Friday, 26 April 2024
LITE

11 เมษายน พ.ศ. 2539 ‘นายแสงชัย สุนทรวัฒน์’ ถูกลอบสังหาร ปมขัดผลประโยชน์กลุ่มธุรกิจวิทยุ

วันนี้ เมื่อ 27 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เมื่อ ‘แสงชัย สุนทรวัฒน์’ ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ในขณะนั้น ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิต ขณะขับรถกลับบ้าน

11 เมษายน พ.ศ. 2539 นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ถูกลอบสังหาร เพราะไปขัดผลประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจวิทยุ นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการในเวลานั้น จากผลการสอบสวนของตำรวจ ระบุว่า นางอุบล บุญญชโลธร เป็นผู้จ้างวานให้ นายทวี พุทธจันทร์ บุตรเขย ส่งมือปืนไปลอบสังหารนายแสงชัย ต่อมานางอุบลได้ถูกลอบสังหารเสียชีวิต คดีจึงยังคงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ ทั้งนี้ แสงชัยเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. เมื่อปี 2535 ในยุคที่ อ.ส.ม.ท. ยังมีลุ่มอิทธิพลมืดแฝงตัวอยู่ในองค์กร แต่เขาก็สามารถขจัดอิทธิพลเหล่านั้นได้สำเร็จ อีกทั้งยังบริหาร อ.ส.ม.ท. จนประสบความสำเร็จ 

10 เมษายน พ.ศ. 2455 ‘เรือไททานิค’ ออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ ก่อนชนภูเขาน้ำแข็งอับปางในอีก 5 วันต่อมา

ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ไททานิค (RMS Titanic) เรือยักษ์ใหญ่ที่มีความหรูหรา ใหญ่โต และแข็งแรงที่สุดในต้นศตวรรษที่ 20 ขนาดที่คนเชื่อกันว่าเรือลำนี้ ‘ไม่มีวันอับปาง’ ได้ออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์จากท่าเรือเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ มุ่งหน้าสู่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 

หลังเดินทางออกจากเซาแธมป์ตันในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ไททานิค แวะจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่เมืองเชอร์บูร์ก ที่เชอร์บูร์ก (Cherbourg) ในฝรั่งเศส และควีนส์ทาวน์ (ปัจจุบันคือ โคฟ, Cobh) ในไอร์แลนด์ ก่อนมุ่งหน้าไปทางตะวันตกมุ่งสู่นิวยอร์ก วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 ห่างจากเซาแธมป์ตันไปทางใต้ราว 600 กิโลเมตร ไททานิค ชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง การชนแฉลบทำให้แผ่นลำเรือไททานิค เกิดความเสียหาย น้ำได้ทะลักเข้าไปในเรือ แล้วได้เปิดห้องกั้นน้ำทั้งหมด แต่ทว่า ผนังกั้นน้ำชั้นที่ 4 ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้จากห้องเก็บถ่านหิน ทำให้ผนังกั้นน้ำชั้นที่ 4 ไม่สามารถทนทานแรงดันน้ำได้ จึงส่งผลให้น้ำทะลักเข้ามาภายในตัวเรือ

โดยน้ำค่อย ๆ ไหลเข้ามาในเรือและจมลง ผู้โดยสารและสมาชิกลูกเรือบางส่วนถูกอพยพในเรือชูชีพ โดยมีเรือชูชีพจำนวนมากถูกปล่อยลงน้ำไปทั้งที่ยังบรรทุกไม่เต็ม ผู้ชายจำนวนมาก กว่า 90% ในที่นั่งชั้นสอง ถูกทิ้งอยู่บนเรือ เพราะระเบียบ “ผู้หญิงและเด็กก่อน” ตามด้วยเจ้าหน้าที่ซึ่งบรรทุกเรือชูชีพนั้น ก่อน 2.20 น. เล็กน้อย ไททานิคแตกและจมลงโดยยังมีอีกกว่าพันคนอยู่บนเรือ คนที่อยู่ในน้ำเสียชีวิตภายในไม่กี่นาทีจากภาวะตัวเย็นเกิน (hypothermia) อันเกิดจากการแช่อยู่ในมหาสมุทรที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,500 คน จากผู้โดยสารราว 2,300 คน เนื่องจากเรือมีเสื้อชูชีพไม่พอและมีเรือกู้ภัยเพียง 20 ลำ นับเป็นหนึ่งในอุบัติเหตุทางเรือที่ร้ายแรงที่สุดของโลก

