Friday, 29 March 2024
NEWS FEED

‘เฒ่าวัย 67 ปี’ ใช้มีดแทงป้าดับสลด เพราะ ‘พัดลม’ ตัวเดียว หลังตนเปิดจ่อ แต่โดนหันหนี ก่อน ตร.ตามจับตัวได้ที่คอนโด

เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.67) ร.ต.ท.พชร ปุ้มฤทธิ์ รอง สว. (สอบสวน) สน.บางขุนเทียน รับเเจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายร่างกาย ด้วยอาวุธมีดได้รับบาดเจ็บ ภายในร้านอาหารตามสั่ง ซอยเอกชัย 66 แขวงคลองบางพลาน เขตบางบอน กทม. ก่อนไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ชีพมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง

ที่เกิดเหตุเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง พบ ร่างน.ส.พรพิมล อายุ 64 ปี มีบาดเเผลถูกเเทงบริเวณหน้าอก 2 เเผล กู้ชีพปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลมะลิ เเต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะเดียวทราบว่าผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ห้องพัก ชั้น 7 ของคอนโดแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังพังประตูเข้าควบคุมตัวไว้ได้

ทราบชื่อผู้ก่อเหตุ คือนายวรพงษ์ อายุ 67 ปี จากการตรวจค้นพบอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบถามเบื้องต้นผู้ก่อเหตุให้การวกไปวนมา พยายามอ้างตัวว่าตัวเองเป็นตำรวจยศนายพล และบอกว่า “ผู้การจะต้องมารับผิดชอบในความปลอดภัยของตัวเองนะ” ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีที่ สน.บางขุนเทียน

จากการสอบถามแม่ค้าขายอาหารจุดเกิดเหตุเผยว่า นายวรพงษ์ ผู้ก่อเหตุ เดินมานั่งในร้านก่อนนั่งเฉย ๆ อยู่หน้าพัดลม ยังไม่ได้สั่งอาหารอะไรกิน จากนั้นน.ส.พรพิมล ผู้เสียชีวิต เดินเข้ามาในร้าน สั่งแกงจืดและไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะลุกไปหันพัดลมที่ผู้ก่อเหตุนั่งจ่ออยู่ ให้หันไปทางโต๊ะที่ผู้ตายนั่ง ทำให้ผู้ก่อเหตุไม่พอใจ ลุกขึ้นพุ่งเข้าไปใช้มีดแทงทันที โดยที่ยังไม่ทันได้มีปากเสียงอะไรกันเลย

ทั้งนี้นายวรพงษ์ ชอบมานั่งเฉย ๆ บ่อยครั้งและไม่ได้สั่งอาหารกิน แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะรู้ว่าสภาพจิตดูไม่ค่อยปกติ และที่ผ่านมาก็มักจะเห็นพกมีดติดตัวไว้เป็นประจำ เท่าที่ทราบทั้งผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตทั้งสองคนจะมีปากเสียงทะเลาะกันเป็นประจำเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป แต่ไม่เคยมีเหตุรุนแรงมาก่อน

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ก่อเหตุเบื้องต้นก็พอพูดจารู้เรื่อง ยอมรับว่าผู้ก่อเหตุเคยมีปากเสียงกับผู้เสียชีวิตมาก่อน ก่อนเกิดเหตุไปซื้อข้าว ระหว่างนั่งรอ ทันใดนั้นคู่กรณีเดินมานั่งและแย่งพัดลมตรงจุดที่นั่งอยู่ ทำให้โมโหใช้มีดแทงไปที่หน้าอก 2 แผลจนเสียชีวิต

แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นฯ กับพกพาอาวุธมีดฯ ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านบอกว่าผู้ชายคนนี้มีอาการป่วยทางจิตเวช ตำรวจจะติดต่อให้ญาตินำหลักฐานหรือเอกสารมายืนยันว่าเป็นผู้ป่วยจิตเวชจริงหรือไม่ และจากการตรวจสอบประวัติของผู้ก่อเหตุก็ไม่ได้พบว่าเคยเป็นตำรวจหรือข้าราชการแต่อย่างใด คาดว่าที่ผู้ก่อเหตุอ้างตัวเป็นตำรวจมาจากอาการทางจิตเวชก็เป็นได้

