Saturday, 19 July 2025
NEWS FEED

‘พงศ์กวิน’ เผย สภาฯ ไฟเขียวกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ขยายสิทธิลาคลอดบุตร 120 วัน นายจ้างจ่ายเต็ม 60 วัน

‘พงศ์กวิน’ เผย สภาฯไฟเขียว! ขยายสิทธิลาคลอด 120 วัน นายจ้างจ่ายเต็ม 60 วัน เพิ่มสิทธิเลี้ยงดูบุตร-ช่วยคู่สมรสคลอดบุตร สอดคล้องนโยบาย 'คุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม' พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสของแรงงานไทยเต็มอัตรา

(17 ก.ค.68) นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ขอแสดงความยินดี กับพี่น้องแรงงานทุกคน หลังจากวานนี้สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) โดยให้ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ขยายจากเดิม 98 วัน เป็น 120 วัน  และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร 60 วัน และให้ลูกจ้างหญิงสามารถลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีก 15 วัน ในกรณีที่บุตรมีภาวะเจ็บป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการ โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลา 50%

นอกจากนั้นยังให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร ได้เป็นระยะเวลา 15 วัน โดยใช้สิทธิก่อนหรือในวันที่ลาภายใน 90 วันนับแต่วันที่คลอดบุตร โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างที่ลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตร 100 % ตลอดระยะเวลาที่ลา

นายพงศ์กวิน กล่าวต่ออีกว่า ตามสิทธิประโยชน์ที่พี่น้องแรงงานได้รับนั้น สอดคล้องกับนโยบายที่ได้ประกาศไว้ว่า จะคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม โดยกระทรวงแรงงานจะดำเนินการดูแลพี่น้องแรงงานทุกกลุ่ม นอกจากนั้นขอย้ำว่า จะผลักดันกฎหมายแรงงานใหม่ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ กว่า 21 ล้านคนเพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ นำไปสู่การบังคับใช้โดยเร็ว เนื่องด้วยปัจจุบันมีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะต้องดูแลแรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมศึกษารูปแบบการทำงานใหม่ เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบประกันสังคมให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น 

"สิทธิเรื่องการลาคลอด เป็นสิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายต่างเรียกร้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร ผมยืนยันที่จะเดินหน้าผลักดันให้ภาคแรงงานไทยมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้แรงงานมีผลิตภาพสูง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และให้กระทรวงแรงงาน เป็นโอกาสของแรงงานไทย ” นายพงศ์กวิน กล่าว

กองกำลังบูรพา ดักจับแรงงานกัมพูชาแอบเข้าไทย รวม 38 ราย อ้างงานไม่มี-เงินหมด กลับไทยดีกว่า

กองกำลังบูรพาในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เปิดปฏิบัติการเข้มช่วงกลางดึก 17 พ.ค. 2568 สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 3 จุด รวม 38 ราย ทั้งคนไทยและชาวกัมพูชา บางส่วนมีประวัติเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน บัญชีม้า หรือแม้แต่คดีแจ้งความออนไลน์ โดยกลุ่มชาวกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นอดีตแรงงานในไทยที่เดินทางกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่ต้องเผชิญกับภาวะไม่มีงานทำและขาดรายได้ 

สำหรับจุดแรก เจ้าหน้าที่ซุ่มตรวจในไร่อ้อยท้ายหมู่บ้านกุดหิน พบกลุ่มคนลักลอบเข้าเมือง 25 ราย เป็นคนไทย 5 คน และชาวกัมพูชา 20 คน (รวมเด็กชาย 1 คน) โดยคนกัมพูชาส่วนใหญ่เคยเป็นแรงงานในไทย ก่อนกลับประเทศและหางานไม่ได้ จึงจ่ายเงิน 2,500–4,000 บาท ให้ขบวนการลอบพากลับเข้าไทย ส่วนคนไทยจ่ายสูงถึง 6,000 บาท

จุดที่สอง เจ้าหน้าที่จับคนไทย 10 คน ที่เพิ่งลอบกลับจากปอยเปต โดยทั้งหมดเคยทำงานเป็นแอดมินเว็บพนันออนไลน์ และไม่มีเอกสารเดินทางจึงต้องเดินลัดไร่อ้อยข้ามแดน ขณะที่จุดสุดท้าย จับคนไทยอีก 3 รายในไร่อ้อยบ้านหนองปรือ ที่พยายามลอบไปทำงานก่อสร้างในกัมพูชา

