Saturday, 30 September 2023
NEWS FEED

สำนักงานอัยการสูงสุด จัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปี การสถาปนาองค์กรอัยการ เพื่อเป็นการสำรองโลหิต และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนโลหิต

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ท่านอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธานเปิดโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ครั้งที่ 15 โดยสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ สมาคมภริยาอัยการ และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล (สภากาชาดไทย) จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต

โดยท่านพรชัย ชลวาณิชกุล อัยการอาวุโสประธานโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ท่านศศนันท์ เจตน์เจริญรักษ์ นายกสมาคมภริยาอัยการ ซึ่งสํานักงานอัยการสูงสุด และ สมาคมภริยาอัยการ ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีข้าราชการอัยการเข้าร่วมงานจำนวนมากพร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิเช่น ดร.พรทิพย์ วงษ์นครินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม กต.ตร.กทม. คุณสรวีย์ รัฐพิทักษ์ถิรดา คณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ผศ.พรทิวา วิจิตรโกเมน อาจารย์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และ คุณณิชารัศม์ โชติอนันต์ธิคุณ ผู้ให้คำปรึกษาทางจิตสังคม ศาลอาญากรุงเทพใต้ รวมทั้ง ดารา-ศิลปิน นางงามเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภายนอกเข้าร่วมบริจาคโลหิต เช่น สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย  กรมข่าวทหารบก โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ชมรมการกำลังสำรองแห่งประเทศไทย  RF Security Team เป็นต้น

ในโอกาสนี้ หอการค้าไทย ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว และร่วมประชาสัมพันธ์โครงการบริจาคโลหิต เก้าแสน ซีซี 90 ปี ของหอการค้าไทย โดยคุณอภิธร อมาตยกุล รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันภัย และ กรรมการคณะกรรมการพัฒนาสังคมและ CSR หอการค้าไทย เป็นผู้แทนจากหอการค้าไทย เข้าร่วมในกิจกรรม พร้อมมอบของที่ระลึก และร่วมให้กำลังใจผู้บริจาคโลหิต

โครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุดมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาวิกฤตเลือดในคลังไม่เพียงพอ และช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการเลือด โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กันยายน 2566 เวลา 08.30 - 15.30 น. ณ อาคารสมาคมภริยาอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

พิธีรับ ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อย่างสง่างามและสมเกียรติ

เมื่อ 27 ก.ย.66 ที่หน้ากองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ พร้อมมอบธงการบังคับบัญชาให้กับ พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 (ท่านใหม่ ) ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยมี ผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ ทหาร พนักงานราชการ เข้าร่วมในพิธี

พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ท่านใหม่ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถผ่านการปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆ ในกองทัพเรือ มาแล้วหลายหน่วยงาน เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาแล้วหลายตำแหน่ง ซึ่งจากประสบการณ์ของท่านที่ผ่านมา มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะเป็นผู้นำความสำเร็จ ในภารกิจและความเจริญก้าวหน้ามาสู่ ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เป็นอย่างดี และมั่นใจว่าผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จะสามารถบริหารจัดการภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะพัฒนาแก้ปัญหาทั้งมวล ควบคู่ไปกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป ในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน

สำหรับทัพเรือภาคที่ 1 นับเป็นหน่วยรบที่มีสรรพกำลังทางเรือ ทางบก และทางอากาศ รับผิดชอบดูแลความมั่นคง รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทะเลอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดตราด ถือว่ามีพื้นที่รับผิดชอบอย่างกว้างขวาง

ขอนแก่น-มข. มอบหมวกกันน็อกฟรีให้ นศ. ดัน “สวมหมวก 100% ลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์”

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับจังหวัดขอนแก่น จัดพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น การดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย  365 วัน” บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันพฤหัสบดีที่  28  กันยายน 2566

ในการนี้ รศ.นพ.ชาญชัย  พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยระบุว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ขับเคลื่อนงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด  ทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้  การกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัย  เสริมสร้างวัฒนธรรมในการขับขี่อย่างปลอดภัย ให้กับนักศึกษาและบุคลากร  รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยทางการจราจร ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่อง
 
การที่จังหวัดขอนแก่น โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ประกาศวาระ “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” และนำหมวกนิรภัย จำนวน 500 ใบมาส่งมอบให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่จักรยานยนต์อย่างปลอดภัย  เป็นส่วนผลักดันที่สำคัญ ในการลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บ ลดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของนักศึกษา ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติร่วมในพิธีมอบหมวกนิรภัยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และขอต้อนรับทุกท่าน ด้วยความยินดียิ่ง
 

