Thursday, 19 June 2025
NEWS FEED

ก.มหาดไทย เผยผลสอบ สปส.ซื้อตึก 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายควรอยู่ในช่วง 3.4 – 3.8 พันล.เท่านั้น

(10 มิ.ย. 68) เปิดผลสอบ ก.มหาดไทย ศึกษา-วิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 หลัง สปส.ควักเงินจ่าย 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายขณะนั้น ควรมีค่า ในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 มูลค่า 3 พันล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาท โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ล่าสุด จากการรายงานของสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้จัดทำรายงานผลตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 เสร็จสิ้นแล้ว 

โดยมีข้อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 เห็นว่า มูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท ใช้วิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลด 

ผลการศึกษาดังกล่าว ระบุว่า "จากการศึกษาการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดข้างต้น พร้อมกับการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของมูลค่าด้วยวิธีคิดจากต้นทุนและวิธีเปรียบเทียบข้อมูลราคาซื้อขาย มีความเห็นว่าผลการศึกษาการประเมินมูลค่าอาคาร SKYY9 ที่ได้จากวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดเป็นผลที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในมาตรฐานวิชาชีพการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในประเทศไทย ทั้งยังเป็นแนวคิดที่เหมาะสม สอดคล้องกับธรรมชาติของทรัพย์สิน จึงสามารถสะท้อนมูลค่าตลาดของทรัพย์สินได้ดีกว่า จึงมีความเห็นว่ามูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000 บาท - 3,863,000,000 บาท"

อย่างไรก็ดี ในการศึกษาดังกล่าวมีข้อจำกัด ได้แก่ คณะทำงานไม่ได้รับข้อมูลจากบริษัทประเมินและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสำรวจทรัพย์สิน  

ส่วนสรุปผลการศึกษาผ่านวิธีการประเมินราคาแบบต่าง ๆ ดังนี้

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีรายได้ : 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีคิดจากต้นทุน

มูลค่าที่ดิน (1,392 ตารางวา ละ 700,000-800,000 บาท) : 998,340,000-1,140,960,000 บาท

มูลค่าอาคารสุทธิ : 2,469,000,000 บาท

มูลค่าตลาดโดยวิธีคิดจากต้นทุน : 3,467,340,000-3,609,960,000 บาท หรือประมาณ : 3,467,000,000-3,610,000,000 บาท

มูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด : 3,554,000,000 บาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า เป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่มีการลงโทษอะไร เมื่อทราบข้อเท็จจริง เห็นความผิดปกติ ค่อยพิจารณาดำเนินการต่อไป

นครพนม​ -​ทหารไทย-ลาว ร่วมประชุมสานความร่วมมือชายแดน(นครพนม-คำม่วน) ยกระดับมาตรการปราบปรามยาเสพติดโดยใชัโดรน - ดูดทรายในแม่น้ำโขง

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ที่ห้องประชุมแขวงทางหลวงนครพนม บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม–คำม่วน) มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนการปฏิบัติงานร่วมกัน ครั้งที่ 5 ประจำปี 2568 ระหว่างคณะชุดประสานงานชายแดนไทย-ลาว โดยมี พันเอกศิวดล ยาคล้าย ผบ.กองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยงานความมั่นคงไทย ให้การต้อนรับ พันเอกบุนเลิด บุบผาวัน หน.การทหาร แขวงคำม่วน สปป.ลาว พร้อมคณะผู้แทนจาก สปป.ลาว

โดยทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการดำเนินการเพิ่มมาตรการเฝ้าตรวจอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และหน่วยจะร่วมกันประสานการปฏิบัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ตามสายบังคับบัญชา สนับสนุนการปฏิบัติเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจเป็นอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของกลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติด หรือกลุ่มแอบแฝงการกระทำผิดกฎหมายพระราชบัญญัติอื่นๆ และอาชญากรรมต่างๆ ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ และจะส่งผลการตรวจสอบให้กันและกันทราบ เมื่อตรวจสอบทราบข้อเท็จจริงแล้ว 

ทั้งนี้ สองฝ่ายเห็นควรข้อตกลง ดำเนินการลาดตระเวนร่วมอย่างเป็นทางการ 3 เดือน/ครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 6 เดือน/ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งเห็นควร ประสานงานร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายเป้าหมายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีแผนการติดตามเป้าหมายบางรายคดียาเสพติด อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมมืออย่างรวดเร็วทันกับสถานการณ์

ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตรวจสอบกิจการท่าทรายของผู้ประกอบ หรือการจัดตั้งของบริษัทเหมืองแร่ (ดูดทราย)ตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง ที่เห็นว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมทั้งได้ส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้กันและกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการประสานขอรับทราบ และกรณีมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันตรวจสอบพื้นที่จริงบริเวณเขตแนวชายแดน ร่วมมือกันยุติปัญหาไว้ ณ แนวชายแดนที่ปรากฏภาพข่าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเป็นวงกว้างในพื้นที่ จ.นครพนม - แขวงคำม่วน 