‘เฟอร์รารี่’ เปิดตัว ‘Ferrari Purosangue’ SUV 4 ประตู 4 ที่นั่ง ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 75 ปี เคาะราคาขายที่ 40.5 ล้านบาท

Ferrari Purosangue (พูโรซังกเว้) เป็นรถสปอร์ตแบบ 4 ประตูขนานแท้จากเฟอร์รารี่ โดยถือเป็นรถ 4 ประตู 4 ที่นั่งรุ่นแรกของประวัติศาสตร์ 75 ปี ของม้าลำพอง มาพร้อมเครื่องยนต์แบบวางกลางลำด้านหน้า และติดตั้งชุดเกียร์ไว้ด้านหลัง เพื่อให้ได้มาซึ่งเลย์เอาต์แบบรถสปอร์ต แตกต่างจากรถครอสโอเวอร์และเอสยูวีทั่วไปที่มักติดตั้งเครื่องยนต์เยื้องไปทางด้านหน้าจนเกือบคร่อมเพลาหน้า ส่งผลให้มีการกระจายน้ำหนักไม่เหมาะสม ขณะที่พูโรซังกเว้มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังอยู่ที่ 49:51 ซึ่งวิศวกรแห่งมาราเนลโลเห็นพ้องว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำด้านหน้า

ชื่อ Purasangue ในภาษาอิตาลีแปลว่า ‘พันธุ์แท้’ มาพร้อมแชสซีซ์ที่ถูกออกแบบใหม่หมดจด ติดตั้งหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อช่วยลดน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วงของรถ และการออกแบบตัวถังใหม่ส่งผลให้สามารถติดตั้งประตูแบบบานพับอยู่ด้านหลัง (Welcome Doors) ทำให้สามารถเข้า-ออกรถได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตัวรถยังมีขนาดกะทัดรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตัวถังภายนอกได้รับการออกแบบและขัดเกลาอย่างประณีตโดย Ferrari Styling Centre เพื่อให้เกิดรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดีไซน์ประกอบด้วยสองส่วนที่แยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนล่างของตัวรถเน้นไปทางเทคนิคบริเวณใต้ท้องรถ ขณะที่ตัวถังส่วนบนมีความน่าเกรงขามและสง่างาม โดยจุดนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงส่วนเว้าโค้งที่ดูรายกับลอยตัวอยู่เหนือซุ้มล้อทั้งสี่

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะไฟฟ้าแบบทำความร้อนได้ทั้ง 4 ที่นั่ง สามารถรองรับผู้ใหญ่ 4 คน ได้อย่างสะดวกสบาย ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรถมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยมีมา และเบาะหลังยังสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่ใส่สัมภาระได้ จากรูปแบบตัวตัวรถส่งผลให้ตำแหน่งการขับขี่สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถได้เหนือกว่าเฟอร์รารี่รุ่นอื่นๆ แต่การจัดวางยังคงเป็นแบบเดียวกับเฟอร์รารี่ทุกคัน นั่นคือตำแหน่งการขับขี่ที่กระชับและใกล้กับพื้น เพื่อมอบความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวของรถ อีกทั้งยังสามารถเลือกออปชันเสริม เช่น เครื่องเสียง Burmester และหนัง Alcantara แบบใหม่ที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล เป็นต้น

Ferrari Purosangue ติดตั้งเครื่องยนต์ 12 สูบ ความจุ 6.5 ลิตร ไร้ระบบช่วยอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุด 725 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 716 นิวตัน-เมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิดมีให้ใช้ที่รอบต่ำเพียง 2,100 รอบต่อนาที อีกทั้งบุคลิกการตอบสนองคันเร่งเป็นแบบเดียวกับรถสปอร์ตขนานแท้ สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.3 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลา 10.6 วินาที

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ 8 จังหวะ F1-DCT คลัตช์น้ำมันคู่ ถูกปรับให้เหมาะสมผ่านการใช้ดรายซัมพ์และชุดคลัตช์ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม ช่วยลดความสูงได้ 15 มม. ขณะที่ประสิทธิภาพของชุดคลัตช์ใหม่เพิ่มสูงขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ รองรับแรงบิดขณะเปลี่ยนเกียร์ได้สูงถึง 1,200 นิวตัน-เมตร พร้อมชุดควบคุมแรงดันไฮดรอลิกเจเนอเรชันใหม่ช่วยให้เวลาในการปลดและจับคลัตช์เร็วกว่าเดิม ทำให้เวลารวมในการเปลี่ยนเกียร์ลดลงเมื่อเทียบกับเกียร์ DCT 7 จังหวะรุ่นก่อนหน้านี้

