Friday, 26 April 2024
LITE

๓ ข้าหลวงต่างพระองค์ ที่ ร.๕ วางพระราชหฤทัย มอบให้ดูแลบ้านเมือง ‘ต่างพระเนตร-พระกรรณ’

ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้ ผมกลับมาอยู่บ้านในภาคอีสานพร้อมกับตระเวนไปตามจังหวัดใกล้เคียงบ้านเกิดของผม ซึ่งในอีสานจะมีถนนและสถานที่รำลึกถึงข้าหลวงต่างพระองค์อยู่หลายแห่ง อาทิ หนองประจักษ์ จ.อุดรธานี ถนนสรรพสิทธิ์ จ.นครราชสีมา หรืออย่าง ถนนพิชิตรังสรรค์ จ.อุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์คือตำแหน่งอะไร สำคัญอย่างไร แล้วมีกี่ท่านที่นับได้ว่าเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ 

‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ นั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าข้าหลวงปกติ ข้าหลวงเทศาภิบาลหรือสมุหเทศาภิบาล เพราะคำว่า ‘ต่างพระองค์’ มีความหมายว่าเป็นตัวแทนดูแลราษฎรและพื้นที่ ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ และมีฐานะเป็น ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ตีความได้รับมอบความสำเร็จเด็ดขาดมาจากองค์พระเจ้าแผ่นดิน เพื่อดูแลทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกร ตำแหน่ง ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ เท่าที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีทั้งสิ้น 3 พระองค์ คือ… 

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร 
๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
และ ๓.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม 

ซึ่งพระประวัติและพระกรณียกิจของทั้ง ๓ พระองค์ผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าโดยสังเขปดังนี้นะครับ

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล’ เป็นต้นราชสกุล ‘คัคณางค์’ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ เป็นหนึ่งในพระเจ้าน้องยาเธอที่ ‘เก่ง’ ทั้งทางการปกครอง ทางกฎหมาย และการประพันธ์ ทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกา พระองค์แรก มีหนังสือหลายเล่มโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๕ ว่าทรงกริ้ว จึงทรงให้ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปดูแลพื้นที่ห่างไกล แต่ถ้าหากมองจากบริบทของการปกครองแบบรวมศูนย์ในยุคนั้น การให้เชื้อพระวงศ์ระดับสูงไปดูแลภูมิภาคต่างๆ นั้นแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้นได้ไปดูแลภูมิภาค ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ อยู่หลายแห่ง เริ่มต้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ไปรักษาเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับปรับปรุงการศาลต่างประเทศ และจัดระเบียบการปกครองภาคเหนือใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘ข้าหลวงใหญ่’ หัวเมืองลาวกาว ประจำอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ทรงปรับปรุงการปกครองหัวเมืองทางภาคอีสาน ประมาณ ๒๐ หัวเมือง โดยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รวมเป็นมณฑล 

ต้องบอกว่าพระองค์มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านชายแดนลาว และกัมพูชาเป็นอย่างดี คือเรียกว่า เสด็จ ฯ ไปทั่วทุกพื้นที่ในหัวเมือง นอกจากนี้พระองค์ยังมีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษ มีความเชี่ยวชาญด้านยาทรงเป็นคนไทยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ปรุงยาไทยผสมกับยาต่างประเทศ เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้พิพากษาฝ่ายไทยร่วมกันพิจารณาคดีความร่วมกับฝรั่งเศส ในกรณี ‘พระยอดเมืองขวาง’ ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม’ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริพระชันษาได้ ๕๔ ปีโดยการเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ของพระองค์นั้นคือการดำเนินการปรับระบบการปกครองและระบบการพิจารณาคดีความให้เป็นเนื้อเดียวกันกับกรุงเทพฯ เป็นหลัก 

๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง เช่นเดียวกับ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช’ เป็นต้นราชสกุล ‘ชุมพล’ ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งแรกทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกาและศาลแพ่งก่อนจะดำรงตำแหน่งอธิบดีในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ จนกระทั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นตามหัวเมืองทางตะวันออก ตั้งแต่เมืองนครราชสีมาลงไปจนถึงเมืองปราจีนฯ เจ้าเมือง กรมการเมือง ไม่สามารถที่จะปราบปรามให้สงบเรียบร้อยลงได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงพิเศษเสด็จขึ้นไปทรงบัญชาการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งก็ทรงสามารถทำได้เป็นผลดีตามพระราชประสงค์ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมาจนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการว่างลง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ แต่ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งใหม่นี้อยู่ได้ไม่นานนัก ก็เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จำเป็นต้องมี ‘ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ’ ไปดูแลพื้นที่มณฑลลาวกาว
และมณฑลอุดร กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับราชการสนอง พระเดชพระคุณในตำแหน่งข้าหลวงต่างประเทศสำเร็จราชการมณฑลลาวกาวอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี โดยประทับและตั้งกองบัญชาการข้าหลวงอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี 

กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงปรับปรุง พัฒนามณฑลลาวกาว ซึ่งต่อมาคือ มณฑลอีสาน อย่างต่อเนื่อง ปรับรูปแบบ การปกครอง จากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตำแหน่งอุปฮาดเป็นปลัดเมือง ฯลฯ จัดตั้งกองทหารในเมืองอุบลราชธานี เรียกคนเข้ารับราชการเป็นตำรวจ พ.ศ.๒๔๕๑ ทรงตั้งศาลยุติธรรมขึ้นที่เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นศาลเมืองอุบลราชธานี และศาลมณฑลอีสานอีกด้วย  โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์นั้นก็คือ ‘การปราบกบฏผีบุญ’ โดยเริ่มต้นจาก โนนโพขององค์มั่นก่อนจะดำเนินการอย่างราบคาบเรียบร้อย ซึ่งมีนักเขียนหลายสำนักโจมตีเรื่องการปราบผีบุญนี้ว่าเป็นการปราบที่โหดร้ายป่าเถื่อน แต่เอาเข้าจริงๆ บริบทของยุคสมัยที่กบฏผีบุญกลายเป็นลัทธิแห่งความขี้เกียจ การมั่วสุมไม่ทำงาน ผิดลูกผิดเมีย และชิงเอาของชาวบ้านดื้อๆ ไม่ผิดกับโจร ไม่ปราบ ก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ทำขี้เกลืออะไร? จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ และทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระชันษาได้ ๖๕ ปี

19 เมษายน พ.ศ. 2509 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเรือใบ ‘เวคา’ เสด็จข้ามอ่าวไทย ด้วยลำพังพระองค์เอง

วันนี้เมื่อ 57 ปีก่อน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเรือใบข้ามอ่าวไทย ด้วยลำพังพระองค์เอง จากพระราชวังไกลกังวล ไปยังหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

เมื่อปี พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9ทรงต่อเรือใบประเภทโอเค (International O.K. Class) พระราชทานชื่อว่า เรือนวฤกษ์ แปลว่า ฤกษ์ใหม่ 

ต่อมาก็ทรงต่อเรือประเภทนี้ขึ้นมาอีกลำ พระราชทานชื่อว่า เรือเวคา (Vega) ความหมายว่าดวงดาวที่สว่างสุกใส หลังจากนั้นทรงต่อเรือประเภทนี้ขึ้นอีกหลายลำ เช่น เรือเวคา 1 เรือเวคา 2 เรือเวคา 3 เป็นต้น 

18 เมษายน พ.ศ. 2398 สยามลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ ต่อมารู้จักกันในชื่อ 'สนธิสัญญาเบาว์ริง'

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ โดยมีเซอร์จอห์น เบาริ่ง เป็นราชทูต สนธิสัญญานี้รู้จักกันในชื่อ 'สนธิสัญญาเบาว์ริง', ไทยทำสัญญากับอังกฤษเรื่องอำนาจของกงสุลอังกฤษในไทย

หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอังกฤษและประเทศสยาม หรือบนปกสมุดไทย ใช้ชื่อว่า หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริงหรือที่มักเรียกกันทั่วไปว่า สนธิสัญญาเบาว์ริง (Bowring Treaty) เป็นสนธิสัญญาที่ราชอาณาจักรสยามทำกับสหราชอาณาจักร ลงนามเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 โดยเซอร์จอห์น เบาว์ริง ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย เข้ามาทำสนธิสัญญา ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดการค้าเสรีกับต่างประเทศในสยาม มีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ โดยการสร้างระบบการนำเข้าและส่งออกใหม่ เพิ่มเติมจากสนธิสัญญาเบอร์นี สนธิสัญญาฉบับก่อนหน้าซึ่งได้รับการลงนามระหว่างสยามและสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2369

สนธิสัญญาดังกล่าวอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าเสรีในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากในอดีตการค้าของชาวตะวันตกได้รับการจัดเก็บภาษีอย่างหนัก สนธิสัญญาดังกล่าวยังอนุญาตให้จัดตั้งกงสุลอังกฤษในกรุงเทพมหานครและรับประกันสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ตลอดจนอนุญาตให้ชาวอังกฤษสามารถถือครองที่ดินในสยามได้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2393 มีพระราชปณิธานช่วยเหลือราษฎรด้านความเป็นอยู่ โดยมีพระราชดำริแตกต่างจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเชษฐา หลายอย่าง โดยทรงเห็นว่าการเปิดให้ค้าข้าวกับต่างประเทศได้อย่างเสรีจะสร้างประโยชน์แก่บ้านเมืองมหาศาล จะทำให้ข้าวราคาสูงขึ้น เพราะมีความต้องการซื้อข้าวจากต่างชาติ ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลเช่นกัน ตลอดจนทรงเห็นว่านโยบาย 'ปิดข้าว' สร้างรายได้ให้แก่คนส่วนน้อย ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

"แต่ก่อนในหลวงห้ามปิดเข้า [ข้าว] ไว้ไม่ให้เอาออกไปขายนอกประเทศ ยอมให้เอาไป แต่ภอเปนสเบียง คนทั้งปวงที่มิใช่ชาวนาแลพ่อค้าเรือต่างประเทศก็มีความสบาย ด้วยเข้าถูก [ข้าวมีราคาถูก] แต่ชาวนาไม่ชอบใจ เพราะขายเข้าได้น้อย ไม่ภอกิน ต้องทิ้งที่นาไปหากินอย่างอื่น ถึงพ่อค้าก็ไม่ชอบใจ ด้วยอยากจะขายเข้าออกไปนอกประเทศ ต้องลักลอบเอาไป ..."

หมายเหตุ : ทั้งหมดสะกดตามต้นฉบับ

การที่รัฐบาลไทยไม่ยอมแก้ไขหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าขายกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความตึงเครียดใน พ.ศ. 2393 มิชชันนารีทั้งหลายถึงกับเกรงว่าจะเกิดสงครามขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงอันตรายจากการที่ไทยไม่ยอมประนีประนอมกับชาติตะวันตก โดยทรงดูจากจีนและพม่าที่ตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ ตลอดจนทรงตระหนักถึงความจำเป็นของวิทยาการสมัยใหม่สำหรับอนาคตของชาติ จึงได้ทรงประกาศเจตนาว่ายินดีจะทำสนธิสัญญาฉบับใหม่กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สิงคโปร์ฟรีเปรสได้นำจดหมายของเรเวอเรนด์ ยอนเทเลอโยนส์ ลงพิมพ์ มีใจความว่า

"เจ้าฟ้ามงกุฎได้ตรัสอย่างชัดเจน ว่าทางการที่ปฏิบัติต่อคณะทูตเมื่อปีก่อนนั้นทั้งหมดเป็นไปด้วยความเห็นผิดเป็นชอบของคน ๆ เดียว และถ้าคณะทูตกลับมาอีก ก็คงจะได้รับความต้อนรับโดยเมตตา ไม่ต้องระแวงว่าความประสงค์อันสำคัญยิ่งของคณะทูตจะไม่สำเร็จดังปรารถนา..."

