Thursday, 10 October 2024
TODAY SPECIAL

23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ‘ในหลวง ร.10’ พระราชทานทรัพย์กว่า 2,800 ล้านบาท สมทบทุน-จัดหาอุปกรณ์การแพทย์ รับมือวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพจโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยแพร่ข้อความระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยประชาชน และบุคลากรการแพทย์ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างยิ่ง

การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ได้แก่…

1. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช

2. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 29 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

3. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 รำลึก ‘บิ๊ก D2B’ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกคูน้ำ ส่งผลให้ติดเชื้อราในสมอง เป็นเจ้าชายนิทราก่อนเสียชีวิต

หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2546 ขณะที่ ‘วงดีทูบี’ ซึ่งมีสมาชิก 3 คน ได้แก่ แดน วรเวช ดานุวงศ์, บีม กวี ตันจรารักษ์ และ บิ๊ก ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ กำลังโด่งดังถึงขีดสุด หลังจากได้รับรางวัลศิลปินยอดนิยมจาก MTV Asia Award 2003 ที่ประเทศสิงคโปร์ มาได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น ในช่วงเวลา 01.15 น. ของคืนวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 เมื่อบิ๊กได้ขับรถยนต์ของตนเพื่อกลับบ้านหลังจากแสดงคอนเสิร์ตเสร็จ แต่กลับประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำตกลงไปในคูน้ำที่ถนนศรีนครินทร์ จังหวัดสมุทรปราการ ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จึงนำส่งโรงพยาบาล

โดยมีน้ำครำท่วมปอด แต่การรักษาเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อบิ๊กรู้สึกตัว ก็สามารถทักทายแฟนเพลงได้อีกครั้ง ก่อนกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเขาเข้าสู่อาการโคม่าก่อนแพทย์ตรวจพบเชื้อรา Scedosporium ในสมองในวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งโอกาสรอดชีวิตมีเพียง 0.01% เท่านั้น หลังจากนั้นทางครอบครัวได้เปลี่ยนชื่อเขาเป็น ‘ปาณรวัฐ’ ซึ่งเป็นชื่อขอพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีความหมายว่า ‘ผู้มีชีวิตอยู่ตามคำขอ’ เพื่อเป็นสิริมงคล ภายหลังการรักษาด้วยวัคซีนเฉพาะโรคและได้รับกำลังใจอย่างมากมาย บิ๊กรอดชีวิตและออกจากห้องไอซียูในเวลาต่อมา แต่กลายเป็นเจ้าชายนิทราซึ่งสร้างความเศร้าโศกแก่แฟนเพลงอย่างแสนสาหัส จึงเกิดปรากฏการณ์พับนกกระดาษส่งกำลังใจให้กันทั่วประเทศ

โดยทางต้นสังกัด คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้จัดคอนเสิร์ตพิเศษในชื่อ ‘ดีทูบี เดอะ เนเวอร์-เอ็นดิ้ง คอนเสิร์ต : ทริบูต ทู บิ๊ก ดีทูบี’ ขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2547 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเป็นการระลึกถึงบิ๊ก และถือเป็นการยุติวงดีทูบีไปในตัว โดยรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ได้มอบให้ครอบครัวของบิ๊ก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย

ส่วนอาการของบิ๊กเบื้องต้นยังเป็นไปได้ด้วยดี ยังมีความรู้สึกตัวดี แต่ไม่นาน ก็ต้องนอนโดยไม่รู้สติ เพราะสมองถูกเชื้อโรคที่มาจากน้ำเน่าในคูทำลาย แฟนคลับที่ทราบข่าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นหญิง ต่างพากันไปเยี่ยมเยือนและร้องไห้เป็นกลุ่มจำนวนมากกลุ่มหนึ่ง การรักษา คณะแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตบิ๊กด้วยการให้ยาและผ่าตัดอยู่หลายครั้ง รวมถึงยาตัวใหม่ที่เพิ่งมีการผลิตออกมาด้วย แต่ก็ทำได้เพียงช่วยไม่ให้เสียชีวิตเท่านั้น แต่สมองก็ยังไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ได้ย้ายที่รักษาไปหลายแห่ง และต้องนอนรักษาตัวอยู่นานถึง 4 ปี โดยมี น.พ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ เป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ซึ่งคณะแพทย์ผู้รักษาได้เปิดแถลงข่าว ความคืบหน้าของอาการเป็นระยะ ๆ 