ส่วนในข้อสุดท้ายของการประชุม คือสองฝ่ายเห็นควร ประสานการปฏิบัติผ่านกลไกชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดน หากมีการส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน โดยบันทึกการประชุมฉบับนี้จัดทำขึ้น 4 ฉบับ เป็น 2 ภาษา ทั้งภาษาไทย และภาษาลาว แต่ละฝ่ายจัดเก็บไว้ 2 ฉบับ เพื่อเป็นนโยบายในการปฏิบัติต่อไป

ภายหลังการประชุม คณะทหารทั้งสองประเทศได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” ณ วัดพระบาทเวินปลา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีการมอบพันธุ์ปลานิลจิตรดา 3,000 ตัว พร้อมพันธุ์ไม้พยูง ไม้สัก และไม้มะฮอกกานี รวม 400 ต้น และร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อสร้างชุมชนชายแดนที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ทูตจีนกล่าวอำลาไทย ยกเป็น 4 ปีแห่งมิตรภาพ ขอบคุณน้ำใจช่วงวิกฤต ย้ำ ‘จีนไทยพี่น้องกัน’

(11 มิ.ย. 68) นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความ 'จีนไทยพี่น้องกัน ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต' ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ โดยกล่าวถึงความประทับใจตลอด 4 ปีของการทำหน้าที่ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใสของความสัมพันธ์จีน-ไทย

ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตหานยกย่องน้ำใจของคนไทยและความช่วยเหลือที่สองประเทศมีให้กัน พร้อมระบุว่า “ความร่วมมือในยามยาก” ได้ทำให้มิตรภาพระหว่างประชาชนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง

นายหาน จื้อเฉียง ยังเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เช่น การจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรม WHA และการส่งออกทุเรียนไทยไปจีน ซึ่งล้วนสะท้อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองประเทศ

ในด้านวัฒนธรรม นายหานชื่นชมการแลกเปลี่ยนที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งยุคฟรีวีซ่า ความนิยมของภาพยนตร์ไทยในจีน และการเรียนภาษาจีนในไทย ซึ่งมีนักเรียนกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและความผูกพันของประชาชนทั้งสองชาติ

ทั้งนี้ ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต หาน จื้อเฉียง ย้ำว่าจีน-ไทยยังคงเคารพ ไว้วางใจ และสนับสนุนกันอย่างมั่นคง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เชียงใหม่- 'วีระศักดิ์' อดีต รมว. ท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่'

สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่' เพื่อนำคำชี้แนะมาพัฒนาต่อยอด และยกระดับ ของสมาคม และการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ณ โรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่  นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ในวาระสมัย ปี 2568-2570 , ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ,อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ “ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่”โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งเจ้าภิคินัย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, นายกสมาคมและตัวแทนสมาคมพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่, พะเยา ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรับฟังบรรยาย นำคำชี้แนะ ไปพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง เป็นปกติที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปค้นหาที่เที่ยวใหม่ๆ ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ยังเข้ามาเยือนประเทศไทยอยู่นั้นเป็นกลุ่มสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจกับเขาให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตามไม่ฝากความหวังไว้กับตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยจะต้องมีการค้นหาตลาดใหม่เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการท่องเที่ยวไทยให้มั่นคงมากขึ้น 

โดยจะต้องบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งส่วนราชการ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ในการจัดทำศูนย์ข้อมูลกลางรวบรวมจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ แบ่งบทบาท แบ่งหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวตามกลุ่มเป้าหมาย หรือภาคธุรกิจอื่นๆ ที่อยากเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยวกับเราอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่แข่งแย่งกัน

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ รายได้ของจังหวัดเชียงใหม่70% มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มีความสำคัญ เป็นหน้าที่ที่เรามาจับมือคนรอบข้างแล้วเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคม เข้าไปมีส่วนร่วมกับหลายๆภาคส่วนที่จะร่วมกัน เพื่อที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือการทำให้เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ“ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ในหัวข้อ การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs),แนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เพื่อรองรับกลุ่มนักเดินทางเชิงสุขภาพ และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing  พร้อมทั้งมีการหารือร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน ด้านการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

การจัดงานบรรยายพิเศษ "ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่"ในวันนี้ เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์จากผู้เชี่ยวชาญ และร่วมหารือ ในประเด็น การสร้างอัตลัษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs) โดยให้ความสำคัญกับ Food-Festival-Fun ที่โดดเด่นของเชียงใหม่
- Food (อาหารพื้นถิ่น/ เทศกาลอาหารฮาลาล/ สตรีทฟู๊ด/ ผักผลไม้ GI/ มิชลิน)
- Festival (Big 5: งานไม้ดอก/ สงกรานต์/ pride and mu month/ ยี่เป็ง/ design week)
- Family & Fun (กลุ่มครอบครัว/ csr/ team building)

แนวทางการยกระดับสินค้า และผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing การเข้าร่วมงาน Trade Show เช่น ITB, WTM , TTM+ รวมถึงออกแบบแพคเก็จการท่องเที่ยวแบบครบวงจรสำหรับกลุ่มนักเดินทางต่างประเทศ เช่น Chiang Mai Pass, TAGTHAi Pass เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในเรื่องของการยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยทั้งในการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
          