การจับกุมครั้งนี้ตอกย้ำปัญหาการลักลอบข้ามแดนที่ยังแพร่หลาย ทั้งจากแรงงานข้ามชาติที่เดือดร้อน และกลุ่มคนไทยที่เข้าไปทำงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่เตรียมสอบสวนเชิงลึก ขยายผลถึงเครือข่ายผู้นำพา ก่อนส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

ร่วมส่งกำลังใจ ‘พลทหารธนพัฒน์’ เหยียบกับระเบิด ขาซ้ายขาด!! ล่าสุดอาการปลอดภัยทั้ง 3 นาย

(17 ก.ค. 68) จากกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดตกค้างในพื้นที่สู้รบเดิม ขณะลาดตระเวนบริเวณเนิน 481 ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพิกัด WA 220 861 เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ทหารพรานที่ 2302 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยหนึ่งในนั้นคือ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน อายุ 21 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องตัดขาซ้ายใต้เข่า ส่วนอีก 2 นายบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงอัดของระเบิด

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสะเกษมีดี” แชร์เรื่องราวของ พลทหารธนพัฒน์ ที่เพิ่งเกณฑ์ทหารเข้ารับใช้ชาติได้เพียง 1 ปี และมีความฝันอยากเป็นทหาร อาสารับใช้ชาติ และภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ซึ่งหลังเกิดเหตุ พลทหารธนพัฒน์ได้เข้ารับการผ่าตัดทันทีที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จนขณะนี้อาการปลอดภัยและสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ 

ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลทั้ง 3 นายด้วยตัวเอง โดยอีก 2 นายคือ ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ และ พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม ต่างมีอาการฟกช้ำบริเวณหน้าอกจากแรงอัด แต่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และอาการโดยรวมดีขึ้น

หลังการเยี่ยมผู้บาดเจ็บ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางต่อเพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งยังคงมีความตึงเครียดเป็นระยะจากกรณีพิพาทพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบางจุด

สมุทรปราการ-ปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกฯ ร่วมงานเปิดศาลา 100 ปี คุณพ่ออุทัย ยังประภากร ฟาร์มจระเข้ฯ สมุทรปราก

(16 ก.ค. 68) ที่ผ่านมา นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายปรพล อดิเรกสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม นายวัฒนา  เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด ’ศาลา 100 ปี ชาตกาล‘ คุณพ่อ อุทัย  ยังประภากร  

โดยมี นายจรูญ  ยังประภากร กรรมการบริหาร บริษัท ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ กล่าวรายงานถึงประวัติความเป็นมาของฟาร์มจรเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ มีนายธนชาติ ยังประภากร ผู้ช่วยกรรมการบริหารฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  พร้อมครอบครัวยังประภากร ร่วมให้การต้อนรับ

นอกจากนี้ ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติเดินทางมาร่วมงานและมอบดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีกันเป็นจำนวนมาก ด้านนายจรูญ ยังประภากร กรรมการบริหาร บริษัท ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ในฐานะครอบครัว “ยังประภากร” ได้กล่าวถึงประวัติคุณพ่ออุทัย ยังประภากร ว่าท่านเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในด้านอนุรักษ์จระเข้พันธุ์ไทย ไม่ให้สูญพันธุ์ และรวบรวมจระเข้พันธุ์ต่างๆจากทั่วโลก มาเพาะเลี้ยงที่ฟาร์มจระเข้แห่งนี้ 

ทำให้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยง การขยายพันธุ์ และค้นพบวิธีการฟักไข่จระเข้แบบธรรมชาติสำเร็จเป็นคนแรกของโลก จนได้พัฒนาเป็นฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ  โดยได้สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับประเทศชาติตลอดมา

คุณพ่ออุทัย ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาในโรงเรียน เนื่องจากฐานะทางครอบครัว ทำให้ท่านเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก ศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง จนสามารถอ่านเขียนภาษาจีนและไทยได้ ดังนั้นท่านจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการศึกษา โดยให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนทุกระดับ ทำให้เป็นแบบอย่างของความขยัน อดทน สู้ชีวิต มีจิตสาธารณะช่วยเหลือสังคมมาตลอดชีวิตของท่าน จึงเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง

และในโอกาสงาน 100 ปี ชาตกาล คุณพ่ออุทัย ยังประภากร ทางฟาร์มจรเข้ได้ยกเว้นเก็บค่าเข้าชมให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนกรกฏาคม 2568 นี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สมุทรปราการ-เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ห่วงใยเยาวชนจัดโครงการ 'นักดับเพลิงรุ่นจิ๋ว'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ มีความห่วงใยเยาวชนจึงได้จัดโครงการ 'นักดับเพลิงรุ่นจิ๋ว' ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่ออบรมให้ความรู้เเก่น้องๆหนูๆ เยาวชนหากเกิดอัคคีภัยภายในสถานศึกษา

