Monday, 24 March 2025
TODAY SPECIAL

26 ธันวาคม 2547 20 ปี เหตุแผ่นดินไหวสุมาตรา 9.0 ริกเตอร์ ก่อคลื่นสึนามิถล่มไทย-เอเชียใต้ เสียชีวิตกว่า 230,000 ราย

เมื่อเวลา 07.58 น. ของวันที่ 26 ธันวาคม 2547 (ตามเวลาประเทศไทย) หรือเมื่อ 20 ปีก่อน เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่มีศูนย์กลางบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีขนาดความรุนแรงถึง 9.0 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย รวมถึง 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล

ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,400 คน บาดเจ็บกว่า 8,000 คน และมีผู้สูญหายจำนวนมาก บ้านเรือนประชาชน โรงแรม รีสอร์ต รวมถึงระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และถนนได้รับความเสียหายหลายพันล้านบาท

นอกจากนี้ในเวลา 08.30 น. ของวันเดียวกัน ยังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่รัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งทำให้เกิดความสั่นสะเทือนในหลายจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย เช่น ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน

คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลที่เกาะสุมาตราได้ถล่มพื้นที่ต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ รวมถึงอินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา และมาเลเซีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 คน

เหตุการณ์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ถือเป็นเหตุการณ์สึนามิครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเป็นความสูญเสียที่เกินกว่าจะคาดคิด ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน

25 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ในหลวงร.9 เสด็จฯเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอ พร้อมพระราชทานเหรียญที่ระลึกแทนบัตรประชาชน

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่ามูเซอ ณ หมู่บ้านผาหมี หมู่ที่ 15 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทรงส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชต่าง ๆ เช่น กาแฟ ลิ้นจี่ แมคคาเดเมีย รวมถึงพระราชทานวัวให้ชาวเขาเลี้ยง พร้อมกับหาจุดรับซื้อผลิตผล เพื่อให้ชาวเขาเหล่านั้นไม่ต้องปลูกฝิ่นหรือทำไร่เลื่อนลอย และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังทรงยืนยันว่า ชาวเขาเผ่ามูเซอทุกคนคือคนไทย ไม่ใช่คนเร่ร่อนไร้สัญชาติ

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงพระราชทาน ‘เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา’ ซึ่งมีตัวย่อ ‘ชร’ (หมายถึงจังหวัดเชียงราย) และหมายเลขโค้ด 6 หลักที่ใช้แทนหมายเลขบัตรประชาชน ให้แก่ชาวเขาบ้านผาหมี โดยทรงพระราชทานเหรียญที่ระลึกนี้แก่ชาวเขาในหลายจังหวัดทั่วประเทศประมาณ 20 จังหวัดในปี พ.ศ. 2506 รวมกว่า 200,000 เหรียญ ทุกเหรียญจะมีอักษรย่อของจังหวัดและหมายเลขประจำเหรียญ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการสำรวจสำมะโนประชากรและการพิสูจน์สัญชาติในการทำบัตรประชาชนให้แก่ชาวเขา

24 ธันวาคม 2483 ไทยประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตามสากล

24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ประกาศให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศไทย แทนวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย

ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงนี้ ประเทศไทยเคยกำหนดวันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งในปฏิทินจันทรคติไทยมักเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ก่อนที่จะปรับมาใช้วันที่ 1 มกราคม ตามประกาศของรัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

รัฐบาลระบุเหตุผล 4 ประการที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ 1.สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา การนับวันเดือนและการเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญไม่ขัดกับหลักธรรมทางศาสนา 2. ลดอิทธิพลลัทธิพราหมณ์ เลิกการใช้คติพราหมณ์ที่เคยมีบทบาทในการกำหนดวันสำคัญของชาติ 3. มาตรฐานสากล ให้ประเทศไทยใช้ปฏิทินเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อความสะดวกในการติดต่อระหว่างประเทศ 4. ฟื้นฟูวัฒนธรรมไทย สอดคล้องกับคตินิยมและจารีตประเพณีดั้งเดิมของชาติ