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการบรรยายในวันนี้ จะได้รับคำชี้แนะ การพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งจะเกิดประโยชน์กับทุกท่าน และ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมให้การสนับสนุนทางจังหวัด  สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ อย่างเต็มที่

นางพัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างเช่น นักท่องเที่ยวจีนมีลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับภาพรวมของประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยลดน้อยลง 

อย่างไรก็ตามทาง ททท. ยังดำเนินการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องผ่านการจัดแคมเปญ “สวัสดีหนีห่าว” ซึ่งเป็นการเชิญบริษัทนำเที่ยวรวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์จากจีนเข้ามาสำรวจบรรยากาศการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

‘หมอแอร์’ ใช้ชื่อคนตาย 370 คน รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยว พบเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้าน

(10 มิ.ย. 68) ‘หมอแอร์’ งานเข้าซ้ำ ชื่อคนตาย 370 คน โผล่รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยวด้วย อึ้งเงินหมุนเพิ่ม 400 ล้าน ลุยตรวจสอบคลินิก 11 แห่งพรุ่งนี้

จากกรณีตำรวจและ อย.เข้าตรวจสอบคลินิกสั่งซื้อยานอนหลับ ก่อนเชื่อมโยงถึง หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล พร้อมจับกุมชายรายหนึ่ง ซึ่งรับเป็นผู้ดูแลห้องพักภายในแฟลตตำรวจ พร้อมยึดของกลางกลุ่มยานอนหลับ ที่บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง เบื้องต้นพบเงินหมุนเงินกว่า 80 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ล่าสุดวันที่ 10 มิ.ย.68 ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลตำรวจ เพียงแต่ หมอแอร์ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลตำรวจ โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้ว

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า จากการตรวจสอบได้รับการรายงานว่า ผู้ป่วยที่มารับยาที่คลินิก มีสถานะเสียชีวิต ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ก่อนที่จะรับยาตั้งแต่ปี 2567 จำนวน 250 คน และปี 2568 จำนวน 120 คน ช่วง 2 ปีนี้พบคนถูกสวมเอกสาร 370 คน

นอกจากนี้คาดว่าจะมีหมอที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 5-6 ราย โดยในวันที่ 11 มิ.ย. จะเข้าตรวจค้นคลินิกเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ที่อาจเชื่อมโยง โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะดำเนินการตรวจสอบ และจะแถลงข่าวการจับกุมเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า สำหรับแพทย์หญิงคนนี้ถูกจับกุมตัวแล้วที่บ้านพักย่านราชดำริ กรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบพบเส้นทางการเงินพบมีความผิดปกติ โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาทและไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและยาเสพติด

“เบื้องต้นพบว่าอาจมีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 2 และ 4 ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง และได้มีการประสานไปยังแพทยสภาเพื่อสอบสวนและดำเนินการตามขั้นตอน หากพบความผิดชัดเจน อาจนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์”

‘ฮุน เซน’ โพสต์เดือด!..ท้าทายไทยจับกุมนักเคลื่อนไหว สวมชุดเครื่องแบบทหารเขมร ปลุกปั่นสถานการณ์ชายแดน

(10 มิ.ย. 68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อความรุนแรงผ่านเฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia เรียกร้องให้ทางการไทยจับกุมนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในไทย โดยกล่าวหาว่าเป็น “คนทรยศชาติ” ที่สมคบคิดกับศัตรูเพื่อทำลายประเทศตัวเอง และท้าทายว่าหากไทยไม่มีส่วนรู้เห็น ก็ควรกล้าหาญจับกุมส่งกลับกัมพูชา

สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างอิงแถลงการณ์จากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ที่ชี้เป้าบัญชีโซเชียลมีเดีย TikTok "Amy Richard310" และเฟซบุ๊ก "Piseth P G EM" ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อบ่อนทำลายกองทัพและสร้างความเข้าใจผิดให้สาธารณชน โดยระบุว่าบุคคลเบื้องหลังคือ นายเอม พิเศฐ (Em Piseth) อายุ 37 ปี หัวหน้าเครือข่ายเยาวชนกัมพูชาทั่วโลกในประเทศไทย

ทางการกัมพูชากล่าวหาว่า นายเอม พิเศฐ ซึ่งเดิมเป็นชาวจังหวัดพระวิหารและปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีการสวมเครื่องแบบทหารปลอมอย่างผิดกฎหมาย และใช้โซเชียลมีเดียโพสต์เนื้อหาเชิงลบ กุเรื่องขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกัน พลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ปฏิเสธข่าวลือที่ถูกเผยแพร่ในคลิปดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้ถอนทหารออก และเตือนนายเอมให้หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า “คุณไม่ใช่ทหาร คุณไม่ได้อยู่ในกัมพูชา อย่าสร้างปัญหาให้มากนัก... ไม่มีใครเชื่อคุณอีกแล้ว” โดยโฆษกตำรวจกรุงพนมเปญจึงเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน และงดแสดงความคิดเห็นที่อาจสร้างความสับสน

ขณะนี้ทางการกัมพูชาอยู่ระหว่างสอบสวนและจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น และขอให้อยู่ในความสงบเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ

‘เอกนัฏ’ ข้องใจ 21 สส. รทสช. ปมร่อนเอกสารบีบปรับครม. ไล่เช็กรายตัว จริงหรือมั่ว!! ขณะที่ ‘เฮ้ง’ เมินรับสาย ซัด คนเสียประโยชน์ ป่วนให้แตกแยก

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ (10 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงปัญหาภายในพรรคว่า ในพรรคไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังเหมือนยังเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีเอกสารรายชื่อ 21 สส.ส่งถึงนายกฯ ขอปรับครม. เป็นเพราะคุยกันในพรรคไม่รู้เรื่องหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงทั้งตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน รู้ดีว่าในภารกิจการทำงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเจออะไรบ้าง แต่เราต้องมุ่งมั่นภารกิจของเรา

ส่วนข่าวเรื่องเอกสารที่ออกมา ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบว่ามีการยื่นเอกสารให้กับนายกฯจริงหรือไม่ เพราะมีข้อพิรุธหลังจากมีเอกสารออกมาแล้ว พบว่าสส.หลายคนออกมาปฏิเสธ เช่น สส.ชุมพร 3 คนที่ออกมาพูดเพราะเอกสารออกไปแล้วทำให้คนเข้าใจผิด

นอกจากนั้นยังเห็นสิ่งผิดปกติของลายเซ็น ที่บางคนออกมาปฏิเสธ รวมถึงในเนื้อความเขียนว่า รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีความรู้ความสามารถ ขาดจริยธรรม และลงชื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของพรรค ลำดับแรก รับรอง จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายสุชาติได้เห็นและลงนามในเอกสารจริงหรือไม่

ถ้าลงลายมือชื่อก็เท่ากับรับรองและด่าตัวเองว่าไม่มีความรู้ ความสามารถ และต้องไปถามนายสุชาติว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เท่าที่ดูหลายลายเซ็นไม่ตรงกับเอกสารที่ใช้ในราชการ สส.คนอื่นที่สมัครสมาชิกพรรคลายเซ็นไม่ตรงบางคนเซ็นแค่ตัวอักษรนำ ซึ่งผิดวิสัยเอกสารสำคัญ เช่น เขียนตัวพีตัวเดียว

ทั้งนี้ ตนยังไม่เห็นเอกสารตัวจริง และเรื่องในพรรคต้องไปจัดการในพรรค ไม่เกี่ยวกับเสถียรภาพ แต่ไม่เคยเห็นมีการไปเซ็นเอกสารที่ต่อว่าหัวหน้าพรรค เลขาฯ ที่ท้าทายกดดันนายกฯ ให้ปรับครม.ที่มีใจความในลักษณะนี้

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ หรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ให้โอกาสและขอสื่อสารผ่านสื่อว่าขอให้ทำให้โปร่งใส ใครที่มีรายชื่อปรากฏในเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ได้มีเจตนากดดันนายกฯ ไม่ได้มีเจตนาด่ารัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความรู้ความสามารถจริยธรรม ก็ต้องออกมาชี้แจง

โดยตนได้พูดคุยกับสส.ทีละคนตั้งแต่มีภาพปรากฏไปรวมตัวกัน และมีข่าวจะย้ายพรรคขณะที่ส.ส. ก็ออกมาประกาศว่าไม่เป็นความจริง และวงที่คุยไม่ใช่เรื่องการย้ายพรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีรายชื่อก็เช่นเดียวกัน ที่ขอตั้งข้อสังเกตและชวนสื่อไปดูว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเอกสารดังกล่าว วันนี้เมื่อมีคนออกมาปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 3-4 รายชื่อ จาก 21 รายชื่ออย่างนี้เรียกว่าเป็นเอกสารเถื่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าใครเป็นคนดำเนินการเอกสารดังกล่าว เลขาฯรทสช.กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนรวบรวมรายชื่อ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานของทั้งตนและนายพีระพันธุ์ เราไปสร้างศัตรูไว้เยอะ ก่อนหน้านี้มีการไปลงขันกันด้วยเงินหลายร้อยล้านบาท หลังจากโรงงานที่ตนไปยกเลิกและปิดโรงงาน ซึ่งการลงทุนฆ่าหรือย้ายตนง่ายกว่าไปปรับคุณภาพโรงงาน เพราะภารกิจของเขา คือต้องการเอาตนเอาออกตำแหน่งให้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสข่าวที่ทำเช่นนี้เพื่อขอให้ขับออกจากพรรคหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ถ้าใครเห็นว่าจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค ไม่เป็นไปตามอุดมการของเขาก็มีสิทธิ์ลาออก แต่ตราบใดที่เป็นสมาชิกของพรรค ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรค

เมื่อถามย้ำว่าคนที่ลาออก อาจจะขาดสมาชิกภาพ จึงต้องการให้พรรคขับออก นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องย้อนดูว่าการกระทำที่มีความผิดต่อพรรคร้ายแรง เช่น การผิดจริยธรรมร้ายแรงและการบิดเบือนเอกสาร การปลุกปั่นทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคเพื่อหวังผลใดๆ และสิ่งเหล่านี้อาจมีผลทำให้ขาดสมาชิก และขอให้กลับไปอ่านข้อบังคับพรรคดูดีๆ

