Monday, 24 March 2025
TODAY SPECIAL

24 มกราคม ของทุกปี วันการศึกษาสากล วันที่ระลึกถึงความสำคัญของการศึกษา

ทุกวันที่ 24 มกราคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น วันการศึกษาสากล (International Day of Education) โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อย้ำถึงความสำคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การศึกษาที่มีคุณภาพไม่เพียงช่วยให้แต่ละบุคคลพัฒนาตนเอง แต่ยังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติด้วย

การศึกษาถือเป็นสะพานสู่โลกกว้าง ช่วยให้ผู้คนสามารถคิดวิเคราะห์และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดียิ่งขึ้น หากปราศจากโอกาสทางการศึกษา ย่อมทำให้ยากที่จะตามทันโลกและผู้อื่น

การศึกษามีประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมความรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพ ทำให้พลเมืองมีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติ เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์กรระดับโลกสะท้อนปัญหาที่น่าห่วงใยเกี่ยวกับการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชนทั่วโลก โดยพบว่า เด็กและเยาวชนจำนวน 258 ล้านคน ยังไม่เคยเข้าเรียน เด็กและวัยรุ่น 617 ล้านคน ไม่สามารถอ่านหนังสือหรือทำคณิตศาสตร์พื้นฐานได้ ในภูมิภาคทะเลทรายซาฮารา เด็กผู้หญิงน้อยกว่า 40% จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ขณะที่มีผู้ลี้ภัยและเด็กประมาณ 4 ล้านคน ไม่ได้เข้าถึงการศึกษา

23 มกราคม 2425 วันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่

พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่ ทรงมีพระนามเดิมว่า 'พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร' และทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาวาด พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2424

ในปี 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวมกรมรถไฟสายเหนือกับสายใต้เป็นกรมเดียวกัน ภายใต้ชื่อ 'กรมรถไฟหลวง' และโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง นอกเหนือจากหน้าที่ทางทหาร ซึ่งการบริหารงานด้านกิจการรถไฟในช่วงนั้น ทรงนำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนา และทรงได้รับการขนานพระนามว่า 'พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่'

พระองค์ทรงขยายเส้นทางรถไฟจากเหนือสู่ใต้ รวมทั้งสร้างเส้นทางรถไฟจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี และจากฉะเชิงเทราถึงอรัญประเทศ นอกจากนี้ยังทรงสั่งซื้อรถจักรดีเซลคันแรกในทวีปเอเชียจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวน 2 คัน ในปี พ.ศ. 2471 ซึ่งมีกำลัง 180 แรงม้า เพื่อแทนที่รถจักรไอน้ำที่ไม่สะดวกและไม่ประหยัด

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงรับผิดชอบงานสร้างถนนและสะพานต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น สะพานกษัตริย์ศึก สะพานรัษฎาภิเศก และสะพานพระพุทธยอดฟ้า รวมทั้งได้ริเริ่มการสำรวจหาน้ำมันดิบในพื้นที่บ่อหลวง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการใช้เครื่องเจาะสำรวจธรณีวิทยา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2464

22 มกราคม 2486 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศให้คำว่า ‘สวัสดี’ เป็นคำทักทาย

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2486 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ประกาศให้ใช้คำว่า 'สวัสดี' เป็นคำทักทายเมื่อพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

คำว่า 'สวัสดี' ได้รับการบัญญัติขึ้นโดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) และเริ่มใช้งานครั้งแรกในปี 2476 ขณะที่ท่านเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนำคำนี้ทดลองใช้ในกลุ่มนิสิตก่อนที่จะได้รับการนำมาใช้ในวงกว้างและได้รับการยอมรับจากสังคมในภายหลัง หลังจากนั้น 62 ปี จอมพล ป. พิบูลสงครามจึงได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในยุคของการส่งเสริมชาตินิยม

คำว่า 'สวัสดี' มาจากรากศัพท์ 'โสตฺถิ' ในภาษาบาลี และ 'สวัสดิ' ในภาษาสันสกฤต ซึ่งใช้ในวรรณคดีไทยและบทสวดมนต์มาช้านาน