สนธิสัญญาเบาว์ริงนี้มีเนื้อหาคล้ายกับสนธิสัญญานานกิงซึ่งจีนลงนามร่วมกับอังกฤษภายหลังสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง ใน พ.ศ. 2385 และก่อนหน้าสนธิสัญญาเบาว์ริงเพียงหนึ่งปี (พ.ศ. 2397) สหรัฐอเมริกาก็บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศด้วยการลงนามในสนธิสัญญาคะนะงะวะโดยใช้สนธิสัญญานานกิงเป็นต้นแบบ สนธิสัญญาเบาว์ริงถูกเรียกว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" หรือ "สนธิสัญญาที่เสียเปรียบ" เนื่องจากสยามไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเจรจาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเกรงกลัวในแสงยานุภาพทางทหารของอังกฤษในสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง ซึ่งได้ทำให้รู้สึกท้อถอยที่จะป้องกันมิให้มีการค้ากับชาติตะวันตก โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ระบุว่า ความต้องการสำคัญของอังกฤษก็คือการเข้ามาค้าฝิ่นได้อย่างเสรีในสยามและไม่ต้องเสียภาษี และอังกฤษพร้อมทำสงครามกับสยามอยู่แล้วหากการเจรจาไม่ประสบผล

เมื่อทราบว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใหม่ทรงแสดงความต้องการจะทำสนธิสัญญาด้วย รัฐบาลอังกฤษก็ได้ส่งจอห์น เบาว์ริงเข้ามาทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2398 โดยปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมไทย ให้ทูตเชิญพระราชสาส์นสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียเข้ามาถวายพระเจ้าแผ่นดินไทย จึงได้รับการต้อนรับดีกว่าทูตตะวันตกที่ผ่านมาทั้งหมด

17 เมษายน พ.ศ. 2277 วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

วันนี้ เมื่อ 289 ปีก่อน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์ ผู้กอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง (ภายหลังเป็นกรมพระเทพามาตย์)

'ยังโอม' กับ 'ธาตุทองซาวด์' ปรากฏการณ์ที่ยังเพรียกหามือช่วย

ปรากฏการณ์ 'อีกี้' จาก MV ธาตุทองซาวด์ ของศิลปิน 'ยังโอม' อันเปรี้ยงปร้างเกินกว่าเพลงและมิวสิควิดีโอฮิพฮอพดาดๆ เพราะผู้คนพากันขุดอีกี้ของตัวเองมาโพสต์เต็มฟีดของโซเชี่ยลมีเดียทุกแพล็ตฟอร์ม สมเจตนาจนยังโอมเองก็ต้องออกมาโพสต์

"MV เพลงนี้ผมใช้เงินตัวเองลงไปประมาณ 1,200,000 บาท เป็น MV ที่ผมใช้เงินเยอะที่สุดในชีวิต…"

โดย "...ที่ผมต้องลงทุนเยอะขนาดนี้ เพราะอยากให้ทั้งโลกเห็นว่าคนไทยก็เฟี้ยวเหมือนกันนะ คนไทยถ้าเอาจริงๆ เราทำได้ทุกอย่าง เรามีความสามารถ เรามีศิลปินทที่เก่งมาก ในทุกๆ แขนงของศิลปะ"

และ "...นี่ขนาดผมทำด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินตัวเอง มันยังได้ขนาดนี้ ผมอยากจะรู้จริงๆ ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจะนำพาประเทศเราไปได้ถึงจุดไหน จะไปได้ไกลเท่าเกาหลีไหมนะ…"

ผมชื่นชมยังโอม ยินดีด้วยกับความสำเร็จระดับไวรัล แต่กับข้อคิดเห็น (หรือคำถาม) "...ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน" ผมเองก็อดคิดตามไม่ได้

