Sunday, 6 October 2024
NEWS FEED

'ซุปเปอร์บอน' สับศอกน็อก 'โจ ณัฐวุฒิ' ยกแรก ประกาศ!! ขอนัดล้างตา 'ตะวันฉาย' ต่อไป

(28 ก.ย.67) จากการแข่งขันมวยไทย รายการ ONE ลุมพินี 81 ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 27 ก.ย.67 คู่เอกนำรายการ ซึ่งเป็นการพบกันของ 'ซุปเปอร์บอน' ซุปเปอร์บอนเทรนนิงแคมป์ แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) กับ 'โจ ณัฐวุฒิ' นักสู้มาดอินดี้วัย 35 ปี จากโคราช โดยทั้งคู่ดวลกัน ภายใต้กติกามวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต

สำหรับ 'ซุปเปอร์บอน' ชกใน ONE มาแล้ว 7 ไฟต์ มีผลงานคว้าชัยได้มากถึง 5 ครั้ง โดยล่าสุดเพิ่งเอาชนะคะแนน มารัต กริกอเรียน จอมบู๊ วัย 35 ปี จากอาร์เมเนีย ในศึกใหญ่แรกของปี ONE ลุมพินี 58 เมื่อ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ขึ้นนั่งบัลลังก์แชมป์โลกเฉพาะกาล ของกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ได้สำเร็จ ซึ่งผู้ชนะไฟต์นี้

ปรากฎว่า แค่เพียง 30 วินาที ซุปเปอร์บอน ฟันศอกซ้ายใส่ โจ จนได้เลือด ก่อนจะสับศอกขวา ส่งโจ หล่นไปกอง แม้ โจ จะพยายามลุกขึ้นมาตั้งสติ แต่ผู้ตัดสินเห็นท่าไม่ดี ให้ ซุปเปอร์บอน ชนะน็อกตั้งแต่ยกที่ 1 ด้วยเวลารวม 1.43 นาที พร้อมทั้งได้รับโบนัส 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 1.6 แสนบาท 

ทั้งนี้ หลังจากผลการชกเสร็จสิ้น ซุปเปอร์บอน ได้ประกาศขอล้างตากับ ตะวันฉาย พีเค แสนชัยมวยไทยยิม ต่อไป

'อ.เจษฎา' แนะ!! ควรนำ DNA หมอคางดำแอฟริกาเทียบที่ระบาดในไทย อีกทั้งยังตัดเรื่องผู้ลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้

(27 ก.ย. 67) หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (อนุ กมธ.อว.) ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำ ว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักร และผลศึกษาบ่งชี้ว่าปลาหมอคางดำที่ระบาดในไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน รวมถึงยังอ้างอิงข้อมูลของ อ.เจษฎา นั้น

ล่าสุด ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นที่ปรึกษาของ 'อนุ กมธ.อว.' ชุดนี้ ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำที่ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงผลการดำเนินงาน การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พบว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

อ.เจษฎา กล่าวว่า มีส่วนจริงที่บอกว่ามีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวที่ขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อนำมาวิจัย แต่ปลาตายหมดแล้วไม่สามารถทำวิจัยต่อได้ จึงทำให้หลายคนมองว่าบริษัทเอกชนดังกล่าวคือจุดกำเนิดการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ แต่ตอนนี้ถ้าจะให้สรุปผลแบบรวบรัด ก็ยังตัดเรื่องที่มีคนลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้ เพราะในเชิงอุตสาหกรรม ในเชิงผู้เลี้ยงปลาสวยงามหรือปลาแปลก ๆ ทุกคนรู้ดีว่ามีการลักลอบนำเข้ามาสารพัดทางอยู่แล้วแม้จะมีการตรวจสอบแต่ในสมัยนั้นปลาพวกนี้ยังไม่มีกฎหมายห้ามนำเข้า 