‘Soompi’ เผย เพลง LALISA ของ ‘ลิซ่า’ สร้างสถิติใหม่ ทะยานสู่ 600 ล้านวิว!! เร็วที่สุดในศิลปินหญิง K-POP

(9 เม.ย. 66) เรียกว่าฮอตเกินต้านสำหรับ ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ศิลปินหญิงไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย เมื่อล่าสุดเว็บไซต์ Soompi ซึ่งเป็นสื่อเกาหลีใต้ได้รายงานข่าว ช่วง 01.30 น. ตามเวลาประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ว่า ‘LALISA’ เพลงโซโล่ของลิซ่าเป็นซิงเกิล มียอดวิวทะลุ 600 ล้านวิวได้เร็วที่สุดในศิลปินหญิง K-POP โดยมิวสิกวิดีโอเพลง ‘LALISA’ เปิดตัววันแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 13.00 น. (ตามเวลาประเทศเกาหลีใต้)

9 เมษายน ของทุกปี เป็นวัน ‘กองทัพอากาศ’ ยกฐานะกรมทหารอากาศขึ้นเป็นกองทัพอากาศ

วันนี้ เมื่อ 102 ปีก่อน กระทรวงกลาโหม ได้ยกฐานะ ‘กรมทหารอากาศ’ ขึ้นเป็น ‘กองทัพอากาศ’ จึงถือเอาวันที่ 9 เมษายน ของทุกปี เป็นวันกองทัพอากาศ

ในปี พ.ศ.2464 กระทรวงกลาโหม ได้พิจารณาเห็นว่า กำลังทางอากาศ มิได้เป็นกำลังเฉพาะในด้าน ยุทธศาสตร์ทางทหารเท่านั้น แต่มีประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อกิจการด้านอื่น ๆ อีกด้วย จึงได้แก้ไขการเรียกชื่อจาก กรมอากาศยานทหารบกเป็น 'กรมอากาศยาน' และเป็น 'กรมทหารอากาศ' ในเวลาต่อมา โดยให้อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยตรง พร้อมทั้งได้มีการกำหนดยศทหาร และการเปลี่ยนแปลง เครื่องแบบจากสีเขียว มาเป็นสีเทา ดังเช่นในปัจจุบัน

ย้อนมอง ‘หาเสียง-สื่อประชาสัมพันธ์’ สมัยแรกของสยาม ท่ามกลางกุศโลบายสร้างสรรค์ ไม่ฟาดฟันกันด้วยอวิชชา

ในตอนที่ผมกำลังพิมพ์เรื่องราวนี้อยู่นั้น การรับสมัครผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อนั้นก็คงได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกพรรคคงเดินหน้าในการหาเสียงกันเต็มรูปแบบ ผมก็เลยอยากมาเท้าความถึงเรื่องราวการหาเสียงเลือกตั้งในอดีตให้ทุกท่านได้นึกจินตนาการสักหน่อย 

ผมจะเล่าถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสยามเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2480 ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 เพื่อเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 91 ที่นั่ง จาก 182 ส่วนอีกครึ่งนั้นมาจากการแต่งตั้งโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบทางตรง คือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองได้โดยตรง 

แต่เวลานั้นยังไม่มีพรรคการเมืองครับ ผู้สมัครที่ลงรับเลือกตั้งจึงเป็นผู้สมัครอิสระ สำหรับ ส.ส. ก่อนหน้าการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2480 นั้น มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนจะเลือกผู้แทนตำบลเพื่อให้ไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง เพราะประชาชนยังอ่านออกเขียนได้มีจำนวนไม่มากนัก และ ส.ส. ชุดเลือกทางอ้อมนั้นได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาเป็นผู้แทนประเภทที่ 2 ด้วยการแต่งตั้ง เอาน่ะ ยุคนั้นราษฎรยังไม่เยอะ พวกผู้แทนที่กลับมาเป็นอีกมีความจำเป็น (หลัก ๆ ก็ก๊วนคณะราษฎรนั่นแหละ) 

