Sunday, 16 June 2024
NEWS FEED

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (29 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 155 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,440 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 61 ราย รักษาหายเพิ่ม 4 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,184 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,195 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 155 ราย เป็น เป็นคนไทย 2 ราย สัญชาติเยอรมัน 2 ราย อินเดีย 1 ราย ,สวีเดน 1 ราย และอยู่ระหว่างสอบสวน 4 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเยอรมนี 1 ราย ,เวียดนาม 1 ราย ,อินเดีย 1 ราย ,สวีเดน 1 ราย,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,บาห์เรน 4 รายผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 134 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 11 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 360 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.19 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.9 แสน เสียชีวิต 21,452 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.07 แสน ราย รักษาหายแล้ว 85,592 ราย เสียชีวิต 455 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.23 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.04 แสน ราย เสียชีวิต 2,618 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.71 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.39 แสน ราย เสียชีวิต 9,124 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,529 ราย รักษาหายแล้ว 58,386 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,451 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย

หลังมีผู้ติดเชื้อเข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบกาสิโนออนไลน์ โดยมีผู้เกี่ยวข้องในวันดังกล่าว 29 คน เบื้องต้นมีการตรวจพบ 28 คนไม่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ยังมีอีก 1 รายที่ผลตรวจคลุมเครือ

ที่รัฐสภา นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมเจ้าหน้าที่จากสำนักการแพทย์ประจำรัฐสภา แถลงถึงสถานการณ์โควิด-19 หลังมีผู้ติดเชื้อเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบกาสิโนออนไลน์ที่มาจากต่างประเทศที่รัฐสภา เมื่อ 21 ธ.ค. ว่า

“หลังจากที่ได้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมวันดังกล่าว 29 คน ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานเสิร์ฟ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่คาดว่ามีความเสี่ยงสูง ไปตรวจที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล 24 คน

ซึ่งผลออกมาไม่พบเชื้อ ส่วนอีก5 คนไปตรวจที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ผลปรากฏว่า 4 คนไม่พบเชื้อ แต่อีก1 คน ผลออกก่ำกึ่ง ยังสรุปผลไม่ได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าติดเชื้อ แต่ต้องส่งตรวจเพิ่มเติมโดยให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจอีกครั้ง ซึ่งจะทราบผลภายใน1 วัน

นพ.สุกิจ กล่าวยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่รัฐสภา ต้องแก้ไข เพราะแม้จะวางมาตรการเข้ม ทั้งวัดอุณหภูมิ ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ไม่สามารถคัดกรองได้ 100% ซึ่งต้องทบทวนโดยเฉพาะเรื่องการเว้นระยะห่าง ในห้องประชุมกรรมาธิการ ที่มีพื้นที่จำกัด

“สำหรับผู้ที่เข้าร่วมประชุมอนุกรรมาธิการฯในวันดังกล่าว มีทั้งสิ้น 22 คน แยกตรวจหาเชื้อเอง ซึ่งทางสภาไม่ทราบผล โดยทั้ง 22 คน มีอนุกรรมาธิการ 7 คน เป็น ส.ส. 3 คน และคนนอก4 คน ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการฯ12 คน ที่ปรึกษาประธานอนุกรรมาธิการ 1 คน และผู้ติดตามประธานอนุกรรมาธิการฯ 2 คน

ซึ่ง 1 ใน 2 คนติดเชื้อตามที่ปรากฎเป็นข่าว นอกจากนี้ยังมีตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย 4 คน และกรมสรรพากร 5 คน แต่ไม่ได้เข้าชี้แจงพร้อมกัน และมีเจ้าหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้ประสานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อดำเนินการต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อให้ Work from home ทั้งหมด”

ส่วนการทำความสะอาดรัฐสภาหลังจากนี้นั้น นพ.สุกิจ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับ ผอ.รักษาความปลอดภัยแล้ว ยืนยันว่าก่อนเปิดประชุมหลังปีใหม่ จะมีการทำความสะอาด แต่ยังไม่กำหนดบิ๊กคลีนนิ่งใหญ่ โดยจะพยายามทำให้มากที่สุด

พร้อมทั้งได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดในจุดเสี่ยงแล้ว โดยเฉพาะห้องประชุมใหญ่ และห้องกรรมาธิการ พร้อมขอความร่วมมือผู้ที่เข้ามาภายในรัฐสภาให้ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชันไทยชนะด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการสอบสวนโรค

อสังหาฯ 64 ยังเหนื่อย หลัง 63 ค้างสต๊อกเพียบ คาดยอดรวมทั่วประเทศพุ่ง 3.39 แสนหน่วย มูลค่าเหลือค้าง 1.5 ล้านล้านบาท แต่เชื่อปี 64 โอกาสบวกทั้งยอดขาย - จำนวนเปิดใหม่ ยังมี

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะยังเจอปัญหาที่อยู่อาศัยเหลือค้างสต็อกจำนวนมาก

โดยยอดรวมทั่วประเทศจะเหลือมากถึง 3.39 แสนหน่วย เพิ่มขึ้น 6.2% จากปีก่อน มีมูลค่าเหลือค้างที่ 1.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากปีก่อน โดยสต๊อกส่วนใหญ่เกิดจากคอนโดมิเนียมที่มีเหลือขาย 1.52 แสนหน่วย เพิ่มขึ้น 16.5% หรือมีมูลค่า 6.84 แสนล้านบาท ขณะที่สต๊อกบ้านจัดสรรมีแนวโน้มลดลง 1% เหลือ 1.86 แสนหน่วย หรือคิดเป็น 8.18 แสนล้านบาท

ส่วนยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่ปี 2564 คาดจะกลับมาเป็นบวกได้ เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2563 ที่ติดลบมากถึง 25.2% รวมมีมูลค่ากลับมาเป็นบวกเช่นกัน โดยคาดที่อยู่อาศัยใหม่ที่ขายได้ทั่วประเทศปี 64 อยู่ที่ 94,072 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อนหน้า

แบ่งเป็นบ้านจัดสรรขายได้ 60,191 หน่วย เพิ่มขึ้น 2% อาคารชุด 33,881 หน่วย เพิ่มขึ้น 8.4% ซึ่งดีกว่าปี 63 ที่ติดลบถึง 47.9% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายจะอยู่ที่ 4.05 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% แยกเป็นบ้านจัดสรร 2.56 แสนล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1.48 แสนล้านบาท

ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ปี 64 จะขยายตัวเป็นบวกได้ครั้งแรกในรอบ 3 ปี หลังจากปี 63 ติดลบ 46.6% และปี 62 ติดลบ 13% โดยในปี 64จะมียอดเปิดตัวโครงการใหม่ 88,828 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.9% แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 52,044 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.1% คอนโดมิเนียม 36,784 หน่วย เพิ่ม 25.1% ขณะที่มูลค่ามีการเติบโตเช่นกันอยู่ที่ 4.38 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2.35 แสนล้านบาท ลดลง 12% คอนโดมิเนียม 2.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5%

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในรายของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา

โดยนายอเนก และ แพทย์หญิงจิรพร เหล่าธรรมทัศน์ คู่สมรส แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งหมด 203,074,468 บาท หนี้สิน 3,095,998 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 199,978,470 บาท โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่คือที่ดิน 64 รายการทั้งที่ดินในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย, อ.เมืองลำปาง อ.เกาะคา อ.เถิน จ.ลำปาง, อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร, อ.เมืองน่า จ.น่าน, อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

ขณะเดียวกันยังมี น.ส.3 ก. ในพื้นที่ อ.มุกดาหาร จ.นครพนม และ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ มูลค่ารวม 99,150,500 บาท เงินฝาก มูลค่ารวม 23,807,575 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง รวม 5 รายการในพื้นที่ พระโขนง ราชเทวี กทม.และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มูลค่ารวม 22,590,000 บาท เงินลงทุน 29 รายหารส่วนใหญ่ลงทุนในกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ กองทุนเปิดบัวหลวง มูลค่ารวม สิทธิและสัมปทาน 13 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นประกันชีวิต และยังมีสิทธิสมาชิก Pacific City Clup แบบตลอดชีพ 2 รายการ มูลค่ารวม 12,049,815 บาท ยานพาหนะ 5 รายการ มูลค่ารวม 2,970,000 บาท

