Sunday, 28 April 2024
NEWSFEED

‘Miss Tiffany’ ดึง ‘อ๊าท อารยา’ เจ้าแม่แฟชัน จัดกระบวนทัพอลังการตรึงเอฟซี พร้อมประกาศกร้าว!! เฟ้น ‘คนมงพร้อมใช้’ สวย-เก่ง-สง่า ใน Miss Tiffany ครั้งที่ 25

กลับมาอีกครั้งกับเวทีอันดับหนึ่งประกวดสาวทรานส์ของประเทศไทย Miss Tiffany ซึ่งเดินทางมาถึงปีที่ 25 ภายใต้แนวคิด ‘The Future is Yours : โลกใหม่ที่คุณนิยาม’ เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกเจนด้วยคอนเทนต์ที่แปลกตา ดึงภาพลักษณ์สู่โลกอนาคต พร้อมรูปแบบการประกวดที่แข่งขันกันเข้มข้นทุกนาที เพื่อให้แฟนๆ ได้ลุ้นกันตั้งแต่ช่วงการเก็บตัว, กรูมมิ่งศักยภาพ ดึงคาแรกเตอร์โชว์ตัวตน กันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ทางเวทีประกวด Miss Tiffany หนนี้ ยังมีภารกิจ Mission ท้าทายหลากหลายมุม ทั้งร้อง เต้น เดินแบบ เสริมบุคลิกภาพ การแสดงออก และมีชาเล้นจ์ดีเบตประเด็นสังคม เรียกว่ากองประกวดมั่นใจว่า ‘มงลงคนใด’ คนนั้นพร้อมใช้งานทุกด้านแน่นอน 

ทั้งนี้ Miss Tiffany คนที่ 25 จะได้รับของรางวัลมากมาย พร้อมทั้งโอกาสเข้าวงการบันเทิงและแฟชันชั้นนำระดับประเทศ อาทิ ช่อง 3 HD นิตยสาร ELLE ประเทศไทย และ โมเดลลิ่งชื่อดัง อย่าพลาดโอกาสกำหนดอนาคตของคุณ โค้งสุดท้ายแล้วรับสมัครสาวทรานส์ถึงวันที่ 18 พ.ย. 66 (23.59 น.) เท่านั้น!!

อ๋อ!! ลืมบอกว่า อีกความพิเศษของ Miss Tiffany ครั้งที่ 25 นี้ คือ การได้คุณอ๊าท อารยา อินทรา ตัวแม่ตัวมัมแห่งวงการแฟชันระดับประเทศ มาเสริมทัพปรับลุคในตำแหน่ง Fashion Style Consultants, Miss Tiffany ครั้งที่ 25 มาช่วยยกระดับความจัดจ้านให้เวทีแห่งนี้ไปอีกขั้น 

สำหรับ Timeline กิจกรรมสำคัญ และคลาสกรูมมิ่งที่จะเข้มข้นแบบทุกมิติในทุกสัปดาห์ เพราะจะมีชาเล้นจ์ที่เปิดโอกาสให้คนทางบ้านมีส่วนร่วมในการตัดสินนั้น จะทำให้ผู้เข้าประกวดทุกคน ต้องประชันกันอย่างถึงที่สุด ใครไม่แน่จริงตกรอบแน่นอน!!

เปิดรับสมัครถึงวันที่ 18 พ.ย. 2566 นี้
- 15 ธ.ค. 2566 : Audition คัดเลือก 30 คนสุดท้าย 
- 16 ธ.ค. 2566 : Orientation & Sash Ceremony  
- 7 ม.ค. 2567 : ประกวดความสามารถพิเศษ
- 14 ม.ค. 2567 : Dancing Challenge
- 21 ม.ค. 2567 : Debate Challenge
- 28 ม.ค. 2567 : Sense of Self Challenge
- 29 ม.ค. 2567 : Fashion Show สุดพิเศษ
- 2 ก.พ. 2567 :  Preliminary Round
- 4 ก.พ. 2567 : Final Round ที่โรงละครทิฟฟานี่โชว์พัทยา

เกาะติดสถานการณ์ ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครมีของ ได้ที่ >> https://www.facebook.com/MissTiffanyUniverse และทุกช่องทางโซเชียลของ Miss Tiffany

แลนด์มาร์กใหม่ย่าน ‘บางนา’ เพื่อ ‘คนรักกีฬา-ความบันเทิง’ ใต้ประสบการณ์ ‘ตีกอล์ฟ’ สุดคูล!! พ่วง ‘PLAY-FOOD-FUN’

หลังเลิกงานเมื่อไร สมงสมองก็ไปหมดทุกที งานนี้เลยขอผ่อนความล้าล่าความฟินไปกับกิจกรรมทำคลายเครียดแนวๆ สักหน่อย!! โดยวันนี้ THE STATES TIMES จะขอพามาแนะนำกับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่านบางนา ที่สามารถมาทำกิจกรรม ทั้งออกกำลังกายชิลๆ หรือจะแวะมาแฮงค์เอาท์เบาๆ กับกลุ่มเพื่อนในที่เดียวก็ไม่ติดที่ ‘Topgolf Megacity’ สนามไดร์ฟกอล์ฟ ที่จัดเต็มทั้ง แสง – สี- เสียง – เทคโนโลยี และชูจุดขายเรื่องอาหารและเครื่องดื่มแบบเต็มพิกัด