แต่วัฒนธรรมหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่มเลือกตั้งแห่งสยามนี้คือการหาเสียงแบบ ‘เคาะประตูบ้าน’ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมว่าเป็นการหาเสียงสุดคลาสสิกที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการเลือกตั้งในยุคนั้นต้องอาศัยการรู้จักหน้าตาของผู้สมัคร ยิ่งถ้าผู้สมัครรู้จักเข้าหาผู้นำหรือผู้ที่ได้รับความนับถือในสังคม ที่ปัจจุบันก็คือ ‘หัวคะแนน’ (มีมาตั้งแต่สมัยนั้น) อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูจากเมืองหลวง ตลอดจนพระสงฆ์ ก็ย่อมมีสิทธิ์ได้รับเลือก อันนี้คือการหาเสียงทางตรงซึ่งมักถูกนักเลือกตั้งรุ่นใหม่ดูถูกเหยียดหยาม ว่าช่างโบราณได้รับเลือกมาก็เป็นแค่ ‘ผู้แทนตลาดล่าง’ แต่ผมว่าเอาเข้าจริงการหาเสียงในรูปแบบนี้ยังใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ขนาดที่พรรคการเมืองที่ว่ารุ่นใหม่บางพรรคยังต้องยอมศิโรราบ ‘การเคาะประตูและการใช้หัวคะแนน’ กลืนน้ำลายตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง อันนี้ก็งง งงดี 

ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจในยุคการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2480 ก็คือการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า ‘โปสเตอร์’ ผมว่าอันนี้น่าสนใจเพราะเขาใช้สื่อชนิดนี้ด้วยความสร้างสรรค์ สร้างคอนเทนต์กันสุดฤทธิ์ โดยเน้นการโฆษณาว่าตนเป็นใคร เก่งแบบไหน ใส่นโยบายกันสุดลิ่มทิ่มประตู ยกตัวอย่างให้อ่านดังนี้...

เลือกให้ นายชอ้อน อำพล เป็นผู้แทนดีกว่า นายชอ้อน อำพล บรรณาธิการ ‘สยามรีวิว’ เมื่อได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการแล้ว จะฟันฝ่าชาวสมุทรปราการเป็นลูกเมียหลวงให้ได้ จะไม่ต้องได้รับความลำบากอย่างที่ท่านเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาได้เป็นผู้แทนมาแต่แรกแล้ว สมุทรปราการและพระประแดงจะไม่เป็นเช่นนี้เลย....ปิดท้ายด้วย....ท่านจะเห็นว่า นายชอ้อน อำพล ช่วยท่านจริงก็ต่อเมื่อท่านได้ ให้เขาเป็นผู้แทนในวันเลือก...

...เอากับเขาสิ อยากใช้ผมก็เลือกผม อะไรประมาณนั้น

หรืออย่างเช่น...ทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิต ทนายความ พูดจริง ทำจริง มนตรีนครธนบุรี...ศรีกรุง ฉบับวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2480 ว่า นายทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิตอัยการผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีความรู้ในทางกฎหมายและการเมืองทั้งเป็นผู้ที่มีใจเป็นกุศล.... 

หรือจะเป็นอย่าง...โปสเตอร์ของขุนพิเคราะห์คดี....รักชาติ, ถิ่น, ฐาน, รักบ้าน, รักเรือน ก็อย่าให้ได้ชื่อว่าขายชาติ อย่าเชื่อคำยุยงส่งเสริมฯ ของเขาเราจะเสียแนวไก่ต่อ (ไก่ต่อไปซะอย่างนั้น)...

บ้างก็วางนโนบายเป็นข้อ ๆ แบบของ นายพันตรีหลวงขจรกลางสนาม ที่ระบุนโยบายเป็นคำคล้องกันดังนี้...ข่าวสาส์นการเดิน...เหินห่างโจรภัย...ไม่เสียเวลาไปศาล...สมานสามัคคี...มีที่พึ่ง...ปิดท้ายอีก 3 เรื่องจากหลวงขจรฯ คือ... พ้นความยากจน...มีคนรักษา...วิชาความรู้....หลัก ๆ พออ่านจบผมก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะมันช่างสนุกสนานจริง ๆ ‘โปสเตอร์’ หาเสียงยุค พ.ศ. 2480

แต่ถึงกระนั้นแผ่นปิดเหล่านี้ก็ไม่ได้โจมตีใครอย่างเอิกเกริก และไม่มีการกลั่นแกล้งกันอย่างจริงจัง เป็นสีสันแห่งการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ผิดกับยุคนี้ที่การทำสื่อเลือกตั้ง เน้นให้มีจำนวนมาก เน้นให้ได้เปรียบคนอื่น เน้นบังป้ายคนอื่นจนกระทั่งไม่สนใจว่าจะบดบังทัศนวิสัยหรือไม่ รวมไปถึงบางป้ายที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ออกมาตั้งกันอย่างน่าประหลาด อย่างป้ายสีแดงของโครงการหมู่บ้านแคนดิเดตผู้นำก็ตั้งบังชาวบ้าน เยอะยิ่งกว่าป้ายหาเสียงเสียอีก อันนี้หยอกนะครับ เพราะน่าจะไปแก้ไขกันแล้ว มั้งนะ !!! 