ทรัพย์สินอื่น มูลค่ารวม 24,645,600 บาท โดยทรัพย์สินที่น่าสนใจอาทิ ปากกา 11 รายการ นาฬิกา 73 รายการ พระเครื่องกรองทอง และสร้อยคอทองคำ 110 รายการ แหวนประดับอัญมณี 90 รายการ เครื่องประดับ 44 รายการ พระเครื่องและพระพุทธรูป 41 รายการ และเหรียญที่ระลึก ทองคำ โลหะมีค่า 19 รายการ ส่วนหนี้สิน ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ซึ่งระบุว่าเป็นการจำนองห้องในคอนโดภูมิมานวิว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 2 ห้อง และเงินเบิกเกินบัญชีบัตรเครดิต 2 รายการ

นอกจากนี้นายเอนกและคู่สมรสยังแจ้งว่า มีรายได้รวมต่อปี 6,928,880 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากเงินเดือนของแพทย์หญิงจิรพร ซึ่งดำรงตำแหน่งคณบดี คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้ทรงตุณวุฒิด้านการแพทย์ ในคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ รวมกว่า 5,300,000 บาท นอกจากนั้นยังมีรายได้จากค่าเช่าห้องชุดประมาณ 240,000 บาท โดยมีรายจ่ายรวม 6,376,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เบี้ยประกันชีวิต ผ่อนจ่ายเงินกู้ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เป็นต้น

ภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ของ วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ทำให้มีการตรวจสอบผู้ที่เข้าใกล้ชิด โดยเฉพาะคณะทำงานร่วม ที่ประกอบด้วยคณะนายทหารหลายรายไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 แต่ต้องเฝ้าระวังกักตัว 14 วัน

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าตามที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ติดเชื้อโควิด-19 โดยจากการสอบสวนโรค พบว่า ในส่วนของกองทัพบก ซึ่งมีคณะนายทหาร นำโดยรองเสนาธิการทหารบก 

ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก (ผอ.ศบค.19 ทบ.) และ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความมั่นคงภายใน กอ.รมน (ผอ.ศรมน. กอ.รมน) และส่วนคณะของ กอ.รมน รวม จำนวน 6 นาย ได้เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด โดยร่วมประชุมกับ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 63 ระหว่างการลงพื้นที่ปฎิบัติภารกิจในนามกองทัพบก และกอ.รมน เพื่อประสานงานและให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อกับทางจังหวัดนั้น

ต่อมาคณะนายทหารได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อ 28 ธ.ค. 63 ‘ผลการตรวจเป็นลบ ไม่พบการติดเชื้อทุกราย’ อย่างไรก็ตามขณะนี้ ทุกคนได้เข้าสู่การเฝ้าระวังโรค โดยกักตัวเอง 14 วัน เพื่อสังเกตอาการให้ปลอดภัยตามมาตรการของสาธารณสุข

โดยในระหว่างนี้ทางกรมแพทย์ทหารบก จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ ดูแลอาการตามมาตรฐานของ ศบค.อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังคงสามารถปฎิบัติงานต่อเนื่องได้ด้วยระบบ Work From Home จนครบกำหนดเวลา

เรียกว่าย้ำกันรายวัน กับการออกมาสร้างความมั่นใจในการกินกุ้งของทั้งภาครัฐและประชาชน โดยล่าสุดครม.กินกุ้งกระตุ้นความเชื่อมั่น ไม่ติดโควิดและช่วยผู้ค้าอาหารทะเลได้อีกทาง

เที่ยงนี้ ครม. กินกุ้ง ! “รมต.อนุชา” ตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเล ก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟครม. เน้นย้ำ เรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่น ปชช. โควิดไม่ติดต่อ จากอาหารทะเล


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเลก่อนจะนำมาปรุงสุกเสิร์ฟคณะรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมประชุมรับประทานกลางวันนี้ เน้นย้ำเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย พร้อมให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าโควิดไม่ติดต่อจากอาหารทะเล ขอให้ช่วยกันบริโภคอาหารทะเลมากขึ้น นอกจากจะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยผู้ค้าขายอาหารทะเลด้วย

วิษณุ เผยไม่ง่อนหลังสื่อมอบ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ มองหยอกล้อสนุกปีละหน - คนกันเอง พร้อมเคลียร์ปมล็อคดาวน์ชัด ‘ไม่ล็อค’ แต่มาตรการแต่ละจังหวัดคุมเข้มไม่ต่างจากล็อค