ทั้งนี้ ระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวนายวรพงษ์ ไปที่ห้องกักขังผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ผู้ก่อเหตุไม่ตอบคำถามใดๆ แต่ผู้ก่อเหตุได้หันไปทำท่า ‘วันทยหัตถ์’ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยสุขภาพประชาชนในวิกฤตค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน มอบหน้ากากอนามัย และหน้ากาก N95 มูลค่า 3.2 หมื่นบาท ผ่าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.

วันนี้ 25 มีนาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ กรรมการ เข้าพบ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อมอบหน้ากากอนามัย และหน้ากาก N95 จำนวน 206,000 ชิ้น รวมมูลค่า 320,000 บาท (สามแสนสองหมื่นบาทถ้วน) นำแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่เขตต่างๆ และบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกรุงเทพมหานคร หรือตามแต่ทางกรุงเทพมหานครเห็นควร เพื่อบรรเทาทุกข์ในช่วงสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน โดยมี นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และนางชญาน์นันท์ สรพลจิโรจเดชา หัวหน้าแผนกสื่อสารองค์กร (จีน) พร้อมคณะ ร่วมในพิธี ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
.
## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

‘ดี้ นิติพงษ์’ แนะ!! ทริค 10 ข้อ ก่อน ‘อ่านตัวเลข’ จำนวนมาก หลัง ‘ธิษะณา’ ปล่อยไก่โชว์สกิลอ่านตัวเลขหลักร้อยล้านไม่ลงตัว

(25 มี.ค.67) จากกรณี น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณ ปี 2567 ในสภาฯ และได้ปล่อยไก่ อ่านตัวเลขหลักร้อยล้านกลางสภาฯ แต่อ่านอย่างไรก็ไม่ลงตัวสักทีนั้น

ล่าสุด ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nitipong Honark แนะนำทริคก่อนอ่านตัวเลขจำนวนมาก โดยระบุว่า เวลาต้องอ่านออกเสียงตัวเลขจำนวนมากจากในกระดาษหรือจอ ถ้ามีเวลาเตรียมตัว ให้ซ้อมอ่านออกเสียงสัก 5-10 ครั้งก่อนจะอ่านออกมาต่อหน้าสาธารณชน เพื่อป้องกันการผิดพลาด…

ฉันมักจะเห็นผิดพลาดกันบ่อยครั้ง ใครสติดีก็แก้ไขได้เร็ว ณ จุดนั้น ขออภัยคำเดียว แล้วครั้งที่สองก็ผ่านไปได้…แต่ถ้าไหวพริบและสติไม่ค่อยแข็งแรง ก็จะหลงไปกันใหญ่ เลขพันกัน อะไรมาก่อนไม่รู้แล้ว พันแสนหมื่นล้านร้อย…

สำหรับท่านที่ไม่มีเวลาหรือไม่ทันเตรียมตัวซ้อมอ่านมาก่อน ขอแนะนำดังนี้…

พออ่านมาถึงตรงที่เป็นตัวเลขจำนวนเยอะ ๆ ยาว ๆ  ให้หยุดดูจำนวนรวมสักสองวินาที

2. หายใจลึก ๆ 

3. ตัวเลขส่วนใหญ่บนกระดาษหรือจอ มักจะมีเครื่องหมาย ‘ลูกน้ำ’ หรือ ‘จุลภาค’ (comma) คั่นตัวเลข ทุก ๆ 3 ตัว ถ้าไปเห็นตัวเลขที่ไหนเขียนมาให้ท่านอ่านโดยไม่มีลูกน้ำคั่น ให้ขออนุญาตผู้ชม เอาปากกามาเขียนลูกน้ำเอง ทุก ๆ 3 ตัว แล้วค่อยอ่าน หลังเสร็จงานควรกลับไปด่าไอ้คนที่เขียนตัวเลขยาว ๆ มาให้อ่านโดยไม่มีลูกน้ำ ว่า ไอ้หอยหลอด ไอ้ไม่มีการศึกษา หรือไอ้อะไรก็ได้ตามแต่พอใจ (ยกเว้นกรณีเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะไม่ใช่จำนวน…แต่เป็นวาสนา)