จนกระทั่งเวลา 09.30 น. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550 บิ๊กเสียชีวิตลงในที่สุด ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดทางปอด รวมอายุได้ 25 ปี กับ 1 สัปดาห์ หลังเป็นเจ้าชายนิทราจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึง 4 ปี ต่อมาศิลปินค่ายอาร์เอสกับศิลปินค่ายกามิกาเซ่ รุ่นบุกเบิกและแฟนคลับทั่วประเทศต่างก็มาร่วมไว้อาลัยบิ๊กเป็นจำนวนมากครั้งสุดท้าย โดยทางสำนักข่าวสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีหรือช่อง 9 เดิม กล่าวว่า บิ๊กเป็นผู้ป่วยชาวไทยคนแรกของเอเชีย ที่ป่วยเป็นเชื้อราร้าย Scedosporium จึงเป็นข่าวดังที่สนใจไปทั่วโลกเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 'ราชวงศ์ชิง' ออกกฎหมายบังคับ 'ชาวฮั่น' ตัดผมทรงแมนจู สร้างความขมขื่นแก่ชายชาวจีน หากไม่ยอมตัด ต้องโดนตัดหัว

ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 ดอร์กอน (ตวนเอ่อร์กุน) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ซุ่นจื้อ แห่งราชวงศ์ชิง หรือบ้างก็เรียกว่า ราชวงศ์แมนจู ได้ออกกฤษฎีกาบังคับให้ชาวฮั่นตัดผมแมนจู หรือ ทรงเหม่งครึ่งหัว

เหตุการณ์นี้สืบเนื่องต่อจากกองทัพแมนจูของต้าชิงที่นำโดยดอร์กอน สามารถขับไล่กองทัพชาวนาของหลี่ จื้อเฉิง ให้หนีออกไปจากนครปักกิ่งได้ จนกองทัพแมนจูได้ควบคุมประเทศต้าหมิงได้สำเร็จ พร้อมกับออกคำสั่งให้ชายชาวฮั่น (จีนแท้) ทุกคนต้องตัดผมทรงแมนจูในช่วงปี 2187

ทั้งนี้ ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง ชายจีนที่เป็นชาวฮั่นไม่มีใครไว้ผมเปียเลย พอชาวแมนจูเข้ามายึดครองแผ่นดินจีน จึงมีการบังคับให้ชาวฮั่นไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจู โดยมีคำสั่งประกาศว่า "ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม" ใครไม่ปฏิบัติตาม โทษตายสถานเดียว

คำสั่งนี้ทำให้การเข้ามาปกครองแผ่นดินของฮ่องเต้แมนจูภายใต้การควบคุมของตวนเอ่อร์กุน ในระยะแรก ๆ นั้นต้องประสบปัญหาความวุ่นวายเป็นอันมาก จึงต้องประกาศยกเลิกคำสั่งการบังคับชาวฮั่นโกนผมแล้วไว้เปียเหมือนกับชาวแมนจู ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดำเนินการไปได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

แต่พอประชาชนเลิกก่อความวุ่นวาย สังคมเริ่มสงบสุข ในปีถัดมา พ.ศ. 2188 ตัวเอ่อร์กุนก็ได้ออกคำสั่งบังคับประชาชนทุกคนต้องไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจูอีกครั้ง โดยบังคับให้ชาวฮั่นทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 10 วัน ใครไม่ปฏิบัติตามก็ตัดหัวทิ้งและถือว่าเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้ ปัญหานี้จึงกลายเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่เรื่องทรงผมเท่านั้น

การกลับมาประกาศคำสั่งให้โกนผมไว้ผมเปียในครั้งนี้ ทำให้มีการต่อสู้ฆ่าฟันระหว่างประชาชนชาวฮั่นกับทหารแมนจูอย่างรุนแรง บางเมืองใช้เวลาเพียง 3 วัน มีคนตายเกือบถึงสองแสนคน บางเมืองไม่มีใครยอมจำนน ก็ถูกฆ่าตายเรียบทั้งเมืองเลยทีเดียว