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฉายาประจำปีที่ได้รับ ‘ไฮเตอร์ เซฮร์วิส’ ว่า ไม่รู้สึกงอนที่ได้รับฉายานี้ เพราะตนอยู่ที่นี่มา 30 ปี เจอฉายาทุกปี อีกทั้งเป็นการหยอกล้อเล่นกันสนุกปีละหนคนกันเอง

แค่อยากถามว่าเคยอ่านเรื่องอิเหนาหรือไม่ ช่วยตอนที่กระเซ้าเหย้าแหย่ อิเหนาบอกว่าพี่รักดอกจึงหยอกเล่น เพื่อให้เป็นประเวณีเสนหา ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะโกรธา กระนี้พี่ยาจะหยอกไย ดังนั้น ผู้สื่อข่าวก็อยากจะพูดหยอกอย่างเดียวกันกับอิเหนา ฉะนั้น ปีหน้าตั้งใหม่

ทั้งนี้ได้มีการถาม วิษณุ อีกเกี่ยวกับการพิจารณาล็อกดาวน์ในช่วงปีใหม่ วิษณุ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น โดยนายกฯ ได้เกริ่นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า 7 วัน จนถึงปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เราจะประเมิน เพราะความรุนแรงจะยังไม่มาก

แม้ความกระจายจะเกินขึ้นในหลายพื้นที่ เขาจึงไม่ให้จังหวัดไหนเป็นแดงทั้งหมด หรือส้มทั้งหมด ถ้าแดงก็แดงเป็นอำเภอไป แต่พอหลังปีใหม่การประเมินจะต้องเข้มข้นขึ้น เพราะจะมีการเข้ามาของชาวต่างประเทศมากขึ้น วันนี้เป็นเรื่องของการหนีเข้ามา ลักลอบเข้ามา จากนี้จะต้องดูที่จะเข้ามาอย่างเป็นทางการเป็นร้อย ๆ

ดังนั้น จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ในช่วง 30 ธันวาคม - 1 มกราคม จะประเมินกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าตัวเลขน่ากลัวก็จะคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไร เพราะคงจะไปเจอในช่วงวันเด็ก วันครู หรือวันตรุษจีน

อย่างไรก็ตามแม้ทุกวันนี้จะไม่ถึงขั้นล็อดดาวน์ แต่ วิษณุ ก็มองว่า คล้ายๆ อยู่แล้ว โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอำนาจ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งความจริงไม่ต้องมีหรอกข้อกำหนดนี้ เพราะผู้ว่าฯ มีอำนาจตามกฎหมายโรคติดต่อทำได้เลย แต่ผู้ว่าฯ จะสั่งการโดยไม่มีความมั่นใจ

ฉะนั้น พ.ร.ก.จะไปคุ้มครองให้ผู้ว่าฯ มีความมั่นใจมากขึ้น จะปิดบ้าน ปิดเมือง หรืออะไรก็ตาม ผู้ว่าฯ สามารถประเมิน และสั่งการได้เลย นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นศูนย์โควิดของกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยสามารถควบคุมผู้ว่าฯ ทั้ง 76 ได้ ดังนั้น วันนี้ ประชาชนที่จะเดินทางไป - กลับ ภูมิลำเนาสามารถทำได้

นอกจากนี้ วิษณุ ยังได้กล่าวถึงกรณีการพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมว่า อาจจะหยุดช่วงไหน หรือเดือนไหนก็ได้ที่ไม่มีวันหยุด หรืออาจจะใส่เข้าไป 1 วัน ที่ติดกับวันเสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งอาจจะต้องหารือกับ ครม. อีกครั้งหนึ่ง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมครม. เดินหน้าโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลหนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท หวังกระตุ้นสูงวัยเที่ยวเพิ่มปีหน้า

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการประชุมจะพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า วงเงิน 5,000 ล้านบาท

เพื่อสนับสนุนนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 5,000 บาท ให้เดินทางไปเที่ยวกระตุ้นการเดินทางในปีหน้า

ส่วนกระทรวงพาณิชย์เสนอการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง

โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน และเสนอการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป

ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอขอถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 ฉบับ พร้อมทั้งรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย

องค์การอนามัยโลกประกาศยกให้วันที่ 27 ธันวาคม เป็นวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล หรือ International Day of Epidemic Preparedness โดยเริ่มจากปี 2020 นี้เป็นปีแรก