ที่นี่เป็นแหล่งความบันเทิงชั้นนำที่รวบรวมความสนุกแบบครบครัน ทั้งกิจกรรมตีกอล์ฟที่มีให้เลือกเล่นหลากหลายรูปแบบ พร้อมทั้งบาร์นั่งชิล และอาหารที่พร้อมเสิร์ฟให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ ในคอนเซปต์ ‘PLAY-FOOD-FUN’ เรียกได้ว่ามาที่นี่ ครบ จบ ในที่เดียวเลยจริงๆ...

สำหรับ ‘Topgolf Megacity’ มีไฮไลต์ที่คนรักกีฬาตีกอล์ฟจะเอ็นจอยได้สุดๆ ภายใต้ความพิเศษของที่นี้นั้น คือ เขามีเกม กีฬา ที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่ง Topgolf Megacity นั้น สร้างอยู่ภายใน Megacity โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว่า 400 ไร่ เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 70 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกรุงเทพฯ นั้นถือเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดให้บริการเลย!!

โดยความพิเศษของที่นี่นั้น คือการมี ฮิตติ้งเบย์ มากถึง 102 เบย์ แต่ละเบย์จะมีที่นั่งรองรับ อำนวยความสะดวกไว้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ มีสนามพัตต์กอล์ฟ 18 หลุมที่เขาเคลมมาเลยว่า ‘ดีที่สุดในกรุงเทพฯ’ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของพื้นที่ว่าถ้าไปแล้วจะพอไหม แออัดหรือเปล่า? เรื่องนี้ตัดออกไปได้เลย เพราะเขาเปิดให้บริการทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งพื้นที่แต่ละชั้นนั้นก็กว้างขวางพอสมควรเลย

และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสนามกอล์ฟแห่งนี้ เขาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบใหม่ โดยใช้ ‘ลูกกอล์ฟฝังไมโครชิป’ ทำให้ผู้เล่นสามารถทำคะแนนได้โดยตีลูกกอล์ฟไปยังพื้นเป้าขนาดใหญ่ ที่มี ‘Toptracer’ และ ‘HDTV’ รอบสนามกว่า 300 จอ คอยติดตามความเคลื่อนไหวในการตีของเราและบอกคะแนนในแต่ละรอบให้เราค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นใครที่เบื่อการตีกอล์ฟแบบเก่าๆ ที่นี่ก็มีการตีกอล์ฟผ่านสนามเสมือนจริงด้วย โดยจะมีการจำลองเป็นรูปแบบของเกมให้เลือกในการตีกอล์ฟได้ถึง 14 เกม เรียกได้ว่าคนเล่นเป็นหรือเล่นไม่เป็นก็เอ็นจอยได้ทั้งหมด!!

ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมีไฮไลต์อย่าง PRIVATE EVENT SPACES, ROOFTOP BAR, WINE & WHISKEY LOUNGE, PATIO INDOOR & OUTDOOR RESTAURANT ไว้ให้บริการเหมาะกับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์ ปาร์ตี้ งานเฉลิมฉลอง การพูดคุยทางธุรกิจ อีกด้วย

ในส่วนของค่าบริการ ถ้าเป็นวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เริ่มต้นที่ 550 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ วันศุกร์-เสาร์ เริ่มต้นที่ 650 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ สามารถรองรับผู้เล่นได้สูงสุดถึง 6 คนเลย หากไปกับกลุ่มเพื่อนหารกันแล้วตกแค่คนละ 100 ต้นๆเท่านั้นเอง!!

ขอเสริมกันอีกนิด สำหรับผู้ที่มาใช้บริการครั้งแรก มีค่าลงทะเบียนแรกเข้าอยู่ที่ 150 บาท

เรียกได้ว่าที่นี่ ‘ลบภาพจำ’ ของการตีกอล์ฟแบบเดิมๆไปเลย ยกให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่สำหรับคนรักกีฬาและความบันเทิงที่ควรค่าแก่การมาลองเลยทีเดียว...

สำหรับเวลาให้บริการ : อาทิตย์-พฤหัสบดี 09:00-23:00 น.
ศุกร์-เสาร์ 09:00-24:00 น.

พิกัดการเดินทาง: https://maps.app.goo.gl/EF3rX57uoM9DRg4AA?g_st=ic

ติดต่อสอบถาม: 0-2114-1289 (แนะนำให้โทรมาจองก่อน)
หรือสามารถจองผ่านเว็บไซต์ได้ที่: www.topgolfthailand.com

ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก: https://topgolfthailand.com/about/

ส่องนิสัย ‘ลิซ่า’ ขณะครองบัลลังก์แบรนด์แอมฯ ‘CELINE’ ไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่มีขอ ‘ส่วนลด-สิทธิพิเศษ’

(10 พ.ย.66) จากเพจ 'Lisadailynews - Ldn0327' เผยเบื้องหลังสุดทึ่ง สิ่งที่ลิซ่าทำกับ CELINE แม้จะเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ ระบุว่า...

