Wednesday, 2 July 2025
NEWSFEED

ซีรีส์ดังค่าย HBO เลือกแปลงโฉม 'หาดใหญ่' เป็น 'กรุงไซง่อน' ไทยจะใช้โอกาสในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นจุดแข็งของเมืองได้อย่างไร

ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย.66 เพจ 'Hatyai Connext' ได้โพสต์ข้อความ ในหัวข้อ 'เปลี่ยนหาดใหญ่ให้กลายเป็นเวียดนามยุคสงคราม ด้วยทีมงานซีรีส์ฮอลลี่วู้ดและ A24' ระบุว่า...

ร้อนแรงกว่าอากาศ ก็คือความฮอตของเมืองหาดใหญ่ในเวลานี้

ล่าสุดยิ่งกว่าเพราะพึ่งถ่ายเสร็จกันไปหมาดๆ คือกองถ่ายจากอเมริกาที่บินลัดฟ้ามาแปลงโฉม Art Direction 'ร้านอ้า' ที่เราคุ้นเคยกันดี ให้เป็นโลเคชั่นนึงที่จะปรากฎอยู่ในซีรีส์ 'The Sympathizer'

#เรื่องย่อซีรีส์
เกริ่นก่อนว่า The Sympathizer (เดอะซิมพาไทซ์เซอร์) คือซีรีส์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้กองนายหนึ่งแห่งกองทัพของเวียดนามใต้ ซึ่งความจริงแล้วเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นสายลับให้ฝั่งเวียดกง ออกจากไซง่อนราวปี 1975 เพื่อย้ายไปอยู่ในแคลิฟอร์เนียแล้วเข้าไปติดอยู่ในชุมชนของชาวเวียดนามพลัดถิ่น จากนั้นก็กลายเป็นที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมให้กองถ่ายหนังอเมริกันเรื่องหนึ่งที่ทำหนังสงครามเวียดนาม ต่อมาถูกชวนกลับไปเวียดนามเพื่อบุกคอมมิวนิสต์ ซึ่งตัวซีรีส์เองดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) ของ เวียต ธาน เหวียน (Viet Thanh Nguyen) ซีรีส์แนวระทึกขวัญและการเสียดสีข้ามวัฒนธรรมว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ของสายลับ

'ทหารตัวการปฏิวัติ-ล้มราชบัลลังก์' วาทกรรมหลอกเด็ก ที่พวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตัวเทียมเจ้าประดิษฐ์ขึ้นมา

ในห้วงเวลาแห่งการหาเสียงเลือกตั้ง ได้เกิดวาทกรรมเรียกแขกขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะบางพรรคที่มุ่งเน้นมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวอ้างว่าต้องเกิดการปฏิรูป รวมไปถึงกองทัพก็ต้องปฏิรูปและย้ำว่าพวกตนเป็นแค่ปัญญาชน เป็นนักการเมืองตัวเล็กๆ ไม่ได้มีอาวุธไปบังคับหรือปฏิวัติใครได้ ไม่เหมือนกองทัพ ไม่เหมือนทหารที่มีอาวุธสามารถล้มล้างการปกครองได้

ฉะนั้นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และปฏิรูปกองทัพคือ สิ่งสำคัญเพื่อจะได้ให้สถาบันได้อยู่คู่คนไทย และกองทัพจะได้ไม่มีโอกาสยึดอำนาจ...ฟังแล้วโคตรทัชใจเลย...ก่อนที่ผมจะสำรอกออกมาว่า...มึงจะบ้าเหรอ !!! คนละเรื่องกัน แต่มึงดันทะลึ่งเอามารวมกันได้ เอาอย่างงี้ผมจะขอนำเอาเรื่องของการปฏิวัติยึดอำนาจราชบัลลังก์ของประเทศต่างๆ มาสำแดงว่า จริงๆ แล้วคนที่ยึดอำนาจจากกษัตริย์ไม่ใช่ทหาร แต่เป็น 'นักการเมือง' ให้ทราบโดยทั่วกัน

เริ่มที่ 'ฝรั่งเศส' ประเทศที่มีคนชอบยกตัวอย่างการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1792 เป็นโมเดลที่นักการเมืองปากกล้าหางจุกตูดบางจำพวกชอบนักชอบหนา แต่เอาเข้าจริงนี่คือโศกนาฏกรรมการล้มล้างกษัตริย์ที่เกิดขึ้นโดยนักการเมืองที่อยากเข้าไปปกครอง 

