Tuesday, 23 April 2024
NEWS FEED

“ไชยา” ขึ้นบินทำฝนเชียงใหม่ มั่นใจ ฝนตกเพิ่ม สงกรานต์ปีนี้ “ไร้ฝุ่นพิษ”

วันที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ติดตามการปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกินค่ามาตรฐาน ณ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ พร้อมเปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ติดอันดับโลก และยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ พบว่า มีปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ เฉลี่ยเป็นค่าคุณภาพอากาศอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน 2567 ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะแรก  โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง

นายไชยา กล่าวว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. โดยเน้นย้ำในพื้นท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้กับพี่น้องประชน  โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน จึงได้สั่งการให้นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร วางแผนในเดือนเมษายน 2567 โดยจะเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการฝนหลวง รวมถึงใช้เทคนิคดัดแปรสภาพอากาศในการบรรเทาปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยเพิ่มเครื่องบินมาปฏิบัติการที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ จากเดิม 3 ลำ เป็น 8 ลำ และปรับแผนการบินปฏิบัติการให้มีความถี่มากขึ้น โดยมีเป้าหมายบินปฏิบัติการรวม 100 เที่ยวบิน ในช่วงวันที่ 10-20 เมษายน 2567 เพื่อให้สามารถช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่า สงกรานต์ปีนี้ จ.เชียงใหม่ ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองจะดีขึ้น ซึ่งวันนี้ตนจะขึ้นปฏิบัติการบินทำฝนหลวงด้วยตนเอง ซึ่งจากการปฏิบัติการปรากฏว่า มีฝนตกเพิ่มขึ้นในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงมากขึ้น ค่าฝุ่นละอองลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น  จึงอยากให้พี่น้องประชาชนได้มีความมั่นใจ ว่าสถานการณ์เรื่องฝุ่นละอองจะลดลง เพื่อให้การท่องเที่ยวสงกรานต์ปีใหม่นี้ ประชาชนมีความสุข ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังเป็นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้เม็ดเงินใหลเข้ามาในประเทศ และเป็นการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจอีกด้วย
โดยมีแผนปฏิบัติงานช่วงวันที่ 11-20 เมษายน 2567 ได้แก่

1. ปฏิบัติการบรรเทาปัญหาหมอกควัน PM2.5 โดยการก่อเมฆ-เลี้ยงเมฆ รวมถึงการใช้น้ำแข็งแห้งและสเปรย์น้ำปรับลดอุณหภูมิ บริเวณพื้นที่ที่ค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานและมีแนวโน้มการสะสมฝุ่นควันสูง
2. ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อให้เกิดฝนในพื้นที่ป่าไม้ เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ ลดการเกิดไฟป่า
3. ปฏิบัติการบรรเทาการเกิดพายุลูกเห็บ โดยมีโอกาสในการปฏิบัติการสูงในช่วง 9 -15 เมษายน 2567 สำหรับผลปฏิบัติการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ช่วงระหว่างวันที่ 8 มกราคม – 10 เมษายน 2567 ปฏิบัติการจำนวน 79 วัน 282 เที่ยวบิน ในบริเวณ 15 จังหวัด ได้แก่ จ.ลำปาง จ.ลำพูน จ.เชียงใหม่ จ.พะเยา จ.แม่ฮ่องสอน จ.แพร่ จ.น่าน จ.สุโขทัย  จ.เชียงราย จ.อุตรดิตถ์ จ.ตาก จ.พิษณุโลก จ.กำแพงเพชร จ.เพชรบูรณ์ และ จ.พิจิตร ซึ่งพบว่าหลังปฏิบัติการส่งผลให้บริเวณพื้นที่ที่ปฏิบัติการค่าฝุ่นลดลง โดยในช่วงเช้าของวันนี้พบว่า มีปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในระดับปานกลาง ตรวจวัดได้ 34.7 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ข้อมูลจาก IQ Air ณ วันที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 08.00 น.)

