวหลัง OKD แบบไฮดรอลิกปรับพรีโหลดได้ ยางติดรถ เป็นของ Michelin power pure ขนาด 12 นิ้วทั้งหน้าและหลัง ส่วนระบบเบรก เป็นแบบ(CBS) Combi Brake System เน้นการกระจายแรงเบรกระหว่างล้อทั้งสองไม่ให้ลื่นหรือล้อล๊อค เพื่อความปลอดภัย 

ทั้งหมดที่ว่ามา กับราคาค่าตัว 129,740 บาท ของ Scomadi Turismo Electronica คันนี้ถือว่าคุ้มมาก

ผู้ที่สนใจ ‘Scomadi Turismo Electronica’  รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ในกลิ่นอายสไตล์วินเทจ ก็สามารถชมรถคันจริงพร้อมทดลองขับขี่ ในกิจกรรม Scomadi EV Your Ride Your Way ได้ที่ดีลเลอร์ 4 แห่ง ทั้ง สโกมาดิ อโศก มอเตอร์วิลล์ / สโกมาดิ เอ็มเพอเรอร์ กรุงเทพฯ /สโกมาดิ พัทยา (วัชรคอมเพลกซ์) / และ สโกมาดิ ลพบุรี (ศิริชัย มอเตอร์เซลส์) 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง www.scomadithailand.com Facebook:Scomadi Thailand LINE: @scomadithailand  หรือโทร 081 888 6066

'แสนสิริ' ส่งวัสดุก่อสร้างจากโครงการ 2 คันรถเทรลเลอร์ ช่วย 'สร้าง-ซ่อมแซม' บ้านชาวเชียงราย หลังน้ำลด

เมื่อวานนี้ (29 ก.ย. 67) บริษัทแสนสิริ จำกัด โพสต์ข้อความการช่วยเหลือ ฟื้นฟูผู้ประสบภัยจากเหตุดินโคลนถล่มและน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ว่า…

เชียงราย เมื่อน้ำลด การฟื้นฟูและสร้างบ้านใหม่คือสิ่งสำคัญ แสนสิริ จึงรวบรวมวัสดุก่อสร้างเหลือใช้จากโครงการต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย 2 คันรถเทรลเลอร์ บรรทุกเต็มคันด้วย สีทาบ้าน, กระเบื้องปูพื้น, กระเบื้องมุงหลังคา, บานประตู, เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

วันอาทิตย์นี้ รถบรรทุกน้ำใจจากแสนสิริจะออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงราย โดยจะถึงจุดหมายในวันจันทร์เช้า (30 ก.ย.) เพื่อส่งมอบวัสดุทั้งหมดให้ นำไปใช้สร้างบ้านให้กับพี่น้องผู้ประสบภัย

แสนสิริเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย เราจะช่วยกันสร้างรอยยิ้มและความหวังให้กลับมาอีกครั้ง เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ร่วมเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวเชียงรายและทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

หมูเด้งฟีเวอร์!! ความโด่งดังจากเบื้องหลัง 'ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง' ปั้นโปรไฟล์ให้ชวนฝัน เด่นจนช่วยรัน 'ธุรกิจ-เศรษฐกิจ' บูม

ณ วินาทีนี้คงไม่มีใครปฏิเสธความโด่งดังระดับโลกของ 'หมูเด้ง' ฮิปโปแคระแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่ไม่ว่าจะเป็นสื่อ เซเลป อินฟลูเอนเซอร์ ต่างต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นในไทย เกาหลี ญี่ปุ่น และล่าสุดหมูเด้งก็ไปอยู่บนจอรายการ Saturday Night Live รายการทีวีชื่อดังของสหรัฐอเมริกาแล้ว

ความโด่งดังของหมูเด้งส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เข้าเยี่ยมชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพิ่มมากขึ้นจากวันปกติ 800-900 คน ช่วงวันหยุดประมาณ 3,00-4,000 คน พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว โดยวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ตีตั๋วเข้าเยี่ยมชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวถึง 11,330 คน 

ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเองก็ได้ตอบรับกระแส 'หมูเด้ง ฟีเวอร์' ด้วยการปล่อยของที่ระลึกลายหมูเด้งสุดน่ารัก เช่น เสื้อ กางเกง และตุ๊กตา สำหรับไว้ให้แฟนคลับจับจอง 

นอกจากนั้นยังเสริมด้วยการขายพ่วง 'ที่พักสวนสัตว์เปิดเขาเขียว' สำหรับคนที่ไม่ต้องการรอคิวนาน สามารถตื่นมารับความเด้งตั้งแต่เช้า นอกจากนี้ยังเป็นการพักผ่อนไปในตัว