ประกาศระบุว่า “นานาอารยประเทศตลอดจนประเทศใหญ่ ๆ ทางตะวันออก ได้ใช้งานวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นต้นปีมานานกว่า 2,000 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา จารีตประเพณี หรือการเมืองของชาติใด แต่เป็นผลจากการคำนวณทางดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นานาประเทศยอมรับ”

นับตั้งแต่การประกาศดังกล่าว ประเทศไทยได้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่เรื่อยมา จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญในสังคมไทย

23 ธันวาคม 2484 ‘ปรีดี พนมยงค์’ ปฏิญาณตนต่อสภาฯ รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัชกาลที่ 8

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นายปรีดี พนมยงค์ ได้ปฏิญาณตนต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ระหว่าง พ.ศ. 2484 ถึง 2488 หลังจากที่เจ้าพระยายมราช ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้ในฐานะหนึ่งในสามผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ถึงแก่อสัญกรรม โดยที่ยังไม่มีผู้ใดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน  จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวเสนอเรื่องต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ว่า  

“เนื่องจากเจ้าพระยายมราช ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรม สภาผู้แทนราษฎรยังมิได้แต่งตั้งผู้ใดแทน คณะรัฐมนตรีเห็นว่าการดำเนินงานของรัฐควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกทั้งในขณะนี้ นายพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินก็ชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเสริมสร้างความเข้มแข็งของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมควรแต่งตั้งบุคคลที่มีคุณวุฒิเพิ่มเติม ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เหมาะสม หากสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบ นายปรีดี พนมยงค์ จะต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทันที”  

สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ส่งผลให้นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พร้อมกับลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  

การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนายปรีดี พนมยงค์ เกิดขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับญี่ปุ่นให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย ซึ่งผู้นำบางส่วนรวมถึงนายปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังร้องขอเงินกู้จากรัฐบาลไทยเพื่อใช้จ่ายสำหรับกองทัพญี่ปุ่น แต่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายปรีดี พนมยงค์ ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้งคุณพระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และอนุมัติเงินกู้ตามที่ญี่ปุ่นร้องขอ  

ในขณะนั้น คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ประกอบด้วย พล.ต.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา พล.อ.พิชเยนทรโยธิน และนายปรีดี พนมยงค์ ต่อมาเมื่อเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2485 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ทรงลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 และไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดเพิ่ม จึงมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว

22 ธันวาคม 2431 เสียดินแดนครั้งที่ 8 สยามสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศส

เมื่อ 22 ธันวาคม 2431 ประเทศสยามต้องทำสัญญากับฝรั่งเศสที่เมืองแถง (ปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟูในประเทศเวียดนาม) ส่งผลให้สยามสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหกให้กับฝรั่งเศส โดยพื้นที่กว่า 87,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ที่ติดต่อกับแขวงพงศาลีของลาว

ดินแดนสิบสองจุไทเคยเป็นบ้านของชาวไทน้อย ซึ่งประกอบไปด้วยชาวไทดำ ไทขาว และไทพวน มีทั้งหมด 12 เมืองที่มีเจ้าผู้ปกครองเป็นของตัวเอง ส่วนหัวพันทั้งห้าทั้งหกประกอบด้วยหกเมืองที่มีการปกครองอิสระเช่นกัน ในยุคก่อนหน้านี้ ดินแดนเหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาเป็นประเทศราชของสยาม

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการกบฏของกลุ่มจีนฮ่อที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทางภาคเหนือของสยาม และส่งผลให้ไทยต้องส่งกองทัพเข้าไปปราบปราม ซึ่งแม้จะได้รับชัยชนะ แต่ฝรั่งเศสซึ่งขยายอิทธิพลในเวียดนามได้อ้างสิทธิ์ในดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหก

การเจรจาระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่เมืองแถงในปี 2431 ทำให้ไทยต้องยอมรับให้ฝรั่งเศสควบคุมดินแดนสิบสองจุไท โดยฝรั่งเศสยังคงตั้งทหารอยู่ในพื้นที่สิบสองจุไท ขณะที่ทหารไทยอยู่ที่หัวพันทั้งห้าทั้งหก และไม่ให้ฝ่ายใดละเมิดเขตแดนของกันและกัน  แม้ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิเหนือดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหก และต้องการให้อีกฝ่ายถอนกำลังทหารออกไป แต่ฝรั่งเศสมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าไทย และดินแดนพิพาทยังอยู่ใกล้กับญวนมากกว่าไทย หากเกิดสงครามขึ้นจริงก็ยากที่ไทยจะเป็นฝ่ายชนะ

จากการทำสัญญาดังกล่าว สยามจึงสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันห้าทั้งหกให้กับฝรั่งเศส และในที่สุดก็เสียสิทธิเหนือดินแดนเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ในอีก 5 ปีต่อมา ในเหตุการณ์วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112

21 ธันวาคม 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เปิดทางรถไฟสายแรกในสยาม กรุงเทพฯ – นครราชสีมา

เส้นทางรถไฟสายแรกในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2434 ภายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยเริ่มจากกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและทันสมัยในระดับเดียวกับชาติที่มีอารยธรรม พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างทางรถไฟเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ลดระยะเวลาในการเดินทาง และทำให้การตรวจราชการในหัวเมืองต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยพระราชดำริในตอนนั้นมีความว่า “…การสร้างทางรถไฟจะทำให้การเดินทางระหว่างหัวเมืองที่ไกลกันสะดวกยิ่งขึ้น ลดความยากลำบากในการขนส่งสินค้าและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสทำมาหากินมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการตรวจตราการบังคับบัญชาภาคราชการและบำรุงรักษาพระราชอาณาเขตให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข…” การก่อสร้างเส้นทางรถไฟนี้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2443 ระยะทางรวมจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมาเป็น 265 กิโลเมตร

เส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมาในปัจจุบันได้กำหนดตามพระราชกฤษฎีกาที่มีการตราขึ้นเพื่อกำหนดรายละเอียดในการก่อสร้างรถไฟ โดยมาตรา 1 ระบุว่า “…ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานกระทรวงโยธาธิการสร้างรถไฟขนาดใหญ่จากกรุงเทพฯ ไปยังบางปะอิน, กรุงเก่า, เมืองสระบุรี และเมืองนครราชสีมา…”

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์เพื่อเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา อย่างเป็นทางการ และพระองค์ได้ประทับบนรถไฟพระที่นั่งเพื่อไปเยี่ยมเยียนราษฎรและตรวจราชการที่นครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของมณฑลลาวกลาง ระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคม พ.ศ. 2443 จากบันทึกการเดินทางระบุว่า รถไฟพระที่นั่งออกเดินทางเวลา 07.25 น. และถึงนครราชสีมาเวลาประมาณ 16.00 น. ใช้เวลารวมการเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง โดยแวะพักที่เมืองกรุงเก่า, เมืองแก่งคอย, เมืองปากช่อง และเมืองสีคิ้วตามลำดับ ขณะที่ในปัจจุบัน รถไฟเร็วจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมาใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง หากไม่มีการหยุดพักระหว่างทาง เวลาการเดินทางก็จะใกล้เคียงกับรถไฟพระที่นั่งในสมัยก่อน

20 ธันวาคม 2510 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิด ม.ขอนแก่น มหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคอีสาน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างเป็นทางการ และทรงปลูกต้นกาลพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย

ในโอกาสนี้ พระองค์ทรงมีพระบรมราโชวาทว่า "...การตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นขึ้นอีกแห่งหนึ่งนั้น เป็นคุณอย่างยิ่ง เพราะทำให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภูมิภาคที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ความสำเร็จในการตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงเป็นความสำเร็จที่ทุกคนควรยินดี..."

