Monday, 29 April 2024
NEWSFEED

'ต้องเต' หวังรัฐบาลไทยหนุนภาพยนตร์ไทยเต็มกำลัง หลังยก 'สัปเหร่อ' ขึ้นแท่น Soft Power ของไทย

จากกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ หลังชม ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตรประธานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ว่า ..."'สัปเหร่อ' คือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของภาคอีสานผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ผมเชื่อว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จคือการที่ผู้กำกับ และทีมงานภูมิใจในรากเหง้าของตัวเอง ควรค่าแก่การสนับสนุนครับ

รัฐบาลเราสนับสนุน Soft Power ทุกมิติ ด้านภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เราพร้อมที่จะผลักดันให้ภาพยนตร์ไทยพาวัฒนธรรมของเราออกไปสู่สายตาชาวโลกเป็น ‘จุดขาย’ ไปสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้และความชื่นชอบให้กับประเทศไทย"

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 66 นายธิติ ศรีนวล หรือ ต้องเต ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ กล่าวในรายการอยู่ดีมีแฮง ช่อง ThaiPBS ว่า "ผมคาดหวังว่าเรื่องต่อ ๆ ไป ไม่ใช่แค่ของผม อยากให้มาสนับสนุนจริง ๆ หน่อย ไม่ใช่แค่มาถ่ายรูป คุณอาจจะไม่ได้เข้าใจหนัง #สัปเหร่อ จริง ๆ เลยก็ได้ แค่มาถ่ายรูป แล้วบอกว่า 'สัปเหร่อ' เป็น ซอฟต์เพาเวอร์ (SoftPower)

"อย่างตัวผมเองยังไม่รู้ว่า ซอฟต์เพาเวอร์ คืออะไร ตอนผมทำ ผมยังแบบ 'เอ๊า!! หนังผมเป็น ซอฟต์เพาเวอร์' เหรอ ผมยังไม่รู้เลย แต่ถ้าผมได้รู้ หรือได้ทำความเข้าใจว่า ซอฟต์เพาเวอร์ คืออะไร หนังไปไกลกว่านี้ มี 'ซอฟต์เพาเวอร์' จริง ๆ แน่นอน

"ดังนั้น ถ้ามีการพูดคุยหรือเสวนาในวงการที่อยากจะเอา ซอฟต์เพาเวอร์ เผยแพร่ต่อต่างประเทศ อยากให้พาไปจริง ๆ"

ด้าน นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นนี้ทางทวิตเตอร์ หรือ X ว่า "รัฐบาลเพิ่งได้เข้ามาเริ่มผลักดันนโยบาย #SoftPower และไม่ได้คิดจะเคลมผลงานใด ๆ จากความสำเร็จของภาพยนตร์ #สัปเหร่อ ครับ แต่มีเจตนาที่จะสนับสนุน และชี้ให้เห็นตัวอย่างหนึ่งของผลงานที่มีคุณภาพ

"ในฐานะคอหนัง ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความตั้งใจ และประทับใจผลงานด้วยใจจริง
"
"หวังอย่างยิ่งว่าในเร็ว ๆ นี้ ความสนใจและตั้งใจจริงของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะสนับสนุนธุรกิจสร้างสรรค์แขนงต่าง ๆ ให้เติบโตและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างขึ้น จะเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วครับ

"การสนับสนุนอุตสาหกรรมโดยภาครัฐ ไม่ได้มีเพียงกลไกเอาเงินทุนไปให้ หรือไปช่วยประชาสัมพันธ์ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ คือการดึงภาคเอกชนมาร่วมกันให้ข้อมูล ว่าการทำงานที่เป็นอยู่ ติดขัดปัญหาหรือข้อกฎหมายอย่างไรแล้วรัฐในฐานะผู้สนับสนุนจึงจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อให้เอกชนได้ขยายศักยภาพของตนเองได้เต็มที่มากขึ้นครับ #SoftPower #รัฐบาลเศรษฐา”

"อันนี้เป็นนโยบายของ #พรรคเพื่อไทย ที่ใช้หาเสียง เฉพาะในส่วนของ 'ภาพยนตร์' ก่อนนะครับ ยังมีส่วนของวงการอื่น ๆ อีกครับ”

ขณะที่ทางด้านเฟซบุ๊กเพจ 'ตุ๊ดส์review' ได้โพสต์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ว่า ภาพยนตร์ #สัปเหร่อ กับคำว่า #SoftPower ของรัฐบาลไทย

1) จริง ๆ รัฐไม่ได้เข้าใจด้วยซ้ำว่าเราจะสร้าง Soft Power กันยังไง เราแค่รอมันดังแล้วไปถ่ายรูปคู่ ไม่ได้ร่วมสร้าง ร่วมลงทุน และผลักดันโดยรัฐบาลตั้งแต่ก้าวแรกของการทำงาน

2) การดูกันเอง ชื่นชมกันเอง สนุกสนานกันเองในประเทศ แต่ไม่ได้ผลักดันสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในตลาดโลก หรือพาหนังไปสร้างอำนาจละมุน ตามคำว่า Soft Power เพื่อพาวัฒนธรรมประชาชนไปสั่นสะเทือนวงการและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ก็เท่ากับว่า "มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง และไม่ได้มีการลงมือทำอะไรเป็นรูปธรรม"

3) การรอฉกฉวยโอกาสของรัฐ ที่มีต่อสิ่งที่ดังด้วยตัวมันเอง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยประยุทธ์ กำลังถูกสานต่อโดยยุคสมัยของเศรษฐา โดยที่ยังไม่เห็นนโยบายที่เป็นกลยุทธ์ และแนวทางการสร้างความสำเร็จ นอกจากรูปถ่าย PR เท่านั้น ที่ออกมาสร้างการรับชมกันเองในชาติ โดยที่ต่างชาติไม่ได้มาร่วมอึ้ง หรือซาบซึ้งใด ๆ กับเรา