นอกจากสินค้าจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวแล้ว หลาย ๆ แบรนด์ต่างต้องอาศัยนาทีทองออก 'หมูเด้ง คอลเล็กชัน' ไม่ว่าจะเป็น รองเท้าแตะนันยางที่พร้อมจะเปลี่ยนจากช้างดาวมาเป็นฮิปโปแคระดาว หรือ Rip N Dip ก็มีการออกคอลเลกชัน Moo Deng ให้สะสม พร้อมกับเสียงแว่ว ๆ ว่าจะมีแสตมป์หมูเด้งให้สะสมด้วย 

>> แล้วเราเรียนรู้อะไรจากความโด่งดังของหมูเด้ง?

หากเจาะลึกลงไปแล้วความโด่งดังของหมูเด้งไม่ได้โด่งดังแบบชั่วข้ามคืน แต่เป็นความโด่งดังบนรากฐานที่มีการค่อย ๆ วางแบบใจเย็น ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง' ที่ถ่ายทอดอริยาบถของเหล่าฮิปโปแคระ ซึ่งเริ่มตั้งเพจมาเมื่อปี 2562 หรือจะพูดอีกอย่างเป็นเพจแฟนด้อมของฮิปโปแคระเลยก็ว่าได้ รวมทั้งกลยุทธ์ขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยที่เปิดให้มีการตั้งชื่อและโหวตชื่อ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริงไม่ใช่แค่ยอดไลก์ ยอดแชร์ กับกลุ่มเป้าหมาย

ไม่ใช่หมูเด้งที่ผ่านกระบวนการนี้เท่านั้น แต่พี่ชายแท้ ๆ ของหมูเด้งอย่าง 'หมูตุ๋น' ก็ผ่านกระบวนการเช่นนี้เช่นกัน คือ การสร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นขึ้นมาก่อน แต่ของหมูตุ๋นติดนิดเดียวว่าพอดีช่วงนั้นมีดาวโควิดเข้ามาแทรกไม่เช่นนั้นอาจโด่งดังเป็นพลุแตกมากกว่านี้ 

ถ้าข้ามไปคนละสปีชี่ส์โมเดลที่โด่งดังเป็นพลุแตกคงหนีไม่พ้น 'หลินปิง' แพนด้าขวัญใจมหาชนเมื่อเกือบ 15 ปีที่แล้ว ยุคนั้นแพนด้าหลินปิงทำให้ไปรษณียบัตรโหวตชื่อเจ้าแพนด้า ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าระดับ 28.5 ล้านใบ 

>> แล้วทำไม 'หมูเด้ง-หลินปิง' ลูกสัตว์เหล่านี้ถึงฮอตฮิตขนาดนี้?

สำหรับหลายแบรนด์แม้จะไม่สามารถขนสินค้าคอลเลกชันหมูเด้งออกมาได้ทัน ก็ต้องมีการขยับใช้หมูเด้งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบทางการตลาดชั้นดี ด้วยความที่หมูเด้งมีลักษณะเป็น 'มีม' โดยธรรมชาติ ด้วยท่าทางตลก ๆ และเปิ่น ๆ 

สำหรับความน่ารักของเหล่าสัตว์และคนตัวจิ๋วมีงานวิจัยของนักศึกษาศึกษาพฤติกรรมสัตว์ชาวออสเตรียที่มีชื่อว่า Konrad Lorenz ที่อธิบายความน่ารัก น่าเอ็นดูเด็กทารกด้วยคำว่า 'kindchenschema' หรือ 'baby schema'

โดยงานชิ้นนี้เปรียบเทียบลักษณะของท่ารกที่มีเหมือน ๆ กัน คือ หน้าผากใหญ่ ตาโต จมูกเล็ก ซึ่งจะทำให้ผู้พบเห็นเกิดปฏิกิริยากับมนุษย์อย่างรวดเร็วที่จะปกป้อง คุ้มครอง ดูแล ห้อยท้ายไว้นิดว่าจากทฤษฎีนี้ทำให้การ์ตูนของญี่ปุ่น หรือ มังงะ ในยุคหนึ่งจะมีตัวละครจะมี หน้าผากใหญ่ ตาโต จมูกเล็ก

>> เราได้อะไรจากปรากฏการณ์หมูเด้ง?