ขณะที่ รศ.เพียรศักดิ์ ภักดี รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ กล่าวรายงานว่า ตามที่จังหวัดขอนแก่นได้ประกาศวาระ จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุระหว่าง 15 – 22 ปีนั้น สอดคล้องกับนโยบายด้านความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้จัดทำกิจกรรมรณรงค์เพื่อส่งเสริมป้องกัน รวมถึงการสร้างความตระหนักในการป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้รถใช้ถนนของนักศึกษา และบุคลากรมาโดยตลอด

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้สำรวจความต้องการหมวกนิรภัยของนักศึกษาจากทุกคณะ โดยมีนักศึกษาแจ้งความประสงค์ จำนวน 574 คน โดยจังหวัดขอนแก่นได้สนับสนุนหมวกนิรภัยเพื่อมอบให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 500 ใบ และในวันนี้มีตัวแทนนักศึกษาเข้ารับมอบหมวกนิรภัยจำนวน  90 คน
 
ด้าน นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานในพิธี กล่าวว่า ทางจังหวัดจึงได้ดำเนินงาน “จังหวัดขอนแก่นขับขี่ปลอดภัย 365 วัน” มาต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยนอกจากการให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายจราจรแล้ว จังหวัดขอนแก่นยังดำเนินการแจกหมวกนิรภัยซึ่งเป็นหนึ่งในการป้องกันอุบัติเหตุ โดยตลอด 2 เดือนที่ทำโครงการมาพบว่า สถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงจริงถึงครึ่งหนึ่ง และคาดว่าในเดือนสุดท้ายของโครงการจะมีตัวเลขลดลงต่อไป “หากขับขี่แล้วสวมหมวกนิรภัยอย่างน้อยจะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากหนักเป็นเบา ป้องกันการสูญเสีย เพราะเรื่องอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หวังว่าหมวกนิรภัยนี้จะช่วยปกป้องชีวิตของน้อง ๆ ให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ขอบคุณอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้ร่วมผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นกลายเป็นจังหวัดสวมหมวกกันน็อก 100%”
 
ภายในงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ยังได้เป็นเกียรติมอบรางวัลแก่ นายวิทวัส นามคำมูล และนายนพพล ช่างชัย นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ชั้นปีที่ 2 ผู้ได้รับรางวัลจากการประกวดโปสเตอร์รณรงค์และประชาสัมพันธ์การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้หัวข้อ “การสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์” จัดโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย 

นายวิทวัส และ นายนพพล กล่าวว่า หลังจากอาจารย์มาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการนี้ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมประกวด และได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ทั้งเรื่องเทคนิคการจัดวางและการออกแบบโปสเตอร์จนได้รับรางวัลกลับมา ซึ่งผลงานที่ได้รับรางวัลมีจุดเด่น คือ การออกแบบ Pop art ผสมผสานกับ Isometric ส่วนอีกชิ้นงานมีจุดเด่น คือ การใช้สี โดยเลือกสีแดงและเขียว เพื่อเป็นการสื่อสารเกี่ยวกับจราจรและเป็นเฉดสีที่โดดเด่นด้วย “หวังว่าโปสเตอร์ของพวกผมจะทำให้คนเล็งเห็นว่าการสวมหมวกนิรภัยเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นความปลอดภัยของชีวิตทุกคน”
 
จากนั้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้บริหารจังหวัดขอนแก่น ได้ร่วมมอบหมวกนิรภัยให้แก่ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยตัวแทนนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ชั้นปีที่ 3 ระบุว่า ในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนักศึกษาใช้รถมอเตอร์ไซค์เยอะ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ฝนตก หากมีอุปกรณ์ที่มาช่วยป้องกันอุบัติเหตุให้เราได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งนอกจากแจกหมวกกันน็อกแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและอบรมเกี่ยวกับใบขับขี่มาอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักศึกษาจริง ๆ

‘พีระพันธุ์’ สร้างแรงบันดาลใจเยาวชน ทำเพื่อชาติ-สังคม หนุนเป็นผู้นำที่ดี ยึดมั่นใน ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’