นอกจากคำว่า สวัสดี แล้ว ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงครามยังมีคำทักทายอื่น ๆ ที่ใช้กันตามเวลา ได้แก่ อรุณสวัสดิ์ ในตอนเช้า (แปลจากคำว่า Good Morning) ทิวาสวัสดิ์ ในตอนบ่าย (แปลจากคำว่า Good Afternoon) 'สายัณห์สวัสดิ์' ในตอนเย็น (แปลจากคำว่า Good Evening) และ ราตรีสวัสดิ์ เมื่อก่อนนอน (แปลจากคำว่า Good Night)

21 มกราคม ของทุกปี วันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน หยุดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

คณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงมติ ให้วันที่ 21 มกราคม ของทุกปีเป็น "วันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน" ตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เสนอ หลังเกิดกรณีของหมอกระต่าย พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ถูกบิ๊กไบค์ชนจนเสียชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนและป้องกันเหตุการณ์รถชนคนข้ามทางม้าลายซ้ำรอย พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้ใช้ถนนทุกเพศทุกวัยและผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภทมีจิตสำนึกในการรักษาความปลอดภัย และส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

การกำหนด "วันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน" จะเป็นการรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความตระหนักในหมู่ผู้ใช้ถนน โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางและมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยเน้นมาตรฐานการปฏิบัติที่ชัดเจนและความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดการกระทำผิดซ้ำและสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

นอกจากนี้ยังจะมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถลดอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิตบนท้องถนนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

‘อ.ยิ่งศักดิ์’ ยุติหน้าที่พิธีกร “คนดังนั่งเคลียร์” ด้วยเหตุผลส่วนตัว มีปัญหาด้านสุขภาพ

(20 ม.ค. 68) เรียกได้ว่าเป็นตำนานมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าทีมงานจะเปลี่ยนไปกี่ชุด หรือจะย้ายช่องไปกี่รอบ แต่พิธีกรรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ก็ยังเป็น “อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์” เพราะด้วยคาแรกเตอร์ที่ถามตรงใจคนดูแบบเป็นกันเอง ทำให้เจ้าตัวยืนหนึ่งมาตลอด 12 ปี ล่าสุดทางช่อง 8 ซึ่งเป็นต้นสังกัดของรายการนี้ ได้ออกแถลงการณ์ว่าพิธีกรชื่อดังได้ยุติบทบาท วางมือจากรายการนี้แล้ว เรียกได้ว่าปิดตำนานได้อย่างน่าใจหาย

“รายการ คนดังนั่งเคลียร์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ จะยุติบทบาท การทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้วยเหตุผลส่วนตัว มีปัญหาด้านสุขภาพ จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พิธีกรประจำรายการ ซึ่งออกอากาศสด ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ต่อไปได้

ขอขอบคุณ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ พิธีกรผู้เป็นตำนานฝีปากกล้า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เราขอส่งกำลังใจให้กับอาจารย์ทุกเส้นทางต่อจากนี้ และเชื่อมั่นว่าความทรงจำดีๆ ที่อาจารย์ได้มอบให้รายการและผู้ชมจะยังคงอยู่ตลอดไป

สำหรับการดำเนินรายการ คนดังนั่งเคลียร์ หลังจากนี้ คุณเมย์ ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิผู้ประกาศข่าวมากประสบการณ์กว่า 24 ปี จะเข้ามารับหน้าที่ในบทบาทพิธีกรประจำรายการอย่างเต็มตัว การันตีด้วยความเชี่ยวชาญในฐานะคนข่าวตัวจริง เป็นตัวแทนท่านผู้ชม ถามเจาะลึก ตรง ทุกประเด็น ซอกแซกแบบตรงจุด และส่งคำถามแทนใจจากผู้ชมทางบ้าน ภายใต้คอนเซปต์ของรายการ 'เคลียร์เร็ว เคลียร์แรง' สด 5 วันรวด ฟาดทุกกระแส ถามแทนใจคนดู ถูกจริตคนไทยแฟนๆสามารถติดตามรายการ คนดังนั่งเคลียร์ ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.05 น. ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 กดเลข 27 และทางออนไลน์ที่เฟซบุ๊ก ช่อง 8 / ยูทิวบ์ Thaich8”

20 มกราคม 2539 พระพันปีหลวง เสด็จฯ องค์ประธานในพิธีปล่อย เรือหลวงจักรีนฤเบศรลงน้ำ ณ อู่เรือบาซาน ประเทศสเปน