จริงอยู่ที่ 'พระเจ้าหลุยส์ที่ 16' ดำเนินนโยบายของประเทศผิดพลาดในหลายข้อ ทั้งด้านการทหารที่เอาตัวเข้ายุ่มย่ามวุ่นวายเรื่องอาณานิคมในประเทศที่ 3 จนนำไปสู่ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ได้ผ่านการแก้ไขมาทั้งร่างนโยบายเพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ คือ พระ ขุนนาง และสามัญชน ต้องเสียภาษีตามฐานะของตนเอง โดยนาย 'ตูร์โกต์' ก่อนจะถูกปัดให้ตกไป มาถึง 'เนคเกร์' ซึ่งได้สร้างนโยบายใหม่ขึ้นมา นั่นคือ 'การไม่ขึ้นภาษี' แต่ใช้การกู้เงินโดยให้ดอกเบี้ยสูงแทนก็ก่อหนี้จนไม่มีปัญญาใช้คืน 

มาถึง 'กาลอน' ได้ทำแผนปฏิรูปการคลังถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งมีสาระสำคัญ 5 ประการ คือ 1. ตัดรายจ่ายรัฐบาล 2. ส่งเสริมมาตรการที่ก่อให้เกิดการค้าเสรี 3. จัดให้มีการขายที่ดินของวัดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 4. ยกเลิกระบบเกณฑ์แรงงาน และ 5. เก็บภาษีที่ดินจากผู้มีกรรมสิทธิ์ไม่มีการยกเว้นบุคคล แต่สภาสูงก็ผ่านร่างนี้ ย้ำว่า 'สภา' นะครับ ก่อนที่ นาย 'กาลอน'จะปลิวไป และมีท่านอื่นๆ มาปฏิรูปเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่าไม่รอด 

เพราะหลักๆ มันคือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจผสมกับในช่วงปีนั้นเกิดการคลาดแคลนอาหาร ทำให้เกิดความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พร้อมกันนั้นเองการประชุม 'สภาฐานันดร' ที่บรรดาฐานันดรพระและขุนนาง ไม่ยอมอะไรสักอย่างเพื่อบ้านเมือง แถมยังกล่าวโทษไปที่กษัตริย์ ซึ่งช่วงนี้ล่ะที่มีการปรับเปลี่ยนสภาพของสภาจากเดิมให้กลายเป็น 'สมัชชาแห่งชาติ' ที่มีจุดหมายมุ่งตรงไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ส่วนนอกสภาก็มีการปลุกปั่นโดยสิ่งพิมพ์ การกล่าวโจมตีสถาบันกษัตริย์อย่างบิดเบือน บ้าคลั่ง จนในที่สุด 'พระเจ้าหลุยส์ที่ 16' ก็ถูกจับประหารด้วยกิโยตินแม้ว่าพระองค์จะยินยอมรับการปฏิรูปและรัฐธรรมนูญ 

ถึงตรงนี้อาจจะเหมือนจุดสุดยอดในใจของใครบางคน แต่เอาจริงหลังจากที่ประหาร 'พระเจ้าหลุยส์ที่ 16' แล้ว ฝรั่งเศสก็เข้าสู่ยุคแห่งความโกลาหล การนองเลือด และสงครามที่มาจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ จนถูกขนานนามว่าเป็น 'ยุคแห่งความหวาดกลัว' โดยการกวาดล้าง 'ฌีรงแด็ง' ของกลุ่ม 'ลามงตาญ' ที่มีผู้นำอย่าง 'มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์' ซึ่งต่อมาขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จราวกับตนเองเป็นกษัตริย์ 

อย่างไรเสีย ภายหลังเขาก็ถูกขั้วการเมืองของเขาเล่นงานโดยจัดการด้วย 'กิโยติน' เช่นเดียวกัน สุดท้ายความวุ่นวายทางการเมืองทั้งหลายก็สิ้นสุดลงโดย 'นโปเลียน โบนาปาร์ต' ได้ก่อรัฐประหารและตั้งตนเองเป็นกงสุลเอกเมื่อพฤศจิกายน ค.ศ. 1799 ก่อนที่เขาอยากจะเป็นจักรพรรดิแล้วก็ถูกล้ม ตามมาด้วยการล้มจักรพรรดิอีกหลายรอบ 