4) ถ้าบอกว่าสนับสนุนเพื่อให้ Soft Power ไทยไปไกลในตลาดโลก รัฐต้องลงทุน และมีหน่วยงานที่เอาผลผลิตอุตสาหกรรมบันเทิงไทยไปเจาะตลาดโลก ตั้งแต่ Day One โดยร่วมวางแผนการสร้าง Soft Power ให้ก้าวแรกมีเนื้อหาสาระ นักแสดง กลยุทธ์ และแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ส่งเสริมการส่งออกแบบครบวงจร แต่เราไม่เห็นกระบวนการเหล่านั้นในการวางแผนการทำงาน

5) แค่ถ่ายรูป แล้วบอกว่าเป็น Soft Power มันมีประโยชน์น้อยมาก แถมยังสร้างความเหลื่อมล้ำในวงการหนังเสียอีก หนังไหนดัง รัฐถึงจะวิ่งปรี่เข้าไปเชิดชู ส่วนหนังเรื่องไหนไม่ทำเงิน ไม่มีกระแส กลับไม่เคยได้รับการแยแสจากรัฐ ทั้ง ๆ ที่หนังดี ๆ หลายเรื่อง ๆ ขาดการพูดถึง และให้คุณค่าจากสังคม แล้วทำไมรัฐไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ให้โอกาสกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่องได้แจ้งเกิดมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรอผู้กำกับมาทวงถาม

Soft Power แบบปลอม ๆ ก็ไม่ได้ไปไหนได้ไกลกว่าการเชยชมกันเอง เมื่อไหร่โลกทั้งใบจะเห็นศักยภาพของคนไทยและวงการบันเทิงไทย เราต้องทวงถามให้รัฐบาลทำงานเรื่องนี้กันอีกนานแค่ไหน

ไม่งั้น Soft Power ไทย ก็มีไว้เพียงเพื่อการโฆษณา

‘ซีอีโอ BVLGARI’ แสดงจุดยืน โพสต์รูป ‘ลิซ่า’ ลงไอจีรัวๆ เชื่อ!! ตำแหน่งแอมบาสเดอร์ยังเหนียวแน่น-ไร้ปัญหา

เมื่อวานนี้ (4 พ.ย.66) จากที่ก่อนหน้านี้ ได้เกิดกระแส จีนแผ่นดินใหญ่ ระงับบัญชี weibo ของศิลปินสาวสวยมากความสามารถอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ จนเกิดกระแสลิซ่าโดนแม่จีนแบน

หลังเข้าร่วมการแสดงโชว์คาบาเรต์ชื่อดัง Crazy Horse ในกรุงปารีสจนดันให้แฮชแท็ก #Lisa社媒账号被封

พร้อมมีคนแอบสังเกตเห็น แบรนด์ดังระดับโลก CELINE และ BVLGARI ลบภาพลิซ่า ออกจาก Weibo อย่างเป็นทางการ

รวมถึงบัญชีอินสตาแกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Jean-Christophe Babin ก็ลบภาพ ที่ถ่ายร่วมกับสมาชิก BLACKPINK เช่นกัน ทำให้ยิ่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ไปถึงการตัดสินใจเส้นทางในอนาคตที่มีต่อลิซ่า

ทั้งนี้ก่อนที่ดรามาจะร้อนลุกลามไปกันใหญ่ ล่าสุดทาง ‘ฌอง-คริสตอฟ บาบิน’ ซีอีโอ แบรนด์ดัง BVLGARI ได้มีการโพสต์รูปลิซ่า ลงในอินสตาแกรมส่วนตัวรัว ๆ โดยเป็นคอลเลกชันภาพถ่ายของ ลิซ่าในงานอีเวนต์ต่างๆ ของแบรนด์

ซึ่งถึงแม้ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทุกอย่างยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ หลายฝ่ายได้แต่สันนิษฐานว่า การลงภาพของซีอีโอในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำถึงบทบาทของลิซ่า ในฐานะหนึ่งในแอมบาสเดอร์ที่โด่งดังที่สุดของแบรนด์ และยืนยันว่าทาง BVLGARI ไม่มีปัญหากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

‘สเตฟาน’ แชร์ประสบการณ์ถูกคนเกาหลี ‘ถุยน้ำลาย’ ใส่ ยอมรับ!! โมโหมาก โบกสวนหัวทิ่มไปหนึ่งดอก

(5 พ.ย.66) ‘สเตฟาน ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์’ อดีตพระเอกละครชื่อดัง แชร์ประสบการณ์ หลังไปเที่ยวเกาหลีครั้งแรก แล้วเจอแจ็กพ็อตถูกคนเกาหลีทำกิริยาไม่ดี โดยการถุยน้ำลายใส่ตน ในจังหวะที่กำลังข้ามถนน ว่า…

“ครั้งแรกที่ผมไปเกาหลี ผมก็ลงจากรถทัวร์ที่เป็นของกรุ๊ปเราเท่านั้น จากนั้นผมก็เอากระเป๋าเข้าไปเช็กอิน แต่ทางโรมแรมบอกว่าไม่ได้ต้องรอเช็กอิน 2 โมง แล้วตอนนั้นผมมาถึงเที่ยง มันก็ทำให้ต้องออกไปหาอะไรทำ ส่วนกระเป๋าก็ฝากไว้ที่โรงแรม พอฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะออกไปหาอะไรกินข้างทาง แต่พอจังหวะที่ออกมาข้างถนนเพื่อข้ามไปอีกฝั่งนั้น ก็มีคนเกาหลีสองคนเดินผ่าน พร้อมกับทำกิริยาไม่ดีใส่ ก็คือการ ‘ถุยน้ำลาย’ ใส่กลางอกเต็ม ๆ