เรือหลวงจักรีนฤเบศรเริ่มต้นการก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 โดยได้มีการวางกระดูกงูในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 และทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2539 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในครั้งที่ทรงเสด็จไปทำพิธี ได้มีการทดลองแล่นเรือตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539 ถึงมกราคม พ.ศ. 2540 ร่วมกับกองทัพเรือสเปนที่เมืองโรต้า (Rota) ประเทศสเปน ก่อนที่เรือจะได้รับมอบและขึ้นประจำการในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 โดยมี พลเรือเอก วิจิตร ชำนาญการณ์ เป็นผู้รับมอบ

เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้รับหมายเลข 911 และเดินทางมาถึงประเทศไทยในต้นเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน โดยได้เข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2540 และในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2540 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเสด็จมาทรงเจิมเรือเพื่อความเป็นสิริมงคล

เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีระวางขับน้ำเต็มที่ 11,485.5 ตัน ยาว 182.50 เมตร กว้างสุด 30.50 เมตร และกินน้ำลึก 6.25 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2 เครื่อง กำลัง 11,780 แรงม้า พร้อมเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ 2 เครื่อง กำลัง 44,250 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 26 นอต โดยมีทหารประจำเรือจำนวน 601 นาย และทหารประจำหน่วยบินจำนวน 758 นาย เรือสามารถบรรทุกเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง (SEA HARRIER) ได้ 9 เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ (SEA HAWK) ได้ 6 เครื่อง ใช้งบประมาณในการสร้างทั้งหมด 7 พันล้านบาท

กองทัพเรือได้รับพระราชทานชื่อเรือจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งหมายถึง "ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี" พร้อมคำขวัญว่า "ครองเวหา ครองนที จักรีนฤเบศร" เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพเรือและขวัญกำลังใจแก่กำลังพลประจำเรือ

19 มกราคม 2545 รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ทรงวางศิลาฤกษ์ อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากพระราชทานชื่อ 'สุวรรณภูมิ' ซึ่งหมายถึง 'แผ่นดินทอง' เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 เพื่อใช้แทนชื่อเดิมว่า 'หนองงูเห่า'

อาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิเป็นอาคารเดี่ยวที่มีความกว้างใหญ่ ไม่มีเสากลางอาคาร มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 563,000 ตารางเมตร และประกอบด้วย 9 ชั้น รวมทั้งชั้นใต้ดิน 2 ชั้น โดยมีสถานีรถไฟฟ้า สถานีรถโดยสาร ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าและขาออก รวมถึงสำนักงานของสายการบินต่างๆ

สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มเปิดให้บริการทดลองใช้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2549 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กันยายน 2549 โดยมีงบประมาณในการก่อสร้างทั้งโครงการประมาณ 155,000 ล้านบาท

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 เพื่อใช้แทนชื่อเดิม 'หนองงูเห่า' ท่าอากาศยานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ถนนเทพรัตนและทางพิเศษบูรพาวิถี ในเขตตำบลหนองปรือและตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 25 กิโลเมตร

อาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกัน-เยอรมัน 'เฮลมุต ยาห์น' โดยใช้เหล็กและแก้วเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งยาห์นกล่าวว่าเป็น "สถาปัตยกรรมแห่งศตวรรษที่ 21" ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 28 กันยายน 2549 และเป็นสนามบินหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการบินในทวีปเอเชีย

นอกจากนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีหอควบคุมที่สูงที่สุดในโลก (132.2 เมตร) และอาคารผู้โดยสารเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก (563,000 ตารางเมตร) โดยสามารถรองรับเที่ยวบินได้ถึง 76 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และมีความสามารถในการรองรับผู้โดยสารถึง 45 ล้านคนต่อปี พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศที่สามารถรองรับสินค้าได้มากกว่า 3 ล้านตันต่อปี

18 มกราคม ของทุกปี 'วันกองทัพไทย' สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีชัยชนะยุทธหัตถี และวันรำลึกถึงวีรกรรมของทหารไทย

วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย นั่นคือ การทรงกระทำยุทธหัตถีและชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระสติปัญญาและความกล้าหาญอย่างยอดเยี่ยม

ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรงทรงให้พระมหาอุปราชานำทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทราบข่าว จึงทรงยกทัพหลวงไปตั้งรับที่หนองสาหร่ายและไล่ต้อนศัตรูจนออกนอกเขตแดน