จะว่าไปแล้ว ประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสที่ล้มแล้วก็ล้างกันไปหลายครั้งหลายครา ก็ล้วนมาจากการกระทำของ 'นักการเมือง' ผมย้ำตรงนี้นะครับว่า 'นักการเมือง' เป็นคนล้มกษัตริย์ใน 'ฝรั่งเศส' ส่วนทหารจะเข้าไปล้มความวุ่นวายของ 'นักการเมือง'

อีกกรณีอย่างประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีระบอบกษัตริย์ที่ยาวนานมากๆ แต่คุณรู้ไหมว่าช่วง ค.ศ. 1642-1649 ได้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ นำโดย พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับฝ่ายรัฐสภา นำโดย 'โอลิเวอร์ ครอมเวลล์' ซึ่งฝ่ายรัฐสภาได้ยื่นข้อเสนอ 19 ข้อ ให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พระเจ้าชาร์ลส์เห็นว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการลดทอนพระราชอำนาจอย่างชัดเจน และมุ่งไปสู่การล้มล้างการปกครองของอังกฤษ 

ชนวนเหตุนี้ ก่อให้เกิดสงครามระหว่างพระองค์และรัฐสภาที่กินเวลานารถึง 7 ปี ก่อนที่พระองค์จะพ่ายแพ้และถูกตัดสินประหารชีวิต จากนั้นอังกฤษก็เริ่มเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ โดยมี โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เป็นประมุขแห่งรัฐ 

แต่สุดท้ายภายใต้ระบอบใหม่อังกฤษ ก็เข้าสูยุคแห่งความยุ่งเหยิง เพราะ ครอมเวลล์ ทำตนไม่ต่างจากกษัตริย์ แถมเพิ่มเติมด้วยความเป็นเผด็จการแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ทำให้เขามีความขัดแย้งกับรัฐสภาแห่งอังกฤษเป็นประจำ ก่อนที่เขาจะนำเอาตัวเองสร้างความเบ็ดเสร็จด้วยการเป็นเผด็จการด้านการทหารซ้ำเข้าไปอีก ทำให้ชาวอังกฤษเริ่มเสื่อมศรัทธาลงทีละน้อย กลุ่มสภา กลุ่มทหารเริ่มเอาใจออกห่างเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตายลงในปี ค.ศ.1658 

จากนั้น 'ริชาร์ด ครอมเวล' ลูกชายของเขาก็ขึ้นครองตำแหน่งแทน ซึ่งนี่แทบไม่ต่างจากระบบกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่เจ้าตัวขาดบารมี จึงเกิดพันธมิตรระหว่างขั้วอำนาจหลายกลุ่มในรัฐสภา ทั้งฝ่ายที่เคยเป็นปฏิปักษ์ ฝ่ายสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายแกนนำทางการเมือง และกองทัพ ได้จับมือกันเพื่อสถาปนาสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษให้กลับคืนมา ซึ่งช่วงเวลานี้เรียกว่า English Restoration 

จากนั้นกองทัพภายใต้การนำของ 'จอร์จ มองค์' (George Monck) ได้ขับ 'ริชาร์ด ครอมเวล' ให้พ้นจากตำแหน่ง และกราบบังคมทูลเชิญพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ที่เสด็จไปลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส ให้กลับมาเป็นพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1660 โดยขอให้พระองค์ทรงยอมรับเงื่อนไขที่จะให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ทุกคนที่กระทำผิดในช่วงสงครามกลางเมือง โดยไม่ครอบคลุมการกระทำผิดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสงคราม หรือก็คือไม่ได้นิรโทษกรรมแบบสุดซอย

สรุปในกรณีนี้ คือ คนโค่นล้มกษัตริย์ในอังกฤษก็คือ 'นักการเมือง' และคนที่ก่อความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุอันควรก็คือ 'นักการเมือง'

รู้จัก 'โสภาพรรณ สุมาวงศ์ สาลีรัฐวิภาค' กุลสตรีแสนเพียบพร้อม ผู้เป็นมารดาของหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘โสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค’ ลูกสาวคุณพระ-ดาวจุฬาฯ สตรีผู้ที่มีความดี และความงามเหนือกาลเวลา บุตรสาวของพระมนูเวทย์วิมลนาท หรือมนูเวทย์ สุมาวงศ์ อดีตประธานศาลฎีกา กับคุณหญิงมนูเวทย์ วิมลนาท หรือแฉล้ม สุมาวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน Convent of the Holy Infant Jesus เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย แล้วเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับการยกย่องเป็นดาวจุฬาคนแรก เป็น ‘ดาวจุฬา’ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งวงดนตรีสุนทรพร ได้แต่งเพลงดาวจุฬาฯ และครูแก้ว อัจฉริยะกุล แต่งเพลงขวัญใจจุฬาฯ ซึ่งมีชื่อของท่านปรากฏในนั้นทั้งสองเพลง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีผิวพรรณ หน้าตางดงาม มีความเป็นกุลสตรีเพรียบพร้อมและเรียนเก่ง ทั้งยังเข้าร่วมกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ

เพลงดาวจุฬาฯ มีเนื้อร้อง ดังนี้

“ภายในจุฬาฯ เขตจามจุรีรั้วสีชมพู เห็นนางคนหนึ่งงามหรู สวยเป็นดาราที่รู้ทั่วไป แม่เป็นขวัญตาแก่ชาวจุฬาฯ สมค่าพึงใจ จะมองแห่งใด ถูกตาถูกใจ ไม่มีแห่งไหนลวงตา ชวนนิยม โฉมที่คนงามข่มคำกวี เฉิดฉวี รัชนี มิเทียมเทวี แม่เป็นศรีจุฬาฯ รูปสอางค์ รูปอย่างนางฟ้าสรรค์สร้างให้มา เกิดเป็นดาวจุฬาฯ เด่นดาราเหล่าจุฬาฯ ต่างก็พากล่าวว่านางสวยเฉิดฉันท์ ‘โสภาผ่องพรรณ’ แม่งามกว่าจันทร์ เหมือนขวัญจุฬาฯ สวยจนดาวอื่นอิจฉา เย้ยดวงดาราหมดฟ้ารวมกัน แม่งามละมุน เกิดมาคู่บุญเนื้ออุ่นลาวัลย์ เหล่าชายผูกพัน จุฬาฯ ใฝ่ฝันเพียงยิ้มเท่านั้นลานใจ ดาวสังคมนั้นยังงามไม่ข่มดาวจุฬาฯ งามหนักหนา แม้นใครมาเห็นดาวจุฬาฯ ตื่นผวาอาลัย กล่าวให้ซึ้ง พร่ำรำพึงมิได้ครึ่งทรามวัย ดาวจุฬาฯ คือใครอยู่ที่ใดเลิศวิไล เด่นปานใด เหล่าจุฬาฯ รู้ข่าวนั้น”

เพลงขวัญใจจุฬาฯ มีเนื้อร้อง ดังนี้

“(สร้อย) ขวัญเอยขวัญใจจุฬาฯ โฉมเจ้า ‘โสภาผ่องพรรณ’ สวยเอยสมเป็นมิ่งขวัญ ล้ำลาวัณย์ขวัญจุฬาฯ น่ารักเอย จอมใจจุฬาฯ เป็นยอดยุพากว่าใคร ขอเพียงฝากใจน้อมให้สุดา จอมเอยจอมใจพิลาศพิไลหนักหนา ขวัญเอยแม่ขวัญตา งามคู่จุฬาฯ เสมอเอย(สร้อย) บุญเอยบุญใด ถึงได้ขวัญใจอย่างนี้ โสภาผ่องศรีฤดีติดตา เธอเป็นจอมใจเป็นมิ่งฤทัยจุฬาฯ ขอเพียงแต่แม่ยุพาเป็นคู่จุฬาฯ เสมอเอย(สร้อย) ความดีความงามจงอย่ารู้ทรามเสื่อมไป ขอจงสดใสมิได้คลาดคลา อาภรณ์อันใดประดับไว้ในจุฬาฯ มิเทียบเท่าเยาวภา เป็นมิ่งจุฬาฯ เสมอเอย (สร้อย)”

หลังจากการสำเร็จการศึกษาได้เข้า Bank of America ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 ได้สมรสกับพลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรองเลขาธิการรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงเศรษฐการ และเจ้ากรมพลังงานทหาร มีบุตร-ธิดาด้วยกันรวม 5 คน

‘อ.ประมวล’ แนะวิธีคิด ‘หากแฟนไปมีคนใหม่’ ให้มองสิ่งดีๆ ที่มีร่วมกันและขอบคุณที่เข้ามาเป็นบทเรียน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘june.s14’ ได้โพสต์วิดีโอของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ หรือที่รู้จักกันในนาม ปราชญ์ปักษ์ใต้ ที่ได้พูดถึงในหัวข้อ ‘เมื่อแฟนไปมีคนใหม่’ โดยอาจารย์ได้ยกตัวอย่างจากเรื่องที่เคยพบเจอกับตัวเอง ว่า…