ซึ่งตอนนั้นผมคิดอะไรไม่แล้ว และยอมรับว่าหัวร้อนมาก หลังจากที่โดนกระทำแบบนี้ ถ้าคนที่รู้จักผมดี จะรู้ว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันอี๋ง่าย…และถึงจะไม่ได้เป็นคนที่อี๋ง่าย ก็รู้สึกว่าไม่ควรจะโดนกระทำใส่แบบนี้ ดังนั้นผมจึงหันกลับไปตบกระบาลอย่างแรงจนหัวทิ่ม แล้วหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนใส่ผมเป็นภาษาเกาหลี และทำท่าเหมือนจะเตะ จากนั้นผมก็หนี สุดท้ายเขาก็เรียกเจ้าหน้าที่มาที่โรงแรม และโรงแรมก็พยายามบอกให้ว่ามันไม่ใช่นะ…คนเกาหลีสองคนนั้นเริ่มก่อน จนสุดท้ายก็เลยเคลียร์กัน…”

พลิกเมนู 'ไทย-จีน-นานาชาติ' เอาใจสายเนื้อเกรดพรีเมียม @KRBB The Boutique Butcher ใกล้ BTS อ่อนนุช

(5 พ.ย. 66) ร้าน ‘KRBB The Boutique Butcher’ ร้านเนื้อวัวที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นเยี่ยม จากฟาร์มคุณภาพดีจากทั่วโลก นำมารังสรรค์เป็นหลากสารพัดเมนูจานเด็ด สูตรลับเฉพาะของทางร้าน Butcher โดยผู้มีความชำนาญในด้านอาหาร นอกจากนี้ ชื่อร้านมาจากชื่อของหุ้นส่วนทั้ง 4 คน ได้แก่ ชาคริต แย้มนาม, รณสิทธิ ภุมมา, อิทธิชัย เบญจธนสมบัติ และ ปฏิรูป ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ที่ตั้งใจให้ร้านนี้เป็นศูนย์รวมของคนรักเนื้อโดยเฉพาะ

สำหรับบรรยากาศภายในร้าน จะเน้นการตกแต่งในสไตล์โฮมมี่ ด้วยโครงสร้างและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เป็นหลัก ให้ความอบอุ่น และเป็นกันเอง ตกแต่งที่บริเวณผนังด้วยอุปกรณ์ทำครัวที่ทำจากไม้หลากหลายแบบ พร้อมทั้งมึภาพเขียนอธิบายส่วนต่าง ๆ ของวัว และยังมีโซนเอาท์ดอร์ด้านนอกไว้รองรับสำหรับผู้ที่ต้องการทานที่ร้าน

ส่วนเมนูของทางร้านจะมีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อคัดสรรเกรดพรีเมียม คุณภาพเยี่ยม และฝีมือการปรุงอาหารชั้นยอดของเซฟ ทำให้รสชาติของอาหารแต่ละจานอร่อย เข้มข้น อีกทั้งยังมีเมนูให้เลือกหลากหลาย ไม่ซ้ำใคร รับรองว่า ถูกใจคนรักเนื้ออย่างแน่นอน

มาลองดูอาหารแต่ละเมนูกันเลย!!

‘ข้าวผัดมันเนื้อท็อปสเต๊กเนื้อสันนอก’ คนไทยก็ต้องคู่กับข้าว!! จึงขอเริ่มกันที่เมนูแรกด้วย ข้าวผัดมันเนื้อที่กลิ่นข้าวหอมเตะจมูก นำมาผัดแบบสไตล์จีน ทำให้ข้าวร่วนเป็นเม็ด ไม่แฉะ จากนั้นก็ท็อปด้วยพระเอกของเมนู คือ ‘สเต๊กเนื้อสันนอก’ หนา นุ่น เคี้ยวปุ๊บ ขาดปั๊บ หั่นแบบเต๋าพอดีคำ ท็อปบนข้าวที่ผัดมาร้อนๆ หอมๆ บอกเลยว่าเป็นเมนูแนะนำที่คนรักเนื้อและชอบกินข้าว ห้ามพลาด!!

‘เนื้อตุ๋นหม้อไฟ’ เสิร์ฟมาในหม้อสุกี้ร้อนๆ น้ำซุปหอมกลมกล่อมอูมามิ เหมาะกับกินในช่วงปลายฝนต้นหนาวสุดๆ นอกจากนี้ สามารถเลือกเนื้อประเภทและส่วนต่าง ๆ มาใส่ในหม้อไฟได้ตามความต้องการ แถมมี Butcher คอยแนะนำว่าส่วนไหนเหมาะแก่การนำไปปรุงแบบไหน เพื่อให้มื้อพิเศษของเราอร่อยที่สุดอีกด้วย

‘เมนูก๋วยเตี๋ยวเนื้อบ่ม’ เนื้อโคขุนที่ผ่านการ Dry-aged มาเป็นเวลา 3 อาทิตย์ โดยมีให้เลือกทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อสด และเนื้อเปื่อย เนื้อบ่มจะใช้เนื้อซี่โครง พื้นท้อง สามชั้นอย่างดี ส่วนเนื้อสดจะใช้ Flank ส่วนพื้นท้อง โดยเมนูนี้จะมีทีเด็ดอยู่ที่ ‘น้ำซุป’ ซึ่งเป็นน้ำซุปดาชิ สไตล์ญี่ปุ่น ที่ใช้เวลาในการเคี่ยวเป็นเวลานาน เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม แต่ถ้าใครที่ชอบก๋วยเตี๋ยวแบบแห้ง ทางร้านยังมี ‘ก๋วยเตี๋ยวแห้งคลุกซีอิ๊วดำสูตรพิเศษจากเบตง’ เตรียมไว้ให้อีกด้วย