การโกนผมไว้ผมเปียนั้น ลักษณะของทรงผมจะเป็นการโกนผมเกือบหมด เหลือแค่ผมตรงกลางหัวขนาดประมาณเหรียญกษาปน์ทองแดง 1 เหรียญเท่านั้น แล้วก็ถักเป็นผมเปียยาว ๆ ลงมาเหมือนกับหางหนู ถ้าใครโกนผมเหลือไว้มากกว่าขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดงก็จะต้องโดนตัดหัวทิ้ง ชายชาวฮั่นจึงรับไม่ได้กับการที่ต้องโกนผมทิ้งเกือบทั้งหัวขนาดนั้น

พอมาถึงในช่วง พ.ศ. 2342 ทรงผมเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากแต่ก่อนที่เหลือผมไว้ขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดง 1 เหรียญ เปลี่ยนเป็น 4-5 เหรียญ ผมเปียจึงดูใหญ่ขึ้นมาหน่อยคล้ายกับหางหมู

20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ‘นีล อาร์มสตรอง’ มนุษย์คนแรกที่ได้ก้าวเหยียบผิวดวงจันทร์ ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ผู้คน 530 ล้าน ร่วมเป็นสักขีพยาน

วันนี้เมื่อ 55 ปีที่แล้ว ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เมื่อ ‘นีล อาร์มสตรอง’ (Neil Alden Armstrong) นักบินอวกาศชาวสหรัฐอเมริกาก้าวลงเหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า…เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่ได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ และในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ มีผู้คนราว 530 ล้านคนทั่วโลก ที่เฝ้ารับชมการถ่ายทอดสด

‘อะพอลโล 11’ เป็นยานอวกาศลำแรกขององค์การนาซา ที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์สำเร็จ โดย ‘อะพอลโล 11’ ได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยจรวด ‘แซเทิร์น 5’ ที่ฐานยิงจรวด 39A แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมพ.ศ. 2512 ก่อนแยกยานลงดวงจันทร์ไปลงจอดบริเวณ ‘ทะเลแห่งความเงียบสงบ’ (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512

สำหรับลูกเรือในยานอวกาศนั้นประกอบด้วย ‘นีล อาร์มสตรอง’ ผู้บังคับการ, ‘บัซ อัลดริน’ นักบินยานลงดวงจันทร์ และ ‘ไมเคิล คอลลินส์’ เป็นนักบินยานบังคับการ โดยมี ‘นีล อาร์มสตรอง’ เป็นมนุษย์คนแรกที่ลงมาประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ ก่อนจะตามมาด้วยสองนักบินอวกาศที่โดยสารมาด้วยกัน โดยภารกิจของทั้งสามนักบินในครั้งนั้นคือการติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหว, กระจกสะท้อนเลเซอร์, เครื่องวัดลมสุริยะ, และเก็บตัวอย่างหินและดิน 21.6 กิโลกรัม นำกลับมายังโลก

ซึ่งใช้เวลาอยู่บนดวงจันทร์รวม 21 ชั่วโมง 36 นาที ใช้เวลานับตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับถึงโลก 195 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที โดยเดินทางกลับมาลงจอดบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอะพอลโล ซึ่งเกิดจากความปรารถนาของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ต้องการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ให้สำเร็จ และกลับมายังโลกอย่างปลอดภัย

ปัจจุบันวิวัฒนาการของโลกก้าวล้ำไปอย่างมาก มีการวางแผนสร้างสถานีอวกาศ เพื่อเดินทางออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของระบบสุริยะอีกมากมาย

ทำให้นึกถึงประโยค ‘อมตะ’ ของ ‘นีล อาร์มสตรอง’ ที่ได้เอ่ยขึ้นในช่วงเวลาที่สัมผัสกับพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกว่า.. “That's one small step for man, one giant leap for mankind.” มีความหมายว่า “นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของชายคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ”

ซึ่งตอกย้ำว่า ‘ก้าวแรก’ ของการเหยียบดวงจันทร์ในครั้งนั้น ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับมนุษยชาติอยู่เสมอ

19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 คู่แท้แห่งแผ่นดิน!! พระราชพิธีหมั้น ‘ในหลวง ร.9 - พระบรมราชชนนีพันปีหลวง' การสืบสานความผูกพันของทั้งสองพระองค์ ที่พสกนิกรชาวไทยล้วนปลื้มปีติ