ทางด้านผลการวิจัย DNA ปลาหมอคางดำ ความจริงแล้วอยากจะได้ DNA ของปลาสมัยที่บริษัทเอกชนนำเข้ามาเมื่อ 10 ปีก่อนมาสกัด DNA เพื่อเทียบว่า DNA ของปลาหมอคางดำในตอนนั้นตรงกับ DNA ของปลาหมอคางดำที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาคือ บริษัทเอกชนได้นำเข้าปลาหมอคางดำจากประเทศกานา ก็เลยเสนออธิบดีกรมประมงว่ามีอีกทางหนึ่งก็คือ ขอ DNA ปลาหมอคางดำจากประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา เช่น กานา โกตดิวัวร์ มาเทียบกับตัวอย่างของปลาหมอคางดำในไทยเพื่อทำสโคปให้แคบลง

เปิดเหตุผลกางเกงทรงขาบานของทหารเรือ สะดวกต่อภารกิจ-เซฟชีวิตในยามคับขัน

(27 ก.ย. 67) จากเพจ 'เจาะเวลาหาอดีต' โพสต์เนื้อหาในหัวข้อ 'ทำไมทหารเรือต้องนุ่งกางเกงขาบาน' โดยได้เผยเหตุผลที่ทหารเรือต้องนุ่งกางเกงขาบาน 3 ประการ ดังนี้...

ประการแรก กางเกงขาบานเหมาะที่จะสวมกับรองเท้าบูท โดยปกติแล้วทหารเรือจะนอนโดยมีรองเท้าวางอยู่ใกล้ ๆ ตัว กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สวมรองเท้าได้อย่างรวดเร็ว ทหารเรือไม่ต้องยัดปลายกางเกงไว้ในรองเท้าเช่นทหารในกองทัพอื่น ทำให้ใส่รองเท้าได้รวดเร็ว ทั้งปลายกางเกงที่บานออกก็เลิกขึ้นให้ใส่รองเท้าบูทได้ถนัด ๆ และเมื่อทหารเรืออยู่บนดาดฟ้าเรือ กางเกงขาบานนี่แหละที่ช่วยป้องกันละอองน้ำและน้ำฝนกระเซ็นเข้ารองเท้า

ประการที่สอง กางเกงขาบานง่ายแก่การพับ เนื่องจากทหารเรือมักต้องขัดดาดฟ้าเรือด้วยน้ำยาเคมีอยู่บ่อย ๆ จึงต้องพับกางเกงขึ้นไม่ให้ถูกน้ำยาอันจะทำให้กางเกงเสียหายได้ และถ้าทหารเรือต้องลุยน้ำขึ้นฝั่ง ก็สามารถพับกางเกงได้สะดวก

ประการสุดท้าย ถ้าทหารเรือตกจากเรือ กางเกงขาบานสามารถถอดได้ง่ายกว่ากางเกงแบบอื่น และทำให้ถอดรองเท้าได้รวดเร็วด้วย

ทหารเรือรู้ซึ้งถึงกางเกงขาบานดี ทหารเรือไม่ค่อยประสบปัญหารองเท้าอับ เพราะกางเกงขาบานมีส่วนช่วยระบายอากาศนั่นเอง

ส่วนปกคอเสื้อด้านหลังเอาไว้ดึงลากเวลาช่วยชีวิตตอนอยู่ในน้ำ

กตป. สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ ม.สงขลานครินทร์ (ม.อ.) จัดการประชุมระดมคลังสมอง  (Think tank) 

(27 ก.ย.67) ณ โรงแรม ทีเค. พาเลช & คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมี นางสาวอารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานเปิดการประชุม ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการจัดประชุมคณะที่ปรึกษาโครงการ โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 

ดำเนินการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) มีอำนาจหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการและบริหารงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. เป็นประจำทุกปี โดยในปี 2567 กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดนโยบายที่สำคัญด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 2 เรื่อง 1) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะภายหลังการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานช์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (3BB) เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ 2) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการสนับสนุน ส่งเสริม และคุ้มครองผู้บริโภคของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 

เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญ ในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 มีระยะเวลาดำเนินงานทั้งสิ้น 210 วัน โดยมีแผนการดำเนินงาน เริ่มด้วยการเตรียมการ และการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ 1) การรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ศึกษาโดยวิธีการทางเอกสาร จำนวน 2 เรื่อง และ 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประกอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ 1) วางแผนเพื่อสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ตามหลักวิชาการและระเบียบวิธีวิจัยอย่างเหมาะสม 2) การจัดประชุมระดมคลังสมอง (Think Tank) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารหรือผู้แทน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา 3) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) 

กลุ่มตัวอย่าง ใน 2 เรื่องที่ศึกษา 4) การจัดการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group) เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 5) การจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Interview Group) ทั้ง 2 เรื่องที่ศึกษา 6) จัดการประชุมเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public hearing) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 4 ครั้ง ณ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี และ 7) การจัดทำแบบสอบถาม (Questionnaire) ตามระเบียบวิธีวิจัย โดยการออกแบบเครื่องมือ และสำรวจข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในทุกภูมิภาค และจบด้วยการวิเคราะห์และสรุปผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล หลังจากนั้นจะมีการจัดทำสรุปผลการศึกษาเพื่อเผยแพร่ (Pocket Book) รวมถึงจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นผลการศึกษา จำนวน 2 เรื่อง และจัดแถลงข่าวต่อไป

‘DE-BDI’ โชว์ความพร้อมแพลตฟอร์ม Health Link เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ‘โรงพยาบาล - คลินิก - ร้านยา’ มากกว่า 1,500 แห่ง รองรับการเดินหน้าโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เตรียมเพิ่มระบบ ‘ส่งต่อผู้ป่วย–การเบิกจ่าย’ ยกระดับบริการประชาชน

(27 ก.ย.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม น.ส. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งร่วมให้เกียรติเยี่ยมชมบูทของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ภายในงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร โดยมี รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และนายแพทย์ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President ให้การต้อนรับ และนำเสนอโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) เพื่อแสดงผลการดำเนินงานในส่วนการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของหน่วยบริการภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ล่าสุดได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม. มากกว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ และหน่วยนวัตกรรม ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า  กระทรวงดีอี ได้มอบนโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ที่มีภารกิจหลักในการดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ (Health Information Exchange: Health Link) เพื่อยกระดับการบริการสาธารณสุขและสนับสนุนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า  

ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลและกระทรวงดีอีที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างไร้รอยต่อ ปัจจุบัน Health Link ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้กับหน่วยบริการสาธารณสุขได้แล้วกว่า 1,500 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ประกอบไปด้วยโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกบริการสุขภาพ อาทิ คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล สามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการใกล้บ้านได้อย่างสะดวก รวดเร็ว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีมีความตั้งใจที่จะขยายการเชื่อมโยงไปยังหน่วยบริการในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เพิ่มความรวดเร็วในการรักษา ลดความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายยา และช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วยได้ทันท่วงที ยกระดับระบบสาธารณสุขไทยได้อย่างยั่งยืน จากความสำเร็จของโครงการ Health Link ในวันนี้ กระทรวงดีอีพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของ BDI และภาคีเครือข่าย พร้อมผลักดันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่ รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สำหรับโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ หรือ ระบบ Health Link เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ กทม. ในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของทุกหน่วยบริการด้านสุขภาพเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเป็นประโยชน์ และเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านสุขภาพสู่ภาคประชาชน โดยได้นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม.