4. เมื่อตั้งสติเห็นเลขยาว ๆ ที่เขามีลูกน้ำคั่นมาให้แล้ว ให้อ่านตามข้อ 5 เป็นต้นไป (ถ้าตัวเลขมีแค่สามตัว…อ่านไปเลย ถ้าสามตัวยังอ่านผิด กรุณาอย่าอ่านอะไรให้ใครฟังต่อไปอีก)

5. เลขหน้าลูกน้ำตัวแรกจากขวามือของจำนวนที่เขียน คือ ‘พัน’ ตัวที่สองต่อมาคือ ‘ล้าน’ ตัวที่สามต่อมาคือ ‘พัน’ ตัวที่สี่ต่อมาคือ ‘ล้าน’ สลับกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะยาวแค่ไหน ก็ต้องนับลูกน้ำอย่างนี้ ถอยหลังจากทางขวา มาทางซ้าย

6. ที่จะทำให้ออกทะเลได้ง่ายที่สุด คือ ตั้งหลักแรกไม่ได้ ว่าเป็น ‘พัน’ หรือเป็น ‘ล้าน’ ซึ่งมักจะทำให้หลงหลักพันพัวนัวเนียดิ้นไม่หลุดอยู่เสมอ

7. สายตาต้องไว กวาดไปนับลูกน้ำก่อน ว่ามีกี่ตัว ท่องถอยหลังมา ว่า พัน-ล้าน-พัน-ล้าน แล้วค่อยเริ่มต้นอ่าน

8. ถ้าตัวเลขมันยังไม่ถึงลูกน้ำตัวต่อไป ก็จะมีสองหลักตามมา คือ ‘ร้อย’ สลับกับ ‘แสน’ เพราะฉะนั้นเวลาเห็นเลขสามตัวนำหน้าลูกน้ำ ก็ให้พิจารณาดูว่าเป็น หลักร้อย หรือ หลักแสน

9. โดยทั่วไปตัวเลขที่ต้องอ่าน ก็มักจะยาวไม่เกินลูกน้ำ สามสี่ตัวดอก แต่ถ้าจำนวนมากกว่านั้น ก็ตั้งสติอ่านให้ช้าหน่อยก็ไม่มีใครว่ากระไร ทุกคนเข้าใจ

10. ถ้ามีอาชีพต้องอ่านตัวเลขบ่อย ๆ ให้ฝึกอ่านโดยใช้วิธีนี้บ่อย ๆ แล้วจะคล่องตัวจนแทบไม่ต้องตั้งหลักในการอ่านนานจนผิดสังเกต

11. แถมอีกนิด คือ ต้องแม่นวิชาเลขคณิตตอนประถมด้วยว่า ล้าน แสน หมื่น พัน ร้อย สิบ หน่วย  ต้องเป็นการนับให้ติดปาก สลับกันเมื่อไหร่ ฮาเมื่อนั้น

หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อแม่ประไพ พ่อทิดเอิบทั้งปวงของฉัน ถ้าหากมีใครใจดี เอาไปทำเป็นกราฟิกอินโฟได้ ก็จะอ่านง่ายกว่าเป็นอักษรบรรยายเช่นนี้  

ขอให้ประสบความสำเร็จในการอ่านตัวเลขโดยทั่วกัน

'จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด' แจงปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! 70-80% เรื่องค้างอยู่ 'กรมโรงงานฯ' แนะ!! กระจายให้ สอจ.