มีรายงานถึงพฤติกรรมน่าทึ่งของลิซ่า BLACKPINK ว่า ตั้งแต่เธอรับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ของ CELINE ลิซ่าแทบไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่เธอมีเลย

โดยในโพสต์ล่าสุด OP แบ่งปันว่า...แม้ว่าลิซ่าจะสามารถใช้สิทธิพิเศษของแอมบาสเดอร์ได้อย่างง่ายดายซึ่งรวมถึงส่วนลดมากมายสําหรับสินค้า แต่ลิซ่ากลับเลือกที่จะไม่ทํา

[CELINE] ให้สิ่งของแก่เธอ พีอาร์ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เธอทุกปี แต่เธอกลับยังจ่ายเงินของตัวเองซื้อของและเธอซื้อเป็นจำนวนมากทุกครั้ง

เธอใช้บัตรเครดิตส่วนตัว แม้ว่าบริษัท มีการเสนอส่วนลด 40% หรือ 30% ของแอมบาสเดอร์ให้กับเธอแต่ลิซ่าก็ไม่ได้ใช้มัน

นี่มันแสดงให้เห็นว่า ‘ลิซ่า’ ร่ำรวยมากจริงๆ

เมื่อทวีตดังกล่าวถูกแชร์มันได้รับความสนใจในหมู่ BLINKs ทันที

‘อาร์ต พศุตม์’ เล่าชีวิตวัยเด็ก รายล้อมด้วยอบายมุข แต่เพราะฟังคำสอนพ่อแม่และดิ้นรนชีวิตจนมีทุกวันนี้

(9 พ.ย.66) ‘อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม’ พระเอกหนุ่มหล่อซิกซ์แพ็กแน่น ที่ช่วงนี้เนื้อหอมมากและกำลังมีกระแสเรื่องความรัก ล่าสุดมาสัมภาษณ์แบบเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กที่เคยโดนแบ่งชั้นวรรณะจากญาติพี่น้อง จนมีปมด้อยกลายเป็นเด็กเกเรแบบสุดๆ พร้อมทั้งเล่าถึงการมูเตลูกับตัวเอง เผยตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องการแต่งงาน หรือหากมีครอบครัวก็คงจะไม่มีลูก ว่า…

>> คุณโตมาในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา?

อาร์ต : อบอุ่นมาก อบอุ่นจนร้อน จนบางทีคิดว่าอบอุ่นเกินไป ผมเหมือนไข่ในหินจากเด็กจนถึง ม.1 ถ้าเข้าบ้านเกิน 6 โมงเย็นนี่คือโดนตีแล้ว ทำอะไรผิดก็แล้วแต่จะโดนตียับ ทั้งพ่อและแม่ แต่ผมชอบ จากบทเรียนพวกนี้มันเลยทำให้ผมเป็นคนแบบนี้ กลับไปย้อนวัยเด็กก็คือตอนกลับไปอยู่ที่มหาชัยคือจุดเปลี่ยนชีวิตสุดๆ จากคนเคยดีเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้า

>> คุณพูดถึงตัวคุณเอง?

อาร์ต : ไม่ครับ คนรอบข้างผมกำลังพูดถึงการแบ่งวรรณะของคน จากญาติตัวเอง มาอยู่บ้านญาติสิ เราเคยอยู่บ้านที่มีพื้นที่ 1 ไร่ ให้เรามาอยู่ห้องพื้น 3 เมตรคูณ 3 เมตรแล้วอยู่ 4 คน เด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไรก็นอนได้ก็โอเค แต่พอเริ่ม 3-4 เดือนก็เริ่มเหมือนไม่ให้นอนทุบห้องทิ้ง พี่ชายผมต้องไปนอนระเบียงบ้าน นอนกางมุ้งคือฝนสาดก็โดน พ่อแม่ได้ที่จากญาติในบริเวณมหาชัยได้มาห้องขนาด 3 เมตรคูณ 6 เมตร ตู้เสื้อผ้าแบ่งกลาง แล้วมหาชัยมันมีน้ำขึ้นน้ำลง น้ำขึ้นก็นอนไม่ได้ต้องตื่นวิดน้ำ ฝนตกก็นอนไม่ได้ น้ำก็ไหลลงตามผนังลงมา ก็เลยเป็นสาเหตุให้ไม่อยากกลับบ้าน ไปนอนบ้านเพื่อน

>> ที่คุณบอกว่าครอบครัวมีการแบ่งชนชั้นคือแบ่งยังไง คุณรู้ได้ยังไง แล้วเขามาทุบห้องเพราะอะไร พ่อแม่ไม่เล่าให้ฟัง?