8 เมษายน พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงร่วมพิธีเปิด ‘สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1’

วันนี้ เมื่อ 29 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงร่วมพิธีเปิด ‘สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1’   สะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก ที่เชื่อมต่ออำเภอเมืองหนองคายกับบ้านท่านาแล้ง สปป.ลาว

สะพานแห่งนี้ถือได้ว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย - ออสเตรเลีย - ลาว  แนวคิดในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่าง 2 ประเทศมีมาตั้งแต่ปี 2499  จนกระทั่ง พ.ศ. 2531  พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นได้เดินทางไปเยือน สปป. ลาว ผู้นำคณะรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายออกแถลงการณ์ร่วมตกลงในหลักการให้มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมหนองคาย-เวียงจันทน์ ต่อมา พ.ศ. 2532 นายโรเบิร์ต ฮอว์ค นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในขณะนั้น เดินทางมาเยือนประเทศไทย และออกแถลงการณ์ในนามรัฐบาลออสเตรเลียที่จะสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าก่อสร้างสะพานผ่านความร่วมมือระหว่างผู้แทนจากไทยและลาว

7 เมษายน พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี

วันนี้ เมื่อ 126 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี เพื่อทอดพระเนตรการปกครองของอารยประเทศ รวมเวลา 7 เดือน

การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 การเสด็จประพาสแบบส่วนพระองค์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการแสดงให้บรรดาประเทศมหาอำนาจในยุโรปเห็นว่าสยามมิได้ล้าหลังและป่าเถื่อน

ว่าด้วย 'โรคกลัวสังคม' ปมปัญหาที่พบบ่อยใน 'เด็ก-วัยรุ่น' หยุดได้!! แค่เลิกขยายความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

วันก่อนเห็นโพสต์ของคุณแข นักแสดงชื่อดัง ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก 'รัศมีแข Rusameekae' พออ่านจบแล้วก็เกิดอารมณ์หลากหลายต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปทางเข้าใจ แลระคนเห็นใจในสิ่งที่น้องแขต้องเผชิญครั้งวัยเด็ก โดยเนื้อหานั้น เธอว่าแบบนี้...

“ขอบพระคุณเพื่อน ๆ แม่ ๆ และคุณพ่อที่มีลูกในวงการมาก เพราะเด็ก ๆ ทุกคนที่แขเจอ ทำให้แขมีความสุขมาก ๆ ครับ แขเคยโดนเรื่องร้าย ๆ มาตั้งแต่เด็กครับ ทั้งถูกทำร้าย ถูกรังเกียจจากสีผิว เลยทําให้แขมีอาการซึ่งยังเป็นอยู่ครับ ขอเรียกว่าโรค ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ’ แขจะ panic ทุกครั้ง เมื่อมีคนมาจับตัว มากอด หรือจับมือ จะมีคำถามขึ้นมาตลอดว่า ‘เค้าไม่รังเกียจเราใช่ไหม?’ โดยเฉพาะเวลาเจอลูกของเพื่อน ๆ หรือคนรู้จัก 

"แข panic ครับ กลัวว่าเค้าจะไม่รังเกียจเราใช่ไหม ถ้าจะคุยจะเล่นกับลูกของเค้า ซึ่งทุก ๆ คนก็ยินดีให้เล่นกับลุงแข แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่แขได้อุ้มได้เล่นกับเด็ก ๆ ลึก ๆ แขจะร้องไห้ตลอดครับ เพราะเวลาเด็ก ๆ ยิ้มให้แข แขเหมือนเราไม่ได้เป็นตัวน่ารังเกียจครับ แล้วเด็ก ๆ ที่แขได้มีโอกาสเจอ ช่วยทำให้แขใจชื้นมาก ๆ ครับ แขรู้สึกเหมือนเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริง ๆ ครับ สัญญาครับว่าจะเป็นลุงแขที่ดีที่สุดเพื่อหลาน ๆ ครับ”

ลักษณะอาการที่คุณแขเรียกว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ น่าจะคล้ายกับ ‘โรคกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือ ‘Social Anxiety in Children & Adolescents’ โดยต้องขอย้ำว่าผู้เขียนมิได้เป็นแม้เศษเสี้ยวผู้เชี่ยวชาญที่กล้าบังอาจวินิจฉัยโรค และคุณรัศมีแขเองก็อาจไม่ได้อยู่ในข่ายนี้ เพียงแต่อยากยกเธอเป็นต้นธารแห่งการแบ่งปันความรู้สึกเท่านั้น