และอีกหนึ่งเมนูเด็ดที่ห้ามพลาด คือ ‘เนื้อขั้วตับย่างอีสาน’ รสชาติเข้มข้น ใช้เนื้อส่วน Hanger ที่ถ้าหากเลาะไม่ดีจะทำให้เคี้ยวยากมาก แต่ Butcher ของทางร้านมีความเชี่ยวชาญในการเลาะเนื้ออย่างดี ทำให้เนื้อไม่เหนียว เคี้ยวง่าย แถมยังนำไปหมักกับซอสสูตรลับของทางร้าน จนเนื้อนุ่มละมุนลิ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถรีเควสน้ำจิ้มเพิ่มเติมได้อีกด้วย โดยทางร้านมีทั้งน้ำจิ้มแจ่วแบบขม แบบมาตรฐาน และแบบสูตรมะเขือเทศ

อีกจุดเด่นของร้าน ‘KRBB The Boutique Butcher’ คือการคงคอนเซปต์เหมือนกับโชว์รูมขายเนื้อสด ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อเนื้อเองได้ตามใจชอบ ซึ่งมีทั้งเนื้อไทยและเนื้อญี่ปุ่นคุณภาพเยี่ยม ที่นำไปทำเมนูอะไรก็อร่อย 

นอกจากนี้ ทางร้านยังมีเทคนิคการทำ ‘Butcher’ แบบ ‘ซามูไรคัท’ หรือ ‘การหั่นเนื้อแบบญี่ปุ่น’ เพื่อให้สูญเสียเนื้อน้อยที่สุด เลาะพังผืดจนหมด โดยเทคนิคนี้จะทำให้เนื้อนุ่มและยังได้รับเนื้อทุกส่วน ซึ่งถือว่าทางร้านใช้คุ้มทุกส่วนจริงๆ และในส่วนของราคานั้น ก็ไม่ได้แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ โดยจะเริ่มต้นอยู่ที่ 149 บาท ขึ้นไป

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะมาลองลิ้มลองความอร่อยนี้ ตัวร้านจะตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ของ HABITO MALL ซอยสุขุมวิท 77 ใกล้กับ BTS อ่อนนุช โดยจะหยุดทุกวันจันทร์ และเปิดในวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11.00-22.00 น. หรือท่านใดอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถแอด Line OA : @alakrbb KRBB THE BOUTIQUE BUTCHER หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เพจเฟซบุ๊ก : KRBB 

ดื่มด่ำ 'อาหาร-บาร์' แนวยูโรเปียน ใต้กลิ่นอาย ‘สไตล์ฝรั่งเศส’ ตอบโจทย์สาย 'ชิล-แชะ-ปาร์ตี้' ที่เดียวจบ ในย่านสาทร

วันนี้ THE STATES TIMES ขอพามาแนะนำ ‘Le Café des Stagiaires’ ร้านอาหารและบาร์สไตล์ยูโรเปียน ตกแต่งด้วยการเล่นสีให้ตัวร้านและการเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการออกแบบภาพรวมที่ให้อารมณ์ราวกับนั่งอยู่ร้านแถวยุโรปยังไงยังงั้น!!

Le Café des Stagiaires เสิร์ฟอาหารสไตล์ยูโรเปี้ยน โดดเด่นด้วยเมนูแนวฝรั่งเศส และ เบลเยียม ที่พิถีพิถันอย่างพิเศษ ... ขอบอกแต่ละเสิร์ฟนี่มาเยอะ เหมาะแก่การแชร์ทานกันบนโต๊ะอย่างมากเลยด้วย

สำหรับเมนูแนะนำที่อยากให้ลองเลยคือ ‘Risotto Truffle & Mushroom’ (480 บาท) ตัว Risotto นุ่มๆ ประกอบกับกลิ่นของทรัฟเฟิลที่หอมละมุน กลิ่นหอมรสชาติเข้มข้นมากๆ และสำคัญอย่างที่บอกให้มาในปริมาณที่เยอะจริงๆ!!

ส่วนราคาอาหารขอบอกไปเลยว่า ค่อนข้างเหมาะสมกับคุณภาพและบรรยากาศที่ได้รับเลย เมื่อเทียบกับร้านแนวๆ เดียวกันในย่านนี้ที่ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ที่นี่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 100+ เท่านั้นเอง

ข้ามมาในส่วนของบรรยากาศสักหน่อย ภายในตัวร้านจะมีทั้งโซน Outdoor, Indoor และ Bar ส่วนตัว ไว้ให้ผู้มาใช้บริการได้นั่งกันตามความชอบ แต่แอดมินขอแอบกระซิบว่าถ้าใครอยากได้รูปทำคอนเทนต์ แนะนำให้นั่งโซนฮิต อย่าง Outdoor บอกเลยว่าโซนนี้ถ่ายรับแสงตอนกลางวันแล้วสวยสุดๆ!!

ในส่วนของกิจกรรมภายในร้านก็น่าสนใจ เพราะเขามี ‘บอร์ดเกมส์’ เตรียมไว้ให้ลูกค้าได้มานั่งเล่นกันอีกด้วย ส่วนตัวแอดมินไปมาแล้วได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติ แลกเปลี่ยนภาษากันได้อีก

นอกเหนือจากนี้ทางร้านยังมีพื้นที่รับรองสำหรับลูกค้าที่ต้องการมาใช้บริการแบบปาร์ตี้ สามารถรองรับได้สูงสุดถึง 50 คนเลยทีเดียว

หรือหากใครเป็นสายแดนซ์บนฟลอร์เต้นรำที่ร้านก็มีพื้นที่ให้ได้ออกมาระเบิดความสนุกด้วยการเต้นไปพร้อมกับระบบเสียง และดิสโก้บอลขนาดใหญ่ที่ร้านจัดเตรียมไว้ให้อีกด้วย

ส่วนใครที่เป็นสายนั่งชิล แนะให้ไปทาน Brunch ในช่วงตอนกลางวันก็สามารถไปทานรับบรรยากาศในวันพักผ่อนได้ ไพรเวตอยู่จ้า (เมนู Brunch จะให้บริการถึง 16:00 น.

สำหรับเวลาให้บริการของ Le Café des Stagiaires:
จันทร์-ศุกร์ ให้บริการตั้งแต่ 16:00-21:00 น.
เสาร์-อาทิตย์ ให้บริการตั้งแต่ 11:00-21:00 น.