วันนี้เมื่อ 75 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ โดยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ทรงประกอบพระราชพิธีหมั้นกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จุดเริ่มต้นของการสืบสานความผูกพันของทั้งสองพระองค์ เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2491 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จจากเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มายังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยการเสด็จครั้งนั้น มีหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ในฐานะเอกอัครราชทูต ให้การเฝ้ารับเสด็จฯ พร้อมด้วยครอบครัว

ทั้งนี้ หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ให้การเฝ้ารับเสด็จฯ ในครั้งนั้น มีหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นบุตรีของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล เข้าร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ด้วย จึงเป็นที่มาของการที่ทั้งสองพระองค์ทรงได้พบกันเป็นครั้งแรก

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ จึงกลายเป็นความรักความเข้าพระราชหฤทัยซึ่งกันและกัน และสืบสานความผูกพันมากขึ้นเป็นลำดับ

ราวเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้มีรับสั่งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลไปเฝ้าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนที่ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระองค์จะเสด็จไปพบหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ที่โรงแรมที่พัก และทรงมีรับสั่งถึงเรื่องการหมั้น

จากนั้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 จึงได้มีการประกอบพระราชพิธีหมั้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมืองโลซาน อันเป็นที่พักของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นต่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งพระธำมรงค์วงนี้ เป็นวงเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงมอบต่อสมเด็จพระบรมราชชนนี ในพระราชพิธีหมั้น เมื่อปี พ.ศ. 2462

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขานุการประจำพระองค์ ทำหนังสือแจ้งข่าวที่ทรงหมั้นมายังรัฐบาลไทย ซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น รัฐบาลได้แจ้งประกาศข่าวอันเป็นมงคลนี้ให้พสกนิกรทราบ ยังความปลื้มปีติยินดีแก่เหล่าประชาชนชาวไทยถ้วนทั่วหน้ากัน

‘ลิซ่า’ ปังไม่หยุด ‘ROCKSTAR’ ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง กวาดยอดขายแตะ 1 แสนยูนิต ในสหรัฐฯ เทียบเท่ามูลค่า 4.6 ลบ.

(18 ก.ค. 67) ตามรายงานระบุว่า ‘ROCKSTAR’ ผลงานเดี่ยวล่าสุดของ ‘ลิซ่า’ ทำยอดขายได้ 100,000 ยูนิตในสหรัฐอเมริกา ตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ ROCKSTAR กลายเป็นเพลงที่ 4 ของลิซ่าที่ทำได้ตามหลัง ‘Lalisa’ และ ‘Money’ ที่เคยทำไว้ได้เมื่อปี 2021 รวมถึงเพลง ‘SHOONG!’ ที่ร่วมงานกับ แทยัง BigBang ก็ทำได้เมื่อปี 2024

การนับยอดขายแบบยูนิต เป็นการขายเพลงในรูปแบบดิจิทัล ที่ทำตามระบบ DSP (Digital Service Providers) ที่นับทั้งการสตรีมมิงและการดาวน์โหลดจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเพลง

โดยการดาวน์โหลดเพลง 1 ครั้ง นับเป็น 1 ยูนิต ส่วนการสตรีมมิง 1,500 ครั้ง จึงจะนับเป็น 1 ยูนิต อย่างไรก็ตามหากคิดเป็นตัวเงินที่การดาวน์โหลด 1 ครั้งใน iTunes จะมีราคา 1.29 ดอลลาร์ หรือประมาณ 46.34 บาท นั่นหมายความว่า 100,000 ยูนิตที่ทำได้ในอเมริกาก็มีมูลค่าอยู่ที่ 4.6 ล้านบาท

ROCKSTAR ของลิซ่านับว่าประสบความสำเร็จในตลาดอเมริกา ซึ่งเธอนับเป็นศิลปินที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่สามารถนำเพลงภาษาอังกฤษของเธอเข้ามาติดท็อปชาร์ตได้ โดยเปิดตัว Rockstar อยู่ที่อันดับ 70 บนชาร์ต Hot 100 ซึ่งเป็นการจัดอันดับเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ROCKSTAR กลายเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดชาร์ตสูงสุดของลิซ่าบน Hot 100 โดยสามารถแซงหน้าเพลงก่อนหน้านี้ของเธอ LALISA (ซึ่งขึ้นสูงสุดที่อันดับ 84) และ MONEY (อันดับ 90) ได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ROCKSTAR ยังเดบิวต์ที่อันดับ 1 บนชาร์ต Global Excl. U.S. ของ Billboard อันดับ 4 บนชาร์ต Global 200 อันดับ 2 บนชาร์ต Rap Digital Song Sales อันดับ 7 บนชาร์ต Digital Song Sales หลัก และอันดับ 19 บนชาร์ต Hot Rap Songs