นครพนม- หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 โชว์ฝีมือตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 103 มัด ประมาณ 206,000 เม็ด

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 ที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยปัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้ พันเอก กันตภณ จันทะนันท์ รองหัวหน้าส่วนส่วนปราบปราม หน่วยปัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (รอง หน.ปราบปราม นบ.ยส.24) เป็นประธาน พร้อมด้วย พันเอก สุริวัชร์ อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 พันตำรวจเอก สุนันท์  สร้อยสุด ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบ้านแพง และ หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม แถลงข่าวตรวจยึดยาเสพติด(ยาบ้า) จำนวน 103 มัด ประมาณ 206,000 เม็ด พร้อม ผู้ต้องหา จำนวน 1 คน บริเวณทุ่งนาริมถนนหลวงหมายเลข 212 พื้นที่ บ้านแพงใต้ ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม โดยห้วงที่ผ่านมา พันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า จะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไม่ทราบจำนวน จากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติล๊อตใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อลำเลียงขนส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดภายในประเทศ จึงสั่งการให้ ร้อยโท วันชาติ  เหมือนปืน ผู้บังคับกองร้อยพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 จัดกำลัง ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วของหน่วย เข้าทำการเฝ้าตรวจเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด บริเวณพื้นที่ตามภาพข่าว เป็นทุ่งนาติดถนนทางหลวงหมายเลข 212 พื้นที่ บ้านแพงใต้ หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วที่เฝ้าตรวจ(ด้วยกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน และกล้อง CCTV แบบไร้สายที่ได้รับมอบมาจาก กองร้อยพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 พบชายต้องสงสัย จำนวน 3 คน เดินแบกกระสอบ จำนวน 2 กระสอบ  เดินมาตามเส้นทางในภูมิประเทศ  เจ้าหน้าที่จึงได้รอจนชายกลุ่มดังกล่าวเดินเข้ามาในระยะที่ทำการเฝ้าตรวจฯ เจ้าหน้าจึงได้แสดงตัวเข้าตรวจค้น เมื่อชายกลุ่มดังเห็น จนท. จึงได้ทิ้งกระสอบที่แบกมาด้วย และอาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าจึงได้ทำการไล่ติดตาม จนสามารถทำการจับกุมไว้ได้ จำนวน 1 คน เป็นราษฎรชาว สปป.ลาว ชื่อท้าวต้วย (นามสมมุติ)(ทราบชื่อภายหลัง) อายุ 21 ปี ราษฎร บ้านดอน เมืองปากกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว  แล้วจึงเข้าทำการตรวจสอบกระสอบสิ่งของต้องสงสัยดังกล่าว พบว่าภายในบรรจุยาเสพติดประเภทที่ 1 (ยาบ้า ) ห่อหุ้มด้วยกระดาษไข พิมพ์อักษร Y 1 จำนวน 103 มัด ประมาณ 206,000 เม็ด ขั้นต้นหน่วยได้ตรวจยึดและควบคุม ผู้ต้องหาพร้อมของกลางดังกล่าว มายัง กองร้อยพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 เพื่อทำการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมอย่างละเอียด และดำเนินการประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ร่วมตรวจสอบซักถามขยายผล พร้อมส่งผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งให้ สภ.บ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เดวิท โชคชัย รายงาน 092-5259777  

‘บิ๊กป้อม’ อวยพรสงกรานต์ ขอ ‘คนไทย’ ร่วมกันทำความดี มีแต่ความสุข ความสมหวัง เดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย

(12 เม.ย. 67) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวสวัสดีวันสงกรานต์และวันปีใหม่ของไทยประจำปี 2567 ขอให้ทุกคนประสบความสุข ความเจริญ สุขภาพกายใจ แข็งแรง ปราศจากโรคภัย ความเศร้าหมอง และขอให้สมหวังในพรทุกประการ

“ผมขอส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ขอให้ร่วมกันทำความดีเพื่อเป็นมงคลต่อชีวิต และเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ให้ทุกครอบครัว มีความรักความสามัคคีเกื้อกูลระหว่างกัน และเพื่อให้ครอบครัวเป็นสถาบันที่เข้มแข็งตลอดไป“

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังฝากถึงประชาชนในการเดินทางกลับบ้านช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 ขอให้ประชาชนทุกคนเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง เดินทางถึงจุดหมายปลายทาง โดยสวัสดิภาพ 