คนที่ปรากฏลงลายมือชื่อ ให้ไปถามสส.ว่าได้ลงลายมือชื่อจริงๆหรือไม่ ส่วนที่มีชื่อของนายสุชาติ ก็ต้องไปถามนายสุชาติ เพราะตนโทรไปไม่รับ แต่สส.คนอื่นที่ตนโทรไปรับและระบุว่าไม่มีอะไร เช่นนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี ยังระบุว่ารักพรรคเหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร แต่หากทำอะไร ไม่ถูกต้องก็อาจขาดสมาชิกภาพที่ขัดข้อบังคับพรรค โดยไม่ต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรคขับออกได้

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าแปลกหรือไม่ ที่ใครจะเซ็นชื่อตัวเองมาปลดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ถามว่าใครจะไปเซ็นรับรองข้อความนั้น” นายเอกนัฏ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคเสนอชื่อปรับครมในส่วนของพรรค จะปรับหรือไม่ไหน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปรับหรือไม่ปรับ ต้องรอสัญญาณจากนายกฯก่อนเพราะนายกฯจะเป็นคนลงนามภายใต้สัญญาที่มีให้กัน ส่วนจะปรับหรือไม่ปรับอย่างไรเป็นกลไกของแต่ละพรรค ขอให้เป็นไปตามการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค เพราะบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมืองทุกอย่างมีกติกาอยู่

เมื่อถามว่าใน 21 รายชื่อ มีใครที่ไม่ได้เซ็นชื่อจริงได้ตรวจสอบหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีทยอยมาชี้แจง แต่ยังไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่าได้ยื่นเอกสารจริงหรือไม่ และที่ตนได้พบกับนายกฯ เมื่อตอนเช้า ก็พูดถึงเรื่องของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งนายกฯ ให้กำลังใจในทุกเรื่องและที่ผ่านมาก็สนับสนุนการทำงานของตนตลอดมา

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีปรากฏการณ์ความแตกแยกภายในพรรค มาเป็นระยะ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ได้เตรียมใจไว้แล้ว ตนเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ การทำงานของตนอาจจะไปเหยียบเท้าใครก็ได้ จึงทำทุกวิธีการในการจัดการ คนแทงจากข้างนอกอาจเห็นว่าไม่เจ็บเท่าข้างใน จึงต้องมาป่วนข้างใน

เชื่อว่าคนที่ขัดผลประโยชน์สร้างเรื่องเพื่อให้เกิดความแตกแยก ตนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ที่ผ่านมากรรมการบริหารพรรคได้สื่อสารพูดคุยกับสส.ที่มีการประชุมมาตลอดไม่มีปัญหา

นักศึกษา มจธ.เจ๋ง!! คิดค้นโครงสร้างต้านทานแผ่นดินไหว นวัตกรรมลดความเสียหายโครงสร้างหลัก

(10 มิ.ย.68) เมื่อแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทยอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึง 24 จังหวัดของไทย รวมถึงกรุงเทพฯ จนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้ปลอดภัยจากภัยแผ่นดินไหวอีกต่อไป และในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณใกล้แนวรอยเลื่อนหลัก กำลังเผชิญความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างอาคารจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ

จากโจทย์ระดับประเทศนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้แก่ นายศิรวิทย์ เทียนทอง (นัท) นายนภัสกร วงษ์หิรัญ (ฟาโรห์) และนายปาณทัช ทองอู๋ (ทัช) ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการวิจัย “Seismic Performance of Self-Centering Column-Foundation Connections with Energy Dissipating Bolts” หรือ การศึกษาพฤติกรรมการต้านทานแผ่นดินไหวของรอยต่อเสา-ฐานราก ระบบคืนศูนย์ด้วยตนเองทำงานร่วมกับสลักเกลียวสลายพลังงาน” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อจำกัดความเสียหายให้อยู่เฉพาะจุดเชื่อมต่อของโครงสร้างระบบสำเร็จรูป (Precast system) แทนที่จะกระจายไปสู่โครงสร้างหลักอย่างเสาและคาน ซึ่งซ่อมแซมได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า โดยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจาก ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง

งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาระบบเชื่อมต่อระหว่างเสากับฐานรากแบบใหม่ เรียกว่า Hybrid Column Shoe Connection (HYSC) ซึ่งสามารถสลายพลังงานจากแผ่นดินไหว ลดความเสียหายของโครงสร้างหลัก และคืนตัวกลับสู่ตำแหน่งเดิมหลังการสั่นไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเชื่อมต่อแบบแห้ง (dry connection) ร่วมกับลวดอัดแรงแบบดึงทีหลัง (post-tensioned tendons) และสลักเกลียวช่วยในการสลายพลังงาน (energy-dissipating bolts) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ปลอดภัย และลดต้นทุนรวมถึงระยะเวลาก่อสร้าง