รมว.พลังงาน ร่วมพูดคุยกับเยาวชนในโครงการ UTN Academy Young Leadership สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นผู้นำทางสังคมที่มีแนวคิดที่ดี ย้ำ ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อชาติบ้านเมือง โดยยึดสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสำคัญ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ที่อาคารรัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พร้อมสมาชิกรุ่นใหม่พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมพบปะพูดคุยกับผู้นำทางสังคมยุคใหม่ ในโครงการ UTN Academy Young Leadership ที่เดินทางมาเยี่ยมชมการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวต้อนรับเยาวชนผู้ร่วมโครงการ พร้อมทั้งร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเองโดยได้เล่าถึงประสบการณ์ในการเรียนและการทำงานของตนทั้งในฐานะผู้พิพากษา จนเข้าสู่การทำงานทางการเมือง กระทั่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยระบุว่าที่ผ่านมาตนทำงานโดยมีเป้าหมายต้องการทำงานให้กับประเทศชาติ และประชาชนจนลืมวันเวลา มาถึงวันนี้จึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำกับเยาวชน ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทั้งการให้ความสำคัญกับครอบครัว และประเทศชาติ เพราะประเทศชาติก็เปรียบเสมือนบ้านของทุกคน เมื่อดูแลครอบครัวอย่างดีแล้ว ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อบ้านเมืองด้วย

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้มีคนถามว่าคุณสมบัติของผู้นำที่ดีควรเป็นอย่างไร ส่วนตัวตนเห็นว่า การจะเป็นผู้นำที่ดีได้จะต้องทำตัวเองให้ดีก่อน นั่นคือ มีความรับผิดชอบกับตัวเอง เพราะหากนำตัวเองให้ดีไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะไปนำคนอื่นได้

ขณะเดียวกัน ยังต้องเป็นผู้ที่มีระเบียบวินัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งต้องเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างมีเหตุผล จากนั้นจึงนำมาปรับปรุงตัวเอง ทุกอย่างนี้จะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน

“สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องไม่ลืมความเป็นไทย ภาคภูมิใจในความเป็นประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีที่ดีมายาวนาน และจะต้องการยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์”

นายพีระพันธุ์ ยังได้ตอบคำถามเยาวชนที่สอบถามถึงแนวนโยบายการแก้ปัญหาหนี้สินของคนไทยของพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกกประเทศในโลก ไม่เพียงเฉพาะคนไทย

ดังนั้น การแก้ปัญหาหนี้สิน จึงไม่สามารถแก้ไขได้ 100% เนื่องจากหนี้สินมีที่มาจากหลากหลายสาเหตุ โดยในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เรามีแนวนโยบายการแก้หนี้ให้กับกลุ่มผู้ที่มีความยากจน และผู้ที่มีความยากลำบากในการทำมาหากิน เช่น ชาวนา หรือเกษตรกร โดยเรามีนโยบายจัดตั้งกองทุนประชาชน เพื่อดูแลเรื่องหนี้สินของประชาชน เพื่อปลดหนี้ให้พ้นจากหนี้นอกระบบ

ทั้งนี้ แนวทางดำเนินการ คือ การใช้เงินจากหลายกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนเหล่านั้น ยังไม่ได้ใช้เงินส่วนดังกล่าว ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นกองทุนให้กับประชาชนได้กู้ยืมไปใช้ประโยชน์ก่อน เพื่อแบ่งเบาภาระ แทนการเป็นหนี้นอกระบบ ให้มาเป็นหนี้กับรัฐแทน ซึ่งรัฐสามารถช่วยเหลือยืดหยุ่นการใช้หนี้คืนให้ได้ เชื่อว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องหนี้ให้กับประชาชนได้

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวกับเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการในตอนท้ายว่า การทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเข้ามาเป็นนักการเมือง เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ก็สามารถที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติได้ แต่หากใครอยากจะเข้ามาทำงานด้านการเมือง ก็ขอให้มุ่งมั่น และมองเรื่องของส่วนรวมเป็นหลัก ที่สำคัญขอให้ยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติเป็นสำคัญ

ด้าน รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการ UTN Academy Young Leadership เป็นโครงการที่เกิดขึ้นตามนโยบายของ นายพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องการสร้างผู้นำทางสังคมที่มีแนวคิดที่ดี เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ในการทำงานเพื่อส่วนรวมในอนาคต โดยครั้งนี้เป็นการริเริ่มครั้งแรก ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากกิจกรรมที่จัดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการประชุม แต่มีกิจกรรมที่ให้ทุกคนได้ทำอย่างสนุก มีการพูดคุยกับ ส.ส. หรือผู้นำทางสังคมต่างๆ ทำให้หลายคนประทับใจ

“โครงการ UTN Academy Young Leadership จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมได้ผ่านสื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติที่จะแจ้งให้ทราบต่อไป” รศ.พิเศษ ดวงฤทธิ์ กล่าว

‘วราวุธ’ มอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ยกย่อง ผู้ทำความดี อุทิศตนเพื่อสังคม ‘หนังสืออยู่กับก๋ง-รพ.รามาธิบดี-แว่นท็อปเจริญ’ ได้รับรางวัลนี้ด้วย

