Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

‘เจือ ราชสีห์’ แจ้งข่าวดีโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา หลังกรมทางหลวงชนบท บรรจุค่าจ้างปรึกษาฯ ในงบปี 69

‘เจือ ราชสีห์’ แจ้งข่าวดีชาวสงขลา หลังกรมทางหลวงชนบท บรรจุค่าจ้างปรึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อม อ.เมืองสงขลา - อ.สิงหนคร จ.สงขลา จำนวน 9 ล้านบาท ไว้ในร่างงบประมาณ ปี 2569  

(18 มิ.ย.68) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แจ้งข่าวดีกับพี่น้องชาวสงขลา วันนี้!! กรมทางหลวงชนบทได้เสนอรับการจัดสรรงบประมาณ โครงการศึกษาความเหมาะสมสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ได้บรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 9,000,000 บาท เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เชื่อม อ.เมืองสงขลา - อ.สิงหนคร จ.สงขลา เพื่อเข้าสู่การพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 105 วัน 

ทั้งนี้ หากงบประมาณผ่านสภาผู้แทนราษฎร สามารถเริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้พี่น้องชาวจังหวัดสงขลาได้ติดตามและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ด้วย 

สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาฯ ดังกล่าวที่นายเจือ ราชสีห์ ได้หารือในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ได้เดินทางลงพื้นที่ เพื่อสำรวจความเหมาะสมเบื้องต้นด้วยตัวเอง และจังหวัดสงขลาได้แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยได้มีการสอบถามความต้องการของชาวสงขลา ประกอบกับนายเจือ ราชสีห์ ได้จัดส่งรายชื่อพี่น้องชาวสงขลา ผู้ได้รับผลกระทบซึ่งเดิมนั้นต้องใช้บริการแพขนานยนต์ข้ามฟากที่ให้บริการโดย อบจ.สงขลา ที่บางครั้งประสบปัญหาความล่าช้า แพเสียกะทันหัน ทำให้ต้องรอคิวเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบทั้งเรื่องของการเรียนและการทำงานและผู้สนับสนุนให้มีการก่อสร้างสะพานฯ จำนวนกว่า 4 หมื่นรายชื่อเพื่อเป็นเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อแก้ปัญหาการสัญจร และหวังเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ทางการท่องเที่ยว”

‘แม่ทัพภาค 2’ ยันไม่ติดใจ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ปมคลิปเสียง ลั่นขอเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ชาติ - ประชาชน

(18 มิ.ย.68) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โทรมาปรับความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายเนื้อหาในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เพื่อต้องการให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเบาบางลง เป็นการพูดคุยกันหลังบ้าน

โดยตนได้บอกกับนายกไปว่า “ผมไม่มีอะไรครับ ผมเข้าใจ”

ทั้งนี้นายกฯได้ขอบคุณที่เข้าใจ ถือว่าคุยแล้วเข้าใจแล้ว ก็ไม่ติดใจอะไร ตนทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของพี่น้องประชาชน

พล.ท.บุญสิน ระบุต่อว่า วันนี้กำลังเดินทางไปเยี่ยม ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับบาดเจ็บจากภารกิจชายแดน ตนทำงานตามปกติไม่มีอะไร

อัยการย้ำเมาแล้วขับริบรถหวังลดความสูญเสีย เผยชลบุรีแชมป์ประเทศไทย

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.68) ที่ห้องเยอร์บีร่า 2 ชั้น 3 อาคารล็อบบี้ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ มูลนิธิเมาไม่ขับร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด จัดแถลงข่าวแนวทางใหม่ฟ้องคดีเมาแล้วขับ เสนอศาลริบรถ โดยมีนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด, นายโกเมท ทองภิญโญชัย อธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, นายวรวุฒิ วัฒนอุตภานนท์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุดและนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมในการแถลงข่าวชี้แจงแนวทางการปฏิบัติของอัยการทั่วประเทศ 

นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด เปิดเผยว่าอัยการถือเป็นทนายของแผ่นดิน มีหน้าที่ในการฟ้องผู้กระทำความผิดเพื่อขอให้ศาลลงโทษเพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข บทบาทหน้าที่ของอัยการจึงเป็นที่พึ่งของประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

