Wednesday, 21 May 2025
NEWS FEED

‘สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย’ เร่งขยายเฟสแรก งบ 5,870 ล้าน สร้างอาคารหลังใหม่ พร้อมดันศักยภาพรองรับผู้โดยสารแตะ 6 ล้านคนต่อปี

(6 พ.ค. 68) กระทรวงคมนาคมร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ใช้งบประมาณ 5,870 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบันประมาณ 1.9 ล้านคนต่อปี ให้เพิ่มเป็น 6 ล้านคนภายในปี 2575 เพื่อตอบรับการเติบโตของการเดินทางและท่องเที่ยวในภาคเหนือ

ในแผนงานระยะที่ 1 (ปี 2568–2571) จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร 2) พร้อมปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ก่อสร้างลานจอดอากาศยาน ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้สนามบินสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากการขยายอาคารผู้โดยสาร ยังมีแผนลงทุนปรับปรุงโครงข่ายถนนรอบสนามบิน เช่น ทางลอดและทางแยกต่างระดับ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเมือง พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะจากจีน ลาว และเมียนมา

ทอท. คาดการณ์ว่าในปี 2573 จำนวนผู้โดยสารของสนามบินแม่ฟ้าหลวงจะพุ่งแตะ 3 ล้านคนต่อปี จึงเร่งวางแผนพัฒนาเชิงรุกระยะยาว โดยมีแผนเฟส 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับถึง 8 ล้านคนภายในปี 2578 สอดรับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน

โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีผู้กระทำความผิดแอบอ้างใช้ชื่อและรูปภาพของผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภาไปหลอกลวงผู้เสียหาย

(6 พ.ค. 68) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ ผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีผู้กระทำความผิดแอบอ้างใช้ชื่อและรูปภาพของนายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ ไปหลอกลวงผู้เสียหาย นายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ กล่าวว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ได้มีผู้มายื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภา อ้างว่ามีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา หลอกลวงชักชวนให้ลงทุนและวิธีอื่น ๆ ทำให้มีผู้เสียหายหลายรายตามที่ปรากฏเป็นข่าว สร้างความความเสียหายแก่ตนเป็นอย่างมาก  และในปัจจุบันมีตนเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา ซึ่งอาจทำให้ประชาชนและผู้ที่ติดตามข่าวเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้กระทำความผิด โดยมิจฉาชีพได้ใช้ชื่อและรูปภาพของตน ปลอมบัญชี Facebook Tiktok Instagram และนำไปหลอกลวงกลุ่มผู้เสียหายในรูปแบบต่าง ๆ  ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อและได้ทำการโอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพหลายครั้ง จำนวนแตกต่างกันไป โดยผู้เสียหายได้ทำการร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายท้องที่และได้ร้องเรียนกับสื่อมวลชนหลายสำนัก ซึ่งต่อมาตนได้ไปออกรายการถกไม่เถียง ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เพื่อแสดงตัวตนที่แท้จริงและให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปเพื่อไม่ให้ถูกหลอกลวง อันแสดงถึงเจตนาที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์มิจฉาชีพไปหลอกลวงประชาชนได้อีก ซึ่งผู้เสียหายบางรายที่ได้พบและพูดคุยกับตนที่สถานีตำรวจ ได้ทำความเข้าใจกันแล้ว โดยผู้เสียหายทราบแล้วว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดและไม่มีผู้เสียหายรายใดโอนเงินมายังบัญชีของตนเลย และก่อนหน้านี้ผู้เสียหายก็ไม่เคยพบหรือพูดคุยกับตนแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมบัญชีที่ใช้ชื่อ นามสกุล และรูปภาพของตน มากกว่า 30 บัญชี โดยตนได้ไปแจ้งความที่ สน.บึงกุ่ม เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 และวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และแจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) โดยได้มีหนังสือแจ้งความคืบหน้ามา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 จาก สน.บึงกุ่ม สาระสำคัญว่า คดีนี้การสอบสวนเสร็จสิ้น มีความเห็นงดสอบสวนเนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานการตรวจสอบข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากฐานข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ Facebook Tiktok line และ Tinder ผู้ให้บริการมีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ อันเป็นข้อจำกัดในการสั่งให้ส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการได้จึงไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด
ทั้งนี้ ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหายทุกท่าน และเห็นใจที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง แต่ทุกสิ่งต้องดำเนินไปตามกฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรักษาสิทธิของตนเอง จึงขอให้กลุ่มผู้เสียหายและตัวแทน ติดตามทวงถามถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สน.ที่แจ้งความ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการออกหมายเรียกหรือหมายจับตามขั้นตอนของกฎหมายกับผู้ที่เปิดบัญชีรับโอนเงิน ผู้ที่รับโอนเงิน หรือผู้ที่ทำการเบิกถอนเงิน รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะเดินทางไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่าง ๆ และหากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่ผู้เสียหายรวมถึงตัวแทนเดินทางไปร้องเรียนตนกับหน่วยงานต่าง ๆ นั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ เกี่ยวข้องว่าตนเป็นผู้กระทำความผิด ตนอาจจะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับตนต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้สื่อมวลชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้สามารถปกป้องตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และไม่ให้เรื่องลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป

พิษณุโลกแม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการฝึกทหารใหม่ ในพื้นที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมื่อวันที่ (6 พ.ค. 68) พล.ท.กิตติพงษ์​  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกทหารใหม่ ของหน่วยฝึกทหารใหม่  ร.4 พัน.3, มทบ.39 และ ส.พัน.4 พล.ร.4  สำหรับวันนี้เป็นวันที่ 6​ ของการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1 ประจำปี 2568 หลังจากที่ทหารใหม่เข้ามารายงานตัว ในวันที่ 1 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งในห้วงแรกเป็นการดำเนินการเรื่องธุระการและให้น้องๆ ทหารใหม่ได้มีโอกาสปรับตัวหลังจากเข้ามารายงานตัวในหน่วยต่างๆ ซึ่งห้วงแรกนี้เป็นการฝึกบุคคลท่าเบื้องต้น บุคคลท่ามือเปล่า ซึ่งเป็นการปรับตัวของน้องๆ ทหารใหม่จากบุคคลพลเรือนมาเป็นทหารใหม่ สำหรับการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1 ประจำปี 2568 จะทำการฝึก จำนวน 6 สัปดาห์ และทำการฝึกเฉพาะหน้าที่ จำนวน 3 สัปดาห์ เมื่อการฝึกเสร็จสิ้นก็จะมีกิจกรรม Open house เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและญาติ มาชมการแสดงและดูการเปลี่ยนแปลงของน้องๆ ทหารใหม่ ก่อนที่จะปล่อยน้องทหารใหม่ไปพักบ้านหลังจากผ่านการฝึกมาแล้ว จำนวน 9 สัปดาห์ ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 เน้นย้ำ การฝึกทหารใหม่ ขอให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นในการฝึกทหารใหม่อย่างเคร่งครัด เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องโรคลมร้อน (Heat Stroke) ให้หน่วยฝึกมีมาตราการควบคุมและฝึกซ้อมการส่งป่วย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และครูฝึกจะต้องอยู่กับทหารใหม่ตลอด 24 ซม. เพื่อคอยกำกับดูแลทหารใหม่ให้เหมือนญาติพี่น้องและ บุคคลภายในครอบครัว ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

รอง ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(6 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและผู้เข้ารับการฝึกอบรม ร่วมพิธี ที่โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 
 
สำหรับการจัดโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั้งระดับผู้บังคับบัญชาและระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน เข้าใจสภาพปัญหาสำคัญในการปฏิบัติงานในพื้นที่รับผิดชอบ สามารถวิเคราะห์แนวโน้มการเกิดอาชญากรรม และนำไปสู่การวางแผนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ เทคนิควิธีปฏิบัติงานใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และปรับปรุงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สอดคล้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 หลักสูตร โดยจะมีผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์เป็นพิเศษในงานป้องกันปราบปราบอาชญากรรม รวมถึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญกับงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม ได้แก่
1. หลักสูตรการบริหารงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รวม 72 นาย ประกอบด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม พร้อมทีมงานบริหารป้องกันปราบปราม หน่วยละ 6 นาย และหน่วยงานด้านยุทธวิธีและด้านอำนวยการ หน่วยละ 1 นาย ซึ่งมีการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5-7 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 

2. หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามของสถานีตำรวจ (สน./สภ.) ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 อย่างน้อย 1,484 นาย ฝึกอบรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 รุ่น รุ่นแรกวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 มีพิธีเปิดการฝึกอบรมฯ ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนอีกรุ่นฝึกอบรมระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568 

ผบช.สตม.ตรวจเยี่ยมการทำงาน ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต พร้อมหารือการติดตั้งระบบช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ

(6 พ.ค. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ภาณุมาศ  บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และคณะ ฯ เดินทางตรวจราชการ พร้อมหารือแนวทางในการติดตั้งช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Border Channel: ABC)  ร่วมกับ นายมนต์ชัย ตะโหนด ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต และ นายธนพล กองบุญมา CEO บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด พร้อมคณะ ณ ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว

ชาวทุ่งหวังเฮ ขอบคุณ ‘เจือ ราชสีห์’ ผลักดันงบ 72 ล้าน ขยายถนน ปรับปรุงผิวจราจร เส้นทางมุ่งสู่ ‘วัดทรายขาว’

(6 พ.ค. 68) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย พระครูสังฆรักษ์พิเชษฐ์ จิตตปาโล เจ้าอาวาสวัดทรายขาว พร้อมด้วยนายสัตยา ปล้องใหน่ นายช่างโยธา นายภูริเดช รัตนะ วิศวกร ตัวเเทนจากกรมทางหลวงชนบท และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลทุ่งหวัง ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการ 

พร้อมแจ้งข่าวดีให้พี่น้องชาวตำบลทุ่งหวังได้รับทราบหลังได้รับข่าวดีเกี่ยวกับงบประมาณสนับสนุนโครงการขยายถนนเเละปรับปรุงผิวจราจร ถนนสายทางหลวงชนบทหมายเลข สข.3005 ในช่วงเเยกไฟเเดงวัดทุ่งหวังใน -ผ่านทางหน้าวัดทรายขาว สิ้นสุดการก่อสร้างบริเวณทางขึ้นวัดเขาหลง หมู่6-หมู่8 ตำบลทุ่งหวัง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรเเละความกว้างเดิมของถนน 8 เมตร ขยายเป็นความกว้าง 12 เมตร ปรับผิวจราจรพร้อมติดตั้งไฟส่องสว่างตลอดเส้นทาง ด้วยงบประมาณรวม 72 ล้านบาท

โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสักการะหลวงปู่ทวด ณ วัดทรายขาว ตำบลทุ่งหวัง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งศรัทธาสำคัญของจังหวัด

ความคืบหน้านี้เกิดจากการประสานงานและผลักดันตั้งแต่ต้นโดยนายเจือ ราชสีห์ ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดจนสามารถผลักดันงบประมาณมาดำเนินการได้สำเร็จ ล่าสุด นายเจือ ราชสีห์ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการเตรียมการก่อสร้าง  ได้ดำเนินงานจะเป็นไปตามแผนและสามารถเริ่มได้ในเร็วๆ นี้ เเละผมขอเเสดงความยินดีกับพี่น้องชาวตำบลทุ่งหวังด้วยครับ

อ.วิศวะ ม.เกษตร โพสต์ข้อความ!! สะท้อนปัญหา ในมหาวิทยาลัยยุคปัจจุบัน เผย!! มีงานวิจัยมากมาย มีศาสตราจารย์ท่วมท้น แต่ไม่ผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์สังคม

(5 พ.ค. 68) รศ.ดร.พันธุ์ปิติ เปี่ยมสง่า อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

Failed University 
ep2

มหาวิทยาลัยที่ล้มเหลว ไม่ได้แปลว่าตึกพัง
แต่มันคือการเลือกเดินทางผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่รู้ตัว
- มุ่งแต่ ranking ที่สะท้อนประโยชน์ของต่างชาติ
- มีงานวิจัยมากมาย
- มีศาสตราจารย์ท่วมท้น
- แต่กลับไม่ผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์สังคม อย่างเพียงพอ
หน่วยงานนี้ยังถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยหรือไม่
แต่ สิ่งที่ขยันทำที่สุดกลับกลายเป็น...