(28 ก.ย. 66) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก และผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ประพฤติตนดีเด่น เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ที่ดูแลช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก อีกทั้งส่งเสริมเจตคติเชิงบวกในการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมในพิธี

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดำเนินการจัดพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2550 เพื่อเป็นการยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้ทำความดีอุทิศตนเพื่อสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่นำต้นแบบมาจาก ‘พระประชาบดี’ เทพผู้เป็นที่พึ่งและสงเคราะห์ประชาชน ด้วยพลังแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากสภาวะยากลำบาก

สำหรับปีนี้ มีผู้รับรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวมจำนวนทั้งสิ้น 87 คน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1.) ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 19 ราย อาทิ นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ ผู้ริเริ่มโครงการ Centara Academy โดยเปิดสอนด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน, นางสาวเรณู ภาวะดี ผู้มีความมุ่งมั่นในงานจิตอาสา เป็นกระบอกเสียงและอุทิศตนเพื่อผู้ประสบความเดือดร้อน, นายแพทย์ศุภชัย โรจน์ขจรนภาลัย ผู้จัดการโครงการช่วยเหลือสังคมในทุกมิติ รวมถึงสนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลหลายแห่ง, นายสายชล พันพืช อาสามูลนิธิกู้ภัยสว่างกำแพงเพชรธรรมสถาน ผู้เสียสละตนเพื่อช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก คนเร่ร่อน และกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง

2.) ประเภทองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 16 ราย อาทิ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างงาน สร้างอาชีพแก่ผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก จนเกิดการรวมกลุ่มในชุมชนเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันและพึ่งพาตนเองได้, สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายเชียงราย ส่งเสริมอาชีพคนพิการให้มีงานทำ มีรายได้ หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว, แว่นท็อปเจริญ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาด้านสายตาทั่วประเทศ, โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนากระบวนการรักษาและระบบการให้ข้อมูลการรักษาผู้ป่วยโรคหายาก

3.) ประเภทสื่อสร้างสรรค์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 23 ราย อาทิ รายการวันใหม่วาไรตี้ ช่วงร้องทุก(ข์) ลงป้ายนี้ นำเสนอการช่วยเหลือประชาชนและผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งประสานช่วยแก้ปัญหาสังคม, รายการ น.ช. ไม่ทิ้งกัน สร้างกำลังใจแก่อดีตเพื่อนนักโทษให้ดำเนินชีวิตในทางที่สุจริต, สถานีเฟซบุ๊กไลฟ์ & ศูนย์ช่วยเหลือออนไลน์ ‘สื่ออาสาประชาชน’, หนังสือเรื่อง ‘อยู่กับก๋ง’ โดยหยก บูรพา รายการที่สอดแทรกคำสอนที่มีคุณค่า ปลูกฝังทัศนคติที่ดีแก่คนทุกช่วงวัย 

4.) ประเภทต้นแบบคนสู้ชีวิต ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 29 ราย อาทิ นายธนเดช  โพธิ์เงิน คนพิการจิตอาสา สู้ชีวิต อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ที่มีความพิการเช่นเดียวกัน, นายเอนก แก้วผา ผู้เคยเดินทางผิดและเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยอุทิศตนช่วยคนเปราะบาง, นายณรงค์ฤทธิ์ ชาวบางมอญ ใช้การพูดสร้างกำลังใจแก่ผู้ต้องขังและใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวซื้ออาหารเพื่อมอบให้แก่เด็ก คนเร่ร่อน และคนไร้ที่พึ่ง, นางสาวสุวรรณดี อ่ำศรีสุข ผู้ถือคติ “ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู” ลุยช่วยเด็กกำพร้าและผู้มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวง พม. หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารางวัล ‘ประชาบดี’ ที่ได้มอบให้ จะเป็นกำลังใจ และสามารถขยายผลไปสู่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่า วันนี้ การทำความดีของท่านมีคนเห็น และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับสังคมไทยเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภาครัฐจะไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ การได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดนั้น คือหัวใจสำคัญในการช่วยคนทุกๆ กลุ่ม ทุกๆ เพศ ทุกๆ วัย และทุกๆ สถานะ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกคนที่ได้รับรางวัล “ประชาบดี” และหวังว่าในปีต่อๆไป เราจะมีผู้ได้รับรางวัลเพิ่มขึ้น และหลากหลายสาขามากขึ้น สำหรับการเข้ามาช่วยกันทำงาน เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น