ทั้งนี้การดำเนินงานไม่ใช่การรวมศูนย์ข้อมูล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงภายใต้มาตรฐานกลาง โดยหน่วยบริการสาธารณสุขสามารถเปิดดูประวัติการรักษาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เข้ารับการรักษาได้ผ่านระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) และระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ HIE Web portal ผ่านระบบ Health Link

สำหรับงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร นอกจาก BDI จะร่วมแสดงผลการดำเนินงานและแสดงแดชบอร์ด (Dashboard) การจัดทำฐานข้อมูลการตรวจสุขภาพอย่างเต็มระบบแล้ว ยังได้สาธิตความพร้อมของระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยบริการเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมรายงานภาพรวมการเชื่อมโยงข้อมูล และนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการ Health Link ต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยขยายการเชื่อมต่อหน่วยบริการใน กทม. ให้ครอบคลุมทั้งสำหรับหน่วยบริการในปัจจุบันและหน่วยบริการที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ในอนาคต , การคืนประวัติการรักษาให้กับประชาชน ผ่านการเชื่อมต่อ API ข้อมูลสุขภาพจาก Health Link ไปยังแอปพลิเคชัน PHR (Personal Health Record – ระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล) ของหน่วยงานต่าง ๆ

ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตัวเองได้อย่างง่ายดาย , ระบบการรับส่งต่อผู้ป่วย (Refer) เพื่อขยายการเชื่อมข้อมูลสุขภาพให้รองรับการส่งต่อผู้ป่วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อการรักษาและประวัติการรักษา นำร่องในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลในสำนักการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบเบิกจ่าย ด้วยการพัฒนา AI ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่าย รวมถึงการเชื่อมข้อมูลจากระบบ Health Link เข้ากับระบบตรวจสอบของ สปสช. เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ ส่งผลให้กับหน่วยบริการสามารถเบิกจ่าย (Claim) ได้เร็วขึ้น

“เรามีความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Health Link เพื่อรองรับการให้บริการในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่กรุงเทพฯ และเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับการบริการด้านสุขภาพของคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและพลังของ Big Data ที่สามารถนำมาขยายการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวย้ำ 

‘มท.1 - ผบ.ทบ.’ ลงนาม MOU ถอนทหารจากพื้นที่ชายแดนใต้ ปี 70 เสริมทักษะกองกำลังอาสาฯ ดูแลความปลอดภัย ปชช. ลดภารกิจทหาร

(27 ก.ย. 67) ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ร่วม เป็นประธานร่วมพิธีลงนาม MOU เรื่องเสริมสร้างประสิทธิภาพอาสาสมัครจังหวัดชายแดนภาคใต้ (อส.จชต.) ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับ กอ.รมน.

นายอนุทิน กล่าวว่า การลงนามเอ็มโอยูวันนี้เป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่าง กระทรวงมหาดไทยและ กอ.รมน. ฝึกฝน ทักษะที่กองทัพบกมีให้แก่กองกำลังอาสาของกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีแผนให้เข้ามาทำหน้าที่ลดภารกิจของทหาร ดูแลความปลอดภัยประชาชนตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป โดยกองกำลังอาสามาจากคนในพื้นที่เพราะมีความคุ้นเคยกับประชาชนอยู่แล้ว

นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า กองกำลังอาสาเดิมมีทักษะตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเสริมความสามารถในการป้องกันตัวเองดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนและได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองทัพบกจัดส่งครูฝึก ผู้เชี่ยวชาญมาฝึกให้ ตนและ ผบ.ทบ.ลงพื้นที่สังเกตการณ์หลายครั้งมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อย ๆ มีความมั่นใจในการปฏิบัติงาน เมื่อถึงเวลากระจายงานให้ปฏิบัติ โดยมีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมทุกด้าน

ด้าน พล.อ.เจริญชัย กล่าวเสริมว่า การปฏิบัติงานพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ดำเนินการร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ในรูปแบบ กอ.รมน. และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมและสถานการณ์เรียบร้อยตามแผนปี 2570 จะมอบพื้นที่ให้กรมการปกครอง อาสาสมัคร ตำรวจ ดูแล ในระหว่างนี้เป็นการเตรียมการไปถึงจุดเราคาดหวังแล้วหรือไม่ หากสถานการณ์ดีขึ้น เหมาะสมเป็นไปตามแผน แต่ให้ไม่ดีขึ้นก็อยู่ที่รัฐบาลจะพิจารณา พร้อมยืนยันว่าอาสาสมัครมีพื้นฐานที่ดี แต่การทำงานร่วมกันต้องฝึกร่วมเพื่อให้คุ้นเคยในการทำงานที่ดี อาสาสมัครเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการดูแลความปลอดภัยประชาชนและเป็นที่พึ่งในทุกโอกาสรวมถึงบรรเทาสาธารณภัย