จัด event และพิธีกรรมแทบทุกเดือน
ทั้งไหว้ครู ครบรอบหน่วยงาน วันมหาลัย วันผ้าไหม วันออกกำลังกาย
(เด็กตกวิชาแกน ไม่มีคนช่วยติว)

ตั้งผู้บริหารเต็มไปหมดเพื่อจัดอีเว้นท์ หรือ เป็นกรรมการเรื่องเฉพาะ
แต่ได้ค่าตอบแทนรายเดือน แล้วใครวัดว่าคุ้ม?

ประกวดคลิป-เพจ-ภาพถ่าย-หนังสั้น
หัวข้อ “มหาวิทยาลัยในฝัน” (ทั้งที่ชีวิตจริงไม่ฝันขนาดนั้น)
ทำโปสเตอร์เยี่ยม วิดีโอ 4K ทุกกิจกรรม
แต่รูปส่วนใหญ่มีแค่ผู้บริหารถ่ายเป็นแผง
เสียงบรรยาย “มุ่งสู่ความเป็นเลิศ”
แต่อาจารย์ต้องซื้อคอมพิวเตอร์เอง

ขยันเซ็น MOU ทั่วโลก
แต่ในคณะตัวเองยังไม่รู้จะทำงานร่วมกันเรื่องอะไร

โฆษณาจุดเด่นเฉพาะทาง Niche ที่ไม่มีใครสนใจ
(และไม่มีอาจารย์ประจำอยู่จริง)

เน้นเชิญคนดังมาพูดสร้างแรงบันดาลใจ
แต่เคยฟังคนในองค์กรดัง ๆ มาเล่าเรื่องของเขาบ้างไหม?
แทนที่จะสร้างแรงบันดาลใจจากการสอนที่ดีจริง ๆ

ประชุมตัวชี้วัดละเอียดจนเหนื่อย
ยุ่งยาก วุ่นวาย แต่สุดท้ายก็ “ทำให้ผ่าน”
บ่นไปก็ไม่มีใครฟัง เพราะรู้อยู่แล้วว่า “ยังไงก็ผ่าน”

พาผู้บริหารไปสร้างเครือข่าย
บินต่างประเทศ กินข้าว ถ่ายรูป
แล้วคอยตอนเขาเรียกเข้าทีมบริหาร

จัดของขวัญ กิจกรรมสร้างความสุข
แจกเสื้อ เลี้ยงปีใหม่ เอาเรื่องที่ควรทำ
มาใช้เป็น favor ให้คนที่อาจต้อง "โหวต" เร็ว ๆ นี้

ถ่ายภาพมอบโล่ ยืนยิ้ม ยกนิ้ว ให้สิทธิประโยชน์
โดยเฉพาะช่วงเตรียมเลื่อนตำแหน่ง หรือขอทุนรอบใหม่

ทั้งหมดนี้...

ขยันกันมาก — มากกว่าสอนหนังสือ มากกว่าสร้างคน
และไม่เคยสนใจ “โครงสร้าง” ที่ทำให้ระบบดีขึ้นจริง

คำถามคือ...
มหาวิทยาลัยของคุณ เป็นแบบนี้หรือเปล่า?
แล้วเราจะทำอะไรกับมันดี?

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามความคิดเห็นของผมครับ
อย่างน้อยมันทำให้ผมรู้ว่า… “ความหวังของสังคมยังมีอยู่”
แต่อาจต้องมีใครบางคนเริ่มพูด และเริ่มจัดการกับสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่เขียนทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการพูดจากประสบการณ์ส่วนตัว
และการสังเกตภาพรวมเท่าที่มองเห็น ไม่ได้พาดพิงมหาวิทยาลัยใดโดยเฉพาะ
ผมเขียนเพราะอยากชวนให้สังคมหันกลับมามองภาพรวม
ตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยชิน
และกล้าคิดร่วมกันว่า เราจะแก้ไขมันอย่างไร

สุดท้าย…
ผู้อ่านต่างหากที่เป็นคนตัดสินว่า สิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว
มัน “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”

‘ดร. โสภณ’ โพสต์ติง!! ‘ลิซ่า’ ให้ออกมาขอโทษ ปม!! เต้นท่าหมาร่วมรัก โดนชาวเน็ตจวกหนัก ลุงเป็นไบโพล่าเหรอ ส่องโพสต์ล่าสุด รีบกลับลำอวยเฉย