คำตอบสำหรับคำถามนี้ ก็คงเป็นการเกาะเก็บสถานการณ์โดยรอบแล้วแปลงมาเป็นบริบทให้เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแฟนด้อม ผลิตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดึงดูดให้เกิดการมีส่วนร่วมกับผู้คน แต่ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะหากย้อนกลับไปดูในอดีต ซีรีส์พีเรียดของเกาหลีใต้มีจำนวนมหาศาล แต่เรื่องที่โด่งดังยิ่งกว่าพลุแตกกลับเป็น 'แด จัง กึม'

✨เปลี่ยนให้ปัง 10.10 ที่ ‘มาสเตอร์พีช’

ในที่สุดการช่วยเหลือเยียวยาทั้งกายใจให้ได้รับโอกาสใหม่ในชีวิตผ่านโปรเจ็กต์ Make Your Looks กิจกรรมดี ๆ ของ รพ.มาสเตอร์พีช ที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น จนถึงปลายทางความสำเร็จ มีผู้โชคดีได้ลุกส์ใหม่สวยฉ่ำถึง 3 คน 

เพื่อร่วมฉลองและเดินรอยตามแผนดูแลรูปลักษณ์ ปลุกความงาม ปรับสไตล์ให้ปั๊วปัง รพ.มาสเตอร์พีช จึงจัดเต็มแพ็กเกจ ให้คุณเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม ครอบคลุมทุกหัตถการความงาม เปลี่ยนให้ปังไปกับโปรฯ ‘Make Your Looks 10.10’ คุ้มค่าสูงสุดกว่า 50% เริ่มวันที่ 10 เดือน 10 ถึง 31 ตุลาคม 2567 ทั้ง จมูก, ยกคิ้ว, หน้าอก, โครงหน้า, ตา และตัดหนังหน้าท้อง 

เลือกให้ดี เลือกมาตรฐานโรงพยาบาล รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.masterpiecehospital.com / line : @MTP.hospital / FB : Masterpiece Hospital / IG : Masterpiece_hospital

'หมอธีระวัฒน์' เผย!! สารโมเลกุลมณีแดงใกล้พร้อมใช้ในมนุษย์ ความหวังใหม่ทางการแพทย์ ช่วยฟื้นเซลล์สมองที่เสียหาย

(30 ก.ย. 67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ข่าวดี สารโมเลกุลมณีแดง ใกล้พร้อมใช้ในมนุษย์

จากการที่ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ได้ปรึกษาหารือเรื่องประสาทวิทยาอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดอภิวัฒน์ บอกว่าการศึกษาความเป็นพิษในหนูแรทเกรด GLP ที่เป็นมาตรฐานสำคัญในการทำการศึกษาทางคลินิก ผ่านแล้ว พบว่า ในขนาดยาที่ใช้รักษา สารโมเลกุลมณีแดง ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติและพยาธิสภาพของร่างกายใด ๆ 

นอกจากผ่านการศึกษาความเป็นพิษแล้ว การศึกษาสารโมเลกุลมณีแดงสำเร็จแล้วในทุก ๆ ด้าน ได้แก่...

1. การค้นพบกลไกความชราของดีเอ็นเอ

2. การผลิตยา ร่วมกับสถานเสาวภา Pharmaceutical Grade มีระบบ QC เรียบร้อย 

3. การศึกษาในสัตว์ทดลอง เพื่อหาข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ Senile dementia rat, Alzheimer’s rat, Parkinson’s rat, Lung fibrosis rat, Liver cirrhosis mouse, Insulin resistance rat, Burn สารโมเลกุลมณีแดง รักษาได้ทุกตัว แก้ไขพยาธิสภาพให้หายไปรวมถึง มี การสร้างเซลล์สมองใหม่ (neurogenesis)

4. การศึกษาคุณสมบัติของยา Safety test หรือความปลอดภัย ทำที่ National Primate Research Center of Thailand ลิงแสม > 1 ปี ผลลิงทุกตัวปลอดภัยดี หายแก่ > 40 สัปดาห์

5. Toxicity test ทำ 2 ที่ สถานเสาวภา ทำหลายสปีชี่ mouse, rat, หนูตะเภา กระต่าย ที่ ม. นเรศวร เป็น GLP rats ผ่านแล้ว

6. Pharmacokinetic and organ distribution เสร็จแล้ว

7. Storage conditions เสร็จแล้ว

ส่วน Clinical trials กำลังเตรียมการ

กรรมาธิการวุฒิสภา 'ยัน' พรบ.ประชามติ 2 ชั้น ค้านไม่เอาเงื่อนไขการเลือกตั้ง อบจ.เงื่อนไขรับฟังประชามติ ปชช. ทางออกตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภา

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เปิดเผยว่า จากการประชุมนัดสุดท้ายของ สว.ในการพิจารณา พรบ.ประชามติ ยังมีหลายประเด็นที่คณะกรรมาธิการพบว่าจำเป็นต้องมีการทบทวนแก้ไข  จึงไม่ควรเอาเงื่อนไขของเวลาการเลือกตั้ง อบจ.ในเดือน ก.พ.68 เป็นเงื่อนไขในการรับฟังประชามติประชาชนได้ โดยเหตุผลประหยัดงบประมาณ

นายไชยยงค์ฯ ยังเปิดเผยว่า มีถ้วนคำฟุ่มเฟื่อย และมาตรา 13 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ พรบ.ประชามติ หากปล่อยไปโดยไม่มีการทบทวนหรือแก้ไขจะเป็นปัญหาตามมา เนื่องจากต้องนำไปใช้กับโครงการใหญ่ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและประโยชน์ของประเทศ  ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ โครงการก่อสร้างเขื่อน  ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน บ่อนกาสิโน โรงงานกำจัดขยะ

“ในการแก้การออกเสียงประชามติเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนดังนั้น หากกำหนดให้การออกเสียงประชามติถือเอาเพียงเสียงข้างมากของผู้ออกเสียงอาจจะไม่สามารถสะท้อนความเห็นหรือเจตจำนงที่แท้จจริงของประชาชนทั้งประเทศได้”

นายไชยยงค์ฯ นังเปิดเผยต่ออีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้การทำประชามติทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพื้นที่ต้องใช้เกณฑ์เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้นทั้งหมดกับทุกกรณี ก็อาจจะเป็นเคร่งครัดจนเกินไป อาจทำให้การออกเสียงประชามติเรื่องอื่น ๆ เกิดขึ้นได้ยาก เช่นการจัดโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน การจัดคาสิโน การทำเหมืองแร่ จึงเห็นสมควรกำหนดคะแนนเสียงที่จะถือว่าเป็นข้อยุติในการออกเสียงเป็น 2 รูปแบบ โดยเทียบเคียงการจำแนกรูปแบบการออกเสียงตามมาตรา 9 มาตรา 30 และมาตรา 31

นายไชยยงค์ฯ เปิดเผยอีกว่า รูปแบบที่ 1 การออกเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญตามมาตรา 9 (1)และ(2) ซึ่งเป็นผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงควรใช้เกณฑ์คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้นตามกฎหมายปัจจุบัน

"รูปแบบที่ 2 การออกเสียงกรณีคณะรัฐมนตรีเห็นสมควร หรือตามที่กฎหมายกำหนด หรือรัฐสภาเห็นสมควร หรือประชาชนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 9 (2 ) (3 )(4 )และ(5 )สามารถผ่อนคลายจำนวนที่จะถือว่าได้ข้อยุติจากเกณฑ์คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น เป็นคะแนนเสียงข้างมากธรรมดาได้ จึงให้มีการตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภาเพื่อหาทางออก ส่วนมาตราอื่นๆนั้นแก้ไขคำที่ฟุ่มเฟือยเท่านั้น"

'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูอุทกภัยภาคเหนือ คืบหน้ากว่าร้อยละ 80 ระดมทุกฝ่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งช่วยเหลือประชาชน วอนอย่าหลงเชื่อ 'ข่าวปลอม' ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเตือนภัยจากภาครัฐ

เมื่อวันที่ (29 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ( ศปช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และลำปาง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม และมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย พบว่ามีการดำเนินการแผนฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยเชียงรายดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลายพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองเชียงรายเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ตุลาคม 2567 พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.เมืองเชียงราย และ อ.แม่สาย จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ โดยมาตรการเร่งด่วนคือเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณโทรคมนาคม การฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนกลุ่มเปราะบาง การคืนสภาพเส้นทางสัญจร ซึ่งหลายพื้นที่มีความคืบหน้ากว่า 80% แล้ว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เบื้องต้นได้ดำเนินการตามที่มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 เห็นชอบให้อนุมัติกรอบวงเงิน 3,045 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ 3 อำเภอ (อ.เมืองเชียงราย แม่สาย ขุนตาล) จ.เชียงราย รวม 3,623 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 18,115,000 บาท

ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ศปช.ได้มีดำเนินการระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดและส่วนกลางติดตามรับมือสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที โดยในส่วนของกระทรวงดีอี ได้มอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาเฝ้าติดตามสภาพอากาศ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทันที หากมีแนวโน้นมการเกิดสถานการณ์ที่รุนแรง 

“ขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกับให้เฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบในทันที เพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาพบการเผยแพร่ข่าวปลอม เกี่ยวกับอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หรือเผยแพร่ข้อมูลอ้างถึงสถาการณ์ที่รุนแรง การเกิดพายุลูกใหม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมฯ จึงขอแจ้งเตือนประชาชน อย่าได้หลงเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน โดยควรตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Line OA ชื่อว่า 'HelpT (น้ำท่วม ช่วยด้วย)' เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างประชาชนกับหน่วยงานท้องถิ่นของจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ฯลฯ ในพื้นที่ 49 จังหวัด โดยประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือ อาทิ การขออพยพ การขออาหาร อุปกรณ์ส่องสว่าง กระสอบทราย ฯลฯ ซึ่งคำขอจากประชาชนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยการแอด LINE OA: @HelpT ส่งรูป ระบุพิกัด สามารถติดตามสถานะและผลการดำเนินการได้ นอกจากนี้ HelpT ยังมีการรวบรวมเบอร์โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานต่างๆ และให้ข้อมูลพยากรณ์ปริมาณฝนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากแพลตฟอร์ม FAHFON (ฟ้าฝน)

'ซูเปอร์โพล' เผย ปชช.ปลื้มปีติ 'โรงครัว-ถุงยังชีพพระราชทาน' พึงพอใจ 'ทหาร' ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมมากที่สุด

(29 ก.ย. 67) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง บททดสอบ ฝีมือรัฐบาล รับมือภัยน้ำท่วม กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น 1,002 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-28 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา 

พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.4 ความปลื้มปีติต่อโรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม 

รองลงมาคือร้อยละ 87.3 ความพึงพอใจอื่น ๆ ต่อหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ องค์กรต่าง ๆ ช่วยเหลือ เช่น อาหาร น้ำ ยารักษาโรค การอพยพ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.7 ความพึงพอใจอื่นๆ บุคคล/ภาคประชาสังคม จิตอาสา ร่วมบริจาคทั้งกำลังเงินและสิ่งของ

ที่น่าสนใจ คือ ความพึงพอใจต่อการทำงานของภาคประชาสังคมรับมือภัยน้ำท่วมในด้านต่าง ๆ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.3 มูลนิธิองค์กรทำดี รองลงมาคือร้อยละ 80.4 อาสาสมัครมูลนิธิหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.8 มูลนิธิต่าง ๆ เช่น สภากาชาดไทย มูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 อื่น ๆ ภาคประชาสังคม บุคคล จิตอาสา

ที่น่าพิจารณาคือ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการ กระทรวงต่าง ๆ พบว่า มากที่สุด หรือร้อยละ 71.5 พอใจทหาร รองลงมาคือร้อยละ 67.5 พอใจตำรวจ ร้อยละ 66.2 พอใจระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร้อยละ 60.3 พอใจกรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และร้อยละ 59.3 พอใจอื่น ๆ กระทรวงต่าง ๆ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

จากรายงานผลสำรวจของซูเปอร์โพล สรุปได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความปลื้มปิติและพึงพอใจในหลายด้านที่มีการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เช่น โรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม , การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี, การเข้าถึงการช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และยารักษาโรค รวมถึงการอพยพ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ก็สูง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุข้อเสนอแนะในการเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศ สามารถดำเนินการได้ด้วยหลายแนวทางที่มุ่งเน้นทั้งด้านการจัดการและการสื่อสาร ต่อไปนี้คือรายละเอียดของแต่ละแนวทาง

1.การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ

- พัฒนาและปรับปรุงแผนการจัดการภัยพิบัติ ทบทวนและอัปเดตแผนป้องกันและการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ

- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความสามารถในการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือที่มีประสิทธิผล

- การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถจัดส่งไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

2.การสื่อสารและการให้ข้อมูลที่ชัดเจน

- การประชาสัมพันธ์แผนการรับมือภัยพิบัติ ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับแผนการรับมือภัยพิบัติกับประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม

- การสื่อสารในระหว่างเกิดภัยพิบัติ มีการอัปเดตสถานการณ์และการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ใช้ช่องทางสื่อสารหลากหลายและชัดเจน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์

3.การมีส่วนร่วมของชุมชน

- การสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อการรับมือภัยพิบัติ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการรับมือและการฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองและชุมชน

- การจัดตั้งทีมอาสาสมัคร สนับสนุนการจัดตั้งทีมอาสาสมัครภายในชุมชนเพื่อทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมในการรับมือกับภัยพิบัติ

4.การวางแผนและการใช้เทคโนโลยี

- การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและการเตือนภัย การใช้ระบบ GIS และดาวเทียมเพื่อการตรวจสอบสภาพอากาศและการเตือนภัยล่วงหน้า

- การใช้โดรนและเทคโนโลยีอื่น ๆ ใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่เสี่ยงและการประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ

ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top