ขณะเดียวกัน ลิซ่ายังกลับเข้ามาในชาร์ต Artist 100 ของ Billboard อีกครั้งที่อันดับ 84 นับเป็นสัปดาห์ที่สองที่เธอปรากฏบนชาร์ตนี้

18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคต ผู้ทรงก่อตั้ง ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ เพื่อช่วยชาวไทยภูเขาให้อยู่ดีกินดี

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลศิริราช รวมพระชนม์มายุ 95 พรรษา

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ใน พระชนกชู และ พระชนนีคำ พระนามเดิมคือ สังวาลย์ ตะละภัฏ ในวัยประมาณ 7-8 ขวบ ครอบครัวได้นำพระองค์ไปฝาก คุณจันทร์ แสงชูโต ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ทรงเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นเข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น

ทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง 14 คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง

ในปี พ.ศ. 2460 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงพบกับ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนก) ซึ่งได้ทรงถูกพระทัย และขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์

จากนั้นได้ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส ที่วังสระปทุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาเดินทางไปรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ

นอกจากนี้ ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยพระองค์จะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือนพระองค์จะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

17 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ‘ดิสนีย์แลนด์’ เปิดให้บริการครั้งแรก ณ เมืองอนาไฮม์ สหรัฐอเมริกา

‘ดิสนีย์แลนด์พาร์ก’ หรือ ‘ดิสนีย์แลนด์’ สวนสนุกแห่งความฝัน ที่สร้างความสุขให้กับคนทั่วโลก โดยเมื่อ 69 ปีก่อน ดิสนีย์แลนด์แห่งแรกของโลกได้เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

โดยสวนสนุกแห่งนี้เป็นสวนสนุกดิสนีย์แลนด์เพียงแห่งเดียวที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของ ‘วอลต์ ดิสนีย์’ นักสร้างการ์ตูนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

‘วอลต์ ดิสนีย์’ ได้นำเสนอแนวคิดดิสนีย์แลนด์หลังจากไปเที่ยวสวนสนุกที่ต่าง ๆ พร้อมกับลูกสาวของเขาในช่วง พ.ศ. 2473 และ 2483 เขาจินตนาการถึงการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ติดกับสตูดิโอของเขาในเบอร์แบงก์ เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับแฟน ๆ ที่อยากไปเยี่ยมชม

แต่อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่าขนาดเนื้อที่ที่เสนอไปนั้นมีขนาดเล็กเกินไป ดิสนีย์จึงได้ซื้อพื้นที่ 160 เอเคอร์ หรือ ประมาณ 409 ไร่ ในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้เริ่มก่อสร้างโครงการสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ขึ้น โดยมีความตั้งใจให้สวนสนุกนี้เป็นสถานที่ที่ให้ทั้งความสุขและความรู้กับเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้ามาเยี่ยมชม

ต่อมา โครงการสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ก็ได้เปิดให้บริการในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชมเหล่าตัวการ์ตูน เครื่องเล่นและบรรยากาศความยิ่งใหญ่อลังการที่พร้อมจะมอบความสุข ให้กลับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือน

ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าความสุขจะไม่ได้มาโดยง่ายขนาดนั้น เพราะในวันเปิดสวนสนุกวอลต์และทีมงานก็ได้พบกับปัญหา เพราะว่าดินแดนแห่งความฝันของพวกเขานั้นยังสร้างไม่เสร็จ แม้แต่ยางมะตอยที่ถนนก็ยังแห้งไม่สนิท อีกทั้งอาหารและเครื่องดื่มหมดในเวลาอันรวดเร็ว เรือล่องน้ำชมวิวก็เกือบจะล่มเพราะผู้โดยสารเยอะเกินไป และที่แย่ที่สุดคือ พบว่าคนที่เข้ามาเล่นในสวนสนุกหลายพันคนใช้ตั๋วปลอม ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ดิสนีย์แลนด์ต้องขาดทุน