พิกัด: สาทร ซอย 12

การเดินทาง: ลง BTS เซนต์หลุยส์ เดินต่อมานิดเดียว หรือสำหรับท่านที่นำรถยนต์ส่วนตัวมา สามารถจอดรถยนต์ที่โรงแรมตรงข้ามได้เลย

ติดต่อสอบถาม
โทร: 096-945-5408 (แนะนำให้โทรมาจองก่อน)
Facebook: Le Café des Stagiaires - Bangkok

ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก https://cafestagiaires.co.th

ผลสำรวจ เผย!! ‘ไทย’ ติดอันดับ 4 ประเทศที่ ‘นอกใจ’ สูงที่สุด นิยม 'ความรักออนไลน์' ผ่านแอปหาคู่ แสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ

จากการจัดอันดับ “อัตราการนอกใจ” ประจำปี 2023/2566 ของ World Population Review ระบุว่า “ประเทศไทย” ติดอันดับ Top10 ประเทศที่มีอัตราการนอกใจสูงที่สุดในโลก!

นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบันผู้คนส่วนมากให้ความนิยมในการหารักออนไลน์ผ่านแอพพ์หาคู่เดตหรือเว็บไซต์หาคู่ที่มีกลาดเกลื่อน โดยผลสำรวจจาก iResearch ระบุว่า ในประเทศไทย มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันหาคู่ต่างๆ รวมกันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000,000 คน ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกันกับอัตราการนอกใจและการหย่าในไทยที่สูงขึ้นหรือไม่ บริษัทจัดหาคู่ ระดับไฮเอนด์ Bangkok Matching ได้วิเคราะห์สถานการณ์ไว้ดังนี้

ผลจัดอันดับ 10 อันดับประเทศทั่วโลกที่พบอัตรานอกใจสูงสุด ไทยติดอันดับที่ 4

อันดับประเทศที่มีการนอกใจสูงสุด คือ 1.สหรัฐอเมริกา 71% 2.เยอรมนี 68% 3.สหราชอาณาจักร 66% 4.ไทย 61% 5.บราซิล 57% 6.ฝรั่งเศส 57% 7.รัสเซีย 53%  8.ญี่ปุ่น 49% 9.โรมาเนีย 46% 10.ออสเตรเลีย 44%

โดยในปีนี้ 2566 ไทยครองอันดับที่ 4 มีอัตราสูงถึง 61% พร้อมขยายความไว้ว่า คนไทยมักจะนอกใจไปกับ “คนแปลกหน้า” ซึ่งทางแม่สื่อบริษัทจัดหาคู่ Bangkok Matching ขอให้คำจำกัดความคนแปลกหน้านี้ให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งก็คือการนอกใจในรูปแบบความสัมพันธ์ประเภท One Night Stand ที่เน้นถูกใจฉาบฉวยเพียงข้ามคืนโดยไม่ต้องสนใจทำความรู้จักกันก่อนนั่นเอง และสำหรับคู่รักที่แต่งงานกันไปแล้วก็หนีไม่พ้นการนอกใจด้วยเช่นกัน เพราะผลสำรวจยังพบว่าคนไทยส่วนมาก เคยนอกใจอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แม้จะอยู่ในฐานะแต่งงานแล้วก็ตาม เชื่อมโยงกับสถิติการหย่าในไทยที่พุ่งสูงขึ้นกว่าเก่าเกือบ 1.4 แสนคู่

สำหรับ 5 สาเหตุ ต้นตออาการนอกใจ ที่มักพบได้เป็นสาเหตุหลักๆ ในคนที่มีคู่ หรือกระทั่งแต่งงานแล้ว ได้แก่

1.ขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์ เมื่อคู่รักขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์ ทำให้พยายามแสวงหาความลึกซึ้งทางอารมณ์จากที่อื่นมาทดแทนเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง

2.รสนิยมทางเพศไม่ตอบโจทย์ ความรักมาพร้อมกับความแนบชิดทางกาย หรือความพึงพอใจทางเพศ รสนิยมทางเพศที่สอดรับกัน ทำให้บางคนใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการหาความตื่นเต้น หรือหาคู่นอนที่ตอบรับรสนิยมของตัวเอง

3.ต้องการความแปลกใหม่ ในบางคนไม่มีเหตุผลอะไรซับซ้อนนอกจากนิสัยในการชอบลองอะไรที่ตื่นเต้น แปลกใหม่ ชอบอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง นอกใจคู่รักเพื่อความตื่นเต้นท้าทายส่วนตัว โดยเฉพาะในปัจจุบันมีสิ่งเร้าที่มากกว่ายุคก่อนๆ เพียงแค่เปิดมือถือขึ้นมาก็สามารถสร้างโลกอีกใบของตัวเองขึ้นมาได้ ทำให้คนใฝ่หาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ หนึ่งในนั้นก็คือการนอกใจคู่รักผ่านโลกออนไลน์ และบนแอพพ์ และเว็บไซต์หาคู่ต่างๆ

4.ความเบื่อหน่ายและปัญหาซ้ำๆ รอยร้าวในความสัมพันธ์เป็นประเด็นที่อาจนำไปสู่ปัญหาการนอกใจได้เช่นกัน เพราะเมื่อย้อนนึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ก่อให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เหน็ดเหนื่อยกับปัญหาเดิมๆ อยากหาทางออก จึงเลือกการพาตัวเองไปเจอกับคนใหม่ หาความสนุกแบบใหม่ให้กับชีวิต

5.ความไม่มั่นใจในตัวคู่รัก บางคนอาจมีความเคลือบแคลง สงสัย ไม่มั่นใจในตัวคนรัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างอนาคต ด้านการเงิน หรือด้านบุคลิกนิสัย เมื่อเกิดความไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ก็ไม่แปลกที่จะมองหาคนที่สามในความสัมพันธ์เพื่อตามหาคนที่คิดว่าใช่มากกว่า หรือมีอะไรที่ทำให้มั่นใจมากกว่าคนรักของตัวเอง