‘ครู รร.ชื่อดัง’ ฉาว!! ตบ ‘นร.ชาย’ จนหน้าหัน เพราะไม่ยอมเรียก ‘แม่’ ล่าสุดโดนสั่งพักงาน-ตั้ง กก.สอบวินัยแล้ว รับทำจริง พร้อมชี้แจงยิบ

จากกรณีที่ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปแฉพฤติกรรมคุณครูผู้หญิงรายหนึ่ง พร้อมระบุข้อความว่า…

“หลานชายเราโดนครูตบหน้าอย่างแรง ด้วยเหตุผลที่ครูให้เรียกว่า ‘แม่’ แต่หลานตอบว่า ผมมีแม่คนเดียว หลานได้ขอโทษแล้วครูยังตบซ้ำ มันเกินไปไหมคะ รร.สาธิตชื่อดังย่านรามคำแหง”

จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก อาทิ
“ครูทำเกินไปมาก”
“เด็กยกมือไหว้ขนาดนั้นยังไม่หยุดตบอีก”
“เป็นครูได้ยังไง”
“แบบนี้มันเข้าข่ายทำร้ายร่างกายแล้วครับ ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้ ครูคนนี้ต้องรับผิด ทั้งวินัยของหน่วยงาน ทั้งกฎหมายอาญา และเยียวยาทางแพ่ง ที่สำคัญ ยังมีครูที่ใช้อำนาจ ความรุนแรงทางวาจาและร่างกาย กับนักเรียนอีกมาก ที่ไม่ถูกพบเห็น ไม่กล้าแจ้ง แจ้งแต่ไม่คืบหน้า… ทำลายทรัพยากรมนุษย์ของประเทศตั้งแต่ในโรงเรียน”

ล่าสุด วันนี้ (28 ก.ย. 66) ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม อ.ดร.ธัชพล พลรัตน์ รองคณบดีฝ่ายโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่ง ผอ. เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เห็นคลิปแล้ว และยอมรับว่าเป็นครูของโรงเรียนจริง ซึ่งเป็นครูวิชาแนะแนวของชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 และนักเรียนคู่กรณีก็เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 ส่วนห้องเรียนตนขอสงวน ไม่เปิดเผย

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ผู้บริหารชุดเก่า ประมาณเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางผู้ปกครองของนักเรียนดังกล่าว ซึ่ง 1 ในผู้ปกครองเป็นคุณครูของโรงเรียนเช่นเดียวกัน และมาพบตน พร้อมบอกว่าถูกครูแนะแนวคนดังกล่าวใช้วาจาหยาบคาย ไม่เหมาะสม ทำให้รู้สึกไม่ดี อีกทั้งยังบอกว่าก่อนหน้านี้มีประเด็นกันมาก่อน จากนั้นผู้ปกครองได้ให้ตนเองดูคลิป ตนจึงขอรวบรวมข้อมูลจากทางครูก่อน

แต่เนื่องด้วยครูแนะแนวคู่กรณีลาวันศุกร์กับวันจันทร์ ตนจึงได้พูดคุยกับครูแนะแนวดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และได้ข้อมูลมาว่าระหว่างการเรียนการสอน ได้มีการสอบถามข้อมูลกับนักเรียนคู่กรณี และเกิดการใช้วาจาไม่เหมาะสมดังกล่าว

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า เบื้องต้นตนจะต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้กับงานวินัยของมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่าย ตนจึงได้เรียกมาพูดคุยเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลระหว่างครูและผู้ปกครองนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนที่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ย. คลิปจะถูกปล่อยออกมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางเบื้องต้น ตนได้สั่งให้ครูแนะแนวดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการสอบวินัยเสร็จสิ้น ซึ่งครูดังกล่าวมีอาการเคร่งเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนนักเรียนคู่กรณี เปิดเผยว่าตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว เนื่องจากได้กำลังใจจากเพื่อน ๆ ทั้งระดับชั้น รวมถึงครอบครัว และตนก็ได้ติดตามตลอดว่านักเรียนรู้สึกอย่างไร

อ.ดร.ธัชพล กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ทางงานวินัยจะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะกำลังเป็นที่จับตามองของสังคม อย่างไรก็ตาม ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารชุดเก่า ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเรื่องก็เงียบไปนานแล้ว จนมาเกิดเรื่องดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่าครูท่านนี้เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมาก่อนนั้น ตนขอให้เป็นเรื่องของงานวินัยดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการลงโทษ มีด้วยกัน 5 ขั้น ได้แก่ 1.) ภาคทัณฑ์ 2.) ตัดเงินเดือน 3.) ลดเงินเดือน 4.) ปลดออก และ 5.) ไล่ออก ซึ่งต้องดูตามเจตนาของครูแนะแนวต่อไป