โดยได้รับเกียรติจาก นายณัฐพล บุญริ้ว รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ประธานในพิธีเปิดโครงการ 'นักดับเพลิงรุ่นจิ๋ว' ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมทั้งได้กล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนที่เข้าร่วมการฝึกอบรม จำนวน 275 คน นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก นางสาวศิริพร ทับคล้าย รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดโครงการในครั้งนี้ ณ อาคารเรียน ชั้น 2 โรงเรียนอนุบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ

โดยมี จ่าเอกสุทัศ ทับวันนา ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ พร้อมด้วย คณะครู นักเรียน ตลอดจนเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมในโครงการครั้งนี้

สำหรับโครงการฝึกอบรมนักดับเพลิงรุ่นจิ๋ว เพื่อให้เด็กนักเรียนรวมถึงบุคลากรทางการศึกษา มีความรู้พื้นฐานในเรื่องของอัคคีภัย  และเพื่อให้เด็กนักเรียนมีทักษะพื้นฐานในการอพยพหนีไฟในกรณีเกิดอัคคีภัยภายในสถานศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญ ถึงความรุนแรงของการเกิดอัคคีภัย

อย่างไรก็ตาม การจัดโครงการในครั้งนี้ได้ให้ความรู้ด้านการป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงการอพยพหนีไฟแก่เด็กนักเรียน นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและระงับอัคคีภัย ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายแห่งความปลอดภัยให้เห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

ผบ.ตร.ประชุมเตรียมความพร้อมการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 โดยมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยเป็นเจ้าภาพ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 โดยมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.ธวัชชัย นาคฤทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.ดิเรก ธนานนท์นิวาส ที่ปรึกษา (สบ 8) สพฐ.ตร. , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 , รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล , รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , รองผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , รองผู้บัญชาการสำนักงานงบประมาณและการเงิน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ การประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 จะมีหัวหน้าตำรวจจากประเทศอาเซียนจำนวน 10 ประเทศ และประเทศอื่นๆ ร่วมประชุมรวมจำนวน 33 ประเทศ รวมทั้งตำรวจสากล (Interpol) รวมผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 310 คน กำหนดการประชุมและจัดกิจกรรมจำนวน 3 วัน ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยช่วงแรกจะเป็นการประชุมใหญ่ร่วมกัน และจะการประชุมแยก 3 ประเด็น (COM A , COM B , COM C) รวมทั้งการหารือประเทศคู่เจรจา และประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เน้นสร้างความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมและร่วมกันบังคับใช้กฎหมายกับนานาประเทศ ประสานงานด้านการข่าวและข้อมูลตำรวจสากล เน้นหนักการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ การค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ ยาเสพติด การเคลื่อนย้ายคนต่างด้าว รวมทั้งการแลกเปลี่ยนร่วมมือกันทางวิชาการและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศ บทสรุปสุดท้ายคาดว่าจะได้ปฏิญญากรุงเทพฯ สร้างความร่วมมือในกลุ่มตำรวจอาเซียน สร้างความร่วมมือกับนานาประเทศ การรับ-ส่ง และประสานข้อมูลด้านต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเน้นการลดขั้นตอน รวดเร็ว และสอดคล้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศ 

ผบ.ตร. กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เวียนมาเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดความร่วมมือในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยทุกประเทศได้ให้ความใส่ใจในประเด็นหัวข้อการประชุม โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูล การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ โดยเฉพาะเขตอำนาจศาล การสืบสวน จับกุมตามหมายจับและส่งตัวผู้ต้องหาให้กับประเทศต่าง ๆ นิติวิทยาศาสตร์และพิสูจน์หลักฐาน รวมทั้งการจัดตั้งวอร์รูมศูนย์บริหารงานประสานการปฏิบัติในไทย

หน่วยลาดตะเวนพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณเนิน 481 คาดลอบวางใหม่ในพื้นที่เคยประกาศปลอดภัยแล้ว