คดีเมาแล้วขับที่ผ่านมาอัยการได้ทำหน้าที่ฟ้องร้องผู้กระทำความผิดต่อศาลทั่วประเทศมีสถิติสูงมาก ปีพ.ศ.2567 มีคดีที่ฟ้องต่อศาล 101,864 คดี 10 อันดับคดีเมาแล้วขับสูงสุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี 12,346 2.กรุงเทพฯ 11,673 3.จังหวัดนครราชสีมา 7,066 4.จังหวัดอุบลราชธานี 6,038 5.จังหวัดสมุทปราการ 5,557 6.จังหวัดเชียงใหม่ 5,153 7.จังหวัดสุรินทร์ 3,225 8.จังหวัดอุดรธานี 2,696 9.จังหวัดขอนแก่น 2,639 10.จังหวัดระยอง 2,218

ทั้งนี้พฤติกรรมเมาแล้วขับปัจจุบันสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ตนในฐานะรองอัยการสูงสุดปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือที่ อส 0007(ปผ)/ว 197 เรื่องแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น ไปถึงรองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ อธิบดีอัยการ อธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ้าย เลขานุการอัยการสูงสุด เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ อัยการจังหวัด ผู้อำนวยการสถาบัน เลขาธิการสำนักงาน อัยการสูงสุด และผู้อำนวยการสำนักงาน โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าพฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงถึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8) ด้วยหรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวด้วย และยังมิได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหา และในการฟ้องคดีให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส (สฝปผ.) 0018/ว 380 ลงวันที่ 29 กันยายน 2549 ตามที่อ้างถึงด้วย

รองอัยการสูงสุด ยังเปิดเผยต่อไปอีกว่าแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ตนเชื่อว่าจะช่วยลดพฤติกรรมเมาแล้วขับได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการที่จะไม่เสี่ยงกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเมาไม่ขับได้หลายทางเลือก โดยเลือกใช้บริการรถสาธารณะก็จะปลอดภัยทั้งกับตนเองและไม่ก่อผลกระทบกับผู้อื่นบนท้องถนน เนื่องจากพฤติกรรมการเมาแล้วขับก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก 

ทางด้านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่าขอขอบคุณท่านอัยการสูงสุดที่เห็นความสำคัญของปัญหาเมาแล้วขับ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละ 5 แสนล้านบาท ทุกๆปีจะมีคนไทยเสียชีวิต 17,000 – 20,000 คน เป็นอย่างต่ำ ย้อนหลังไป 10 ปี พ.ศ.2556 – 2566 คนไทยเสียชีวิตรวม 2 แสนคนทั่วประเทศ เท่ากับประชากรจังหวัดเล็กๆจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยสูญหายไปหมดทั้งจังหวัดเลย แนวทางที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาเรื่องการเสนอขอให้ศาลริบรถคนเมาแล้วขับที่ก่อให้เกิดความเสียหายในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์บนท้องถนนตนเชื่อว่าจะทำให้คนที่คิดจะเมาแล้วขับต้องคิดหนัก เพราะการถูกริบรถที่ก่อเหตุจะส่งผลกระทบกับวิถีขีวิตของบุคคลนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ในฐานะที่ตนทำงานรณรงค์สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับมากว่า 30 ปี ขอสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศถ้าไม่อยากถูกริบรถก็อย่าเมาแล้วขับ

ลำปาง – ตร.ลำปาง แถลงจับยาบ้า 198,000 เม็ด ซุกซ่อนในถังแก๊สท้ายรถยนต์ รวบผู้ต้องหา 2 ราย ขยายผลเครือข่ายยาเสพติดข้ามจังหวัด

(18 มิ.ย.68) เวลา 14.00 น. ณ ที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง (แห่งใหม่) พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร กอ.รมน. และฝ่ายปกครอง ร่วมแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ยึดยาบ้าของกลางจำนวนกว่า 198,000 เม็ด พร้อมผู้ต้องหา 2 ราย ขยายผลเครือข่ายขนยาเสพติดจากภาคเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก อ.แม่พริก จ.ลำปาง ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อ Toyota Vios สีดำ ทะเบียน งร 7926 เชียงใหม่ เดินทางจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เส้นทางเลี่ยงด่านผ่าน อ.เถิน และ อ.แม่พริก คาดว่าใช้ลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ภาคกลาง

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่พริก และ สภ.เถิน ร่วมกันสกัดจับบริเวณถนนหมายเลข 106 พบผู้ต้องหา 2 ราย คือ นางเอ(นามสมมุติ) อายุ 42 ปี และ นางบี (นามสมมุต) อายุ 51 ปี ชาวอำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ แสดงอาการพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงนำรถเข้าตรวจสอบที่อุโมงค์เอ็กซ์เรย์ด่านตรวจแม่พริก พบซุกซ่อนยาบ้าจำนวน 99 มัด (เม็ดสีส้ม ประทับอักษร WY) รวม 198,000 เม็ด ในถังแก๊ส LPG ด้านท้ายรถ การจับกุมในครั้งนี้ เป็นผลจากการบูรณาการของหลายหน่วยงานทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และสำนักงาน ป.ป.ส. ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เน้นการสกัดกั้นขบวนการค้ายาเสพติดไม่ให้เล็ดลอดเข้าสู่พื้นที่ชั้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน 