ศิลปินแขนงวงการบันเทิงบ้านเรามักออกมาพูดถึงอะไรแบบนี้เสมอเมื่อ 'งาน' ถูกนำเสนอจนเป็นที่นิยม ทำนองหยาดเหงื่อตนล้วนๆ ไม่มีใครสนับสนุน 'เหมือนบางประเทศ' ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นยก 'เกาหลี (ใต้)' มาเป็นคู่เปรียบกับไทย

ความจริงที่ต้องถามคือ "เกาหลีเขาสนับสนุนศิลปินกันแค่ไหน?"

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566
 

16 เมษายน พ.ศ. 2557 ‘เรือเซวอล’ อับปาง ขณะเดินทางไปเกาะเชจูโศกนาฏกรรมคร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้กว่า 304 คน

ในวันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ นั่นก็คือ โศกนาฏกรรม ‘เรือเซวอล’ อับปาง ที่คร่าชีวิตไปกว่า 304 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม

โดยเหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) เรือเซวอลกำลังมุ่งหน้าจากเมืองอินชอนสู่เกาะเชจูตามตารางเวลาที่กำหนด โดยบนเรือส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนดันวอน ที่กำลังออกไปทัศนศึกษา

เมื่อรวมจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือแล้ว เรือลำนี้บรรจุผู้โดยสารกว่า 476 ชีวิต ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักผู้โดยสาร ที่เจ้าของเรืออ้างว่าเซวอลสามารถบรรทุกได้

ในวันเกิดเหตุ กัปตันอีจุนซอก วัย 69 ปี ผู้กุมชะตาชีวิตคนบนเรือเกือบ 500 คน กลับไม่ได้อยู่ในห้องควบคุมเรืออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับสั่งให้ลูกเรือเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างแทน ซึ่งเมื่อเรือเข้าสู่ช่องแคบ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและคลื่นแรงใต้ทะเล ลูกเรือที่ไม่มีประสบการณ์มากพอก็ตัดสินใจผิดพลาดได้หันหัวเรือกะทันหัน และกระปุกพวงมาลัยเรือที่ทำงานขัดข้อง จึงเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เซวอลศูนย์เสียการทรงตัว

นอกจากความหละหลวมในการทำหน้าที่ของเขาแล้ว เรือลำนี้ยังบรรทุกสินค้าที่ไม่สมดุลและเกินน้ำหนักมาตรฐาน คอนเทนเนอร์สินค้าที่จัดวางอย่างไม่รัดกุม รวมถึงน้ำอับเฉาที่มีน้อยกว่าที่ทางการกำหนด โดยเรือเซวอลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้ซื้อมาเพื่อใช้งานต่อเมื่อปี 2012

หลังจากนั้น บริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้มีการปรับปรุงเรือและทำการต่อเติม เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เองจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เพราะการต่อเติมเรือ ทำให้ศูนย์ถ่วงเรือมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทฯ ยังได้ยื่นขอบรรทุกสินค้าเกือบ 2,000 ตัน ซึ่งต่อมากรมทะเบียนเรือ ได้ปรับลดน้ำหนักบรรทุกสินค้าของเซวอลลงเหลือครึ่งหนึ่ง และกำหนดให้ต้องบรรทุกน้ำอับเฉาถึง 2,000 ตัน เพื่อให้เรือสามารถทรงตัวอยู่ได้

‘ดีเจมดดำ’ โพสต์รูปคู่ ‘โอ๊ค พานทองแท้’ ย้อนวันวานยุค Y2K เผย เป็นรูปถ่ายจากเที่ยวทริปตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ พิธีกรมากฝีมืออย่าง นายคชาภา ตันเจริญ หรือ ‘ดีเจมดดำ’ ได้ทำการโพสต์รูปถ่ายย้อนวัย ยุค Y2K ที่กำลังเป็นกระแสสุดฮิตในตอนนี้ ที่ถ่ายคู่กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ ‘โอ๊ค’ ลูกชายของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านโซเชียลเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม โดยระบุว่า…