ศรชล.ภาค 1 ส่งเรือ ต.266 รับลูกเรือสินค้าชาวอินเดีย มีอาการสโตคและอัมพาตทั้งตัว กลางทะเลเข้ารักษาบนฝั่ง

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 10 เม.ย.67 ศรชล.ภาค 1 ส่ง เรือ ต.266 พร้อมชุดปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ทรภ.1 รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ รับนายนันเดส ทอมสัน สัญชาติอินเดีย อายุ 48 ปี ลูกเรือสินค้า ชื่อเรือ seagalaxy ประเภทเรือ tanker ส่งเข้ารับการรักษาต่อยัง รพ.กรุงเทพพัทยา ได้อย่างปลอดภัย สืบเนื่องจาก เมื่อเวลา 19.50 วันที่ 9 เม.ย.67 ศปก.ศรชล.ภาค 1 ได้รับแจ้งจาก สายด่วน 1465 ว่ามีเรือสินค้าชื่อเรือ seagalaxy ประเภทเรือ tanker มีคนป่วย ชื่อ นาย เฟอร์นันเดส ทอมสัน สัญชาติอินเดีย อายุ 48 ปี มีอาการสโตค และอัมพาตทั้งตัว แต่ยังมีสติ โดยได้จอดเรือลอยลำอยู่กลางทะเลอ่าวไทย ห่างจาก เขาแหลมปู่เจ้า อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระยะ 25 ไมล์ ศปก.ศรชล.ภาค 1 ได้ประสาน ศปก.ทรภ.1 ขอรับการสนับสนุน เรือ ต.266 พร้อมจัดชุดปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ทรภ.1 รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ลง เรือ ต.266 ออกจาก ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ทลท.กทส.ฐท.สส.) เมื่อเวลา 21.15 น. เข้ารับลูกเรือที่เจ็บป่วย ณ จุดนัดพบกลางทะเลกลับเข้าสู่ฝั่ง ณ ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ และส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อ ณ รพ.กรุงเทพพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ไม่จบ!! 'กรมศิลป์ฯ' ประกาศพื้นที่สถานีอยุธยาเป็น 'โบราณสถาน' เกมวางหมากขวางที่สุดท้าย 'ประชาชน' เสียประโยชน์ทุกมุม

(12 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘กรมศิลป์ฯ ประกาศพื้นที่สถานีอยุธยาโบราณสถาน ตอนนี้??’ โดยระบุว่า…

“ค้านจนสงสัย… ตั้งแต่อ้างมรดกโลก ขอทำ HIA ทำครบทุกอย่าง แต่มาประกาศโบราณสถาน!!!

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเห็นประกาศพื้นที่โบราณสถานของกรมศิลป์ฯ ในพื้นที่อาคารสถานีอยุธยา ซึ่งปัจจุบันทุกคนก็รู้แล้วจะจะเป็นพื้นที่ก่อสร้าง สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ที่คุยกันมา กว่า 2 ปีแล้ว!!! 

ซึ่งที่ผ่านมา กรมศิลป์ฯ และนักอนุรักษ์ ต่าง ๆ ก็แวะเวียนกันมา ยกประเด็นที่อ้างถึงเพื่อให้แก้ไขเส้นทาง หรือย้ายตำแหน่งสถานี ได้แก่

- มีการคัดค้านการแก้ไข EIA โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่เคยผ่านไปแล้วตั้งแต่ปี 2562

- การแจ้งข้อกังวลของ UNESCO ในผลกระทบจากตัวมรดกโลก ซึ่งก็ขอให้ทำ HIA เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่มรดกโลก (ซึ่งห่างกว่า 1.5 กิโลเมตรจากตัวสถานี) ซึ่งปัจจุบัน HIA ก็เสร็จแล้ว ส่งให้กรมศิลป์ฯ ตรวจ (แต่ก็ยังไม่ส่งต่อให้ UNESCO พิจารณา)

- คัดค้านทางวิ่งยกระดับ ที่ผ่านเส้นทางรถไฟในปัจจุบัน อ้างว่าบดบังทรรศนะวิสัย ซึ่งระบุให้ทำการจำลองใน HIA

- การสร้างกระแส #Saveอโยธยา จากนักอนุรักษ์บางกลุ่ม และบอกว่าพื้นที่สถานีอยุธยาปัจจุบันคือเมืองเก่าอโยธยา ในยุคทวารวดี แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการขุดค้นอย่างเป็นทางการ และก็ไม่มีคำตอบว่า ถ้าจะขุดค้นจะทำอย่างไร จะไล่ที่ประชาชนที่อยู่ปัจจุบันออกเหรอ???