หลังจากนั้น สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ก็ได้รับการฟื้นฟูปรับปรุงจนกลายมาเป็นดินแดนในฝันของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกตามความต้องการของวอลต์ ดิสนีย์ และแม้ว่าวอลต์จะเสียชีวิตใน พ.ศ. 2509 แต่สวนสนุกในชื่อของเขาก็ยังคงทำหน้าที่เติมเต็มความสุขและความหวังของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่อไป

16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ‘สหรัฐฯ’ ทำการทดสอบ ‘ระเบิดปรมาณู’ ลูกแรกของโลก ภายใต้รหัส Trinity ส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 การทดสอบทรินิตี ‘ระเบิดปรมาณู’ ลูกแรกของโลก เกิดขึ้นกลางทะเลทรายในรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ‘โครงการแมนฮัตตัน’ ก่อนใช้งานจริงและนำไปสู่การยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่น สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ทั้งนี้ กว่าการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ‘ระเบิดปรมาณู’ (Atomic bomb) ของ ‘โครงการแมนฮัตตัน’ จะประสบความสำเร็จ ประสิทธิภาพของมันถูกตั้งข้อสงสัยมาตลอด เพราะโลกไม่เคยเห็นระเบิดปรมาณูมาก่อน การประเมินพลังงานที่จะถูกปลดปล่อยออกมาก็เป็นเพียงการคาดการณ์และคาดเดา แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ใน ‘ลอส อลามอส’ ที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการโครงการแมนฮัตตันเองยังอดแคลงใจไม่ได้ว่า โครงการจะสำเร็จหรือเปล่า 

กระทั่งศูนย์ปฏิบัติการรวมแร่ยูเรเนียม ซึ่งถือเป็นวัตถุประเภทจุดระเบิด (Gun-type) ในปริมาณที่เพียงพอ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 มีการส่งระเบิดยูเรเนียมส่วนใหญ่ไปยังชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อใช้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยที่การทดสอบมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ด้วยซ้ำ

การทดสอบด้วยระเบิดปรมาณูจากแร่พลูโตเนียมของโครงการแมนฮัตตัน ซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 16 กรกฎาคม จึงเป็นตัวแทนการพิสูจน์ประสิทธิภาพของอาวุธนี้ และเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ให้มากที่สุด ก่อนใช้จริงในอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก

โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Robert Oppenheimer) ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการของโครงการ ตั้งชื่อการทดสอบนี้ว่า การทดสอบทรินิตี (The Trinity Test) โดย ‘Trinity’ หรือตรีเอกานุภาพ ออปเพรไฮเมอร์ได้แรงบันดาลใจจากบทกวีของ ‘จอห์น ดอนน์’ (John Donne) กวีชาวอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 17 นักเขียนคนโปรดของเขา

ริชาร์ด โรดส์ (Richard Rhodes) ผู้เขียนหนังสือ The Making of the Atomic Bomb วิเคราะห์ว่า “สำหรับ บอร์ (‘นีลส์ บอร์’ นักฟิสิกส์อีกคน) กับออปเพนไฮเมอร์ ระเบิดปรมาณูคืออาวุธมรณะที่อาจยุติสงครามและไถ่บาปให้มนุษยชาติด้วย”

ทั้งนี้ สถานที่สำหรับการทดสอบทรินิตีอยู่กลางทะเลทรายในรัฐนิวเม็กซิโก ห่างจากลอสอาลามอส ไปทางใต้ 210 ไมล์ พื้นที่ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ‘ฆอร์นาดา เดล มูเอร์โต’ (Jornada del Muerto) หรือการเดินทางแห่งความตาย

>> ระเบิดปรมาณู ‘ลูกแรก’

การจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ก่อนจะแล้วเสร็จต้นเดือนกรกฎาคม โดยมีบังเกอร์สังเกตการณ์ 3 แห่ง ตั้งอยู่ห่างออกไป 5.6 ไมล์ จากหอระเบิด ทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการควบคุมกัมมันตภาพรังสีที่จะปลดปล่อยออกมาระหว่างการระเบิด กองทัพสหรัฐฯ จึงเตรียมพร้อมที่จะอพยพประชาชนในพื้นที่โดยรอบทันที หากเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดบานปลาย

12-13 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 มีการขนส่งแกนพลูโตเนียมและชิ้นส่วนประกอบระเบิดไปยังพื้นที่ทดสอบด้วยรถของกองทัพสหรัฐฯ และวันที่ 15 กรกฎาคม ก็ประกอบอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และยกขึ้นสู่จุดระเบิดซึ่งสูงเหนือพื้น 100 ฟุต

ทั้งหมดพร้อมแล้วสำหรับการทดสอบในเช้ามืดวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 วันแห่งการอุบัติของระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก

ปรากฏว่ามีฝนตกหนักตลอดคืนวันที่ 15 กรกฎาคม ออปเพนไฮเมอร์กับทีมของเขาอยู่ที่บังเกอร์ควบคุม S-10,000 ขบคิดกันว่าจะทำอย่างไรหากฝนไม่หยุดก่อนการทดสอบตามกำหนดในเวลา 04.00 น. ของเช้ามืดวันที่ 16 กรกฎาคม

เพื่อคลายความตึงเครียด หนึ่งในพวกเขายิงคำถามที่หลายคนสงสัย คือระเบิดนิวเคลียร์จะจุดชนวนในบรรยากาศหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ปฏิกิริยาลูกโซ่อาจทำลายรัฐนิวเม็กซิโก หรือลามออกไปทำลายล้างโลกได้เลย

แต่ออปเพนไฮเมอร์วางเงินสิบดอลลาร์กับค่าจ้างทั้งเดือนของ จอร์จ คิสเตียโควสกี (George Kistiakowsky) อาจารย์เคมีแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการ เขาเดิมพันว่า ระเบิดจะไม่ทำงานเลยด้วยซ้ำ

เวลา 03.30 น. มีการเลื่อนกำหนดออกไปเป็น 05.30 น. ในที่สุดฝนก็หยุดตกช่วงเวลาประมาณ 04.00 น. คิสเตียโควสกีกับทีมงานไปจัดการติดตั้งอุปกรณ์หลังตี 5 แล้วกลับไปยัง S-10,000 ก่อนเริ่มการนับถอยหลัง ตอนนั้นเองผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่พากันหันหลังให้หอระเบิด เพื่อเลี่ยงแสงสว่างที่อาจทำลายดวงตาของพวกเขา

เจมส์ โคแนนท์ (James Conant) นักเคมีในโครงการบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกว่าแต่ละวินาทีจะยาวนานได้ขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะเมื่อนับถอยหลังถึง 10 วินาทีสุดท้าย

เลสลี่ โกรฟส์ (Leslie Groves) นายทหารผู้กำกับโครงการแมนฮัตตัน และอยู่กับออปเพนไฮเมอร์ในการทดสอบครั้งนั้น เขียนในบันทึกของเขาว่า “ในวินาทีสุดท้าย ผมได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรถ้านับถอยหลังถึงศูนย์และไม่มีอะไรเกิดขึ้น…”

เวลา 05.30 น. ของวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ยุคสมัยแห่งนิวเคลียร์เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสักขีพยานเป็นเจ้าหน้าที่โครงการแมนฮัตตัน ที่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างจดจ่อและกังวลใจ ระเบิดปรมาณูลูกแรกระเบิดเหนือทะเลทรายในนิวเม็กซิโก หอระเบิดระเหยกลายเป็นไอ เปลี่ยนยางมะตอยรอบฐานเป็นทรายสีเขียว ไม่กี่วินาทีหลังจากการระเบิด บังเกิดคลื่นความร้อนขนาดใหญ่แผดเผาไปทั่วทะเลทรายบริเวณนั้น

ไม่มีใครมองรังสีที่เกิดแผ่ออกมาระหว่างจากการระเบิดได้ แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น ภาชนะเหล็กไซส์ใหญ่ยักษ์น้ำหนักกว่า 200 ตัน ถูกขนไปกลางทะเลทราย เพื่อการทดสอบที่จะทำให้มันหายวับไปในเสี้ยววินาที ลูกไฟสีส้มเหลืองแผ่เหยียดยาวออกไป มวลที่สองซึ่งแคบพวยพุ่งขึ้นไปเป็นรูปดอกเห็ด นี่คือสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและการทำลายล้างอันน่าพิศวงที่สุดในความรับรู้ของมนุษยชาตินับแต่นั้น