เมื่อวันที่ (16 ก.ค. 68) หน่วยปฏิบัติการต่อต้านทุ่นระเบิด (นปท.) เร่งตรวจสอบกรณี ทหารไทยเหยียบกับระเบิด บริเวณ “ช่องบก” ใกล้ เนิน 481 พื้นที่ชายแดน หลังจากพบว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นชนิด PMN-2 ซึ่งเป็น ระเบิดสังหารบุคคลรุ่นใหม่จากรัสเซีย ที่ ไม่มีอยู่ในคลังของประเทศไทย และไม่ใช่ของเก่าที่ตกค้าง

ข้อมูลจาก นปท.3 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เคยเข้าดำเนินการกวาดล้างในพื้นที่ดังกล่าว ระบุว่า พื้นที่นี้ถูกประกาศว่า “ปลอดจากทุ่นระเบิด” แล้ว และเป็น “เขตสีเขียว” หรือแนวสนามที่เคยเก็บกู้จนหมดสิ้น แต่จากการตรวจสอบล่าสุดกลับพบแนวสนามทุ่นระเบิดใหม่ กระจายหลายจุด

พบ "PMN-2 รุ่นใหม่" หลายลูกในเส้นทางลาดตระเวน
ย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน (15 ก.ค. 2568) กำลังพลจาก ร้อย.ร.6021 พัน.RDF ได้เข้าลาดตระเวนแนวป่าจากต้นพญาสัตบรรณมุ่งหน้าฐานตัว T และได้ตรวจพบ

ระเบิด PMN-2 จำนวน 1 ลูก ที่พิกัด 48P WA 21507 86176 (จุดเขียว)
จากนั้นตรวจพบอีก 3 ลูก ที่พิกัด WA 21907 858869 (จุดแดง)
จึงต้องถอนกำลังออกทันที เนื่องจากตรวจพบว่าเป็นแนวสนามทุ่นระเบิด

ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 นี้
เป็น ระเบิดสังหารบุคคลอยู่กับที่ ผลิตในรัสเซีย
ใช้ ตัวเรือนพลาสติก ทำให้ตรวจจับด้วยเครื่องมือทั่วไปได้ยาก
บรรจุ วัตถุระเบิด COM P-B ขนาด 4.1 ออนซ์
ระเบิดจะทำงานเมื่อมีแรงกดประมาณ 11 ปอนด์
จุดประสงค์เพื่อทำลายฝ่าเท้าผู้เหยียบ

หน่วยข่าวกรองสงสัย "ลอบวางใหม่" – ไม่ใช่ระเบิดตกค้าง
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า ทุ่นระเบิดชุดนี้ไม่ใช่ของเก่า และไม่มีอยู่ในระบบคลังของไทย จึง มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นการลอบวางใหม่ในพื้นที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพื้นที่เคยได้รับการรับรองว่าปลอดภัยจาก นปท.3 มาก่อนแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่าง การขยายผลทางยุทธวิธีและการข่าวกรอง เพื่อหาที่มา และประเมินความเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือฝ่ายที่อาจอยู่เบื้องหลัง

พิษณุโลก การประกวดวงดนตรีสากลร่วมสมัย 'คีตวัฒนศิลป์ บรรเลงไทยเพื่อแผ่นดิน' ปีที่ 4 รอบภูมิภาค

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.68) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพิษณุโลก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดการประกวดวงดนตรีสากลร่วมสมัย “คีตวัฒนศิลป์ บรรเลงไทยเพื่อแผ่นดิน” ปีที่ 4 รอบภูมิภาค ในการนี้ พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสนาธิการ กองทัพภาคที่ 3 เป็นผู้แทน แม่ทัพภาคที่ 3 ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประกวด โดย กรมกิจการพลเรือนทหารบก ได้ดำเนินโครงการประกวดวงดนตรีสากลร่วมสมัย ระดับมัธยมศึกษา “คีตวัฒนศิลป์ บรรเลงไทยเพื่อแผ่นดิน” ภายใต้แนวคิด “สืบสาน บรรเลงรักษ์ พิทักษ์องค์ราชัน” ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 4 โดย มีวัตถุปนะสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

พร้อมทั้งปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในด้านต่างๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงมีต่อประเทศชาติ และพสกนิกรชาวไทย ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพิทักษ์และเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงสร้างความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติและสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนมีความสนใจศิลปวัฒนธรรมไทยและดนตรีไทย 