อาร์ต : ไม่มีเหตุผล พ่อเป็นคนไม่พูด พ่อเขาเป็นคนรักพี่รักน้อง เขารู้ในจุดที่เขายืนตอนนี้คือพลาดแล้วที่กลับไปอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยช่วงนั้นฟองสบู่แตก งานก็ไม่มี ญาติก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เรียกพ่อมาคุยบอกเฮียอายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยนะ เราฟังแล้วแบบไม่โอเค จนเราเริ่มโตขึ้นในสังคมที่แบบเรารู้ว่าโดนแบ่งชนชั้นวรรณะแล้ว เราไม่มีตังค์ตั้งแต่เด็ก เริ่มเที่ยว เริ่มเกเร เริ่มเป็นหัวโจก เริ่มแข่งมอเตอร์ไซค์ เพื่อเอามากลบปมด้อยของตัวเอง พยายามสร้างตัวตนขึ้นมา แต่อะไรที่ติดคุกไม่ทำ ผมจะเป็นกลุ่มที่เลวแต่มีคุณธรรม

>> ความคิดตรรกะของเด็กคนหนึ่งที่อยู่ล้อมรอบด้วยอบายมุขมากมาย มันก็ต้องมาจากการเฝ้าสอนของผู้ใหญ่?

อาร์ต : ใช่ ย้อนกลับไปตอนแรกที่ผมบอกว่าผมชอบนะ ที่พ่อแม่ตี ผมเคยเห็นตอนอยู่บางลำพู พ่อแม่เขาจะรับเลี้ยงเด็กคุก ที่มาทำงานกับพ่อก็คือเด็กคุกทั้งนั้น ผมเคยเห็นแม้กระทั่งปักเฮโรอีนที่แขนแล้วก็ฟุบลงไปเช้ามาก็อยู่ท่านี้ตายแล้ว ผมเคยไปเล่าในรายการหนึ่งว่าผมเคยเห็นยาไอซ์ก้อนขนาดใหญ่ คนหาว่าผมขี้โม้ แล้วแต่เลย ผมไม่ได้แคร์คอมเมนต์โซเชียล ไม่เชื่อไม่เป็นไรแต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้โกหก ผมอยากเป็นแสงสว่างให้คนที่เขาคิดว่าผมไม่ได้โกหก

>> ทำไมเกิดขึ้นบ่อยในชีวิต ที่คุณทำแล้วคนหาว่าคุณโกหก?

อาร์ต : มันเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ อย่างเช่นตบปืน พี่จะเชื่อไหมว่าคนตบปืนได้จริงๆ แล้วลั่นข้างหูจริงๆ พี่เชื่อไหม

>> พี่เชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนโลกนี้?

อาร์ต : ใช่ แล้วผมก็บอกทุกคนว่าอย่าทำแบบที่ผมทำ ผมเคยโดนเอาปืนจ่อหัวจริงๆ แล้วผมกระชากลงพื้น มีพยานเห็นประมาณ 13-14 คน แล้วพยานคนหนึ่งเจ้าของเรื่องเป็นข้าราชการอยู่ที่สระบุรี คนนี้ตัวต้นเรื่อง

>> ทุกวันนี้ทราบมาว่าการเดินทางของคุณไปตามที่ต่างๆ มันมีความหมายมากในชีวิต เพราะถ้าเกิดว่าได้มีโอกาสไปกราบไหว้หรือว่าไปมูเตลู เล่าให้ฟังหน่อยว่าตอนนี้ไปในทิศทางไหน?

อาร์ต : ก่อนหน้านี้ 15 ปี ไหว้ทุกที่ ทุกคนลงกระหม่อมได้หมด แล้วผมรู้สึกว่าชีวิตสับสน แล้วผมก็ไปเจอคนหนึ่งเขาก็บอกว่า อาร์ตรู้ไหมว่าจริงๆ การไปมูหลายๆ ที่มันไม่ได้ดี มันเหมือนสีขาว สีดำ สีแดง สีเหลือง มาปนเปกัน จนไม่รู้เลยมันมีสีอะไร อาร์ตควรจะมีคนที่นับถือแค่ 1 คน หรือ 2 คน หรือเป็นพระอาจารย์ ตอนนี้ผมมีพระอาจารย์อยู่ 2 คน คือหลวงพ่อวราห์ กับ หลวงพ่อแป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ ซึ่ง 2 องค์นี้ท่านก็เป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้จะชอบมูกับตัวเอง เช่น นั่งสมาธิขอพรกับตัวเอง ไม่ได้เห็นการขอพรเป็นธุรกิจถ้าได้แล้วจะทำนะ ไม่ทำเลยสวดมนต์ให้คนข้างในเราแข็งแรง ให้เขามีพลัง อฐิษฐานเมตตาจิตต่างๆ นาๆ สร้างกำแพงในตัวเราขึ้นมาเยอะๆ สูงๆ ให้เขามีพลังให้เขาช่วยเราได้ อันนี้ผมว่าตั้งแต่ทำมาเวิร์กสุด แล้วแต่วิจารณญาณคนนะ บางคนก็เชื่อว่าจะมีเทพคุ้มครองตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเทพคุ้มครองตัวเราเขาไม่แข็งแรง ก็จะมีหลายคนบอกว่าในเมื่อถ้าเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เขาจะมาพึ่งพาอาศัยมนุษย์ทำไม เขาบอกว่าเทพจริง ๆ ไม่สามารถเพิ่มบุญให้ตัวเองได้ ต้องเป็นการที่คนทำให้ แต่เทพจะมาคอยช่วยเหลือเรา ถ้าเราทำเทพในตัวเราให้แข็งแรง เขาก็จะทำให้พลังในตัวเรามีออร่า ผมนั่งสวดมนต์ให้ตัวเอง ผมขออยู่ 2 อย่าง มีสง่า มีบารมี ตอนนี้ผมหมั่นเพียรทำมาประมาณ 8-9 ปีแล้ว

 >> ไม่คิดเรื่องแต่งงาน?