อาการของโรคนี้ ‘นายแพทย์ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย’ จิตแพทย์แห่งโรงพยาบาลมนารมย์ เคยเขียนเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานไว้ว่า ‘ความกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือที่เรียกว่า ‘โรคกลัวสังคม’ (Social Phobia) นั้น พบเห็นได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองรู้สึกขัดอกขัดใจกับบุตรหลานของตนอย่างมากว่า ไม่กล้าแสดงออก หรือพ่อแม่อาจอับอายที่มีลูกขี้อาย โดยยิ่งพยายามผลักดันให้เด็ก ๆ เหล่านี้ ‘แสดงออก’ มากยิ่งขึ้น เช่น ส่งไปเต้นระบำขับร้องบนเวที (ที่มีคนดูเยอะ ๆ) สิ่งเหล่านี้นี่เองที่อาจยิ่งจะทำให้เด็กรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นที่ไม่อาจทำให้พ่อแม่พอใจได้

เริ่มจากความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

ยิ่งคุณรัศมีแขเติบโตมาในสังคมที่ตนดูแปลกแยก ดังที่เคยเล่าออกทางสื่อบ่อย ๆ ว่า เธออาศัยอยู่ที่ยุโรป (สวีเดน) ด้วยผิวพรรณวรรณะ ประกอบกับความเป็น LGBTQ เข้าไปอีก องค์ประกอบความเป็น ‘แข’ จึงเริ่มต้นด้วยความ ‘อาย’ เป็นปฐม

เมื่อความกลัวต่อการถูกเฝ้ามอง (หรือประเมิน) จากคนอื่น เด็กวันวานเหล่านั้นก็จะเกิดความกลัวขึ้น โดยคิดว่าเขา (และเธอ) อาจทำหรือพูดอะไรที่ ‘เปิ่น - เชย - ผิด - งี่เง่า’ ต้องทำให้ตัวเองได้ ‘อาย’ ตกเป็นเป้าของการถูกวิพากษ์วิจารณ์

แถมคุณแขยังเคยโดนทำร้ายร่างกายด้วยอคติอันน่ารังเกียจอีก นั่นจึงเป็นเหตุที่ต้องตั้งคำถามเสมอมาว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ แม้ทุกวันนี้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังท่ามกลางคนรักใคร่แทบทั้งประเทศ ด้วยความเป็นพลเมืองระดับ ‘คุณภาพ’

ว่ากันตามจริงคนไทยอายุสี่สิบขึ้นวันนี้ล้วนผ่านประสบการณ์ถูก ‘บูลลี่’ (Bully) มามากบ้างน้อยบ้างตามแต่สภาพสังคมที่เติบโต ผู้เขียนเองก็เคย คนรอบข้างก็เคย โดยเราเองอยู่ในสถานะทั้งถูกบูลลี่และเป็นคนบูลลี่ (Abulligy) ด้วย ‘คำเหยียด’ ซึ่งแทบไม่มีผลต่อจิตใจแต่อย่างใด ต่างจากคนรุ่นปัจจุบัน

6 เมษายน ของทุกปี ‘วันจักรี’ รำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

ในวันที่ 6 เมษายน ของทุกปี นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของประเทศไทยซึ่งตรงกับ ‘วันจักรี’ โดยความเป็นมาเริ่มต้นจากในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษก ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทย มาจนทุกวันนี้

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูป พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ ( ร.1 - 4 ) เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เป็นธรรมเนียมปีละครั้ง และโปรดเกล้าให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และมีการย้ายที่หลายครั้ง เช่นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยปราสาทเป็นต้น

ในรัชกาลที่ 6 โปรดให้ย้ายพระบรมรูปทั้ง 4 ( ร.1 - 4 ) มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกนาถ พระที่นั่งองค์นี้ รัชกาลที่ 6 โปรดให้ซ่อมจากพุทธปรางค์ปราสาทเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ และได้พระราชทานนามดังกล่าว การซ่อมแซมก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล สำเร็จลุล่วงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมา โปรดฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า ‘วันจักรี’