- สร้างกระแสผลกระทบกับชุมชนหน้าสถานีรถไฟอยุธยา ที่ต้องย้ายออก แต่ก็ไม่ได้พูดว่า นั่นเป็นที่ดินรถไฟมาตั้งแต่แรก ซึ่งคนเหล่านั้นมาเช่าที่ดินอยู่เพื่อใช้ประโยชน์

ล่าสุด!!! กรมศิลป์ฯ ได้ประกาศพื้นที่อนุรักษ์บนพื้นที่อาคารสถานีอยุธยา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ถนนฝั่งตรงข้ามตัวอาคารสถานี ไปจนถึงชานชาลา 1 ริมทางรถไฟ ซึ่งการทำแบบนี้ก็เท่ากับว่า ตั้งใจจะวางหมากเพื่อให้สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยาก่อสร้างได้ยาก และติดปัญหาที่ต้องมาเคลียร์กับ กรมศิลป์ ต่อในอนาคตอีก…

ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับตัวอาคารสถานีอยุธยาในปัจจุบัน หน่อย 

ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าเป็นอาคารสถานีที่ สร้างสมัย ร.5 ตั้งแต่การเดินรถไฟครั้งแรกในปี พ.ศ.2434 ซึ่งไม่จริง!!!

อาคารสถานีเดิมเป็นอาคารไม้ ซึ่งสร้างใหม่เป็นอาคารคอนกรีต ในสมัย ร.6 ซึ่งเปิดใช้ในปี พ.ศ.2464 

แต่อย่างไรก็ตาม อาคารสถานีก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เนื่องจากเป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีการใช้ปริมาณมากในแต่ละวัน ซึ่งก็ปรับปรุงภายในไปพอสมควร 

และก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลย ที่จะมีการปรับปรุงสถานีเก่าให้อยู่ร่วมกับ โครงสร้างใหม่ เพื่อมาขยายการพัฒนาด้านระบบราง ซึ่งมีตัวอย่างจากทั่วโลก

ซึ่งจากที่เล่ามาทั้งหมด ผมก็อยากทราบว่า กรมศิลป์ฯ และนักอนุรักษ์ มีจุดประสงค์ต้องการทำไปเพื่ออะไร…. อยากให้ย้าย หรือ อยากจะให้โครงการช้าไปถึงไหน!!!

จากการคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนสงสัยว่า หน่วยงานมีปัญหาอะไรกับรถไฟความเร็วสูงกันแน่!!!

แต่ไม่เป็นไร ต่อให้กรมศิลป์ฯ ประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ แต่ตัวอาคารก็ไม่ได้ไปรื้อย้าย หรือกระทบอะไรกับตัวอาคารอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวอาคารสถานีรถไฟความเร็วสูง คร่อมทับบางส่วนของตัวอาคารสถานีรถไฟอยุธยาไปเท่านั้น!!!

ผมขอร้องเถอะครับ กรมศิลป์ฯ ก็เป็นหน่วยงานภายใต้รัฐบาลไทย ช่วยทำงานคุยกัน เพื่อให้โครงการมันราบรื่นหน่อยเถอะครับ ไม่ใช่มาวางหมากขวางกันไปมา สุดท้าย “ประชาชน” เป็นคนที่เสียประโยชน์จากเรื่องนี้ในทุกมุม!!!

ผมขอฝากรัฐบาลไปช่วยเป็นตัวกลางช่วยคุยให้เรื่องมันจบซักทีเถอะครับ
พรรคเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin

ลิงก์ ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับสถานีรถไฟอยุธยา 
สถานีอยุธยา VS กรมศิลป์ฯ ตามลิงก์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1201611603610650/

การทำ HIA ตามที่กรมศิลป์ฯ และ UNESCO ต้องการ ตามลิงก์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1202420353529775/?d=n

การเปรียบเทียบ โครงการอื่นที่ใกล้มรดกโลก จากทั่วโลก
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1286300595141750/?mibextid=BfDkjB

ลิงก์คลิปชี้แจงรายละเอียด สถานีอยุธยา โดยกรมการขนส่งทางราง
https://youtu.be/iiCPwh7vFDM

สรุปรายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-โคราช
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/949437542161392/?d=n

การพัฒนาสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา อยู่ที่เดิม คนอยุธยาจะได้อะไร???