อาร์ต : ไม่มีเลย ไม่มีในหัวเลย ตอนนี้การเลี้ยงเด็ก 1 คนเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้ามีครอบครัวโอกาสมีได้ แต่ถ้ามีลูกคงจะไม่มีแล้ว มันไม่ได้เหมือนยุคที่เราโตมา ที่เด็กจะอยู่ในกรอบของครอบครัว ตอนนี้เลี้ยงเด็ก 1 คน ต้องมีโทรศัพท์ให้เขาแล้ว 1 เครื่อง แล้วในโทรศัพท์มันจะไม่อยู่ในกรอบเราเลย ที่เราจะแบบคุมมันได้ จริงๆ ผมเป็นคนดุนะ เป็นคนค่อนข้างเนี้ยบแต่ใจดี แต่จะพูดบอกหรือห้ามอะไร 2-3 ครั้งแล้วจะไม่พูดอะไรอีก แต่ถ้าเป็นลูกเราไม่ได้ ก็จะพูดอยู่นั่นละ แล้วก็ถ้ามีลูกผู้ชายคงจะติดคุกถ้ามีใครมาทำร้ายลูกเรา เพราะเราเอาคืนแน่นอน หรือถ้ามีลูกผู้หญิงใครมาปล้ำลูกเรา เราก็คงจะเอาตายเหมือนกัน

อดีตสต๊าฟ Celine ยกย่อง 'ลิซ่า' คนดัง 'ถ่อมตัว-ไม่ทรยศแฟนคลับ' 'ซื้อของ' ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ มีอาการป่วยก็ยังใส่เต็มเพื่อแฟนๆ

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.66) จากเพจ ‘Lisadailynews - Ldn0327’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับอดีตสต๊าฟ Celine เล่าเหตุการณ์ที่ตนรู้ประทับใจในตัว ‘ลิซ่า Blackpink’ เมื่อเข้ามาซื้อของในร้าน ว่า…

"ย้อนกลับไปตอนที่ยังทำงานอยู่ ก็ประมาณ 6 โมงกว่าๆ พอดีกำลังจะเลิกกะ แล้วบังเอิญไปเจอลิซ่าที่ร้าน Celine เธอเข้ามาที่ร้านและลองเสื้อผ้ามาใหม่หลายตัว และในที่สุดเธอก็ซื้อกางเกงยีนส์ ชุดฤดูร้อน และน้ำหอม ต่างจากตารางงานของคนดังทั่วไปที่ต้องมีการเคลียร์ล่วงหน้า เธอไปที่นั่นแบบสบาย ๆ ช้อปปิ้งโดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางส่วนตัวของเธอกับตัวแทนของเธอ และไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นอกจากนี้ LVMH ที่บริษัทไม่อนุญาตให้มีการร้องขอลายเซ็นต์หรือรูปถ่าย

ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้เข้าร่วมคอนเสิร์ตของ Blackpink โดยมีลิซ่าเป็นส่วนหนึ่งของวง และบังเอิญฉันได้ที่นั่งใกล้เวทีมากท่าทางของเธอทั้งในและนอกเวทีแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บนเวทีเธอเต็มไปด้วยพลังงาน เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสง มันทำให้ฉันตระหนักว่า...ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางชีวิตใดก็ตาม อย่างน้อยเมื่อเธอเผชิญหน้ากับผู้ชม เธอก็ทุ่มเทอย่างจริงใจ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก…ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้

จริงๆ แล้ว…อาการของลิซ่าไม่ค่อยดีนักในตอนนั้น เธอกินยาแก้ปวดหัวหลายครั้ง เธอปรากฏตัวโดยไม่แต่งหน้า ดูเป็นธรรมชาติ และผิวของเธอก็ซีดอย่างเห็นได้ชัด พนักงานร้านชาวเกาหลีคนหนึ่งของเราถามเธอเป็นภาษาเกาหลีว่าสุขภาพของเธอสบายดีไหม และเธอก็ตอบว่า "โอเค" โดยบอกว่าตารางคอนเสิร์ตที่ยุ่งของเธอทำให้เธอมีเวลาพักผ่อนจำกัด”

‘แบมแบม’ ไม่ทน!! เตรียมเช็กบิลแอนตี้แฟนชอบกุเฟกนิวส์ ลั่น!! คราวนี้เอาจริง อยู่คนละประเทศ ก็จะล่าตัวมาให้ได้