(5 พ.ค. 68) ประเด็นร้อนแรงของวันนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล เมื่อเขาโพสต์ข้อความเหน็บแนม "ลิซ่า BLACKPINK" เกี่ยวกับท่าเต้นและการแสดง โดยมีเนื้อหาทำนองตั้งคำถามถึงคุณค่าหรือความเหมาะสมของท่าเต้นที่ลิซ่าแสดงบนเวที ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการ "เหยียด-ดูแคลน" ศิลปินหญิงไทยที่ประสบความสำเร็จระดับโลก

โดยงานนี้จุดประเด็นดราม่าเริ่มจาก  ดร. โสภณ พรโชคชัย โพสต์ข้อความรัวๆส่งสารถึง สาวลิซ่า หลายโพสต์มาก!!
ยัยดาราอาบน้ำโชว์ยังไม่อุจาดเท่า ลิซ่าเต้นท่าหมาร่วมรัก

ดาราที่เรารัก ถ้าทำไม่เหมาะในที่สาธารณะ ต้องเตือนได้ อย่ายึดตัวบุคคล ต้องยืนยันในหลักการครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขสวัสดิ์

ลิซ่าควรออกมาขอโทษสังคม และเลิกเต้นท่าหมาอีกนะครับ 

แม้ว่าล่าสุด ดร.โสภณ  ออกมาโพสต์อวย "ลิซ่า BLACKPINK" โดยระบุข้อความว่า ลิซ่าเป็นคนรุ่นใหม่ ลงทุนในอสังหาฯ เป็นแบบอย่างที่ดีในการลงทุน ไม่ได้โดนหลอกไปซื้อBTC เช่นคนอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว!! เพราะงานนี้แฟนคลับไม่พอใจอย่างแรงกับข้อความก่อนหน้านี้ที่  ดร.โสภณ โพสต์ถึงศิลปินที่คนไทยรัก

โพสต์ดังกล่าวของ ดร.โสภณ ใช้ภาษาที่ประชดประชันอย่างรุนแรง เช่น เปรียบเทียบท่าเต้นกับสิ่งล่อแหลม หลายคนมองว่าเจตนาเหมือนต้องการ ปั่นกระแสเพื่อให้คนมาแสดงความคิดเห็น หรือสร้างเอ็นเกจเมนต์ (engagement bait) โดยชาวเน็ตและแฟนคลับลิซ่าจำนวนมากมองว่าเป็นการดูถูกผลงานและความสามารถของศิลปินที่ทำให้คนไทยภูมิใจในเวทีโลก มีผู้วิจารณ์ว่าการออกความเห็นในลักษณะนี้ “ไม่เหมาะสม” และสะท้อนทัศนคติที่ล้าหลังต่อผู้หญิงและศิลปะการแสดงสมัยใหม่

มิ้นท์ I Roam Alone ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะขี่ม้าท่องเที่ยวในประเทศเนปาล เผย!! อยากกลับไปเที่ยวที่ ‘เทือกเขาหิมาลัย’ อีก แต่ไม่ขอขี่ม้าอีกแล้ว

(5 พ.ค. 68) ทำเอาแฟนคลับใจหายใจคว่ำอีกครั้ง เมื่อนักเดินทางสาวชาวไทยชื่อดัง อย่าง "มิ้นท์ I Roam Alone" ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงขณะขี่ม้าท่องเที่ยวในประเทศเนปาล แต่กลับรอดชีวิตมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พร้อมบาดแผลเพียงเล็กน้อย

เหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นหลังจากมิ้นท์ขึ้นขี่ม้าได้เพียงไม่นาน ม้าเกิดอาการตื่นตกใจและสะบัดอย่างรุนแรง จนมิ้นท์พลัดตกลงจากหลังม้า เท้าซ้ายของเธอติดอยู่กับที่พักเท้า ทำให้ถูกม้าลากไปกับพื้นขรุขระและเต็มไปด้วยหิน เป็นระยะทางยาวนาน ท่ามกลางความตกใจของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งต่างคิดว่าเธอคงไม่รอดชีวิต หรือหากรอดก็คงบาดเจ็บสาหัส