เปลี่ยน mode การเดินทาง จากรถ สู่เดิน!!! อนาคตยกระดับสู่ ถนนคนเดิน Historical Walk Way เทียบเท่า ญี่ปุ่น!!!
https://www.facebook.com/100067967885448/posts/649456317329959/?mibextid=cr9u03

'สุริยะ' สั่งหยุดก่อสร้างชั่วคราว-คืนผิวจราจร ถนนพระราม 2 พร้อมเปิดช่องทางพิเศษรองรับการเดินทางช่วงสงกรานต์

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังจากได้ลงพื้นที่บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ตรวจสภาพการจราจร และความพร้อมในการอำนวยความสะดวกปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ณ ศูนย์บริหารการจราจรระหว่างการก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางยกระดับ ช่วงบางขุนเทียน - เอกชัย - บ้านแพ้ว 

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2567 นายสุริยะ ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกด้วยว่า ในส่วนของถนนพระราม 2 นับเป็นเส้นทางทางหลวงที่มีการจราจรหนาแน่น เนื่องจากเป็นเส้นทางสายหลักที่ประชาชนใช้ในการเดินทางไปสู่ภาคใต้ ซึ่ง กรมทางหลวง ได้ตระหนักถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยได้กำหนดแผนบริหารการจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเป็นระบบ และได้บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางของพี่น้องประชาชน ที่ใช้เส้นทางบนถนนพระราม 2 

นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ประชาชนอย่างเต็มกำลังตลอดเทศกาลสงกรานต์ 2567 อาทิ คืนพื้นผิวจราจรบนถนนพระราม 2 ที่มีการก่อสร้างทั้งหมด พร้อมให้หยุดการก่อสร้างชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน ขณะเดียวกัน ยังได้ประสานงานร่วมกับตำรวจทางหลวงในการเปิดช่องทางพิเศษ (REVERSIBLE LANE) ในกรณีที่การจราจรคับคั่ง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวด้วย

“ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข และหวังว่าทุก ๆ ท่าน เดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และไร้อุบัติเหตุ” นายสุริยะ กล่าว

'ดีอี - ตำรวจไซเบอร์' ทลายเว็บพนันออนไลน์ เงินหมุนเวียนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมรวบบริษัทบัญชีม้า สร้างความเสียหายนับพันล้านบาท

10 เมษายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ
และสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการราชการแทน ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พร้อมผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงผลการจับกุม “ปฏิบัติการ Cyber Strike” ใน 2 ปฏิบัติการ 

1. ทลายบริษัทบัญชีม้าที่สร้างความเสียหายนับพันล้านบาท โดยตำรวจไซเบอร์ได้รับข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.go.th ว่าคนร้ายหันมาใช้บัญชีธนาคารในชื่อนิติบุคคลในรูปแบบบริษัท และห้างหุ้นส่วนจำกัด ทำให้เหยื่อหลงเชื่อและเกิดความไว้ใจว่าไม่น่าจะเป็นบัญชีธนาคารของกลุ่มมิจฉาชีพ และได้เข้าตรวจสอบ พบผู้เสียหายจำนวน 153 ราย (เคสไอดี) มีมูลค่าความเสียหายจำนวนทั้งสิ้น 897,253,861 บาท และมีผู้เสียหายที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมมูลค่าความเสียหายแล้วนับพันล้านบาท จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องได้จำนวน 19 ราย กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่ บจก. และ หจก. จำนวน 43 จุดทั่วประเทศ อาทิพื้นที่ กทม. ปทุมธานี สมุทรปราการ อ่างทอง สุพรรณบุรี ราชบุรี ชลบุรี ปราจีนบุรี พิษณุโลก ขอนแก่น เป็นต้น และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 12 ราย พร้อมส่งดำเนินการตามกฎหมายในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยปราการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยไม่ได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด

2. ทลายเว็บพนันออนไลน์ huayland.net พร้อมเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง พบยอดเงินหมุนเวียนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี สามารถยึดของกลางและทรัพย์สินมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยได้สืบสวนทราบว่า มีผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเครือข่าย “หวยแลนด์” พบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจำนวน 9 เครือข่าย ได้แก่ 1.jaywii , 2.jaywiiplus , 3.jay1000 , 4.Ih69 , 5.rachahuay , 6.huayland , 7.kerry899 , 8.linetang88 และ 9.huay1plus ซึ่งมีสมาชิกผู้เล่นกว่า 59,000 คน ต่อมาได้มีการขออนุมัติหมายจับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องรวม 29 ราย และกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหายจำนวน 17 จุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จำนวน 13 จุด, จ.ชุมพร จำนวน 3 จุด และ จ.กาญจนบุรี จำนวน 1 จุด จากการกระจายกำลังเข้าตรวจค้นทั้ง 17 จุด สามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้รวมทั้งสิ้น 17 ราย และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังได้ตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก เช่น เงินสด 47 ล้านบาท อายัดเงินในบัญชีธนาคารกว่า 20 ล้านบาท นาฬิกาหรู (Patek Philippe, Rolex, TAG Huer) จำนวน 6 เรือน โฉนดที่ดิน 26 ชุด รถยนต์ Porsche Cayenne จำนวน 1 คัน เป็นต้น 

“ตามนโยบายของรัฐบาล โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ความสำคัญและเร่งรัดกับการปราบปรามความผิดที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ ที่หลอกลวงเหยื่อในรูปแบบต่างๆ ทำให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก และได้สั่งการให้กระทรวงดีอี  สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีผลชัดเจนใน 30 วัน ซึ่งกระทรวงดีอีได้มีการผนึกกำลังหลายภาคส่วน และเร่งดำเนินการการทำงานให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงดีอี ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณชายแดน ในการดำเนินการขยายผลจับกุมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ ซิมผี บัญชีม้า โดย บช.สอท. ได้แจ้งให้ กระทรวงดีอีดำเนินการปิดเว็บพนันออนไลน์ในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 9 เม.ย. 67 จำนวน 7,612 URLs และตั้งแต่ 1 ต.ค. 66 - 9 เม.ย. 67 กระทรวงดีอีดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย พนัน ไปแล้ว 31,503 URLs เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ในการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง

“ตำรวจไซเบอร์ เปิดนาทีบุกบ้านทรัพย์มั่งคั่ง รวบเจ้ามือหวยลาวรายใหญ่ ผงะ! ลูกทีมกระจายทั่วประเทศ”

ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังบุกรวบเจ้ามือหวยรายใหญ่ “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” ชักชวนเล่นพนันแทงหวยออนไลน์ ทั้งหวยไทย หวยลาว หวยใต้ดิน เบอร์เงิน เบอร์ทอง รับสมัครแม่ทีมลูกทีมไม่อั้น ยอดเงินสะพัดในบัญชีกว่า 10 ล้าน
ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ความสำคัญในการปราบปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลักลอบเล่นการพนันออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการมอมเมาประชาชน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เร่งรัดสืบสวนดำเนินคดีกับเจ้ามือ นายทุน และผู้เกี่ยวข้องทุกรายอย่างเด็ดขาด