(7 พ.ย.66) ทำเอาเหล่าอากาเซ่ถูกใจเป็นอย่างมากเมื่อ ‘แบมแบม GOT7’ หรือ แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ที่เป็นอีกหนึ่งคนที่โดนถ้อยคำว่าร้ายจากชาวเน็ตมาตลอด โดยล่าสุดนี้เจ้าตัว ออกมารีโพสต์ถึงบริษัทต้นสังกัด @BAMBAMxABYSS ระบุข้อความว่า "คุณสามารถทำอะไรกับพวกคนที่พูดจาแย่ๆ และสร้างข่าวปลอมถึงผมได้ไหม ผมเบื่อและทนไม่ไหวแล้ว ใครก็ตามที่มีปัญหากับผม ก็รอดูตอนจบแล้วกันนะ"

ต่อมาเจ้าตัวยังโพสต์ต่อเนื่องว่า ถึงเวลาทำเงินสักหน่อยแล้ว ก่อนที่ผมจะไปทำงานต่อ ขอบอกอะไรหน่อย คราวนี้ผมเอาจริง พวกแอนตี้ฯ คิดว่าผมทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่คนละประเทศใช่ไหม ผมจะทำเต็มที่เพื่อตามหาคุณ แล้วมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

หลังจากที่แบมแบม ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวนั้นเหล่าอากาเซ่ทั้งไทยและต่างประเทศต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งสนับสนุนที่ศิลปินลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองด้วยการฟ้องร้องกลุ่มพวกแอนตี้แฟน พร้อมทั้งส่งกำลังใจให้หนุ่มแบมแบมจัดการคนพวกนี้ได้สำเร็จ

‘โตโน่’ ถ่ายคลิปสมาชิกในบ้าน หลังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมแวะแซว!! ‘ณิชา’ แฟนสาว "คุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม?"

(6 พ.ย. 66) เล่นเองเขินกันเองซะงั้น เมื่อนักร้องหนุ่ม ‘โตโน่ ภาคิน’ ควงหวานใจ ‘ณิชา ณัฏฐณิชา’ ที่ว่างจากการถ่ายละครแล้ว เดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดขอนแก่นด้วยกัน พร้อมกับ คุณแม่น้อย สุดลมโชย และ ต้องตา น้องสาว เพื่อไปเป็นกำลังใจเชียร์เจ้าตัวลงสนามแข่งขันฟุตบอล ให้กับสโมสรขอนแก่น เอฟซี ทีมในไทยลีก 3

โดย ‘โตโน่’ ได้โพสต์คลิปผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว แนะนำคนในบ้านที่มารวมตัวกันพร้อมหน้า เริ่มจาก น้องเขย, หลาน, เพื่อนน้องสาว, น้องสาว, คุณแม่ กับหลานตัวน้อยสมาชิกใหม่ ต่อด้วยน้องสาวอีกคนนึง แล้วก็คุณป้าอีก 2 ท่าน

ก่อนจะแพลนกล้องไปที่ ‘ณิชา’ ที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับพูดแซวขำๆ ว่า "ส่วนคุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม ฮะคุณเป็นใคร" จากนั้นฝ่ายหญิงได้ยิ้มตอบกลับแบบเขินๆ ว่า "ฉันเป็นเพื่อนต้องตา"

งานนี้แฟนๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ช่วยตอบคำถามแทนณิชากันยกใหญ่ อาทิ ชั้น…เป็นคู่ชีวิต…ของคุณ, คนสุดท้ายแฟนคนถ่ายมั้ยนะ, คนสุดท้ายสมาชิกใหม่ครอบครัวของผม, แฟนคุณไงคะ, แฟนคุณไง คุณโตโน่, ว้ายๆๆๆๆๆ….. แม่ของลูกปมครับ ฯลฯ

นักแสดงหนุ่ม ‘โอ๊ตมีล’ ร่ำไห้ ถูกช่างตัดผมตัดใบหู เย็บ 7 เข็ม ทางร้านนิ่งเงียบไม่รับผิดชอบใดๆ ลั่น!! ตอนนี้เสียสุขภาพจิตสุดๆ

(6 พ.ย. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อก (TikTok) ‘Oatmeal’ ซึ่งเป็นของนักแสดงชาย สังกัด เอ็มโฟลว์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ได้ออกมาอัดคลิปพร้อมขอความช่วยเหลือจากพี่ ๆ สื่อมวลชน ระบุข้อความว่า…

"ในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา ผมไปรับบริการตัดผมที่ร้านตัดผม ย่านทองหล่อ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ช่างตัดผมตัดหู และเย็บไป 7 เข็มครับ หลังจากนั้นทางช่างจ่ายค่ารักษาพยาบาลไป 15,375 บาท และไม่มีการรับผิดชอบอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ครับ มีการเจรจาไปแล้ว 1 ครั้ง ช่างตัดผมไม่ให้ค่าสินไหมใดๆ ทดแทน