หากจะมองย้อนกลับไป จะพบว่าโลกเราต้องเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Covid-19 มาแล้ว 1 ปีเต็ม จากที่โลกเพิ่งเริ่มต้นนับ1 จากคนไข้รายแรกที่อู่ฮั่น ประเทศจีน จนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกเกิน 80 ล้านคน

โดยมีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 1.76 ล้านราย ซึ่งผลพวงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ไปไกลเกินกว่าอันตรายจากตัวของมัน แต่ลามไปกระทบกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการใช้ชีวิตของมนุษย์ในระดับที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ออกถ้อยแถลง ในวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากลครั้งแรกของโลกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในครั้งนี้ เราควรตระหนักได้แล้วว่าควรอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตข้างหน้า

และแน่นอนว่า “การเตรียมพร้อมรับมือ” เป็นการลงทุนที่สูง แต่ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า “การรับมือ” เมื่อเกิดเหตุการระบาดครั้งใหญ่อย่างเทียบไม่ติด เราต้องลงทุนรับมือตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปสู่สังคม แต่ละชุมชนต้องได้รับการสนับสนุนด้านสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา

รวมถึงการร่วมมือ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีชาติใดที่สามารถอยู่รอดได้เพียงชาติเดียว แต่ต้องร่วมมือให้รอดไปด้วยกันเท่านั้น จึงจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้

ทางองค์การสหประชาชาติได้แสดงความห่วงใยถึง ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสเกิดโรคระบาดจากเชื้อโรคชนิดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่า กว่า 74% ของโรคชนิดใหม่ ๆ เกิดจากการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ที่มักเกิดจากการบุกรุกป่า และรุกล้ำพื้นที่ทางธรรมชาติของสัตว์ป่านำไปใช้ประโยชน์ในการทำปศุสัตว์ที่เป็นอาหารของมนุษย์

โดยทางองค์การสหประชาชาติต้องการเน้นย้ำให้เกิดการตระหนักรู้ในโอกาส และอันตรายที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดโรคระบาดใหญ่ครั้งใหม่ขึ้นได้อีกในอนาคต จึงเป็นที่มาของการสถาปนาวันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่จะตรงกับวันที่ 27 ธันวาคมของทุกปี โดยเลือกเอาวันเกิดของ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดค้นวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสัตว์ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในมนุษย์

และองค์การสหประชาชาติ ยังคงทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยื่นคำร้องขอถอนตัว และตัดงบช่วยเหลือไปแล้วก็ตาม

จึงทำให้โลกของเรามีวันสำคัญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน คือ วันแห่งการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดสากล ที่องค์การสหประชาชาติเน้นซ้ำย้ำชัดว่า ไม่มีการลงทุนใดที่จะคุ้มค่า และชาญฉลาด เท่ากับการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อม ป้องกันการเกิดโรคระบาดอีกแล้ว


แหล่งข่าว

https://reliefweb.int/report/world/international-day-epidemic-preparedness-27-december

https://www.who.int/news-room/events/detail/2020/12/27/default-calendar/international-day-of-epidemic-preparedness

กระทรวงคมนาคมแถลงผลงานรอบ 1 ปี เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาคทุกมิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เดินหน้าสู่การคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารกระทรวง แถลงผลการดำเนินงาน “การขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมสู่การปฏิบัติ” ประจำปี 2563 ของกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยงเส้นทางสู่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะ นโยบายเร่งด่วน จำนวน 4 เรื่อง

1.) เร่งรัดแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างล่าช้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2

2.) แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร พร้อมตรวจสอบสภาพและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

3.) ปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเวลาหลัง 24.00 น. ถึง 04.00 น. เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจร และการใช้รถใช้ถนนของประชาชนในปัจจุบัน

4.) กำหนดอัตราความเร็วรถบนถนน 4 ช่องทางจราจรขึ้นไปให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ยังได้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ ให้คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วประเทศมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งมิติคมนาคมทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง ในปี 2564 เปิดประตูเศรษฐกิจและการค้าชายแดนใต้ รองรับผู้โดยสาร 869,000 คนต่อปี

“ต่อจากนี้ไปกระทรวงคมนาคม จะเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่งของไทยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ” นายศักดิ์สยาม กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top