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถือเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งแรก แม้แนวคิดในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยจะเริ่มขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การเตรียมการจริงจังก็เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2505 และเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2507 โดยมีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในด้านวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ที่บ้านสีฐาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ' หรือ 'Khon Kaen Institute of Technology' (K.I.T.) ภายใต้การดูแลของสภาการศึกษาแห่งชาติ

ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นคือรูปองค์พระธาตุเต็มองค์ประดิษฐานบนขอนไม้แก่น สลักชื่อมหาวิทยาลัย โดยมีเทวดาอัญเชิญมิ่งมงคลสองข้าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นมงคล ส่วนพื้นหลังแบ่งเป็น 3 ช่อง เพื่อแสดงถึงคุณธรรม 3 ประการ ได้แก่ วิทยา (ความรู้ดี), จริยา (ความประพฤติดี), และปัญญา (ความฉลาดที่เกิดจากการเรียนรู้และคิด)

การเลือกพระธาตุพนมเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น เป็นการแสดงถึงการเคารพในพระธาตุพนม ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญของชาวไทยและลาว และมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็เป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางความคิดและสติปัญญาของสังคม รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยขอนแก่น' และในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509 พระราชบัญญัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2510

มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่ บริเวณมอดินแดง ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินดินลูกคลื่นสีแดง โดยมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ให้บริการการศึกษาครบครันทุกสาขาวิชาและการดูแลทางการแพทย์ที่ทันสมัยในภาคอีสาน

19 ธันวาคม 2423 วันประสูติ "เสด็จเตี่ย" กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย

19 ธันวาคม 2423 เป็นวันประสูติของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ ทรงประสูติในพระบรมมหาราชวัง

พระกรณียกิจของพระองค์ในการพัฒนากองทัพเรือสยามให้เจริญก้าวหน้าแบบประเทศตะวันตก ทำให้กองทัพเรือถวายพระสมัญญาพระองค์เป็น “พระบิดาของกองทัพเรือไทย” ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย”

“...คนนับถือกรมหลวงชุมพรฯ เยอะ แต่คนไม่สนใจท่านในฐานะปุถุชน คนไม่สนใจว่าท่านเคยทำอะไรมา หรือทรงมีพระปรีชาอย่างไร คนสนใจท่านแต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์...” คำบอกเล่าของ ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร ผู้มีศักดิ์หลานปู่ของพระองค์

เมื่ออายุ13 พระชันษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ และเมื่อสำเร็จการศึกษาได้เข้ารับราชการในด้านทหารเรือ พระองค์ได้ปรับปรุงการศึกษาในโรงเรียนนายเรือ เช่น การแบ่งชั้นบังคับบัญชาภายในโรงเรียน การเพิ่มวิชาการเช่น ดาราศาสตร์และตรีโกณมิติ เพื่อให้นักเรียนนายเรือมีความรู้เทียบเท่านายทหารต่างชาติ

ในปี 2443 พระองค์ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือและได้เริ่มฝึกสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พระองค์ได้ปรับปรุงระเบียบการศึกษาทหารเรือและขอพระราชทานที่ดินสร้างโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิมเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2449 ซึ่งทำให้กองทัพเรือมีฐานที่มั่นคง

ด้านดนตรี พระองค์ทรงพระนิพนธ์เพลงปลุกใจที่มีอายุยืนยาว เช่น เพลงดอกประดู่ เพลงเดินหน้า และเพลงดาบของชาติ ซึ่งทหารเรือร้องขับตลอดมาและกลายเป็นเพลงอมตะในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ด้านการแพทย์ พระองค์ทรงศึกษาและเขียนตำรายาแผนโบราณชื่อว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม” ซึ่งเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ทหารเรือสมุทรปราการ