สำหรับสมาชิกโครงการแมนฮัตตัน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังการระเบิดมีทั้งความประหลาดใจ ความยินดี และความโล่งใจ เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) ซึ่งต่อมาจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เล่าถึงสิ่งที่เขาจำในเหตุการณ์ว่า “จากความมืดมิดสู่แสงสว่างเจิดจ้าในชั่วพริบตา” แสงนั่นทำให้บางคนตาบอดสนิทเป็นเวลาเกือบครึ่งนาทีด้วย

แรงระเบิดทำให้คิสเตียโควสกีที่อยู่ห่างออกไป 5 ไมล์ ล้มฟุบลงกับพื้น เขารีบลุกขึ้นยืนเพื่อตบหลังออปเพนไฮเมอร์แล้วพูดว่า “ออปพี นายเป็นหนี้ฉันสิบเหรียญนะ” ขณะที่เลสลี่ โกรฟส์ ปรี่เข้ามาหาออปเพนไฮเมอร์แล้วบอกว่า “ฉันภูมิใจในตัวนาย” พวกเขาเห็นตรงกันว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จบแล้ว

แต่ไม่นานหลังการเปิดตัวอาวุธมหาประลัยนั้น โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ ระลึกได้ว่าเขาได้สร้างความสยดสยองแก่มวลมนุษย์แล้ว บันทึกของเขาเล่าว่า ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขานึกถึงตำนานของโพรมิธีอุส ผู้ถูกซุสลงทัณฑ์โทษฐานที่มอบไฟแก่มนุษย์

และทันทีที่ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก ลงไปที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ นักวิทยาศาสตร์ใน โครงการแมนฮัตตัน ต่างถูกสะกดด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว และการใช้ประโยชน์จากอาวุธเหล่านี้หลังจากนั้นได้ตามหลอกหลอนพวกเขาไปอีกนาน ซึ่งอาจหมายถึงตลอดชีวิต

15 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ‘ในหลวง ร.9’ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้าง ‘สะพานพระราม 8’ หวังบรรเทาการจราจรจากสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า

‘สะพานพระราม 8’ เกิดจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งที่เสด็จทรงเยี่ยมพระอาการประชวรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นถึงปัญหาการจราจรของสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรุงเทพมหานครก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อบรรเทาการจราจรบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า รองรับการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรี และเป็นจุดเชื่อมต่อส่วนสุดท้ายของโครงข่ายจตุรทิศ ตะวันตก-ตะวันออก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ทั้งนี้ สะพานพระราม 8 จะช่วยเชื่อมการเดินทางระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรีให้สะดวกสบายขึ้น ซึ่งจะช่วยระบายรถบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้ถึง 30% และบนสะพานกรุงธนอีก 20% และยังสามารถลดมลพิษทางอากาศบริเวณในเมือง โดยเริ่มเปิดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เวลา 7:00 น. ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดสะพานพระราม 8 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กันยายน ปีเดียวกัน

>> สำหรับการออกแบบ

ความโดดเด่นสวยงามที่เกิดขึ้น ผสมผสานไปด้วยศิลปะแบบไทย จากแนวคิดในการสร้างเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร กรุงเทพมหานครจึงได้อัญเชิญ ‘พระราชลัญจกร’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ มาเป็นต้นแบบในการออกแบบทางสถาปัตยกรรม

ส่วนประกอบต่าง ๆ ของสะพานเน้นความโปร่งบาง เรียบง่าย และสวยงาม วัสดุที่ใช้ในโครงสร้างของสะพานเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เช่น ในส่วนสะพานเสาสูงรูปตัว Y คว่ำ เป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก ทำหน้าที่หิ้วส่วนโครงสร้างสำคัญอื่น ๆ ของสะพาน ซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกล ๆ ได้ออกแบบโดยใช้เค้าโครงมโนภาพของเรือนแก้ว

บริเวณด้านล่างซึ่งเป็นฐานของเสาถูกพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ หรือสวนหลวงพระราม 8 ซึ่งมีก่อสร้างพระบรมรูปรัชกาลที่ 8 ที่ใหญ่กว่าขนาดพระองค์จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาเปิดพระบรมรูปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top