ระหว่างการรบ ช้างพระที่นั่งของพระองค์และพระเอกาทศรถได้ไล่ล่าศัตรูไปจนตกไปอยู่ในวงล้อมของศัตรูโดยไม่รู้ตัว แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แต่พระองค์ทรงใช้พระสติและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยเสนอให้พระมหาอุปราชามาทำยุทธหัตถี จนสามารถเอาชนะได้ในที่สุด

การทำยุทธหัตถีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และเป็นการรบบนบกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

วันกองทัพไทยที่เป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้เดิมกำหนดเป็นวันที่ 8 เมษายนของทุกปี แต่ในปี พ.ศ. 2523 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันที่ 25 มกราคม ต่อมานักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า วันที่จริงที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีคือวันที่ 18 มกราคม

ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอให้กำหนด 'วันกองทัพไทย' เป็นวันที่ 18 มกราคมของทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และทหารไทย

17 มกราคม 2376 วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รัชกาลที่ 4 ทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1

เจ้าฟ้ามงกุฎ (ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานพระราชานุญาตเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะอยู่ในสมณเพศได้ทรงค้นพบจารึกในปีมะเส็ง เบญจศก จุลศักราช 1195 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย โดยจารึกนี้มีลักษณะเป็นก้อนหินสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดสูง 111 เซนติเมตร และหนา 35 เซนติเมตร ทำจากหินทรายแป้งเนื้อละเอียด มีจารึกอยู่ทั้งสี่ด้าน และปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

เนื้อหาของจารึกแบ่งออกเป็นสามตอน ตอนแรก ตั้งแต่บรรทัดที่ 1 ถึง 18 กล่าวถึงพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตั้งแต่การประสูติจนถึงการเสวยราชย์ โดยใช้คำว่า "กู" เป็นหลัก ตอนที่สอง ใช้คำว่า "พ่อขุนรามคำแหง" และบรรยายเหตุการณ์และธรรมเนียมต่างๆ ในกรุงสุโขทัย ขณะที่ตอนที่สาม ตั้งแต่บรรทัดที่ 12 ของด้านที่ 4 จนถึงบรรทัดสุดท้าย มีลักษณะตัวหนังสือที่แตกต่างจากตอนแรกและตอนที่สอง ซึ่งอาจจะเป็นการจารึกภายหลัง เพื่อสรรเสริญและยกย่องพ่อขุนรามคำแหง พร้อมทั้งกล่าวถึงอาณาเขตราชอาณาจักรสุโขทัย

จารึกนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโกในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งยูเนสโกได้กล่าวถึงจารึกนี้ว่าเป็นมรดกเอกสารที่มีความสำคัญระดับโลก เนื่องจากมันให้ข้อมูลอันล้ำค่าหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของโลก นอกจากนี้ยังบันทึกการประดิษฐ์อักษรไทย ซึ่งเป็นรากฐานของอักษรที่ใช้ในประเทศไทยที่ถูกใช้โดยผู้คนกว่า 60 ล้านคนในปัจจุบัน เป็นหลักฐานสำคัญว่า ชนชาวไทยได้มีศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามมาแต่โบราณกาล

16 มกราคม ของทุกปี วันครูแห่งชาติ กับคำขวัญประจำปี 68 'ครูจุดประกายความฝัน ผลักดันให้กล้าคิด สร้างโอกาสในชีวิตให้เด็กไทย'

วันครูมีความสำคัญเพื่อให้นักเรียนได้ระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่เป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ของชาติ ซึ่งได้อบรมสั่งสอนเรามาตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เราเติบโตขึ้นเป็นคนดีและมีความรู้ ดังนั้น ครูจึงเป็นบุคคลสำคัญในวงการการศึกษาทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์ และถือเป็นอาชีพที่เต็มไปด้วยความเสียสละเพื่อส่วนรวม

การกำหนดวันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็นวันครูมีที่มาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ทำให้มีการกำหนดให้วันที่ 16 มกราคมเป็นวันครูตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ในวันนี้จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อระลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์

สำหรับคำขวัญวันครูในประจำปี 2568 นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้มอบคำขวัญไว้ว่า “ครูจุดประกายความฝัน ผลักดันให้กล้าคิด สร้างโอกาสในชีวิตให้เด็กไทย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top