“ระบบ HYSC ได้รับการออกแบบให้สามารถควบคุมความเสียหายให้อยู่เฉพาะบริเวณรอยต่อระหว่างเสากับฐานรากเท่านั้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบโครงสร้างหลัก เช่น ตัวเสาหรือฐานราก การใช้ลวดอัดแรงแบบดึงทีหลังประมาณ 50% ของกำลังประลัยจะช่วยเพิ่มความสามารถในการคืนรูปของโครงสร้างหลังจากได้รับแรงแผ่นดินไหว เช่นเดียวกับการออกแบบสลักเกลียว (bolts) ให้มีขนาดหน้าตัดลดลงอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถสลายพลังงานจากการสั่นไหวได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อเสา โครงสร้างจึงสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องรื้อถอนหรือซ่อมแซมในวงกว้าง ซึ่งเป็นการลดทั้งต้นทุนและเวลาสำหรับการก่อสร้างและการบำรุงรักษาในระยะยาว” นายปาณทัช ทองอู๋ เล่าถึงแนวคิดหลักของงานวิจัย

นายศิรวิทย์ เทียนทอง เสริมอีกว่า ระบบ HYSC ถูกพัฒนาขึ้นโดยอิงจากสถานการณ์จริงของอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้นในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยประสบภัยแผ่นดินไหวในปี 2557 โดยในครั้งนั้นพบว่าอาคารส่วนใหญ่เกิดความเสียหายที่จุดต่อและไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ทันที แม้โครงสร้างจะยังคงแข็งแรงอยู่ นวัตกรรมนี้จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะอาคารที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้ระบบป้องกันแผ่นดินไหวที่มีต้นทุนสูงเช่นในต่างประเทศได้

“ตอนเราทดลองเทียบกับระบบเดิมที่ใช้อยู่ทั่วไป พบว่าระบบ HYSC ควบคุมความเสียหายให้อยู่แค่ตรงจุดต่อ ไม่ลามไปถึงเสาแบบระบบ Monolithic Shoe Connection (MOSC) ซึ่งเป็นระบบแบบเดิม และโครงสร้างยังสามารถคืนตัวได้หลังจากเกิดการเคลื่อนตัวทางข้างถึง ±4.5% ซึ่งระบบ MOSC ทำไม่ได้ ที่สำคัญคือ HYSC ดูดซับพลังงานได้มากขึ้น จากเดิมสลายพลังงานได้แค่ 12.5% เพิ่มเป็น 22.5% โดยที่ความแข็งแรงโดยรวมไม่ได้ลดลงเลย” นายนภัสกร วงษ์หิรัญ เสริมถึงผลการทดสอบที่เกิดขึ้น

ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษา ได้กล่าวถึงอีกความสำคัญของนวัตกรรมนี้ว่า “สิ่งที่นักศึกษาได้เรียนรู้จากโครงการนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำรา แต่คือการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาจริง ผ่านกระบวนการคิด ทดลอง และเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งนี่คือหัวใจของวิศวกรรมศาสตร์ และเป็นเป้าหมายของภาควิชาที่ต้องการสร้างบัณฑิตที่พร้อมทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือผลงานนี้แสดงให้เห็นว่า การออกแบบโครงสร้างที่รับแรงแผ่นดินไหวได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศเสมอไป แต่วิศวกรไทยควรมีทางเลือกในการออกแบบที่ยืดหยุ่น ใช้วัสดุในประเทศ ต้นทุนไม่สูง และเหมาะกับบริบทของพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ความปลอดภัยและเป็นหลักประกันของคนไทยในอนาคต”

แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองเชิงวิชาการ แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปต่อยอดใช้จริงในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐและเอกชนเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยทางโครงสร้างที่สามารถลดความเสียหายและความสูญเสียจากแผ่นดินไหวทั้งในด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทย นวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักศึกษาวิศวกรรมโยธา มจธ. ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การ “ออกแบบจุดเชื่อมต่อ” แต่คือการ “เชื่อมโยงสู่อนาคต” ที่ปลอดภัยของคนไทยจากภัยแผ่นไหวที่อาจเกิดขึ้นอีก

รายงานพิเศษ 'RECON' รบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน พร้อมปฏิบัติภารกิจตลอดเวลา

แม้จะถูกต้านทานอย่างหนักจากศัตรูที่โหดเหี้ยม ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศจะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่ เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่าภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด แม้ชีวิต

คำปฏิญาณของ นักเรียนหลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก และจู่โจม นาวิกโยธิน หรือ 'รีคอน' เป็นหลักสูตรการรบพิเศษที่ขึ้นชื่อว่า ทรหดอันดับต้น ๆ ของกองทัพไทย จนมีฉายาเป็นนักรบ 3 มิติ เพราะสามารถปฏิบัติการได้ทั้งน้ำ ฟ้า ฝั่ง และมักจะมีคำพูดอยู่เสมอว่า 'ซีล มีสัปดาห์นรก รีคอน มีนรกทุกสัปดาห์'

อุปสรรคครั้งนี้ คือไฟที่ร้อนระอุ เหล่า รีคอน ต้องฝ่าไป เมื่อในสถานการณ์จริงเกิดมีอุปสรรคแบบนี้ การปฏิบัติหน้าที่จริงจะมีทักษะในการฝ่าไป เพื่อปฏิบัติภาระกิจลุล่วงและปลอดภัย จงขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ลำบากและเหนื่อยยาก เพราะเราจะได้รับใช้ชาติและตอบแทนคุณแผ่นดิน เมื่อถึงเวลา

ลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน หรือที่เรียกว่า 'RECON' จะเป็นหลักสูตรประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีระยะเวลาในการฝึก 12 สัปดาห์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังพลของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อว่า 'มีความโหดมาก' ตลอดการฝึกหลักสูตร เรียกได้ว่า 'นรกทุกสัปดาห์' แต่ก็ยังมีกำลังพลจากต่างเหล่าทัพให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ที่จะมาเข้ารับการฝึก เนื้อหาหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ตั้ง ภาคทะเล และภาคป่าภูเขา มีเนื้อหาหลักสูตร เน้นไปทางการลาดตระเวน ทั้งการเดินลาดตระเวนทางบกและการใช้เรือยางในการลาดตระเวนทางน้ำ มีพื้นที่รับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 18 ฟุตขึ้นมาจนถึงชายฝั่ง มีปัญหาการฝึกหนักๆ ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ปัญหา 60 ชั่วโมง ปัญหาภาคทะเล และปัญหา 72 ชั่วโมง เฉลี่ยผู้สำเร็จการศึกษา อยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่อ่อนข้อให้กัมพูชา พร้อมส่งสัญญาณให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่ขออ่อนข้อให้กัมพูชา ชู 6 มาตรการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน จี้ให้ยกเลิก MOU 43 ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ใน JBC

(10 มิ.ย. 68) ที่ศูนย์ร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยกลุ่มแนวร่วมที่สนับสนุน รวมถึงนักวิชาการและประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจำนวนมาก เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นายวีระ สมความคิด นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ นายใจเพชร กล้าจน นายคมสัน โพธิ์คง นายประพันธ์ คูณมี ฯลฯ ทยอยเดินทางมารวมตัวเพื่อ แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยกรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับกัมพูชา

ทั้งนี้ นายสนธิ และคณะ ได้ยื่นหนังสือผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ถึง น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงสาย มีบรรดาผู้สนับสนุนเดินทางมาร่วม อาทิ กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับป้ายข้อความแสดงจุดยืนต่างๆ อาทิ การยกเลิก MOU43 และ MOU44 ที่ไม่จำเป็นต้องมี รวมถึงการเพิกถอน JC 2544

"ผมยืนยันถึงเวลาที่ต้องปกป้องอธิปไตยไทย และทำให้รัฐบาลชั่วช้า จะลงถนนตนไม่ขัดข้องถึงอายุ 78 ปี จะเป็นการลงครั้งสุดท้ายก่อนตายตนก็ยินดี และเชื่อว่าประชาชน หรือว่าทุกคนบนโต๊ะนี้ร่วมกับผมแน่ และขอฝากถึง นายกฯแพทองธาร นายภูมิธรรม นายทักษิณ ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย เรามาเตือนรัฐบาล ใครก็ตามที่มีเจตนาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการเจรจาทวิภาคี คือการสละอธิปไตย เป็นกบฏ 20 ปีที่ทำเรื่องนี้มา เรามีหลักฐานว่าความผิดสำเร็จแล้ว เราไม่อยากสิ้นชาติ สิ้นรัฐบาลไม่เป็นไร" นายสนธิ กล่าว

ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า แม้มีสัญญาณว่ากัมพูชาจะถอยแต่เราไม่เชื่อ เราเชื่อว่าเป็นการถอยทางยุทธวิธี เพราะปัจจุบันเรายังไม่สามารถไว้วางใจได้ เรายังเห็นท่าทีของกัมพูชาเป็นปัญหาภัยคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจของไทย อีกทั้ง กัมพูชายังประกาศว่าพื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต) เป็นของกัมพูชาและจะนำเรื่องเข้าสู่การตัดสินที่ศาลโลก และกัมพูชายังยึดมั่นในพื้นที่มาตรา 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการรุกล้ำฝ่ายไทยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2547 มีการละเมิดข้อตกลงไปแล้ว 470 ครั้ง อีกทั้ง MOU 2543 สร้างความขัดแย้งให้กับไทย-กัมพูชา มา 25 ปี รวมทั้งกัมพูชายึดเส้นเขตไหล่ทวีปทางทะเลและสร้างสิ่งปลูกเพิ่มยื่นเข้ามาในอ่าวไทย ที่สำคัญกัมพูชาเป็นพื้นที่อาชญากรรมทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทยตลอดแนวชายแดน ไม่ว่าจะกาสิโน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ และการทำลายสัตว์ป่า ป่าไม้ตลอดแนวชายแดนของประเทศไทย ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเรียกร้องให้รัฐบาล ทำตาม 6 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 รัฐบาลไทยต้องไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับการที่กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ยอมรับอำนาจจากองค์กรอื่นหรือประเทศอื่นมาตัดสินในเรื่องอธิปไตยของประเทศไทย และใช้กลไกทวิภาคีเจบีซีเท่านั้น