‘สมัย y2k เนอะ รูปนี้ต้องลง @oak_ptt ได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต’

หลังจากนั้น ได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก และได้มีคนในครอบครัวชินวัตรอย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ น้องสาวคนสุดท้องของบ้านชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัว และหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย คอมเมนต์ในอินสตาแกรม ว่า ‘น่ารักอ่ะ❤️’

15 เมษายน พ.ศ. 2457 พิธีปล่อยเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช (ลำปัจจุบัน) ลงน้ำ ลำสร้างใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันกระทำพิธีปล่อยเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช (ลำปัจจุบัน) ลงน้ำ เป็นเรือพระที่นั่งสร้างใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือพระที่นั่งบัลลังก์ในขบวนพยุหยาตราชลมารค เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง มีโขนเรือเป็นรูปพญานาค 7 เศียร ลงรักปิดทองทั้งลำ และประดับด้วยกระจก 

ลำปัจจุบันนี้มีการสร้างขึ้นใหม่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) แทนลำเดิม ซึ่งสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว (รัชกาลที่ 4)

ลำเรือภายนอกทาสีเขียว ลวดลายไม้จำหลักของเรือเป็นลายก้านขดปิดทองประดับกระจกสีเขียว ตลอดทั้งลำเรือยังประดับลวดลายพญานาคเคลื่อนไหวอย่างพลิ้วไหวและทรงพลังหันเศียรไปยังโขนเรือ สีพื้นภายนอกของเรือประดับกระจกสีน้ำเงินสื่อความหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

14 เมษายน พ.ศ. 2418 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ

วันนี้ นอกจากจะเป็นวันครอบครัวแล้ว ในทางราชการ ยังเป็นวันครบรอบ 148 ปี การสถาปนา ‘กระทรวงการคลัง’ อีกด้วย โดยเริ่มต้นเมื่อในรัชสมัยรัชกาลที่ 5

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นครองราชย์ ได้ทรงวางระเบียบและปรับปรุงแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2416 ทรงเริ่มทำการปฏิรูปการคลัง โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ สำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษีอากร

วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติ' ร่วมแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีให้เป็น 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติ' เป็นวันที่ถูกผูกรวมไว้กับวันขึ้นปีใหม่ไทยหรือก็คือ 'วันสงกรานต์' เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ และญาติผู้ใหญ่

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ตามศักยภาพของตนเองอย่างมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี ส่งเสริมการเรียนรู้และการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้สูงอายุ เพื่อให้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นหลักชัยของสังคมต่อไป

ชีวิตยังมีพรุ่งนี้... สำรวจการเงินเด็กยุคใหม่ หลังพบรายจ่ายสุดแสน 'น่าห่วง' สวนทาง!! 'เงินออม' ใต้ค่านิยม 'เน้นใช้-ไม่เน้นเก็บ-อยู่ไปวันๆ'

(13 เม.ย.66) เฟซบุ๊ก ‘GUNRATA’ ได้นำเสนอคอนเทนต์ในหัวข้อ 'การใช้เงินของเด็กในยุคนี้' โดยมี ‘กันต์ รตนาภรณ์’ เจ้าของธุรกิจ นักลงทุนในหุ้น-อสังหาริมทรัพยฺ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้ออกสัมภาษณ์เด็กหลายๆ คน ซึ่งเขาได้ตั้งคำถามกับเด็กกลุ่มหนึ่งว่า “อะไรที่เคยซื้อและมีมูลค่าแพงที่สุดในชีวิต?”
.
ในจำนวนเด็กๆ ที่ถูกสัมภาษณ์ได้ให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น IPhone 14 Promax ราคา 48,000 บาท,  บัตรคอนเสิร์ต ราคา 15,000 บาท และ IPad ราคา 30,000 บาท
 