ส่วนการใช้ “แอพพ์หาคู่” เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนนอกใจจริงหรือไม่นั้น บริษัทจัดหาคู่ระดับ Bangkok Matching ยกเอาผลสำรวจจากบริษัทวิจัย Global Web Index ที่เคยทำการสำรวจผู้ใช้งานแอพพ์หาคู่ชื่อดังผ่านผู้ใช้งานทั้งหมด 47,000 ราย และได้พบว่า 42% ที่ใช้งานแอพพ์หาคู่นั้นเป็นคนที่ “ไม่โสด” แถมยังแบ่งเป็นคนที่แต่งงานแล้วถึง 30% และกำลังมีความสัมพันธ์หรือมีคู่แล้ว 12% และต่อมาในปี 2018 นักวิจัยทีมเดิมก็ได้ทำการวิเคราะห์ผลสำรวจรวมถึงปัจจัยประกอบต่างๆ ทำให้ได้ข้อสรุปว่า “แอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์นั้นมีแนวโน้มถูกใช้เป็นหนึ่งในช่องทางสำหรับผู้ที่มีคู่อยู่แล้ว และทำให้เกิดการนอกใจกันขึ้น”

ซึ่งบริษัทจัดหาคู่ Bangkok Matching ขยายปัจจัยย่อยๆ ที่ทำให้แอปหาคู่ หรือเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์กลายเป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มอัตราการนอกใจ โดยวิเคราะห์จากประสบการณ์ในการดูแลและให้คำปรึกษาคู่รักมาอย่างยาวนานของเรา ดังนี้

ส่วนสำคัญหนึ่งที่ทำให้คนที่ตั้งใจหลอกลวงผู้อื่นเลือกใช้แอพหาคู่และเว็บหาคู่ออนไลน์นอกจะเป็นจากความสะดวกสบายในการเข้าใช้งาน ตั้งแต่การสมัครเข้าใช้งาน เพราะแอพหาคู่เดตหรือเว็บไซต์หาคู่ 90% มักใช้การคัดกรองโดยระบบอัตโนมัติ ผ่านการตั้งค่าที่เซ็ตไว้ ไม่ได้มีการตรวจสอบ/เช็กประวัติ หรือสัมภาษณ์ด้วยมนุษย์ ทำให้ใครๆ ก็สมัครได้ ทำให้ขาดการตรวจสอบคุณสมบัติที่แท้จริง

อีกทั้งการตั้งค่าประวัติ bio รวมถึง status ต่างๆ ที่มีให้เลือกนั้นก็มักเอื้อต่อการสร้างความคลุมเครือมากกว่าความชัดเจน นำไปสู่ความสัมพันธ์ลับซ่อนเร้น เพราะระบบมักไม่มีการตรวจสอบว่าสถานะโสดที่ตั้งไว้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวง รวมถึงการพูดคุยผ่านแชต ตัวอักษร หรือวิดีโอแชต ไม่สามารถยืนยันความจริงใจของคู่เดทได้ 100% ทำให้เกิดการ “ถูกหลอก” หรือการเข้ามาเพื่อ “หลอกลวง” ผู้อื่น

ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบัน ด้วยความฉลาดล้ำลึกของ AI ยังสามารถช่วยมิจฉาชีพหรือคนที่ตั้งใจจะสร้างตัวตนขึ้นมาหลอกลวงคนโสดที่หาคู่จริงจังคนอื่นๆ บนโลกออนไลน์อย่างเว็บแอพพ์หาคู่ ด้วยการสร้างคนเสมือนจริงมาวิดีโอคอลกับคุณได้อีกด้วย

ทั้งนี้ อัตราการหย่าในไทยพุ่งสูงขึ้นทุกปี โดยมีสาเหตุจากการ “นอกใจ” โดยจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง สถิติการหย่าร้างประจำปี 2565 ชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ ถึง 1.4 แสนคู่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่นำโด่งมาเป็นอันดับ 1 (17,635 คู่) ลากยาวมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2566 กรุงเทพฯ ก็ยังติดอันดับ 1 ทำสถิติหย่าร้างไป 2,955 คู่ แล้วในช่วงต้นปี

สาเหตุในการหย่า มักพบว่าจะมี 4 สาเหตุหลักที่ทำให้คู่รักตัดสินใจหย่าร้างกัน คือ 1.ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง จนลามไปสู่การไม่เข้าใจกัน การใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้คู่รักตัดสินใจเลิกราหย่าร้างกัน 2.ปัญหาการนอกใจ เป็นปัญหาใหญ่รองลงมาที่ทำให้คู่รักไปต่อไม่ได้ เพราะการนอกใจเมื่อเกิดขึ้นหนึ่งครั้งแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่เกิดครั้งต่อๆ ไป แถมในปัจจุบันนี้การนอกใจยังทำได้ง่ายและหลายช่องทาง เช่น แอพพ์หาคู่ออนไลน์ เว็บหาคู่ไทย/ต่างชาติ กลุ่มหาคู่ ฯลฯ

3.ขาดความรับผิดชอบ เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการเบื่อหน่าย ปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นในด้านของบทบาทการรับผิดชอบด้านต่างๆ ในชีวิตคู่ที่ไม่ลงรอยกัน และ 4.ปัญหายาเสพติด การใช้ยาเสพติดในครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรังมานาน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรง ความไม่ปลอดภัยในครอบครัว

สำหรับการป้องกันไม่ให้ “แอปหาคู่ออนไลน์” ทำลายความสัมพันธ์ แม่สื่อมืออาชีพ Bangkok Matching มีข้อแนะนำดีๆ เพื่อรักษาความรักของคุณมาแนะนำ ว่า