(25 มี.ค.67) สืบเนื่องจากกรณีแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายแห่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ทั้งในส่วนของประกอบกิจการใหม่ และการขออนุญาตขยายโรงงานล่าช้า โดยพบว่า การขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทของกรมโรงงานฯ ค้างอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยตอนนี้ต้องการมูลค่าการลงทุน เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับประสบปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตฯ (อ่านต่อ >> 'รมว.ปุ้ย' จี้ ‘กรมโรงงาน’ แก้ปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! หากล่าช้า กระทบต่อภาคการลงทุน-เศรษฐกิจไทย : https://thestatestimes.com/public/post/2024032220)

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ได้ขอชี้แจงต่อ รมว.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ไว้ดังนี้...

ตามที่มีข่าว เรื่องการออกใบอนุญาต ร.ง.4 ล่าช้านั้น ตอนนี้ ทางกระทรวงฯ โดยกองตรวจราชการ (กตร.) ได้รวบรวมสรุปข้อมูลแล้ว ซึ่ง (คาดว่า) ข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปให้ทางท่าน รมว.อุตสาหกรรม ส่วนใหญ่คำขออนุญาตที่ค้างอยู่ จะค้างอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นส่วนใหญ่

(ชี้แจงเพิ่มเติม) การอนุญาตโรงงานนั้น กรณี โรงงานตั้งอยู่ใน กทม. ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ส่วนกรณี โรงงานอยู่ต่างจังหวัด ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งจะมีทั้งกรณีที่ สอจ. สามารถออกใบอนุญาตได้เอง และกรณีที่ สอจ. ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ดังนี้

หากเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม ประเภท 101,105,106 และโรงงานตามนโยบาย เช่น โรงงานน้ำตาล โรงผลิตไฟฟ้า โรงงานที่ต้องทำ EIA ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ ประเด็นที่ล่าช้ามาจากการพิจารณาโรงงานประเภท 105 และ 106 หลังจากที่ สอจ. ส่งเรื่องให้ กรอ. แล้ว ทาง กรอ.ใช้เวลาพิจารณานานมาก เวลาหลายเดือน และเมื่อพิจารณาเสร็จ ไปหลายเดือนแล้ว ก็ไม่ได้ออกใบอนุญาต แต่ส่งเรื่องให้แก้ไขเอกสาร หลายโรงงานจะเจอลักษณะแบบนี้

หากเป็นโรงงานทั่วไป เช่น โรงงานผลิตอาหาร, โรงพลาสติก, โรงผลิตชิ้นส่วนโลหะ, โรงงานผลิตสินค้าทั่วไป ที่ไม่ใช่โรงงานตามนโนบาย ทาง สอจ. ออกใบอนุญาตได้ เฉพาะโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงานได้ ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า เท่านั้น

หากการออกใบอนุญาตที่มีเครื่องจักร เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย เกิน 600 แรงม้า ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ซึ่งเรื่องนี้เอง เป็นสาเหตุที่เรื่องค้างอยู่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ และทางโรงงานจะบ่นกันมาก ว่าส่งเรื่องไปแล้วพิจารณานานมาก ใช้เวลาหลายเดือน หรือไม่ก็ส่งเรื่องคืนให้แก้ไขเอกสารหลายรอบมาก ทำให้เรื่องล่าช้า และเป็นข่าวตามที่ทำให้ท่านนายกฯ กับท่าน รมว.อุตสาหกรรม ได้รับทราบแล้ว

(แนวทางแก้ไข) เรื่องที่ค้างอยู่ที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ

(ผมยังไม่เห็นข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปมาให้ แต่โดยส่วนตัว เรื่องน่าจะค้างอยู่ที่ กรอ. รวมทั้งเรื่องที่ กรอ. ส่งเรื่องคืนให้ทางโรงงานแก้ไขเอกสาร เรื่องน่าจะค้างรวมกันที่ กรอ. ประมาณ 70% - 80% ขอย้ำว่าผมยังไม่เห็นข้อมูล แต่ก็คาดว่าข้อมูลน่าจะเป็นไปตามนี้ครับ)

เมื่อเรื่องค้างที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ ผมมีแนวทางแก้ไข ก็คือ เพิ่มอำนาจให้ สอจ. มีอำนาจในการออกใบอนุญาตมากขึ้นจากเดิม เช่น...

จากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 1,000 แรงม้า

และจากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 2,000 แรงม้า

ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ผมเสนอมานี้ จะเป็นการลดอำนาจการออกใบอนุญาตบางส่วนของ กรอ. มาเพิ่มอำนาจในการออกใบอนุญาตให้ สอจ. และลดขั้นตอนไม่ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. ทำให้ สอจ. มีอำนาจมากขึ้นในการออกใบอนุญาตได้เอง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนเรื่องค้างในการออกใบอนุญาตโรงงานได้ และใช้ระยะเวลาในการออกใบอนุญาตได้รวดเร็วกว่าเดิมครับ

“อลงกรณ์-สภาอุตสาหกรรมฯ.”ตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาสาหร่ายพืชแห่งอนาคตขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(Blue Economy) หวังสร้างฐานผลิตใหม่23จังหวัดชายทะเลทดแทนการนำเข้าลดคาร์บอนแก้โลกร้อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท(WCF:Worldview Climate Foundation)เปิดเผยวันนี้(25 มี.ค)ว่า ประเทศไทยผลิตสาหร่ายน้อยมากต้องพึ่งพานำเข้าสาหร่ายจากต่างประเทศจนติดท็อปเทนของโลก ในขณะที่มีชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยยาวกว่า3,000 กิโลเมตรใน23จังหวัดจึงมีศักยภาพในการผลิตทดแทนการนำเข้าและยังช่วยลดคาร์บอนด้วย ดังนั้นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) และมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท Worldview Climate Foundation จึงได้ทำเอ็มโอยู.ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาสาหร่ายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำถือเป็นความร่วมมือที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน(blue economy)ในการใช้ทรัพยากรในทะเลและมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งในการประชุมล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่สำนักงานใหญ่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)ได้ข้อสรุปในการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาสาหร่ายพืชแห่งอนาคตทั้งนี้มูลนิธิฯ.ได้เสนอรายชื่อกรรมการและหน่วยงานรัฐเช่นกรมประมง กรมทรัพยากรชายฝั่งทะเลฯลฯเป็นกรรมการเรียบร้อยแล้วส่วนสอท.จะเสนอรายชื่อภายหลังการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสอท.ชุดใหม่วันที่ 25 มีนาคมนี้เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการฯ.ในการขับเคลื่อนความร่วมมือในครั้งนี้ให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็ว

"สาหร่ายถือเป็นพืชแห่งอนาคตตัวใหม่ เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สามารถผลิตเป็น อาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ ปุ๋ยชีวภาพ อาหารสัตว์พลาสติกชีวภาพสำหรับบรรจุภัณฑ์ กระดาษ สิ่งทอ สารกระตุ้นทางชีวภาพ (bio stimulants) และน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยตั้งเป้าหมายสร้างงานสร้างรายได้ให้กับ23จังหวัดชายทะเลซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการผลิตสาหร่าย ยิ่งกว่านั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมสาหร่ายยังมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 “นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด สำหรับการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าประชุมตัวแทนมูลนิธิได้แก่นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานกรรมการมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท,รศ.ดร.สุชาติ นวกวงษ์ กรรมการมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท ,นางสาวสภาวรรณ พลบุตร ,นางสาวณัฐนิชา ผกาแก้ว ผู้ประสานงานมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท
และนายชนะพล พอสม Advisor, Worldview International Foundation ส่วนผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้แก่ นายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ,นางสาวศุภกาญจน์ พรหมราช ,นางสาวจิราวรรณ เดียขุนทด และนางสาวนฤดี มาทองหลาง จากสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม

หลวงพ่อหัวร้อน คว้าฝาบาตร ตีหัวยาย เลือดสาด เหตุฉุน เพราะหยิบของให้ช้า ล่าสุด ถูกดำเนินคดีแล้ว 

(24 มี.ค.67) เหตุการณ์เกิดขึ้น ช่วงเวลาประมาณ 7 โมง ที่ ซอยวุฒากาศ 14 คุณเอ (นามสมมติ)ได้เล่าว่า 