แต่จะให้เงิน 1,500 บาทไปทำประกันที่พ่วงกับบัตรเครดิตครับ ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะให้ไปคุ้มครองตอนไหน ในเมื่อผมเจ็บตัวไปแล้ว และบอกว่าจะดูแลเรื่องแผลเป็น แต่พอสังกัดผมทักถามไป ก็ไม่มีการรับผิดชอบใด ๆ กลับเงียบเฉย ตอนนี้ผมเป็นแผลเป็นที่ติ่งหูด้านขวาครับ และเสียสุขภาพจิตมาก ๆ ผมในฐานะนักแสดงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมโดนตัดหูแท้ ๆ วันนี้ผมจึงรวบรวมความกล้าที่อยากจะติดต่อพี่ ๆ สื่อมวลชนในการขอความช่วยเหลือเพื่อความเป็นธรรมครับ"

'สว.วีระศักดิ์' ชี้ นโยบาย Soft Power ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว เพราะมีหลายมิติทับซ้อนกันอยู่

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 66 ที่โรงแรม S31 กรุงเทพฯ SPACEBAR ได้จัดงานเสวนา SOFT POWER ฝันไกลไปได้แค่ไหน? เปิดเวทีระดมความคิดเห็นบุคลากรหลากหลายวงการ มาร่วมสะท้อนมุมมอง กับแนวคิดนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล ที่จะผลักดัน SOFT POWER ไทย ให้มีศักยภาพส่งต่อไปถึงความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่สายตาชาวโลก

โดยในเวทีดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภาและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ว่า...

ความเป็นไปได้ในการผลักดันนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ว่า นับเป็นครั้งแรกที่ นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ถูกหยิบยกเป็นนโยบายระดับชาติ จากทั้งทางพรรคเพื่อไทยเอง และทุกพรรคที่หาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งหากอ้างอิงจากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวถึง Roadmap ก็ประเมินว่า อาจจะใช้เวลาถึง 3 ปี ถึงจะเริ่มเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ตามแผน

“นโยบายนี้อาจจะไม่สามารถคาดหวังได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะเป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว รวมถึงนโยบายนี้มีมิติ 3 ด้านสำคัญ คือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทับซ้อนกันอยู่ อย่างประเทศที่ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์สำเร็จอย่าง เกาหลีใต้ สำเร็จได้จากนโยบายการเมืองที่แข็งแรงและต่อเนื่อง” วีระศักดิ์ กล่าว

'ต้องเต' หวังรัฐบาลไทยหนุนภาพยนตร์ไทยเต็มกำลัง หลังยก 'สัปเหร่อ' ขึ้นแท่น Soft Power ของไทย

จากกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ หลังชม ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตรประธานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ว่า ..."'สัปเหร่อ' คือภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของภาคอีสานผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ผมเชื่อว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จคือการที่ผู้กำกับ และทีมงานภูมิใจในรากเหง้าของตัวเอง ควรค่าแก่การสนับสนุนครับ

รัฐบาลเราสนับสนุน Soft Power ทุกมิติ ด้านภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เราพร้อมที่จะผลักดันให้ภาพยนตร์ไทยพาวัฒนธรรมของเราออกไปสู่สายตาชาวโลกเป็น ‘จุดขาย’ ไปสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้และความชื่นชอบให้กับประเทศไทย"

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 66 นายธิติ ศรีนวล หรือ ต้องเต ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ กล่าวในรายการอยู่ดีมีแฮง ช่อง ThaiPBS ว่า "ผมคาดหวังว่าเรื่องต่อ ๆ ไป ไม่ใช่แค่ของผม อยากให้มาสนับสนุนจริง ๆ หน่อย ไม่ใช่แค่มาถ่ายรูป คุณอาจจะไม่ได้เข้าใจหนัง #สัปเหร่อ จริง ๆ เลยก็ได้ แค่มาถ่ายรูป แล้วบอกว่า 'สัปเหร่อ' เป็น ซอฟต์เพาเวอร์ (SoftPower)

"อย่างตัวผมเองยังไม่รู้ว่า ซอฟต์เพาเวอร์ คืออะไร ตอนผมทำ ผมยังแบบ 'เอ๊า!! หนังผมเป็น ซอฟต์เพาเวอร์' เหรอ ผมยังไม่รู้เลย แต่ถ้าผมได้รู้ หรือได้ทำความเข้าใจว่า ซอฟต์เพาเวอร์ คืออะไร หนังไปไกลกว่านี้ มี 'ซอฟต์เพาเวอร์' จริง ๆ แน่นอน

"ดังนั้น ถ้ามีการพูดคุยหรือเสวนาในวงการที่อยากจะเอา ซอฟต์เพาเวอร์ เผยแพร่ต่อต่างประเทศ อยากให้พาไปจริง ๆ"

ด้าน นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นนี้ทางทวิตเตอร์ หรือ X ว่า "รัฐบาลเพิ่งได้เข้ามาเริ่มผลักดันนโยบาย #SoftPower และไม่ได้คิดจะเคลมผลงานใด ๆ จากความสำเร็จของภาพยนตร์ #สัปเหร่อ ครับ แต่มีเจตนาที่จะสนับสนุน และชี้ให้เห็นตัวอย่างหนึ่งของผลงานที่มีคุณภาพ