โดย มินท์ ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ระทึก หลังประสบอุบัติเหตุที่เนปาล โดยระบุข้อความว่า …

มิ้นท์ประสบอุบัติเหตุรุนแรงที่เนปาลค่ะ

คนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครคิดว่าจะมีชีวิตรอดมาได้ หรือถ้ารอดมาก็ไม่น่าจะเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นเร็วมากเลยล่ะ หลังจากขึ้นม้าไปได้ไม่ถึง 2 นาที เพิ่งจะลูบขนม้าเบาๆบอกกับม้าว่า ‘เป็นเด็กดีนะลูก’ ผ่านไปแป๊บเดียวก่อนเข้าทางเดินเล็กๆเลียบผา เจ้าม้าก็ตัดสินใจกระโดดเตะเข้าหน้าเจ้าของ (คนจูง) แล้วก็เตะซ้ำอีกทีที่สะโพกจนเจ้าของล้มลง เขาเลยปล่อยเชือกจูงม้าที่มิ้นท์อยู่บนหลังไป

ม้าที่ตื่นตกใจก็วิ่งๆกระโดดๆไปจนมิ้นท์ตกลงมา แต่ด้วยความที่เรารักสัตว์มาก(มั้ง) เท้าซ้ายเลยตัดสินใจรั้งม้าไว้ติดอยู่กับที่พักเท้าไม่หลุดออกมาด้วย ในขณะที่ม้าพยายามจะไป จะพยายามจะสะบัด สุดท้ายมิ้นท์เลยโดนลากไปกับม้า ตัวฟาดไปฟาดมากับพื้นอยู่นาน ข้างซ้ายหิน ขวาก็หินและเป็นเหวลงไปด้วย คนเห็นร้องไอ้หยา! คิดว่าตายแน่ๆ ดูยังไงก็ไม่รอด มิ้นท์ใช้สติเป็นเครื่องมือ คว้าหางม้าหรือขนก้นม้าไว้ซักอย่าง เกร็งตัวขึ้นมาแล้วเอาขาซ้ายออกมาได้สำเร็จ! แต่ผลก็คือแผ่นหลังสะบักสะบอม ฝุ่นตลบไม่รู้ว่าช้ำในอะไรตรงไหน

ส่วนใบหน้าปลอดภัยเหมือนอยู่คนละเหตุการณ์กัน ไม่มีริ้วรอยใดนอกจากตีนกาเลย

ความควายยังไม่ทันหาย ความกระทิงก็เข้า ประกันภัยพิเศษที่ซื้อมาสำหรับการอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์โดยเฉพาะ (ไม่ใช่ของไทยนะคะ) เลือกรอเฮลิคอปเตอร์ที่ ‘ไกลที่สุด’ ของตัวเอง ทำให้กู้ภัยแทบจะกลายเป็นกู้ร่าง กว่าจะถึงหลังคาโรงพยาบาลก็ผ่านไปแล้ว 10 ชั่วโมง 
ไว้จะมาเล่าให้ฟังละเอียดอีกครั้งเพื่อคนอื่นจะได้ไม่เจอเหมือนกันเนอะ

ถึงจะรอเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยนานมาก แต่ดวงแข็งเป็นทุนเดิม (จนคิดอยากจะทำของขลังให้คนบูชารุ่น ‘ดีนะที่ไม่ตาย’) ประกอบกับแม่บอกว่า ‘หมอดูบอกว่าแกอายุยืน’ ก็เลยรอดกลับมารักษาตัวที่ไทยได้ 

ทุกคนบอกว่านี่คือปาฏิหาริย์แม้แต่คุณหมอเอง เพราะจริงๆถ้าก้มดูร่างกายตัวเองแล้ว มิ้นท์รอดจากอุบัติเหตุรุนแรงด้วยบาดแผลที่น้อยที่สุดเท่าที่คนคนนึงจะโชคดีได้

ถึงตอนนี้จะยังมีรอยช้ำนิดหน่อย และปวดกล้ามเนื้ออยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าโชคดีมากที่ไม่ตายจริงๆ ไว้จะมาคอยอัพเดทเนอะ

อยากกลับไปอีกอาณาจักรที่แสนพิเศษกลางเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้อีก แต่รอบหน้าไม่ม้าแล้ว ฮี่ๆๆๆๆ