ตนกำลังใส่บาตรอยู่ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากว่าตนยืนหันหลังอยู่ ตอนนั้นคนแถวนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “อ้าวทำไมหลวงตาทำแบบนี้ ทำแบบนี้ได้ยังไง”

ตนจึงได้หันไปถามคนที่พูดว่า “หลวงตาทำอะไร” หลังจากนั้นตนก็เห็นสภาพของคุณยายที่ถูกพระใช้ฝาบาตรพระตีเข้าที่ศีรษะจนเลือดไหล และคนแถวนั้นก็ บอกว่าที่ผ่านมาคุณยายท่านนี้มักจะโดนพระตีแบบนี้เป็นประจำ เพราะว่าคุณยายจะไปช่วยพระจัดของบิณฑบาตตลอด แต่ในครั้งนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพระถึงได้โมโหและก่อเหตุแบบนี้

ซึ่งตนพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือคุณยาย แต่พระก็บอกว่า “ไม่ต้องมายุ่งนี่เป็นลูกศิษย์เขา เขาให้ข้าวเป็นประจำทุกวัน อย่ามายุ่ง เดี๋ยวจะเจอดี เขาจะพาไปหาหมอเอง” 

จากนั้นก็โบกแท็กซี่แล้วผลักคุณยายเข้าไปในรถก่อนที่จะขึ้นรถตาม ในตอนนั้นตนเห็นว่า เหมือนพระมีท่าทีจะหลบหนี จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปและเอาตัวบังไว้เพื่อไม่ให้แท็กซี่ออกรถ 

สุดท้ายแท็กซี่ก็จอดเทียบข้างทาง และพระกับคุณยายท่านนี้ก็เดินลงจากรถ ซึ่งท่าทีของคุณยาย ดูมึนหัวและไม่ทราบเรื่องราวอะไร ขณะที่พระยังคงต่อว่าตนที่ถ่ายคลิปอยู่ตลอด จากนั้นพระก็รีบเดินออกไปให้ห่างจากตรงนั้น แล้วไปโบกวินมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แล้วก็ขึ้นวินหนีไปเลย ในขณะที่คุณยายก็บาดเจ็บหัวแตก จึงต้องโทรเรียกรถพยาบาลมาทำแผลให้คุณยาย จากนั้นหลานสาวของคุณยายก็มาถึง

คุณเอ ยังได้เล่าต่ออีกว่า “มองว่าเหตุการณ์นี้ มันอุกอาจเกินไปในสังคม มันไม่สมควร เพราะว่าเขาอยู่ในผ้าเหลืองด้วย อีกอย่างพระได้ผลักคุณยายเกือบล้มด้วย มองว่าไม่สมควรที่จะทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยให้ข้าวหรือเคยช่วยเหลือกัน แต่ก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายกัน”

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ลงคลิปนี้ในโซเชียลก็มีบุคคลที่ มาคอมเมนต์แสดงตนว่า เป็นลูกของคุณยาย ได้เข้ามาขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้แม่ปลอดภัยแล้ว เย็บแผลไปทั้งหมด 4 เข็ม และได้แจ้งความดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

"คุณากร"  Kick Off กทม.ฉีดวัคซีน "โรคพิษสุนัขบ้า"  นำร่องเทคโนโลยี App เก็บข้อมูลสัตว์ 

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. กรมปศุสัตว์จัดกิจกรรม Kick Off โครงการเร่งรัดกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2567 ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าและส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงสุนัขและแมวอย่างถูกวิธี

โดยมีนายคุณากร ปรีชาชนะชัย เลขารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธี นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ,นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้บริหาร , นางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ รองประธานสภากรุงเทพมหานครคนที่หนึ่ง,สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตคันนายาว, หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ วัดคลองครุ (ปัฐวิกรณ์) เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร

นายคุณากร เลขารัฐมนตรีช่วยฯ กล่าวว่า โครงการนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรสุนัขและแมวหลายชีวิต  มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ง่าย จากสถิติเมื่อปี 2566 พบโรคพิษสุนัขบ้า ประมาณ 15 ตัวในเขตหนองจอก และลาดกระบัง จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ นอกจากนั้นจะขยายโครงการรณรงค์การฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าให้ครอบคลุมในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำเรื่อง ”สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย“ ในพื้นที่ที่มีโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี เช่น ปทุมธานี อุบลราชธานี สงขลา และชลบุรี เป็นต้น โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานฯ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  อีกทั้งตอนนี้ กำลังพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน LINE เตรียมจัดเก็บข้อมูลประชากรสุนัขและแมวทั้งประเทศ เพื่อความสะดวกในการทำงาน ขณะลงพื้นที่ภาคสนามลดความซ้ำซ้อน และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเทศบาลเมืองบางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี ได้ทดลองใช้งานแล้ว หลังจากนี้จะขยายไปทั่วประเทศ

นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้กำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครในรูปแบบของการบูรณาการ การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ ร่วมกับกองสวัสดิภาพสัตว์และสัตวแพทย์บริการ ปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานคร สำนักงานปศุสัตว์เขต 1 และหน่วยงานต่างๆ ในกรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการเร่งรัดกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และได้รับความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เครือข่ายสถานพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัย เครือข่ายวิชาชีพการสัตวแพทย์ องค์กรอิสระ ประชาชน และเจ้าของสัตว์เลี้ยง การจัดโครงการในครั้งนี้ เป็นการจัดกิจกรรมออกหน่วยปศุสัตว์เคลื่อนที่ในกรุงเทพมหานคร ดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ถึงเดือนกันยายน 2567  พื้นที่เป้าหมาย 14 เขตปศุสัตว์ในกรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายรวมผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว 5,000 ตัว และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไม่น้อยกว่า 10,000 ตัว ทั้งนี้ ประชาชนและเจ้าของสัตว์เลี้ยงในกรุงเทพมหานคร สามารถพาสัตว์เลี้ยง ไปรับบริการได้ที่จุดให้บริการ โดยสามารถตรวจสอบจุดให้บริการได้จากเว็บไซต์ของกรมปศุสัตว์

รรท.ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม สภ.โนนสูง และสถานีตำรวจท่องเที่ยว จ.นครราชสีมา ให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมกำชับการปฏิบัติป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ 

วันนี้ (24 มี.ค.2567) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการ (รอง ผบ.ตร./รรท.ผบ.ตร.) ตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง จ.นครราชสีมา พ.ต.อ.สิทธิพล ทิมสูงเนิน ผกก.สภ.โนนสูง และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ พร้อมคณะ ได้ไปตรวจเยี่ยม ส.ทท. 2 กก.1 บก.ทท. 2 โดยมี พ.ต.ท.เทพทัฬห์ ขจรเกียรติอาชา สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 พร้อมข้าราชการตำรวจ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 ให้การต้อนรับ โดยทั้ง 2 แห่ง คือ สภ.โนนสูง และ ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้เดินตรวจดูอาคารสถานที่ทำการ เรือนแถว บ้านพัก อาคารที่พัก และภูมิทัศน์โดยรอบที่ทำการ เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และสถานที่ให้บริการพี่น้องประชาชน เพื่อแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ยังบกพร่อง 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจทั้ง 2 แห่ง คือ สภ.โนนสูง และ สวญ.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.2 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้กับประชาชน ให้เร่งแก้ไขปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ ได้แก่ การแก้ไขปัญหายาเสพติด , ปัญหาหนี้นอกระบบ การปล่อยเงินกู้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด , ปัญหาผู้มีอิทธิพล , ปราบปรามสินค้าเถื่อนหนีภาษีที่ลักลอบเข้ามาตามชายแดน , ปราบปรามบ่อนการพนัน อบายมุข สถานบริการผิดกฎหมาย , ปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ , ปราบปรามอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม อาวุธปืน , ปัญหาการเผาป่า  PM 2.5 , ปัญหาที่เกิดกับการท่องเที่ยว การยกระดับการบริการตรวจคนเข้าเมือง การทำผิดกฎหมายของคนต่างชาติ โดยต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด อีกทั้งต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้  นอกจากนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลทุกข์สุขและสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี และเหมาะสมกับสภาพการทำงาน และเน้นเรื่องความสามัคคีในองค์กรตำรวจ