ต่อมาวันนี้ 10 เมษายน 2567 พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก. พ.ต.ท.วีระ หอมเย็น พ.ต.ท.ปภาณ บุตรดีขันธ์ พ.ต.ท.สุธี บุดดีคำ สว.สส.ฯ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื่องจากสืบทราบมาว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักของ นางเริ่ม (นามสมมติ) และสามี เจ้ามือหวยออนไลน์รายใหญ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” ซึ่งมีการโพสต์ชักชวนทาง Facebook ให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นการพนันประเภทหวยออนไลน์ หวยลาว เบอร์เงิน เบอร์ทอง โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ต่างๆ เช่น “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง 915” “บ้านร่ำรวยเงินทอง” พร้อมทั้งประกาศเปิดรับตัวแทน แม่ทีม หรือผู้ที่จะนำใบหวยไปกระจายขายให้กับประชาชนทั่วไปจำนวนมาก โดยจะมีสวัสดิการต่างๆ ให้ตัวแทน เช่น วันเกิดตัวแทน วันเกิดลูก ค่าคลอดบุตร หรือโบนัสสะสม ทั้งนี้เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาสมัครเป็นตัวแทนขายหวยเพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย ตรวจค้นภายในบ้านพบของกลางและทรัพย์สินจำนวนมาก ประกอบด้วย บัตรเบอร์หวย “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง 915” งวดวันที่ 16 เมษายน และวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 รวมจำนวน 19,500 ใบ , สมุดจดหวย “บ้านร่ำรวยเงินทอง” จำนวน 100 เล่ม , สมุดจดเบอร์ทอง และสมุดจดหวยใต้ดิน จำนวน 2 เล่ม , เงินสดจำนวน 600,000 บาท , โทรศัพท์มือถือและแท็ปเลต จำนวน 4 เครื่อง , คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง , กล่องพัสดุและซองกันกระแทกสำหรับส่งเบอร์หวยจำนวนมาก จากการสอบถามนางเริ่มและสามีให้การรับสารภาพว่า ได้ผันตัวมาเป็นเจ้ามือหวยออนไลน์ หวยลาว เบอร์เงิน เบอร์ทอง มาประมาณปีเศษ โดยจะใช้วิธีการชักชวนบุคคลทั่วไปผ่านทาง Facebook ซึ่งในแต่ละงวดจะพิมพ์เบอร์หวยออกมา 10,000 ใบ แจกจ่ายให้กับตัวแทนหรือแม่ทีมทั่วประเทศรับไปจำหน่ายต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้ง ข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “จัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม     ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตฯ (ขายหวยออนไลน์) พร้อมทั้งควบคุมตัว นางเริ่มและสามี พร้อมทั้งของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางพลี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ ผบก.สอท.5 กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้ามือหวยออนไลน์รายใหญ่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 13,400,000 บาท มีตัวแทนหรือแม่ทีมที่คอยรับเบอร์หวยกระจายส่งขายทั่วประเทศประมาณ 200 คน ซึ่งขณะนี้ตำรวจไซเบอร์ อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และในขณะนี้ยังพบความเคลื่อนไหวในกลุ่มเจ้ามือหวยใต้ดิน หวยออนไลน์ ต่างๆ ได้พากันแจ้งเตือนให้ระวังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอาจริงเอาจังในการกวาดล้างจับกุมการพนันออนไลน์ทุกรูปแบบ ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี “ฝากเตือนไปยังผู้ที่ชอบการเสี่ยงโชคทุกรูปแบบ ให้หยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งเจ้ามือและผู้เล่น หากพี่น้องประชาชนทราบแหล่งที่มาหรือต้นตอของหวยลาว หรือหวยใต้ดินทุกรูปแบบ สามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบ” พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ กล่าว
 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมกำชับตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย

วันนี้ (10 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวจะมีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยกำหนดให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวันในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น วันที่ 11-17 เมษายน 2567

พล.ต.ท.กรไชยฯ เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 พร้อมกำชับมาตรการกวดขันผู้ขับขี่รถที่ฝ่าฝืนกฎจราจรก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โดยในที่ประชุมได้มีการเน้นย้ำเรื่องการวางแผนบริหารการจราจร เพื่อทำให้การจราจรเกิดความคล่องตัว พร้อมวางแนวทางป้องกันอุบัติเหตุและบังคับกฎหมายอย่างจริงจังอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในการคืนพื้นผิวจราจรก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ , การตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ , กรณีเกิดอุบัติเหตุสำคัญต้องจัดการบริหารเหตุการณ์ให้เกิดความเรียบร้อย อีกทั้งวางมาตรการห้ามรถบรรทุกวิ่งในช่วงประชาชนเดินทางไป-กลับ แต่หากมีความจำเป็นให้ขออนุญาตกับตำรวจทางหลวง ตลอดจนอำนวยความสะดวกการจราจรในสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการจราจร ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจราจรให้แก่ประชาชน