1. หมั่นเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ

การหมั่นเติมความหวานและความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดทริปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ การมีค่ำคืนโรแมนติกที่แตกต่างจากวันธรรมดา หรือการหาอะไรที่พิเศษมอบให้กันและกันช่วยเติมความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันได้ เมื่อรู้สึกเติมเต็มก็จะทำให้คู่รักไม่อยากหันหน้าไปพึ่งคนอื่น การเติมความรู้สึกดีๆ จึงเป็นคีย์สำคัญที่แนะนำให้คู่รักหมั่นเติมให้กันบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์

2.ทำสัญญาใจ ให้ความมั่นใจต่อกัน

ในการคบหากันแม้จะไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ตายตัว แต่คู่รักควรจะต้องหันหน้าพูดคุยซึ่งกันและกันเพื่อมอบความเชื่อใจ มั่นใจ ว่าเมื่อมีปัญหาหรือมีความไม่พอใจใดๆ ต่อกันจะต้องพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจ หาทางออกร่วมกัน ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรมและหันหน้าไปพึ่งแอพพ์หาคู่เดทออนไลน์เพื่อหาเพื่อนคุย หาที่ระบาย หรืออื่นๆ ใดที่เป็นการกระทำสื่อไปในทางนอกใจ

3.จริงใจ เปิดเผย ไม่มีอะไรซ่อนเร้นปิดบัง

พฤติกรรมที่โปร่งใสไม่ซ่อนเร้น ไม่แอบเล่นแอพพ์หาคู่หรือแอบคุยซ้อนกับคนอื่นขณะที่อยู่ในความสัมพันธ์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจให้กับคู่รักได้ เพราะการโกหกและถูกจับได้ภายหลังจะสร้างความหมางใจ รอยร้าวฝังลึกในความสัมพันธ์ที่ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีทางลืมได้ลงและอาจกลับกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตจนทำให้ความสัมพันธ์ต้องจบลงไปได้

4.พบผู้ช่วยบำบัดความสัมพันธ์เมื่อมีปัญหา

อย่ามองข้ามการจูงมือคู่รักเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ หรือนักจิตวิทยาเฉพาะด้าน เพราะการพูดคุยกันเองเมื่อเกิดปัญหาระหว่างกันนั้นมักไม่ได้คำตอบหรือทางออกที่เหมาะสม เพราะต่างคนก็ต่างมองจากมุมของตัวเอง แต่ถ้ามีคนกลางเป็นคนรับฟังและให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์พังทลายลงไปได้

นับได้ว่า “แอพพ์หาคู่” เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้เกิดการนอกใจและเพิ่มเปอร์เซ็นต์หย่าร้างในไทย

‘ชัยวุฒิ’ โสด!! พาสาวเที่ยวเยือนแดนพุทธภูมิ!ฉลองวันเกิด หลังพาคณะแสวงบุญเยือนวัดไทยในอินเดีย

‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ ฉลองวันเกิดสุดอิ่มเอมใจ ทั้งได้ทำบุญใหญ่ พร้อมตอบแทนผู้มีพระคุณที่สุดในโลก หลังพาคุณแม่ เดินทางแสวงบุญไกลถึงอินเดีย ดินแดนแห่งพุทธภูมิ

(3 พ.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพตนเอง พร้อมกับคุณแม่ (แม่ภรณี ธนาคมานุสรณ์) พร้อมข้อความว่า “สุขสันต์วันเกิด..ปีนี้พาสาวมาเที่ยวครับ”

พร้อมโพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า อิ่มบุญ สุขใจ ณ ดินแดนพุทธภูมิ

“ผมและคุณแม่ พร้อมด้วยชาวคณะ ได้ร่วมเดินทางไปแสวงบุญยังประเทศอินเดีย ดินแดนแห่งพุทธภูมิ ซึ่งในการเดินทางในครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสร่วมทำบุญ พร้อมกราบนมัสการและสนทนาธรรม กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพปริยัติสุธี เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เจ้าอาวาสวัดพระนอนจักรศรีวรวิหาร ประธานอำนวยการสร้างวัดไทยธรรมศาลา ดารัมซาลา อีกด้วย

“สำหรับวัดไทยธรรมศาลานั้น ตั้งอยู่ในรัฐหิมาจัล ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ได้มีดำริสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี

“อย่างที่เราชาวพุทธทราบกันดีว่า การได้สร้างวัด สร้างโบสถ์วิหาร ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจารึกไว้ในพระศาสนา นับเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ และผมขออาราธนาบุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ส่งไปถึงยังทุกท่านครับ”

วิบากกรรม 'ลิซ่า' ขึ้นโชว์ระบำเปลื้องผ้า ที่ Crazy horse ผลกระทบลุกลาม ในวันที่ 'จีน' มีอิทธิพลต่อวงการตลาดโลก

(2 พ.ย.66) ทันตแพทย์สม สุจีรา ทันตแพทย์และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ลิซ่า กับ โชว์เซ็กซี่ที่ Crazy Horse' ระบุว่า...

ไม่รู้ว่า ลิซ่าได้เงินจากการขึ้นโชว์ระบำเปลื้องผ้า ที่ Crazy horse เท่าไร…

แต่ขอบอกว่า ไม่คุ้มกันเลยกับภาพพจน์ที่เสียไป

ล่าสุด Celine และ Bvlgari กำลังพิจารณายกเลิกลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

เพราะทำให้ภาพพจน์ของสินค้าเสียหาย

ที่จีนมีกระแสแอนตี้อย่างรุนแรงต่อการขึ้นไปแสดงครั้งนี้ 

แม้แต่คนดังชาวจีนอย่าง 'แอนเจลาเบบี้' เพียงเข้าไปดูโชว์

ก็ถูก Weibo เว็บโซเชียลอันดับหนึ่งของจีนแบนและบล็อกการใช้งาน

....เงินทองก็มีมากมายแล้ว จะขึ้นไปโชว์ระบำเปลื้องผ้าเพื่อ??...