วันที่ระลึกมหาจักรี หรือที่เรียกกันโดยย่อว่าวันจักรีนั้น สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชดำริว่าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูปลักษณะเหมือนพระองค์จริงฉลองพระองค์แบบไทย ณ โรงหล่อหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (บริเวณศาลาสหทัยสมาคมในปัจจุบัน) เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระปฐมบรมราชบุพการี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เชิญพระบรมรูปทั้ง 4 รัชกาลนั้น ประดิษฐานเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ สำหรับถวายบังคมสักการะในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลและพระราชพิธีพระชนมพรรษา 

ครั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบราชสันติวงศ์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ จากต่างประเทศ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานร่วมกับพระบรมรูปทั้ง 4 รัชกาลนั้น ต่อมาทรงพระราชดำริว่าพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทยังไม่เหมาะสมที่จะมีงานถวายบังคมสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแปลงพระพุทธปรางค์ปราสาทในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทั้ง 5 รัชกาล 

โดยได้พระราชทานนามใหม่ว่า ปราสาทพระเทพบิดร โดยทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งได้ประดิษฐานพระบรมราชวงศ์จักรี ทรงมีพระเดชพระคุณต่อประเทศ เมื่อมีโอกาสก็ควรแสดงความเชิดชูและระลึกถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทมาประดิษฐานที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2461 อันเป็นดิถีคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จกรีธาทัพถึงพระนคร ได้รับอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระกรัณฑ์ทองคำลงยาราชาวดีซึ่งบรรจุพระบรมทนต์ (ฟัน) พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาลครั้นถึงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2461 (สมัยนั้นขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน) 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง ประกาศพระบรมราชโองการให้มีการกราบ ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเป็นการ ประจำปีกำหนดใน วันที่ 6 เมษายน เป็นประเพณีสืบไป ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการพระราชพิธีประดิษฐาน พระบรมรูปที่ปราสาทพระเทพบิดร โดยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมทนต์พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธยและดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุที่เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูป เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2470 

มองความสุขหลังพ้นกำแพงเรือนจำของ 'หมอวิสุทธิ์'  เมื่อ 'การเจริญสติ' สำคัญกว่าวิชาความรู้เสียอีก

(5 เม.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงพระรูปหนึ่ง ที่อดีตคนไทยรู้จักในชื่อ 'หมอวิสุทธิ์' ความว่า... 

บทความจาก #พระอาจารย์ไพศาลวิสาโล ได้กล่าวว่า พวกเราอาจจะเคยได้ยินชื่อ 'หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ' ซึ่งเคยถูกพิพากษาประหารชีวิต เพราะโดนข้อหาฆ่าภรรยา

หมอวิสุทธิ์เป็นศาสตราจารย์ ทางการแพทย์ที่จุฬาฯ เก่งมากในเรื่องของการทำเด็กหลอดแก้ว เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย มีฐานะดี แต่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ ต้องพลิกผันตกต่ำ กลายเป็นนักโทษประหาร เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด มีปัญหาความรักและแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการ ฆ่าภรรยา

ภายหลังได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ตอนนี้จึงออกมาจากคุกได้ เพราะโทษเบาบาง

เมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้ให้สัมภาษณ์สื่อไว้อย่างน่าสนใจมาก โดยเผยชีวิตเบื้องหลัง กำแพงเรือนจำกับชีวิตใหม่ หลังก้าวผ่านคำว่านักโทษประหาร สู่การเรียนรู้ชีวิต จากโรงเรียนแห่งใหม่ที่ถูกเรียกว่า 'เรือนจำ'

เมื่อได้ลองทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ก็ทำให้เขาได้รู้ว่า ชีวิตก่อนหน้านี้ ตัวของเขาเป็นคนที่ประมาท ปล่อยให้ความโลภและความโกรธเข้าครอบงำ จนไร้อิสระ ปล่อยให้อิทธิพลของลาภยศ คำสรรเสริญ เข้ามามีอำนาจเหนือตนเอง

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้ทบทวนตัวเอง แม้ว่าจะต้องเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่า ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น ได้มองโลกในอีกมุมมองหนึ่ง มีการเจริญเติบโตของจิตวิญญาณ และมีความสุขจากการให้

เข้าใจคำว่าจิตอาสามากขึ้น...

จากรูปภาพที่เขาได้วาดในเรือนจำว่า ตัวของเขานั้น ก็เปรียบเหมือนธุลีเล็กๆ ในโลกใบใหญ่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือสลักสำคัญอะไร หากเราหาความสุขได้ จากการที่ตัวเองเป็นเพียงฝุ่นผง ความสุขนั้นก็จะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน

เมื่อก่อนเป็นคนมีอัตตา คิดว่าควบคุมทุกอย่างได้ ทำให้โกรธง่าย แต่ตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงฝุ่นเล็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธใครแล้ว...