‘พลอย เฌอมาลย์’ อวดลุค ‘อีกี้’ ผมรากไทร ชาวเน็ต-คนดัง ยกให้เป็น ‘ต้นแบบ-ผู้มาก่อนกาล’

เรียกได้ว่าทรงผม ‘อีกี้’ สก๊อยสาวจากมิวสิกวิดีโอ ‘ธาตุทองซาวด์’ ยังคงทำเอาบรรดาคนดังออกมาขุดรูปตนเองสมัยวัยรุ่น Y2K โพสต์ลงโซเชียลกันไม่หยุด

ล่าสุด ‘พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์’ ขอประกาศความเป็นตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดา ในฐานะ สารตั้งต้นผมทรงอีกี้ ที่มาก่อนกาล เพราะเรียกได้ว่าเจ้าตัวแทบจะเป็นคนแรกๆ ที่ตัดผมทรงดังกล่าว จนทำให้มีวัยรุ่นยุค Y2K แห่ตัดตามกันเพียบ จนกลายเป็นเทรนด์ฮิตทรงผมรากไทรให้สาวๆ สมัยที่เซ็นเตอร์พอยท์ สยามสแควร์ เคยรุ่งเรืองได้ตัดตาม

โดยเจ้าตัวได้เขียนแคปชันบ่งบอกความเป็นตัวมัมว่า “ตัวมัม ต้นแบบทรงผม อีกี้ 😎 สก๊อยเกิล ผู้มาก่อนกาล ในยุค Hi5 พิกัดเดินถือหวีอยู่ลานน้ำพุ Center point สยามแสควร์ #y2k #อดีตเคยแรง”

12 เมษายน พ.ศ. 1839 'พญามังราย' พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา ทรงสถาปนากรุงเวียงเชียงใหม่

วันนี้ เมื่อ 727 ปีก่อน ‘พญามังราย’ พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา ทรงสถาปนากรุงเวียงเชียงใหม่ (เชียงใหม่ในปัจจุบัน) เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา

‘พญามังราย’ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ทรงเริ่มต้นรวบรวมเมืองหรือแคว้นขนาดเล็กที่กระจัดกระจายและเป็นอิสระต่อกัน ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนพัฒนาเป็นรัฐขนาดใหญ่ขึ้น โดยในระยะแรกพญามังรายทรงรวมแคว้นโยนกก่อน แล้วพยายามขยายอำนาจสู่หัวเมืองขนาดเล็กอื่น ๆ เป็นบริเวณกว้าง จากนั้นเริ่มขยายอำนาจสู่แคว้นหริภุญไชยที่มีความเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้

11 เมษายน พ.ศ. 2539 ‘นายแสงชัย สุนทรวัฒน์’ ถูกลอบสังหาร ปมขัดผลประโยชน์กลุ่มธุรกิจวิทยุ

วันนี้ เมื่อ 27 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เมื่อ ‘แสงชัย สุนทรวัฒน์’ ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ในขณะนั้น ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิต ขณะขับรถกลับบ้าน

11 เมษายน พ.ศ. 2539 นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ถูกลอบสังหาร เพราะไปขัดผลประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจวิทยุ นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการในเวลานั้น จากผลการสอบสวนของตำรวจ ระบุว่า นางอุบล บุญญชโลธร เป็นผู้จ้างวานให้ นายทวี พุทธจันทร์ บุตรเขย ส่งมือปืนไปลอบสังหารนายแสงชัย ต่อมานางอุบลได้ถูกลอบสังหารเสียชีวิต คดีจึงยังคงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ ทั้งนี้ แสงชัยเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. เมื่อปี 2535 ในยุคที่ อ.ส.ม.ท. ยังมีลุ่มอิทธิพลมืดแฝงตัวอยู่ในองค์กร แต่เขาก็สามารถขจัดอิทธิพลเหล่านั้นได้สำเร็จ อีกทั้งยังบริหาร อ.ส.ม.ท. จนประสบความสำเร็จ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top