มาตรการที่ 2 ไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาและทางสากล ว่า 3 ปราสาทและ 1 ดินแดน เป็นดินแดนอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มีการแบ่งเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วระหว่างสยามและฝรั่งเศส ต้องแก้ไขคำพูดของ นายภูมิธรรม ว่าการรุกล้ำของกัมพูชาต้องแก้ไขที่เป็น โนแมนสแตน ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทยของราชอาณาจักรไทยเท่านั้น

มาตรการที่ 3 ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

มาตรการที่ 4 ยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ยกเลิกเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา และใส่เส้นมัธยะตามหลักสากล

มาตรการที่ 5 สั่งการและมีมติเพิ่มเติมอำนาจต่อรองให้คณะเจรจา ไม่ว่าจะปิดด่าน แก้ปัญหาชายแดนพนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาวุธสงคราม ยาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ต้องกดดันต่อด่านปอยเปรตและกาสิโนทั้งหมด

มาตรการที่ 6 หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เลวร้าย ไม่สามารถเจรจาได้ ภาคประชาชนสนับสนุนให้กองทัพไทยประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากความผูกพันทางเครือญาติของผู้นำการเมืองทั้งสองประเทศ หรือการสมยอมผลประโยชน์ส่วนตัวซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ

ด้านนายวีระ กล่าวว่า หากใช้เอ็มโอยู 2543 ไปเจรจาเราจะแพ้กัมพูชา แค่เริ่มก็แพ้ และขอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจรจาคือ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ทำให้ตนถูกจำคุกที่ กรุงพนมเปญ ให้ยอมรับว่าเราเข้าไปในเขตกัมพูชาทั้งที่เป็นเขตของประเทศไทย กล่าวหาว่าเราเป็นสายลับ ไปโจรกรรมความลับในกัมพูชา ขอยืนยันถ้าไทยจะให้ นายประศาสน์ เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ตนว่าประเทศเสียหาย และรัฐบาลแพทองธารต้องรับผิดชอบ เราถูกหลอก รัฐบาลหลอกประชาชน หลักฐานคือเมื่อวานกระทรวงกลาโหมกัมพูชากับ จอมพลสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกแถลงยืนยันว่ายังไม่ถอนทหารแค่ปรับกำลัง ประเทศไทยกลับออกข่าวว่ามีการถอนทหาร กัมพูชายอมแล้ว

จากนั้น นายสนธิ และแกนนำคนอื่นๆ ได้เดินออกมาพูดคุยกับมวลชน บริเวณด้านหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อพูดคุยถึงข้อตกลงต่างๆ ที่ส่งให้นายกรัฐมนตรีแล้ว

สำหรับบริเวณด้านหน้า นายจตุพร กล่าวว่า ไทยเสียดินแดนมากกว่าที่เหลือ ช่วงรัชกาลที่ 9และรัชกาลที่ 10 พูดว่าจะไม่ยินยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯแพทองธาร และนายทักษิณ เราเห็นเรื่องดินแดนเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพื้นที่ของนายกฯ ตรงข้ามกับแหล่งปัญหาทุกเรื่อง จะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามตะกร้อ "โนแมนแลนด์ แปลว่าแผ่นดินไม่มีเจ้าของ แต่แปลว่าชายที่ไม่มีแผ่นดินอยู่" เมื่อมีการยืนยันชัดเจนว่า 3 ประสาทจะนำขึ้นศาลโลก ไม่ประชุมในโต๊ะเจบีซี และประเทศไทยส่ง นายประศาสน์ ไปเจรจาเรื่องประสาท ความเป็นจริงการเจรจาต้องยกเลิกเพราะเจบีซีคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ขอเจรจากับกัมพูชา

ด้านนายสนธิ กล่าวกับมวลชนว่า ตนได้ประกาศไปแล้วว่าเรื่องอะไรพอจะรับกันได้นั่นคือ อดทนกันได้ แต่ถ้าเรื่องอธิปไตยของชาตินั้นยอมกันไม่ได้เลย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องแตกหักกัน ตนเชื่อว่าประเทศไทยคนไทยทั่วประเทศจะเข้ามาร่วมกับตนและพวกเรา ในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ เพราะว่าเรามีคนไทยใจเขมร แม้กระทั่งประธาน JBC ซึ่งรัฐบาลชุดนี้แต่งตั้ง ที่เป็นอดีตทูตไทยประจำกัมพูชา การเอาอดีตทูตไทยประจำกัมพูชามาเป็นประธาน JBC แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จริงใจต่อการเจรจา เรามีข้อสรุปว่ากัมพูชายังไม่ได้ถอยจริง เรายื่นข้อเสนอ ว่าถ้ายังแก้ไขไม่ได้เราจะให้ทหารเข้ามาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา และคนไทยขายชาติซึ่งตนมีรายชื่อหมดแล้ว อย่าประมาทประชาชน พวกเราทำอะไรมีเหตุมีผลตลอดเวลา เราไม่รับอำนาจศาลโลก เราไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่ตนคิดว่าคนไทยไม่กลัวกัมพูชา และทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา

"วันนี้เราประสานงานกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะกลุ่มจตุพร พรหมพันธุ์ ผม และอาจารย์ปานเทพ ร่วมมือเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ แล้วไล่ฮุน เซนให้ลงนรกไป" นายสนธิ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top