"ในฐานะคอหนัง ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความตั้งใจ และประทับใจผลงานด้วยใจจริง
"
"หวังอย่างยิ่งว่าในเร็ว ๆ นี้ ความสนใจและตั้งใจจริงของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะสนับสนุนธุรกิจสร้างสรรค์แขนงต่าง ๆ ให้เติบโตและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างขึ้น จะเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วครับ

"การสนับสนุนอุตสาหกรรมโดยภาครัฐ ไม่ได้มีเพียงกลไกเอาเงินทุนไปให้ หรือไปช่วยประชาสัมพันธ์ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ คือการดึงภาคเอกชนมาร่วมกันให้ข้อมูล ว่าการทำงานที่เป็นอยู่ ติดขัดปัญหาหรือข้อกฎหมายอย่างไรแล้วรัฐในฐานะผู้สนับสนุนจึงจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อให้เอกชนได้ขยายศักยภาพของตนเองได้เต็มที่มากขึ้นครับ #SoftPower #รัฐบาลเศรษฐา”

"อันนี้เป็นนโยบายของ #พรรคเพื่อไทย ที่ใช้หาเสียง เฉพาะในส่วนของ 'ภาพยนตร์' ก่อนนะครับ ยังมีส่วนของวงการอื่น ๆ อีกครับ”

ขณะที่ทางด้านเฟซบุ๊กเพจ 'ตุ๊ดส์review' ได้โพสต์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ว่า ภาพยนตร์ #สัปเหร่อ กับคำว่า #SoftPower ของรัฐบาลไทย

1) จริง ๆ รัฐไม่ได้เข้าใจด้วยซ้ำว่าเราจะสร้าง Soft Power กันยังไง เราแค่รอมันดังแล้วไปถ่ายรูปคู่ ไม่ได้ร่วมสร้าง ร่วมลงทุน และผลักดันโดยรัฐบาลตั้งแต่ก้าวแรกของการทำงาน

2) การดูกันเอง ชื่นชมกันเอง สนุกสนานกันเองในประเทศ แต่ไม่ได้ผลักดันสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในตลาดโลก หรือพาหนังไปสร้างอำนาจละมุน ตามคำว่า Soft Power เพื่อพาวัฒนธรรมประชาชนไปสั่นสะเทือนวงการและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ก็เท่ากับว่า "มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง และไม่ได้มีการลงมือทำอะไรเป็นรูปธรรม"

3) การรอฉกฉวยโอกาสของรัฐ ที่มีต่อสิ่งที่ดังด้วยตัวมันเอง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยประยุทธ์ กำลังถูกสานต่อโดยยุคสมัยของเศรษฐา โดยที่ยังไม่เห็นนโยบายที่เป็นกลยุทธ์ และแนวทางการสร้างความสำเร็จ นอกจากรูปถ่าย PR เท่านั้น ที่ออกมาสร้างการรับชมกันเองในชาติ โดยที่ต่างชาติไม่ได้มาร่วมอึ้ง หรือซาบซึ้งใด ๆ กับเรา

4) ถ้าบอกว่าสนับสนุนเพื่อให้ Soft Power ไทยไปไกลในตลาดโลก รัฐต้องลงทุน และมีหน่วยงานที่เอาผลผลิตอุตสาหกรรมบันเทิงไทยไปเจาะตลาดโลก ตั้งแต่ Day One โดยร่วมวางแผนการสร้าง Soft Power ให้ก้าวแรกมีเนื้อหาสาระ นักแสดง กลยุทธ์ และแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ส่งเสริมการส่งออกแบบครบวงจร แต่เราไม่เห็นกระบวนการเหล่านั้นในการวางแผนการทำงาน

5) แค่ถ่ายรูป แล้วบอกว่าเป็น Soft Power มันมีประโยชน์น้อยมาก แถมยังสร้างความเหลื่อมล้ำในวงการหนังเสียอีก หนังไหนดัง รัฐถึงจะวิ่งปรี่เข้าไปเชิดชู ส่วนหนังเรื่องไหนไม่ทำเงิน ไม่มีกระแส กลับไม่เคยได้รับการแยแสจากรัฐ ทั้ง ๆ ที่หนังดี ๆ หลายเรื่อง ๆ ขาดการพูดถึง และให้คุณค่าจากสังคม แล้วทำไมรัฐไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ให้โอกาสกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่องได้แจ้งเกิดมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรอผู้กำกับมาทวงถาม

Soft Power แบบปลอม ๆ ก็ไม่ได้ไปไหนได้ไกลกว่าการเชยชมกันเอง เมื่อไหร่โลกทั้งใบจะเห็นศักยภาพของคนไทยและวงการบันเทิงไทย เราต้องทวงถามให้รัฐบาลทำงานเรื่องนี้กันอีกนานแค่ไหน

ไม่งั้น Soft Power ไทย ก็มีไว้เพียงเพื่อการโฆษณา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top