ร่วมสอดส่องดูแลบุคคลใกล้ชิด หรือแจ้งเบาะแสยาเสพติดได้ที่ สายด่วน 1599, 191 Line@: inthanon1 (ผบช.ภ.5) หรือผ่านแอปพลิเคชัน Police I lert U ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ-กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ จัดฝึกอบรมอาชีพให้ความรู้ประชาชนในชุมชนได้มีอาชีพ

(18 มิ.ย.68) เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ โดยกองสวัสดิการสังคม จัดโครงการฝึกอบรมกลุ่มอาชีพในเขตตำบลแพรกษาใหม่ ประจำปีงบประมาณ 2568 ระหว่างวันที่ 18 - 20 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกองสวัสดิการสังคม 

โดยมี นางสาวศิริพร ทับคล้าย รองนายกเทศมนตรีฯ ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดโครงการ ฝึกอบรมกลุ่มอาชีพในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษาใหม่ พร้อมด้วย นายณัฐพล บุญริ้ว รองนายกเทศมนตรีฯ นางสาวฎายิน สำราญฤทธิ์ รองปลัดเทศบาล นางอาภรณ์ ฤทัยหรรษา ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม นางสาวเจริญขวัญ เกตุเพชร พัฒนาการอำเภอเมืองสมุทรปราการ และ นางสาวนันทิญา สุขคุ้ม นักวิชาการพัฒนาชุมชนปฏิบัติการ ตลอดจนคณะสมาชิกสภาเทศบาล และกลุ่มประชาชนผู้เข้าร่วมอบรมฝึกอาชีพ ทั้ง 7 ตำบลเข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

นอกจากนี้ ทางเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โดยนางสาวศิริพร ทับคล้าย รองนายกฯ และ นางสาวเจริญขวัญ เกตุเพชร พัฒนาการอำเภอเมืองสมุทรปราการ โดยมี นายณัฐพล บุญริ้ว รองนายกฯ และคณะเจ้าหน้าที่ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม

อย่างไรก็ตาม การจัดโครงการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ ทักษะด้านอาชีพ สร้างโอกาสและทางเลือกให้แก่ประชาชน ที่สนใจในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษาใหม่ เสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว และให้กลุ่มผู้สูงอายุใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้อีกด้วย โดยการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 18-20 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกองสวัสดิการสังคม

‘อ.เจษฎา‘ แชร์ข่าวเก่าย้อนวิกฤตการบินไทยขาดทุนหนัก ชี้ชัด เหตุผลหลักเข้าฟื้นฟูกิจการเพราะรัฐบาลประยุทธ์ทำเจ๊งเอง

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า...

ในวันที่การบินไทย ต่อสู้อย่างหนัก จนฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ ... จนศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการการบินไทยแล้ว

ก็มีคนโพสต์ทวงคุณความดีของ ประยุทธ์ ที่เป็นคนอนุมัติให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย หลังจากอัดฉีดเงินช่วยเหลือมาหลายทีมากแล้ว

เลยเอาข่าวเก่ามาให้อ่านกัน ว่าทำไมตอนนั้น รัฐบาลประยุทธ์ถึงต้องให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนขอฟื้นฟูกิจการ หึๆๆ

พร้อมทั้งได้แชร์ข่าวจาก mgronline ที่ระบุว่า
"ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การบินไทยก็เดินเข้าสู่ปากเหวของความหายนะอย่างต่อเนื่องโดยขาดทุนติดต่อกันสามปี ในปี ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ และ ๒๕๕๘ จำนวน ๑๒,๐๔๗ ล้านบาท ๑๕,๖๑๒ ล้านบาท และ ๑๓,๐๖๘ ล้านบาท ตามลำดับ 

และแม้ว่าในปี ๒๕๕๙ จะมีกำไรเล็กน้อย ๑๕ ล้านบาท แต่ก็หวนกลับสู่ภาวะการขาดทุนอย่างมหาศาลอีกครั้งในปี ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๐๗๒ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๑ ขาดทุนเพิ่มเป็น ๑๑,๖๐๕ ล้านบาท และในปี ๒๕๖๒ ขาดทุนถึง ๑๒,๐๔๐ ล้านบาท