ย้อนคำ 'ชาวเน็ต' ติง 'อาจารย์ มช.' เจ้าของวลี "สี่คนโอบก็งอกใหม่ได้" ทั้งที่กว่าต้นไม้จะโตใหม่ถึง 3-4 คนโอบได้ ต้องใช้เวลา 50-100 ปี

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Pinkaew Laungaramsri' โดย รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ภาพตัวบ้านของตนที่กำลังถูกน้ำท่วมพร้อมข้อความ ระบุว่า..."ข้างบ้านโทรมาให้กลับบ้านด่วน"

ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 64 ทวิตเตอร์ @pinkaewl ของ รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความระบุว่า “ทีหลังเวลาถ่ายรูปไร่หมุนเวียน อย่าเอาแต่ถ่ายรูปสร้างภาพเฉพาะช่วงเผาไร่ เอาไฟมาสร้างอิมเมจทำลายป่า หัดถ่ายรูปตอนหน้าฝน ที่ชาวบ้านเขาปลูกข้าว ปลูกพืชพื้นเมืองหลายชนิดที่ทรงคุณค่าต่อระบบนิเวศ ส่วนไม้ที่ตัดฟันลงมา เขาเหลือตอไว้สูงพอที่จะแตกหน่อออกใบเป็นป่าในปีต่อ ๆ ไป”

เมื่อมีชาวเน็ตรายหนึ่งถามว่า “ทรงคุณค่าแบบต้องตัดต้นไม้ขนาดสามคนโอบ?” รศ.ดร.ปิ่นแก้วตอบกลับว่า “สี่คนโอบก็งอกใหม่ได้” สร้างความฮือฮาแก่ชาวเน็ตที่พบเห็น เพราะกว่าต้นไม้จะเติบโตขึ้นมาใหม่ให้มีขนาด 3-4 คนโอบ ต้องใช้เวลาเติบโตมากถึง 50-100 ปี

สมุทรปราการ-'สุนทร ปานแสงทอง' อดีตรัฐมนตรีช่วย ส่งใจถึงต่างแดน ทำบุญวันคล้ายวันเกิดให้พ่อใหญ่ 'วัฒนา อัศวเหม'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 88 ปี ท่าน วัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคราษฎร 

ซึ่งพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่าน วัฒนา อัศวเหม ในปีนี้ มีทางผู้นำท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ คณะสมาชิกสภาและทีมสมุทรปราการก้าวหน้า ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก โดยงานถูกจัดขึ้นภายในวัดสร่างโศก ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จากวัดต่างๆ มาร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาเพื่อความเป็นสิริมงคล อาทิเช่น พระครูสุคนธ์กิจจานุยุต เจ้าคณะตำบลบางพลีน้อย เจ้าอาวาสวัดหอมศีล พระครูโสภณสุตาธาร เจ้าคณะตำบลคลองด่าน เขต 1 เจ้าอาวาสวัดปานประสิทธาราม พระครูสังวรวิมลกิจ เจ้าคณะตำบลคลองด่าน เขต 2 เจ้าอาวาสวัดแจ่มราษฎร์ฯ สีล้ง และพระครูปลัดพรชัย เจ้าอาวาสวัดสร่างโศก เป็นต้น 