แฟนคลับลิซ่ามาแก้ต่างว่าไม่แคร์ที่โดนจีนแบน 

ที่จริงไม่เฉพาะจีน คนเอเชียทั้งหมด หรือแม้แต่ในไทย ก็ไม่ชอบ แต่ไม่กล้าพูด

ที่คลินิกผู้เขียน เดนติสเต้ ส่ง Stand เป็นรูปลิซ่ายืนเท่าตัวจริง มาให้ตั้งหน้าร้าน

ต้องรีบเก็บออกทันที เพราะภาพของเธอ ไม่ใช่สาวน้อย ที่จะมาโฆษณายาสีฟันแล้ว

ลิซ่า เป็นคนเอเชีย ก็ควรงามแบบเอเชีย การไปเต้นโชว์เรือนร่าง สรีระ แบบเกือบเปลือย

ชาวตะวันตกมองเป็นเพียงสิ่งที่เงินซื้อได้ เอาคนดังของเอเชียมาทำแบบนี้ให้สะใจเล่นๆ แต่เทียบแล้วไม่ติดอันดับความเซ็กซี่ของสาวอเมริกัน

จีน มีอิทธิพลต่อวงการตลาดโลกเป็นอย่างมาก ถ้าสินค้าตะวันตกจะเข้าไปขายในจีน

ต้องอย่าไปทำอะไรที่ขัดใจชาวจีน...นับแต่นี้ไปจะให้ลิซ่าเป็นพรีเซนเตอร์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด...

คนจีน รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ที่ครั้งหนึ่งเคยคลั่งไคล้ลิซ่า ยกให้เป็นไอดอล แล้วมาทำแบบนี้

คิดว่า ที่ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, มาเลเซีย, อินโดฯ, สิงคโปร์ หรือแม้แต่เกาหลีใต้ต้นสังกัดก็ไม่ชอบเช่นกัน

>> ลิซ่า ไม่เหมือน มาริลีน มอนโร ที่ภาพพจน์เริ่มต้นมาจากการขายเรือนร่าง 

แต่เป็นภาพของสาวน้อยน่ารัก ใสบริสุทธิ์ และมีความมานะพยายาม เป็นต้นแบบของเยาวชน

ภาพเหล่านั้นหายไปหมดเลยทันทีที่ขึ้นเวที Crazy Horse

รูปที่หลุดออกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งอันน้อยนิดกับภาพความเซ็กซ์ที่ขึ้นโชว์ในวันนั้น

>> เมื่อบรรลุสัจจธรรมจะรู้ว่าเงินไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต มิฉะนั้น เอลวิส เพรสลี่ย์, ไมเคิล แจ็คสัน มาริลีน มอนโร ฯลฯ คงไม่มีตอนจบที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

‘สัปเหร่อ’ ตอกย้ำกระแสความปัง เตรียมขึ้นจอฉาย 9 ประเทศ ให้ผู้ชมต่างแดนได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านของคนอีสาน

(2 พ.ย.66) กระแสยังคงเเรงไม่ตก สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘สัปเหร่อ’ หลังกวาดรายได้มุ่งสู่ 700 ล้านบาททั่วประเทศไปหมาด ๆ พร้อมสถิติขึ้นแท่นหนังไทยที่ทำรายได้มากที่สุดในรอบ 10 ปี แม้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไม่ถึง 1 เดือน ด้วยทุนสร้างประมาณ 10 ล้านบาท

ล่าสุด ‘สัปเหร่อ’ เตรียมโกอินเตอร์แล้ว โดย ‘ไทบ้าน’ ได้ประกาศว่า สัปเหร่อกำลังจะเข้าฉายสู่ 9 ประเทศ ให้ผู้ชมในต่างแดนได้สัมผัส ประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น, สิงค์โปร์, ไต้หวัน, มาเลเชีย, พม่า, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเชีย และกัมพูชา

ด้าน ‘ต้องเต-ธิติ ศรีนวล’ ผู้กำกับและเขียนบท ก็ได้โพสต์ข้อความสั้น ๆ แทนความรู้สึกกับความสำเร็จอีกขั้นในครั้งนี้ ว่า “เตรียมตัวออกเดินทางได้ ขอบคุณหลาย ๆ เด้อครับ”

เปิดเรตติง ‘พรหมลิขิต’ EP. ล่าสุด พุ่งทะลุ 7.12 จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ฟาก ‘ลมพัดผ่านดาว’ ต่ำสุดตั้งแต่ออนแอร์ ทำเอาเพจดังถึงกับตั้งคำถาม

(1 พ.ย. 66) ปังต่อเนื่อง!! ‘โป๊ป-เบลล่า’ แน่จริง สำหรับละคร ‘พรหมลิขิต’ ล่าสุด #พรหมลิขิตEP6 ออกอากาศเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 นอกจากติดอันดับ 1 เทรนด์ไทย บน X (ทวิตเตอร์) ยอดดูสดออนไลน์ 1.1 ล้านคน กับการเป็นคู่กัดคู่รักของ ‘พ่อริด’ (โป๊ป ธนวรรธน์) และ ‘แม่พุดตาน’ (เบลล่า ราณี) และการลุ้นได้เจอหน้ากันของ ‘คุณหญิงการะเกด’ กับ ‘แม่พุดตาน’ ทำเอาเรตติงพรหมลิขิต EP.6 พุ่งขึ้นมาสูงสุดอยู่ในขณะนี้ ที่ 7.12 เลยทีเดียว!!

ขณะที่เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 เพจดัง ‘เขวี้ยงรีโมท’ ออกมาตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับ 2 ละครดัง ‘พนมนาคา’ และ ‘ลมพัดผ่านดาว’ เรตติงต่ำที่สุดตั้งแต่ออนแอร์ ได้ไป 1.768 และ 1.872 ด้วย” ส่วนวันที่ 31 ต.ค. ลมพัดผ่านดาว เรตติงขยับขึ้นมาอีกนิด ได้ไป 2.22


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top