หากนำผลการประกอบการของการบินไทยพิจารณาร่วมกับกลุ่มอำนาจที่บริหารประเทศ ภาพที่เราเห็นคือ ในปี ๒๕๕๗ ถึง ๒๕๖๒ เป็นยุคที่ #คสช.ครองอำนาจและมี “#พลเอกประยุทธ์ #จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี การบินไทยขาดทุนรวม ๕๔,๓๘๒ ล้านบาท

ส่วนในปี ๒๕๕๑ ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ เป็นยุคที่รัฐบาลกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ขาดทุนรวม ๒๗,๑๙๗ ล้านบาท ขณะที่ระหว่างปี ๒๔๕๒ ถึง ๒๕๕๔ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับกำไรรวม ๑๑,๘๙๑ ล้านบาท

ภาพหนึ่งที่เราเห็นคือ รัฐบาลเผด็จการทหาร และรัฐบาลเลือกตั้งของกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ที่มีองค์ประกอบของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองสูงมีความสัมพันธ์กับภาวะการขาดทุนของการบินไทยทั้งคู่ เพียงแต่สมัยที่รัฐบาลเผด็จการทหารบริหารประเทศ ดูเหมือนว่าการบินไทยขาดทุนสูงกว่ารัฐบาลกลุ่มทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ประมาณ 2 เท่า"

(จนคณะรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจลงมติให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นขอฟื้นฟูกิจการภายใต้ พ.ร.บ. ล้มละลาย ปี 2563 ) 

(ข่าวจาก https://mgronline.com/daily/detail/9630000050799 )

‘อ.อุ๋ย’ จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 - MOU 44 ตอบโต้ท่าทีไม่เป็นมิตรสร้างแต้มต่อบนเวทีโลก

อาจารย์อุ๋ย จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ตอบโต้ท่าทีคุกคาม ไม่เป็นมิตร และล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย ซึ่งกระทำได้ภายใต้หลักการตอบโต้ (Retorsion) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

(18 มิ.ย.68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “เท่าที่ผมติดตามข่าวความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งทางไทยพยายามดำเนินการอย่างสันติวิธีมาตลอด ในขณะที่กัมพูชากลับแสดงท่าทียั่วยุ ขุดสนามเพลาะล้ำดินแดนไทย และส่งกำลังเข้ามาภายในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าเป็น No man’s land ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นของไทยหากยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส รวมทั้งหันปากกระบอกปืนใหญ่มายังฝั่งไทย และกล่าวเท็จต่อชาวโลกว่าไทยเป็นผู้คุกคามก่อน เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ฯลฯ ซึ่งไม่เป็นความจริง แถมยังจะนำประเด็นที่กำลังเจรจาอยู่ขึ้นศาลโลก ซึ่งถือว่าผิดมารยาททางการทูตอย่างมาก เพราะฝ่ายไทยไม่ได้ยินยอมรับอำนาจศาลโลก

มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศประการหนึ่งซึ่งปฏิบัติกันมาหลายร้อยปีจนเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับกันทั่วไปเรียกว่า “มาตรการตอบโต้” (Retorsion)  คือ การที่รัฐหนึ่งตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นมิตรหรือไม่เป็นธรรมของอีกรัฐหนึ่ง โดยการกระทำนั้นไม่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การปิดด่าน หรือตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ที่รัฐบาลไทยดำเนินการอยู่ ซึ่งผมก็เห็นว่ามาถูกทางแล้ว แต่ยังถือว่าตามเกมกัมพูชาอยู่

ดังนั้น หากเราจะเดินเกมให้ล้ำหน้ากัมพูชา ผมจึงเห็นว่าเราต้องยกเลิกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 เป็นการตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นมิตรของกัมพูชาที่ดำเนินมาโดยตลอด โดยเฉพาะผ่านทางโซเชียลมีเดียของผู้นำประเทศทั้งฮุนเซนและฮุนมาเน็ต ซึ่งจะทำให้ไทยได้เปรียบทันทีในเพราะเป็นการปฏิเสธการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่เก่าและหยาบ และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนนับ 1.5 ล้านไร่ ประกอบกับ ท่าทีที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศอย่างแข็งขันว่าไม่ได้ใช้แผนที่ 1ต่อ 200,000 ในการหารือ JBC ดังนั้น ทำไมเราจึงไม่ยกเลิก MOU 43 ที่เป็นสารตั้งต้นของการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เสียเลยเล่า ซึ่งจะทำให้คำกล่าวอ้างของไทยมีน้ำหนักมากขึ้นในเวทีโลก และลดความน่าเชื่อถือของกัมพูชาทันที 