โดยทางด้านนาย สุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตัวผมและทางครอบครัวอัศวเหม นำโดย นายอัครวัฒน์ อัศวเหม นายต่อศักดิ์ อัศวเหม อดีต สส.สมุทรปราการ นายวรพร อัศวเหม อดีตประธานสภาเทศบาลตำบลบางปู นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายก อบจ.จังหวัดสมุทรปราการ นางประภาพร อัศวเหม นายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ และขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน อาทิ นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ ดร.พัฒนพงศ์ จงรักดี นายกเทศมนตรีตำบลบางพลี นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก อดีต ส.ส.สมุทรปราการ นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม นางสาวพิม อัศวเหม และคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ สมาชิกสภาเทศบาล กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ที่เดินทางมาร่วมในงานทำบุญในครั้งนี้

‘แม่ตั๊ก’ เบี้ยวนัด ‘สคบ.’ ปมขายทอง อ้าง!! รอคืนเงินลูกค้า เตรียมเรียกครั้งที่ 2 หากไม่มาจะดําเนินคดีตามกฎหมาย

(27 ก.ย. 67) นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา เปิดเผยกรณีส่งหนังสือให้ ‘แม่ตั๊ก กรกนก’ เข้าพบเจ้าหน้าที่ สคบ. เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นขายทอง ว่า ทาง สคบ. ได้นัดให้ทางแม่ตั๊กเข้ามาพบเวลา 09.00 น. แต่ปรากฏว่ามีตัวแทนแจ้งเข้ามาขอเลื่อนนัด โดยให้เหตุผลว่าต้องการคืนเงินลูกค้าที่นําทองมาขายคืนให้เรียบร้อยก่อน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูความเหมาะสมเหตุที่ขอเลื่อน เพราะการฝ่าฝืนหนังสือเรียกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ มีโทษปรับ และจําคุก หลังจากนี้ สคบ. จะส่งหนังสือเรียกรอบที่ 2 หากไม่มาจะส่งดําเนินคดีตามกฎหมาย และจะต้องเดินทางเข้ามาชี้แจงด้วยตัวเอง ไม่สามารถส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงแทนได้

สําหรับผลการเก็บตัวอย่างทองที่ร้านของแม่ตั๊ก คาดว่าจะรู้ผลภายในสัปดาห์หน้า ส่วนจะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีการทํางานร่วมกับตํารวจ ปคบ. ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล

ส่วนของตัวเลขผู้เสียหายนั้น เมื่อวานนี้มีผู้เสียหายประมาณ 45 คน เชื่อว่าหลังจากนี้จะทยอยเดินทางเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งผู้เสียหายที่อยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ สามารถร้องเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ OCPB Connect พร้อมแนบเอกสารการซื้อ-ขายให้ครบถ้วน

สวนนงนุชพัทยา จัดให้อีกนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยลด50% สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระฟรีตลอดเดือนตุลาคม

สวนนงนุชพัทยาโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา มอบสิทธิพิเศษให้นิสิตนักศึกษาระดับอนุปริญญาถึงปริญญาตรี ซื้อบัตรผ่านประตูเที่ยวชมสวน(walk in )ลด 50% อีกหนึ่งเดือน เพียงแสดงบัตรประจำตัวนิสิตนักศึกษา ณ จุดให้บริการ และนักท่องเที่ยวชาวไทยได้สิทธิเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณ แหล่งรวบรวมพระเก่าแก่ล้ำค่าของชาติฟรีตลอดเดือนตุลาคม 2567

พิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณมีเจตนารมณ์ในการจัดสร้างเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ต้องการให้เด็ก เยาวชน และผู้มีความสนใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้เข้ามาเยี่ยมชมศึกษาพระพุทธรูป พระเครื่อง สมบัติอันเก่าแก่ และเป็นสื่อกลางที่ทำให้เด็กรู้สึกชอบในเรื่องของพระพุทธศาสนา

โปรโมชั่นอื่นเด็กที่มีความสูงไม่เกิน140ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการนั่งรถเข็นพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน ผู้สูงอายุ (มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)เข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์ สำหรับท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของน้องช้างแสนรู้ มีการแสดงวันละ 4 รอบ ณ โรงละครสกาลานงนุชพัทยาโดยเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ เวลา 08.00-18.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่  www.nongnoochpattaya.com 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top