ในช่วงต้นรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงออกจากราชการและไปประกอบอาชีพหมอยาใช้พระนามว่า “หมอพร” และต่อมาได้กลับมารับราชการอีกครั้ง เมื่อสงครามกับเยอรมนีเริ่มขึ้น พระองค์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก จนได้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือและเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ

ในบั้นปลายพระชนม์ พระองค์ได้กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาพระองค์ที่มณฑลสุราษฎร์ และทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2466 ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร

ถึงแม้ว่าจะสิ้นพระชนม์มา 100 ปี แต่พระกรณียกิจที่ทรงทำให้กองทัพเรือและประเทศชาติยังคงเจริญก้าวหน้าและพระองค์ยังคงเป็นที่เคารพรักของทหารเรือ จึงถวายสมัญญาพระนามว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย” และถือเอาวันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันอาภากร”

18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ‘ไทยคม 1’ ดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจร ปฏิวัติการสื่อสารไทยสู่ยุคใหม่

ดาวเทียมไทยคม (THAICOM) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทย ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรจากฐานปล่อยของบริษัท แอเรียนสเปซ (Arianespace) ที่เมืองคูรู (Kourou) ประเทศเฟรนช์ เกียนา (French Guiana) ในทวีปอเมริกาใต้

ดาวเทียมไทยคม ถูกสร้างโดยบริษัท ฮิวจ์ สเปซ แอร์คราฟท์ (Hughes Space Aircraft) จากสหรัฐอเมริกา เพื่อให้บริการสื่อสารผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม รองรับการสื่อสารของประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถถ่ายทอดสัญญาณทั้งโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์ และการสื่อสารข้อมูล โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (จนถึง พ.ศ. 2551)

ชื่อ "ไทยคม" ได้รับการพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยย่อมาจากคำว่า "Thai Communications" ซึ่งแปลว่า การสื่อสารของไทย หรือ "ไทยคม" (นาคม) เดิมดาวเทียมดวงนี้ถูกตั้งอยู่ที่พิกัด 78.5 องศาตะวันออก และเรียกว่า "ไทยคม 1" ต่อมาเมื่อย้ายมาอยู่ที่ 120 องศาตะวันออกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2540 จึงได้รับชื่อใหม่ว่า "ไทยคม 1A"

ดาวเทียมไทยคม 1 ถูกผลิตโดยบริษัท Hughes Space Aircraft และส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 โดยใช้จรวด Ariane 4 จากฐานปล่อยที่ศูนย์อวกาศกายอานา ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ปัจจุบันดาวเทียมไทยคม 1 ได้ปลดระวางแล้ว

17 ธันวาคม 2498 วันสวรรคตของ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หรือพระนามเดิม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 60 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติจากสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2405 ณ พระบรมมหาราชวัง

ในพระเยาว์วัย ทรงศึกษาตามประเพณีราชสำนัก เรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีความสนพระทัยในวรรณคดี นิทาน สุภาษิต รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์ ทรงฝึกฝนและเชี่ยวชาญในงานศิลปหัตถกรรมไทย เช่น การทำดอกไม้ใบตองและการปักถักกรอง ทรงเผยแพร่ผลงานศิลปกรรมเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 10 พระองค์ ซึ่งประกอบด้วยพระราชโอรส 4 พระองค์ และพระราชธิดา 4 พระองค์ รวมทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระนามเดิม) ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2498 ณ พระตำหนักใหญ่ วังงสระปทุม สิริพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงเจริญพระชนม์ชีพในยุคที่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากสังคมดั้งเดิมสู่สมัยใหม่ ในฐานะขัตติยราชนารี ทรงรักษาขนบประเพณีและทรงนำสิ่งดีงามจากอดีตมาผสมผสานกับสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 150 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพ ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์สุขภาพและการอนุรักษ์พัฒนาด้านวัฒนธรรม พร้อมกับบุคคลและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกอีก 97 รายการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top