เมื่อมองย้อนกลับไป เขาไม่ได้ตำหนิตัวเอง และกลับรู้สึกว่า เข้าใจความคิดอ่าน ของภรรยามากขึ้น ตัวเองไม่ติดใจอะไรแล้ว ไม่โกรธแค้นขุ่นเคือง รู้สึกให้อภัยภรรยา ให้อภัยแก่ตัวเอง และก็อยากให้ภรรยาอภัยให้เช่นกัน

อุทาหรณ์ที่หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ได้เรียนรู้จากโรงเรียนชีวิตแห่งนี้ก็คือ มนุษย์เราควรจะต้องระมัดระวัง ในการใช้ชีวิต ไม่ประมาท

ต้องรู้จักฝึกจิตตั้งแต่อายุน้อย ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากแล้วจึงเข้าวัด ควรฝึกจิตอย่าประมาทให้กิเลส ความโลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตใจ เพราะเมื่อไหร่ที่เราถูกครอบงำ เราก็ทำผิดพลาดได้

หากมองย้อนชีวิตที่ผ่านมาแล้ว เสียดายที่ทุ่มเทกับงานการ จนละเลยเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่ก่อนในหัวมีแต่งาน ตำรา งานวิชาการ

๕ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ณ โรงพยาบาลมองชัวซีส์ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเป็นพระโสทรเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนจิตรลดา ก่อนจะเสด็จไปประทับ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีจนสำเร็จ ณ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ชีวเคมี (Bachelor of Science Degree in Bio-Chemistry) จากนั้น ทรงเข้ารับการศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ในสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ (Statistics and Public Health) จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท

4 เมษายน ของทุกปี เป็นวัน ‘ภาพยนตร์แห่งชาติ’ ร่วมตระหนักถึงคุณค่าของภาพยนตร์ไทย

วันภาพยนตร์แห่งชาติตรงกับวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯได้พระราชทานขึ้น เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าของภาพยนตร์ไทย

วันที่ 4 เมษายน ของทุกปี เป็นวันภาพยนตร์แห่งชาติ ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระราชทาน เพื่อให้ชาวไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และคุณค่าของภาพยนตร์ไทย เพราะภาพยนตร์ถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมบ้านเราได้ดีที่สุด

‘ตุ๊ก ดวงตา’ โพสต์ เหตุผู้กำกับสั่งให้ลบรอยสัก เจ้าตัวถึงกับงง เผย ไม่ได้สัก แต่เป็นเส้นเลือดที่คล้ายตัวเลข งานนี้แฟนคลับแห่ตีหวย

‘ตุ๊ก ดวงตา’ ถึงกับงง โดนสั่งลบรอยสัก ปรากฏเป็นเส้นเลือดคล้ายตัวเลขคอหวยพากันส่อง

(3 เม.ย. 66) เรียกว่าถูกใจคอหวย เมื่อนักแสดงรุ่นใหญ่ ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี ออกมาโพสต์ภาพหลังถ่ายปิดกล้องละครเรื่อง ดวงใจเทวพรหม ตอนใจพิสุทธิ์ ก็ถูกผู้กำกับสั่งให้ลบรอยสักที่คอแต่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับงงเพราะตัวเธอเองไม่ได้สักอะไรไว้ที่คอ แต่ดันเป็นรอยเส้นเลือดขอดที่ปรากฏคล้ายตัวเลข โดยตุ๊กได้เขียนข้อความเล่าว่า
‘เมื่อวานไปปิดกล้อง ดวงใจเทวพรหม

3 เมษายน พ.ศ. 1893 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทย

วันนี้ เมื่อ 673 ปีก่อน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทย 

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทย ในพ.ศ. 1893 'กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา' ตั้งอยู่บริเวณ หนองโสน (บึงพระราม) บนเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งมีแม่น้ำสำคัญไหลผ่าน 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก โดยมีเมืองละโว้ เมืองสุพรรณบุรี เมืองอโยธยา ร่วมมือสร้างความเจริญรุ่งเรือง ทั้งด้านการเมือง การปกครอง สังคมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี และความสัมพันธ์กับต่างประเทศ 

ทั้งนี้ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีคนไทยตั้งบ้านเมืองมาก่อน เช่น เมืองละโว้ เมืองสุพรรณบุรี เมืองอโยธยา เมืองเพชรบุรี และเมืองอื่น ๆ อีกมาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top