ส่วน MOU 44 ซึ่งเป็นเรื่องของการปักปันเขตแดนทางทะเลนั้น ก็เป็นสารตั้งต้นที่กัมพูชาพยายามลากเส้นตามอำเภอใจ แล้วกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียวว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ไทยและกัมพูชาต้องมาทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์กัน และมีความพยายามปลุกปั่นจากทางฝ่ายกัมพูชาที่กล่าวอ้างว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาและพร้อมที่จะใช้กำลังในการยึดคืนมา ซึ่งถือเป็นท่าทีที่ขัดต่อการเจรจาโดยสันติภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความชอบธรรมที่จะยกเลิก MOU 44 โดยอาศัยหลักในเรื่องมาตรการตอบโต้ (Retorsion) แล้วค่อยมาเจรจากันใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีทางดาวเทียมที่มีความแม่นยำกว่า ประกอบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไทยได้เปรียบ และนำ MOU 43 และ 44 เข้าสภา เนื่องจากถือเป็นสนธิสัญญาที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 แล้วให้รัฐสภาตีทั้งสอง MOU ให้ตกไป ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีแต้มต่อเหนือกัมพูชาทันทีในเวทีโลก และรักษาแผ่นดินไทยไว้ได้ทุกตารางนิ้ว ด้วยความปรารถนาดี

กัมพูชาสับคัตเอาต์ไทย หันใช้ไฟฟ้าเวียดนามแทน ปอยเปตดับ 20 นาที ชาวบ้านโอดไฟตกทั้งวัน

เมื่อช่วงเช้าวันที่ (17 มิ.ย. 68) เจ้าหน้าที่การไฟฟ้ากัมพูชาได้ทำการสับคัตเอาต์ตัดกระแสไฟฟ้าที่รับจากประเทศไทยบริเวณเสาไฟข้างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต ฝั่งกัมพูชา ใกล้สะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ก่อนเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าจากเวียดนามเข้าระบบแทน

การเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าทำให้พื้นที่ฝั่งปอยเปตเกิดไฟดับชั่วคราวประมาณ 20 นาที ก่อนระบบจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ โดยมีการจ่ายไฟจากสายส่งเวียดนามเข้าทดแทน

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ปอยเปตต่างร้องเรียนว่า กระแสไฟฟ้าจากเวียดนามมีความไม่เสถียร บางจุดเกิดไฟตก ขณะที่บางจุดไม่มีกระแสไฟเลย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

การตัดไฟจากไทยและหันมาใช้ไฟเวียดนามของกัมพูชาเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในระดับภูมิภาค โดยยังไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าในครั้งนี้จากทางการกัมพูชา

ทอ.ไทย-อินโดนีเซีย ซ้อมรบ ElangThaiNesia XX/25 โชว์พลังเครื่องบินรบ F-16 T-50 ป้องกันอธิปไตยจากศัตรู

(17 มิ.ย. 68) กองทัพอากาศไทยและอินโดนีเซียเปิดฉากการฝึกผสม "ElangThaiNesia XX/25" เหนือน่านฟ้าภาคอีสานตอนใต้ โดยใช้กองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมาเป็นศูนย์กลางระหว่างวันที่ 9-19 มิถุนายน 2568 เสริมสร้างศักยภาพด้านยุทธวิธีและป้องกันประเทศร่วมกัน

การฝึกครั้งนี้นำเครื่องบินรบ F-16 จากฝั่งไทย และ T-50 จากฝั่งอินโดนีเซียเข้าร่วมภารกิจทางอากาศอย่างเข้มข้น พร้อมจำลองสถานการณ์หลากหลายเพื่อเสริมทักษะการรบจริงและยกระดับความพร้อมรบของทั้งสองฝ่าย

หัวใจสำคัญของการฝึกคือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการประสานงานและปฏิบัติการร่วมในสถานการณ์วิกฤต รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบิน ยุทธวิธี และเทคโนโลยีทางทหาร

การซ้อมรบในครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย-อินโดนีเซีย พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงความตั้งใจในการปกป้องอธิปไตยและรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ 

(17 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ  นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ รวมจำนวน 14 ครอบครัว 30 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัว 8 ชุด รายบุคคล 6 ชุด รวมมูลค่าการช่วยเหลือทั้งสิ้น 134,000 บาท ในการนี้ มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล ร่วมมอบเงินสด คนละ 400 บาท มูลนิธิส่งเสริมศีลธรรมสงเคราะห์ ร่วมมอบเงินสด ครอบครัวละ 500 บาท และพุทธสมาคมปทุมรังษี ร่วมมอบข้าวสาร คนละ 10 กิโลกรัม รวมการช่วยเหลือทั้ง 4 องค์กรคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 159,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) โดยมี อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายและให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย ณ บริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top