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางสูงสุดในช่วงวันที่ 11 - 12 เมษายน 2567 แต่เมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกันบ้างแล้ว คาดว่าประชาชนจะเดินทางกลับมากที่สุดในวันที่ 16 - 17 เมษายนนี้ เบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนา มากกว่าช่วงสงกรานต์ปี 2566 ประมาณร้อยละ 3.1

นอกจากนี้ ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้พร้อมก่อนออกเดินทาง และตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างเส้นทางก่อนการเดินทาง เพื่อการเดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย ไร้กังวล ซึ่งตำรวจทางหลวงได้รวบรวมเส้นทางสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยพี่น้องประชาชนสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดูและวางแผนการเดินทางได้ และหากรถยนต์ไฟฟ้าของพี่น้องประชาชนเกิดปัญหาระหว่างการเดินทาง สามารถขอความช่วยเหลือกับตำรวจทางหลวง ได้ที่สายด่วน 1193

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวด้วยว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้อยากให้ประชาชนเดินทางกลับอย่างปลอดภัยและเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด กำชับให้ตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะ 10 ข้อหาหลัก ซึ่งมาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการมานั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย และเป็นการป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎจราจรจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายบนท้องถนน ทั้งนี้ หากพบอุบัติเหตุ หรือรถเสีย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 หรือ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 หรือ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ตลอด 24 ชั่วโมง

เชียงใหม่-"มช. เชื่อมพลัง โรงพยาบาลลำพูน บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม ต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ โดยมี รากฐากมาจากงานวิจัยในรั้วมหาวิทยาลัย"

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับโรงพยาบาลประจำจังหวัดอย่างโรงพยาบาลลำพูน เพื่อร่วมกันสร้างความร่วมมือการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งนำองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมภายใน มช. ไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ผ่านการถ่ายทอดและบูรณาการความรู้สู่การใช้งานจริง โดยมี รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และ แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวรายงาน จากนั้น จึงเป็นการร่วมลงนามฯ ของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน พร้อมกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดี และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าว อีกทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ NSP Exhibition Hall อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มช. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมของ มช. สู่การประยุกต์ใช้ในระบบการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ โดยหวังให้เกิดการบูรณาการและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นรากฐานในการการสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อวงการทางการแพทย์และยกระดับคุณภาพบริการสาธารณสุข ตลอดจนขยายโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยแก่ประชาชนทั่วไปได้อย่างกว้างขวางต่อไป

ด้าน แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวว่า โรงพยาบาลลำพูนให้ความสำคัญกับสิทธิและการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อหาโซลูชั่นที่จะช่วยยกระดับระบบการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนที่ครบวงจร อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาล คือ "โรงพยาบาลคุณภาพคู่ใจประชาชน" ซึ่งการสร้างความร่วมมือกับมช. ในครั้งนี้ ได้มีการนำองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากการวิจัยและการศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการของโรงพยาบาล โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการประยุกต์ใช้ในการให้บริการ อาทิ การนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรังมาทดลองใช้ โดยเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาแผล และช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งการนำนวัตกรรมดังกล่าว มาใช้จะช่วยปรับปรุงการบริการของโรงพยาบาล นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังคาดว่าในอนาคตจะสามารถขยายผลการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมอื่น ๆ เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำพูน ได้เข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เผยว่า การลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลลำพูนในครั้งนี้ สะท้อนถึงนโยบายของ มช. ในการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย เครื่องมือวิจัย องค์ความรู้ และงานวิจัยต่าง ๆ ให้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ไม่เพียงแค่ในระดับการศึกษา แต่ครอบคลุมถึงการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์ ทั้งพัฒนาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยปัจจุบันได้มีการนำร่องด้วยการนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรัง ผลงงานวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มช. ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ อีกทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรักษาแผล ผู้ป่วยกลุ่มเรื้อรังและผู้ป่วยติดเตียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยสามารถช่วยร่นระยะเวลาของแผลปิดได้เร็วขึ้นอย่างน้อย 50 วันเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะเวลาแผลปิดด้วยวิธีการโดยทั่วไป ที่ทดลองการใช้งานในโรงพยาบาลลำพูนอีกด้วย

นภาพร/เชียงใหม่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top