‘มาดามแป้ง’ ชวนแฟนบอล เชียร์ช้างศึกไทย ให้ถูกกติกา ย้ำ อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม พัฒนาฟุตบอลไทยไปด้วยกัน

(24 มี.ค.67) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดย “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยแข้งช้างศึก ผุดแคมเปญเชิญชวนแฟนบอล #เชียร์ไทยให้ถูกกติกา เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี ในเกมเตรียมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดที่ 4 วันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 19.30 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

“มาดามแป้ง“ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า “เรารักฟุตบอลไทยไม่ต่างกัน แต่อาจจะมีวิธีการแสดงออกที่ต่างกัน เรามาเชียร์ฟุตบอลไทยให้ถูกต้องตามกติกา มาทำให้ฟุตบอลทีมชาติไทย อยู่ในอ้อมใจของคนไทยทั้งประเทศ เพราะที่นี่คือบ้านของเรา”

ขณะที่เหล่าแข้งช้างศึก นำโดยกัปตันทีม ธีราทร บุญมาทัน , สารัช อยู่เย็น , ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ บดินทร์ ผาลา ยังฝากถึงแฟนบอลเช่นกันว่า

“ในสนามพวกเราเต็มที่ พวกเราพร้อมทำเพื่อ ทีมชาติไทย นอกสนามสิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เล่นคนที่ 12 พวกเราอยากให้ทุกคนมาร่วมกันสร้าง วัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี และ พัฒนาฟุตบอลไทยไปพร้อมกันครับ มาเชียร์ให้ถูกกติกา แล้วมาส่งแรงใจเชียร์ไปพร้อมกันครับ”

สำหรับ ข้อกำหนดการนำอุปกรณ์การเชียร์เข้าสนามแข่งขัน ตามระเบียบของ เอเอฟซี ประกอบด้วย ห้ามนำเข้าหรือจุดพลุประทัดหรือไฟเย็น , ห้ามนำอาวุธเข้า , ห้ามสูบบุหรี่ในสนาม , ห้ามนำสารเสพติดเข้าสนาม , ห้ามนำป้ายหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเหยียด หรือโฆษณา เข้าสนาม , ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าสนาม , ห้ามปิดใบหน้า , ห้ามนำขวดน้ำ ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และกระป๋อง , ห้ามนำนกหวีด แตร และเลเซอร์เข้าสนาม , ห้ามนำกล้อง DSLR และไม้เซลฟี่เข้าสนาม , ห้ามบินโดรน และ ห้ามขว้างปาวัตถุใด ๆ ลงในสนาม

จีน เอาจริง ออกมาตรการใหม่ ปราบปราม ประมงเถื่อน เพื่อดูแล สายพันธุ์ปลาล้ำค่า ซึ่งมีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจ

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน จะดำเนินมาตรการใหม่เพื่อปราบปรามกิจกรรมการประมงผิดกฎหมายในปี 2024

โดยทางกระทรวงฯ ได้แถลงว่ามาตรการชุดใหม่ครอบคลุม การส่งเสริมงานคุ้มครองลูกปลาไหล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ปลาล้ำค่าและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

คณะเจ้าหน้าที่ทางการจะกระชับการบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลการจับลูกปลาไหล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอันดีของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงฯ จะเดินหน้าบังคับใช้คำสั่งห้ามจับปลาตามลุ่มแม่น้ำแยงซี พร้อมดำเนินมาตรการตรวจตราอย่างเข้มงวดที่สุดในช่วงพักการจับปลาฤดูร้อนของประเทศ

นอกจากนั้นกระทรวงฯ จะพยายามอนุรักษ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติและกำกับควบคุมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top