‘ดร.อธิป’ เผย!! Jensen Huang ประธานบริษัท NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล ให้ข้อมูลสำคัญ!! ‘จีน’ กำลังไล่ทัน ‘สหรัฐฯ’ ในเทคโนโลยี AI แล้ว

(5 พ.ค. 68) ดร.อธิป อัศวานันท์ นักเขียน อาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพทางอินเทอร์เน็ต ที่ประสบความสำเร็จ ไดโพสต์คลิป โดยมีใจความว่า …

Jensen Huang ประธานบริษัท NVIDIA เพิ่งเปิดเผยว่าจีนกำลังไล่ทันสหรัฐในเทคโนโลยี AI แล้ว!!
ประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะบอร์ด AI แห่งชาติ ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างจากตรงนี้?

1: การทุ่มงบสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน AI! ... จีนตั้งกองทุนขนาดยักษ์กว่า 4.5 ล้านล้านบาทเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน AI โดยเฉพาะ!
แล้วไทยล่ะ? เรายังทำแบบเล็กๆ แค่ร้อยถึงพันล้านบาทเท่านั้น ไม่ต้องเทียบกับจีน เทียบกับเพื่อนบ้านเราก็ยังสู้ไม่ได้
และไม่ใช่แค่ให้เงิน แต่เราต้องสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การลดภาษี จัดตั้งเขตนวัตกรรมพิเศษ ดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมาร่วมงาน และมี Sandbox ให้ทดลองผลิตภัณฑ์ AI ได้จริง

2: ลงทุนสร้าง "ทุนทางปัญญา"! ... Jensen Huang เน้นย้ำว่า "นักวิจัย AI ราว 50% ของโลกเป็นชาวจีน" และในสหรัฐเองก็มีนักวิจัย AI จีนมากกว่านักวิจัยอเมริกัน!!

นี่คือจุดเปลี่ยนเกม - ทุนมนุษย์สำคัญกว่าเทคโนโลยี!
ไทยต้องมีโครงการทุนการศึกษาระดับแสนคนต่อปีในด้าน AI ตั้งแต่มัธยมถึงปริญญาเอก
มีโครงการดึงคนเก่งกลับประเทศด้วยค่าตอบแทนที่แข่งขันได้จริงๆ
และสร้างสถาบันวิจัยด้าน AI แห่งชาติที่ให้เงินเดือนนักวิจัยแข่งกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ได้!
และเราต้องปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาทั้ง ระบบให้เน้น AI, Coding และ Data Science ตั้งแต่ประถม เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่คิดเป็นระบบ และพร้อมนำ AI ไปใช้ในทุกสาขาอาชีพ!!

3: เล่นเกมระยะยาวไร้เส้นชัย! ... Jensen Huang บอกว่า AI คือ "เกมที่ไม่มีวันจบ" ไม่มีวันที่คนใดคนหนึ่งจะชนะตลอดกาล!
ไทยต้องวางยุทธศาสตร์ AI 20 ปี ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาล

มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องที่ไม่หวังผลเร็ว และมีความอดทนสูง เหมือนที่เกาหลีใต้ทำกับอุตสาหกรรม K-Pop ที่ใช้เวลากว่า 20 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จระดับโลก!!

ต้องสร้างวิสัยทัศน์ร่วมของชาติด้าน AI ที่ทุกภาคส่วนเห็นพ้องต้องกัน และยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาว แม้จะมีอุปสรรคหรือความล้มเหลวระหว่างทาง
เพราะการพัฒนา AI ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร แต่เป็นมาราธอนที่ต้องอาศัยความอดทนและการปรับตัวตลอดเวลา!
ถ้าจีนทุ่มงบกว่า 4 ล้านล้านบาทให้สตาร์ทอัพ AI ไทยจะให้แค่พันล้านไม่ได้อีกแล้ว! เราต้องทุ่มงบพัฒนาคนและสตาร์ทอัพแบบจริงจัง!
ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ เราจะเป็นได้แค่ผู้บริโภคเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้นำด้านนวัตกรรม! และในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโลก ประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองได้ จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไม่มีทางตามทัน!!

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น และเราจะร่วมกันผลักดันต่อเพื่อประเทศไทยของเราครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top