อย่างไรก็ตาม ด้านผู้ปกครองเองไม่ได้อยากจะเอาเรื่อง เพียงแต่อยากได้ความยุติธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งตนได้พูดคุยกับผู้ปกครองเพิ่มเติมก็พบว่ากดดันที่ทำให้กระทบโรงเรียนเพราะเป็นครูที่นี่ และผู้ปกครองก็ไม่ใช่คนโพสต์คลิปดังกล่าวด้วย

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนได้เห็นคลิป มองว่าเรื่องนี้ในฐานะครูและข้าราชการ เรามีแนวทางปฏิบัติงานอยู่แล้ว ถ้าเรายึดมั่นตามแนวทาง และระเบียบราชการปัญหาก็คงไม่เกิด ทั้งนี้ตนได้ทราบถึงพฤติกรรมของครูดังกล่าวว่า เป็นคนพูดจาตรง ๆ ดุ และตั้งใจสอนมาก

“ทางโรงเรียนรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งครูในโรงเรียน นักเรียน และผู้ปกครอง ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับโรงเรียนของเรา มองว่าเรื่องนี้เป็นเคสตัวอย่างที่โรงเรียนได้เรียนรู้ และครูก็ต้องกลับมาทบทวนว่าทุกวันนี้การเรียนการสอนของเราเป็นอย่างไร เหมาะสมกับนักเรียนยุคสมัยนี้หรือไม่ การใช้วิธีดุด่าคงใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งทางโรงเรียนยืนยันจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด และจะแถลงให้ทราบต่อไป” อ.ดร.ธัชพล กล่าวทิ้งท้าย

รมว.แรงงาน “พิพัฒน์”ปาฐกถา เร่งอัพสกิลแรงงาน เสริมซอฟต์พาวเวอร์ บูสต์ท่องเที่ยว

วันที่ 28 กันยายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง นโยบายการยกระดับแรงงานภาคท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในงานประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) โดยมี นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เข้าร่วม นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว และสมาชิกสมาคมการท่องเที่ยว ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องแคทรียา โรงแรมรามาการ์เด้น ถนนวิภาวดีรังสิต 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลกำลังแรงงานของประเทศ ทั้งด้านการพัฒนากำลังแรงงาน ส่งเสริมการมีงานทำ ดูแลสวัสดิการรวมทั้งสร้างหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงาน ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยมีมาตรการในการพัฒนากำลังแรงงานเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ โดยมุ่งเน้นการศักยภาพแรงงาน ให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานด้านการท่องเที่ยว โดย Up skill และ Re skill แรงงานให้สามารถทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของภาคท่องเที่ยวและบริการ และการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยมุ่งเน้นฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง โดยเติมเต็มทักษะด้านภาษาต่างประเทศ และส่งเสริม นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการหลักสูตรฝึกอบรม เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน การสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อการท่องเที่ยว นวดแผนไทย สปา งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก การจัดการด้านอาหารและโภชนาการบนเรือ การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพ บูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ด้านการท่องเที่ยวและบริการเพื่อสำรวจความต้องการแรงงานและ การพัฒนาทักษะฝีมือในส่วนที่แรงงานยังขาดแคลนเพื่อพัฒนากำลังแรงงานภาคท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการปี 2566 กำลังแรงงานภาคการท่องเที่ยวและบริการเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน จำนวน 288,438 คน เป็นผู้มีงานทำร้อยละ 93.20 ผู้ผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงานสามารถรักษาฐานรายได้คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 51,450.19 ล้านบาท/ปี 

"ใน ปี 2566 มีการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ผ่าน พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 กระทรวงแรงงาน โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ทำการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ร่วมกับ ผู้ประกอบการ, ภาคธุรกิจ และ ภาคอุตสาหกรรม เป็นจำนวนมากกว่า 280,000 คน โดยในปี 2567 นี้ กระทรวงแรงงาน โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ร่วมกับ ผู้ประกอบการ, ภาคธุรกิจ และ ภาคอุตสาหกรรม เป็นจำนวน 400,000 คน” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย 

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีความยินดีและพร้อมสนับสนุน อบรม และ พัฒนาฝีมือแรงงาน ตามจำนวนดังกล่าว เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมอย่างเต็มกำลังโดยสามารถติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 1506 กด 4 สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกแห่งทั่วประเทศ

‘อัษฎางค์’ ชำแหละ!! ‘ข้อบิดเบือน-ดิสเครดิตชาติไทย’ โดย ‘ธนาธร’ ย้อนถาม ‘สถาบันพระปกเกล้า’ ใครเชิญคนแบบนี้มาเป็นวิทยากร