การประกวดในครั้งนี้มีสถานศึกษาในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ผ่านเข้ารอบระดับกองทัพภาค จำนวน 5 ทีม ประกอบด้วยโรงเรียนแม่เมาะวิทยา จังหวัดลำปาง โรงเรียนยุพราชวิยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนอุตรดิตถ์ดรุณี จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ และวิทยาลัยนาฏศิลปะสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เพื่อพิจารณาคัดเลือกวงดนตรีเป็นตัวแทน กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 1 ทีม เข้าร่วมประกวดฯ รอบกองทัพบก ต่อไป โดยโรงเรียนที่ชนะเลิศ ได้แก่ โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ รองชนะเลิศ​อันดับที่ 1 โรงเรียนวิทยาลัย​นาฏ​ศิลป​สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย รองชนะเลิศอันดับที่ 2 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ รองชนะเลิศอันดับที่ 3 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา จังหวัดลำปาง และ โรงเรียนอุตรดิตถ์​ดรุณี จังหวัดอุตรดิตถ์​ โดยแต่ละวงได้นำเสนอผลงานดนตรีที่ผสมผสานเอกลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับแนวทางดนตรีสากลได้อย่างลงตัว สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถของเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน

กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมชมและให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันอย่างคับคั่ง สร้างบรรยากาศแห่งความสุข ความภาคภูมิใจ และจิตสำนึกรักในวัฒนธรรมไทย ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

หญิงเขมรในคลิปชี้หน้าด่าทหารไทย โปรไฟล์ไม่ธรรมดา!! ที่แท้คือหลานอดีตกษัตริย์กัมพูชา ‘สมเด็จพระนโรดม สีหนุ’

(16 ก.ค. 68) จากกรณีคลิปไวรัลที่หญิงชาวกัมพูชาตะโกนใส่ทหารไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ สื่อกัมพูชาเผยว่า หญิงรายนี้คือ 'นโรดม แพน โมนิก้า' หลานสาวสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา และเป็นลูกสาวของศาสตราจารย์แก้ว แพน ครูดนตรีชื่อดังของประเทศ

นโรดม แพน โมนิก้า ใช้บัญชี TikTok ชื่อ @.8989089 โดยมักโพสต์เนื้อหาแนวชาตินิยม ซึ่งในโพสต์ล่าสุด เธอถ่ายคลิปหน้าปราสาทตาเมือน พร้อมข้อความว่า “วิหารแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ” ทำให้หลายฝ่ายมองว่า อาจเป็นชนวนที่นำไปสู่เหตุปะทะคารมกับทหารไทย บริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา 

แม้ทหารไทยจะชี้แจงว่าตนอยู่ในเขตแดนไทย แต่นโรดม แพน โมนิก้า หลานสาวของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ยืนกรานเสียงแข็งว่า “ไม่ได้” จนเกิดการโต้เถียงอย่างดุเดือด ก่อนที่ทหารกัมพูชาจะระดมกำลังเข้ามากว่า 1 กองร้อยในฝั่งไทย ทำให้ฝ่ายไทยต้องเร่งอพยพนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

ทั้งนี้ กองทัพบกไทยออกแถลงการณ์ว่าเป็นเหตุถกเถียงระหว่างนักท่องเที่ยวกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้รุนแรง และมีการไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้ว

สำหรับประวัติ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1941 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 18 ปี ก่อนสละราชย์เพื่อเข้าสู่การเมืองและนำกัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส ทรงมีบทบาทสำคัญหลายตำแหน่งจนกระทั่งเขมรแดงยึดอำนาจในปี 1975 ราชวงศ์ถูกล้มล้าง พระองค์ถูกกักบริเวณ และพระญาติหลายพระองค์ถูกสังหาร ต่อมาทรงกลับขึ้นครองราชย์อีกครั้งในปี 1993 ก่อนสละราชสมบัติในปี 2004 และเสด็จสวรรคตในปี 2012

เชียงใหม่-เตรียมพบกับ เทศกาลขนมหวานนานาชาติที่ดีที่สุดแห่งปี "SIGNATURE SWEETS 2025"

(16 ก.ค. 68) ความหวานกำลังจะล้นลานกลางศูนย์การค้าฯ กับ เทศกาลขนมหวานนานาชาติที่ดีที่สุดแห่งปี "SIGNATURE SWEETS 2025" 

โหลดความหวานจัดเต็มกว่าที่เคย รวมแบรนด์ขนมหวานชื่อดังกว่า 50 ร้าน กว่า 200 เมนูขนมหวานที่พลาดไม่ได้ พบกับ London Bakery , สมร cafe’ Chiangmai , Baan 104 , วันนี้กินชาเย็นรึยัง? และร้านดังอีกมากมาย

ให้ความหวานเยียวยาทุกสิ่ง การันตีความหวานเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเจอกัน ตั้งแต่วันที่ 24-30 กรกฎาคม 2568 ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top