(28 ก.ย. 66) ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘สถาบันพระปกเกล้า’ กำลังเล่นอะไรกับ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 27 (ปปร.27) โดยสถาบันพระปกเกล้า ภายใต้โจทย์ ‘การเมืองใหม่ในโลกปัจจุบัน’

คำถามคือ ใครในสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้เชิญธนาธรมาเป็นวิทยากรอบรมนักบริหารระดับสูง? ทั้งที่คนทั้งชาติทราบว่าธนาธรสนับสนุนให้มีการยกเลิก ม.112 และ ม.116 (ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/307412/)

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยพิจารณา ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่เสนอให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เป็นภัยต่อความมั่นคงอันนำไปสู่ล้มล้างการปกครองได้

ทั้งที่สถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันวิชาการชั้นนำด้านการพัฒนาประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ธรรมาภิบาล และสันติวิธี มุ่งนำความรู้สู่สังคม เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ธนาธรบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้า ด้วยการยกผลงานของก้าวไกลถือเป็นการมาหาเสียหรือไม่ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือข้อมูลที่แสดงถึงความไม่เข้าใจสถานการณ์จริงในปัจจุบัน (ข้อมูลจาก https://thestandard.co/thanathorn-26092023/)

ธนาธร กล่าวหาว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกหลายปีติดต่อกัน (ข้อมูลจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา https://www.krungsri.com/…/industry-outlook-2023-2025) ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566-2568 ประเทศแกนหลักมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางกระแส ‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ เมื่อโลกไม่อภิวัฒน์ กันแบบเดิม โลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนโฉมไปหลังจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจใหญ่ คือ สหรัฐอเมริกาและจีน ที่แสดงท่าทีล่าสุดออกมาชัดเจนว่า ต่างตั้งเป้าจะเป็นประเทศมหาอำนาจผู้นำของโลก และมีเจตนาจะแข่งขันกันจริงจังขึ้นอีกในระยะข้างหน้า เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์กำลังจะเปลี่ยนภาพไปจากเดิม

‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ คือ ‘โลกาภิวัตน์บนเงื่อนไขความเป็นมิตร’ การเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศจะยังเดินหน้าไปได้ แต่จะไม่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดของห่วงโซ่การผลิตเช่นเดิมแล้ว จะกลายเป็นเชื่อมโยงกับกลุ่มมิตรประเทศเท่านั้น
ธนาธรเข้าใจเรื่องดังกล่าวนี้หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? จึงออกมาโจมตีว่าประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยโลกจริงหรือไม่?

อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.0% ในปี 2567-2568 ในขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ดังนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกตรงไหน?

มาดูรายละเอียดตรงนี้กัน

เศรษฐกิจโลกในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจาก 3.2% ในปี 2565 สู่ 2.7% ในปี 2566 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยสู่ราว 3.0% ในปี 2567-2568 แม้ว่าผลเชิงลบจากโรค COVID-19 จะคลี่คลายลงแต่หลายปัจจัยยังคงกดดันเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าและวิกฤตพลังงานที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจทำให้การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) เข้มข้นขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่ำในปี 2566-68 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอลงจาก 1.6% ในปี 2565 เหลือ 1.0% ในปี 2566 และ 1.2% ในปี 2567 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นสู่ 1.8% ในปี 2568

เศรษฐกิจของยุโรปจะเผชิญวิกฤตพลังงานที่รุนแรงและยืดเยื้อนาน โดยคาดว่าในช่วงปี 2566-2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 1.4% ต่อปี ชะลอลงแรงจากที่ขยายตัว 3.1% ในปี 2565 ผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่เข้าขั้นวิกฤต

เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตต่ำจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าขยายตัวเฉลี่ย 1.3% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 จาก 1.7% ในปี 2565 เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ชะลอลงจาก 8.0% ในปี 2564

เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มเผชิญหลายปัจจัยกดดันให้การเติบโตต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 แม้เศรษฐกิจอาจปรับดีขึ้นจาก 3.2% ในปี 2565 สู่เฉลี่ย 4.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 แต่คาดว่าจะต่ำกว่า 6-7%

เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ปรับตัวดีขึ้นจากที่เติบโต 3.2% ในปี 2565

ธนาธร กล่าวหาว่า ประเทศไทยติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุด

ความจริงคือ ความเหลื่อมล้ำของไทยเคยติด TOP 5 โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก จากข้อมูล Gini Wealth Index ปี 2018 ของ เครดิต สวิส (Credit Suisse) แต่อันดับของ Gini Wealth Index ในปี 2021 ไทยมีอันดับที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด คือก้าวจาก อันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 97 ของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด (ที่มา: https://theactive.net/data/inequality-index-truth/)

คุณไปอยู่ไหนมาธนาธร คุณยังหลงหรือจมปลักอยู่ที่ปี 2018 หรือ พ.ศ.2561 หรือ?

คุณจะบริหารประเทศด้วยข้อมูลที่ล้าหลังขนาดนั้นเลยหรือ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร?

สถาบันพระปกเกล้า ปล่อยให้คุณธนาธรเอาข้อมูลเก่าตกยุคไปอบรมข้าราชการที่เป็นนักบริหารระดับสูงแบบนี้ แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?

คุณกล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผูกพันอย่างแยกไม่ได้ กับอัตราการเกิดของประชากรที่ตกต่ำลง ซึ่งสวนทางกับอัตราการตายของประชากร ซึ่งจะทำให้ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มต้องทำงานหนักขึ้นเพียงเพื่อให้ประเทศไทยยังยืนที่เดิมในด้านผลิตภาพ และการดูแลประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น

นี่เป็นการหาเสียงของคุณกับประชากรวัยทำงาน ด้วยการสร้างภาพว่ารัฐบาลบริหารประเทศผิดพลาดจนทำให้ประชากรวัยทำงานต้องทำงานหาเงินเลี้ยงประชากรผู้สูงอายุหรือไม่?

ธนาธร กล่าวหาว่า การที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเฉลี่ยทุก 4.5 ปี แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่มีฉันทามติร่วมกันว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาอย่างไร?

ขอยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญปี 60 ประชาชนได้ร่วมกันทำประชามติว่าให้อำนาจ สว. เลือกนายกรัฐมนตรีแต่พรรคก้าวไกลกลับไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญและประชามตินี้ แต่กลับเสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพรรคก้าวไกลก็เป็นหนึ่งในตัวปัญหาที่ต้องการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพราะไม่ยอมรับในฉันทามติร่วมกัน ว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่กำหนดหรือไม่?

สถาบันพระปกเกล้าเปิดสถานที่ให้ธนาธรมาให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่?

นอกจากนี้ ยังมีถ่อยในลักษณะการเสียงกับผู้บริหารระดับสูงหรือไม่? เช่น เรื่องระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที! หรือเรื่องความสำเร็จของพรรคก้าวไกล คือความสำเร็จของการเมืองแบบใหม่ที่เป็นไปได้! และเรื่องที่คณะก้าวหน้าได้ทำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เช่น การทำน้ำประปาที่ดื่มได้! ระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที!

'โหรฟองสนาน' ยกสยามสุดศิวิไลซ์ ใต้ร่มพระบารมี พระมหากษัตริย์ไทย

(28 ก.ย. 66) ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ สังกัดสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Fongsanan Chamornchan’ ระบุว่า…

#แรงอย่าตกเสน่ห์อย่าจาง

ร.1 ทรงสร้างเมืองเสาหลักเมือง
ร.3 ทรงให้สร้างวัด
ร.4 ทรงพาเมืองสู่ความเป็นตะวันตก-เสาหลักเมืองแห่งที่สอง
ร.5 ทรงสร้างถนนราชดำเนิน-ทรงพาพ้นภัยจากพวกล่าเมืองขึ้น
ร.9 ทรงพาพ้นภัยคอมฯ พาเมืองสู่ศิวิไลซ์ ฯลฯ

#ขนาดชอบทะเลาะกันยังขนาดนี้
#ขนาดขยะในซอยแยะยังขนาดนี้ 

‘ลูกปลา สุพินดา’ ไกด์ชาวไทย สอบใบอนุญาตไกด์ปากีสถานสำเร็จ นับเป็นชาวต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่ได้สิทธิ์การนำเที่ยวในประเทศ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ คุณสุพินดา บุญเกิด หรือ ‘คุณลูกปลา’ ไกด์นำเที่ยวหญิงชาวไทย ที่สามารถประกาศศักดา เป็นต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่สอบใบอนุญาตมัคคุเทศก์ในประเทศปากีสถานได้สำเร็จ

โดยคุณลูกปลา ไกด์ชาวไทยคนเก่ง ต้องใช้ความพยายามและความสามารถในการฝ่าด่านการสอบสุดหิน มหาโหดของรัฐบาลปากีสถาน จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตในการนำเที่ยว ทำให้คุณลูกปลามีศักดิ์และสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการพาเที่ยวปากีสถาน โดยอยู่ในความควบคุมและคุ้มครองจากกรมการท่องเที่ยวปากีสถาน ในนามรัฐบาลปากีสถาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top