สมัยสอนปริญญาโท ก็มีลูกศิษย์ชายหญิงมาเรียนด้วยกัน อาจารย์จำได้ว่าทั้งสองเคยเรียนกับตัวเองสมัยปริญญาตรี ก็รู้กันดีว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน พอเห็นมาเรียนป.โทด้วยกันอีก อาจารย์ก็แซวว่าสงสัยจะแต่งงานกันตอนเรียน ป.โทนี่แหละ 

หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนก็พาลูกศิษย์ผู้หญิงมาหาอาจารย์ พร้อมกับเล่าว่า ลูกศิษย์ผู้ชายทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่แล้ว เมื่ออาจารย์ฟังเสร็จก็ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่รู้สึกเจ็บปวดนะ เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ เห็นเขาร้องไห้ก็เศร้าไปด้วย จึงได้ตัดสินใจกอดปลอบลูกศิษย์ไป

หลังจากกอดปลอบไปแล้ว ลูกศิษย์ผู้หญิงก็เลิกร้องไห้ แล้วก็ขอตัวกลับไป หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไป อาจารย์ก็ได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์ผู้หญิงและพูดคุยกัน ลูกศิษย์ผู้หญิงขอบคุณอาจารย์ที่กอดปลอบในครั้งนั้น และขอคำแนะนำจากอาจารย์ประมวล

อาจารย์ประมวลจึงแนะนำไปว่า “อย่ารู้สึกโกรธเคืองแฟน แต่ให้รู้สึกขอบคุณที่เขานำเอาข่าวสารอันประเสริฐ นั่นก็คือ ความหมายของความรักอันงดงามมามอบให้ จงรับอันนี้ไว้ แม้เขาจะจากไป แต่ก็ขอให้มีจิตที่รู้สึกดีกับเขา หรือหากอำนวยอวยพรเป็นถ้อยคำวาจาได้ ก็จงอวยพรให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ให้เขามีความสุขในการครองชีวิตคู่ ถ้าทำความดีใดใดแล้วอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ก็ให้นึกถึงเขาเป็นคนแรก”

หลังจากได้คำแนะนำของอาจารย์ไปแล้ว ลูกศิษย์ผู้หญิงก็รับปากจะปฏิบัติตาม

เวลาผ่านไปได้ปีกว่าๆ ลูกศิษย์ผู้ชายก็โทรมาหาอาจารย์และขอนัดอาจารย์รับประทานอาหาร เมื่อถึงวันนัดอาจารย์ก็ไปร้านที่ตกลงกันไว้ แต่เนื่องด้วยวันนั้นฝนตกหนัก จึงทำให้อาจารย์ได้เห็นว่า ลูกศิษย์ชายหญิงทั้งสองคนเดินมาด้วยกัน โดยลูกศิษย์ผู้ชายกางร่ม เดินโอบลูกศิษย์ผู้หญิงเข้ามา ภาพที่เห็นสื่อได้ถึงความรักใคร่ดูแลกันและกัน เห็นแล้วอิ่มอกอิ่มใจ

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ศิลปินหญิงคนแรกของโลก มียอดวิวบนติ๊กต๊อกทะลุ 1 แสนล้านวิว!!

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.66 ทวิตเตอร์ของ World Music Awards ได้ทวีตข้อความ ระบุว่า ‘ลิซ่า วงแบล็กพิงค์’ ได้กลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกของโลก ที่มียอดวิวบนแอพพลิเคชั่นติ๊กต็อก ทะลุ 1 แสนล้านวิว จาก #LISA


ที่มา : https://www.matichon.co.th/entertainment/interstars/news_3939465
 

'พงศ์พรหม' มอง!! 'คนรุ่นก่อน' หวังดี แต่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ส่วนคนรุ่นใหม่ อยากเปลี่ยนแปลง อยากเจริญ แต่ไม่อยากเหนื่อย

(22 เม.ย.66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า...

คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ Gen X ปลาย Y ต้น แทบทุกคนบ่นเหมือนกันว่า คนรุ่นเราแม่งเหนื่อย แต่สู้ เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้ทัศนคติเราดี

อาจเพราะเราโตมาด้วยการขึ้นรถเมล์ แต่ก็มีมือถือใช้บ้าง โตด้วยการกินข้าวแกงข้างถนน แต่ก็รู้จัก Starbucks ที่เมืองนอก

มันทำให้เรานั่งรถบีเอ็มก็ได้ รถเมล์ก็ดี ทำให้เรารู้จักความพอเพียง แต่ก็ไม่ปฏิเสธการว่าก็อยากจะหาเงินพันล้าน เพราะเราก็ทะเยอทะยานพอที่จะบอกว่า เราก็ต้องสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้สำเร็จด้วย

สิ่งที่คนรุ่นเราเจอปัญหามาก คือคนรุ่นก่อนเรา แม้จะน่ารัก แต่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโลกใบใหม่น้อยมาก เราจึงมักเจอคำพูดดีๆ แต่ขาดการปฏิบัติ ขาดการลงมือทำ ขาดการคิดนอกกรอบเพื่อการเปลี่ยนแปลง

เอาหละ!! งั้นคนรุ่นเราเปลี่ยนให้...

ตอนนี้เราโตจนเป็นผู้บริหารตามองค์กรละ ไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้างละ 

เราเจอปัญหาเพิ่มเติมจากคนรุ่นใหม่ แทนที่เขาจะขยันกว่าเรา เพราะโอกาสเขามีมากกว่าเรา แต่กลายเป็นว่า...

'อยากเจริญ แต่ไม่อยากเหนื่อย'

ซึ่งวนกลับมาเรื่องเดิม ขาดการปฏิบัติ ขาดการลงมือทำ ขาดการคิดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง แถมท้อเร็ว ท้อง่าย ขาด Global mindset ที่มีในเด็กเวียดนาม, สิงคโปร์, จีน, อเมริกา, อังกฤษ, เยอรมนี

แต่กลับบ่นเก่งกว่า...
...ทำไมไทยไม่เจริญ
...ทำไมถนนเราไม่เรียบ
...ทำไมต้นไม้ไม่เยอะๆ แบบเมืองนอก
...ทำไมไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ เยอะๆ

ผมมักเปรียบเทียบให้คน Gen X ปลาย Y ต้นฟัง ว่าคนอายุก่อนเกษียณวันนี้ ลงล่างไปจนอายุ 30 ต้น กำลังแบกภาระใหญ่ให้ประเทศไทย

เรามีคนรุ่นก่อนเราจำนวนไม่น้อยที่หวังดีต่อประเทศ แต่ไม่เข้าใจถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง (คนดีๆ เก่งๆ ก็เยอะ ตรงนี้ต้องขออภัย)

เรามีคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ประเทศดีอย่างเมืองนอก แต่ความอดทนไม่พอ เพราะไม่เข้าใจว่า “ไม่มีความสำเร็จใดบนโลกใบนี้ที่ได้มาโดยไม่ต้องเหนื่อย”

ละรุนแรงต่อ 'สตรีเพศ' ให้สมเกียรติเยี่ยง 'สุภาพบุรุษ'  ทิ้งกมลสันดานชั่วในร่าง 'บุรุษ' เตือนตนว่าอย่าหาทำ

เมื่อส่วนแรกพระคัมภีร์ หรือส่วนปฐมกาลเขียนไว้ว่า...

"...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้คล้ายพระองค์ ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" ทำให้นักวิชาการผู้ศึกษาไบเบิลหลายคนตั้งคำถาม "หรือพระเจ้าเองมีทั้งความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัว?"

หากพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้ชายคนแรกขึ้นจากดิน ซึ่งนั้นก็คือ 'อดัม' และต่อมาก็ได้ใช้กระดูกซี่โครงของอดัมสร้าง 'อีฟ' นั่นจึงหมายความว่าทั้ง 'บุรุษ' และ 'สตรี' เคยเป็นหนึ่งเนื้อนาบุญเดียวกันมาก่อนใช่หรือไม่?

เรื่องดังกล่าวสอดคล้องต้องกันกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่สังฆอริยเจ้า 'พระพรหมคุณาภรณ์' (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยเทศนาไว้ "...ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า แต่ละคนเกิดเป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง หมุนเวียนไป แล้วแต่กรรมของตน ในแง่นี้ทุกคนเป็นมนุษย์ จึงไม่มีอะไรต่างกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจึงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ส่วนการที่เรามามองแยกเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายนี้ เป็นการมองในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่งๆ หรือเฉพาะหน้า แต่ความจริงแต่ละคนก็มีทั้งความเป็นหญิงและความเป็นชาย ที่จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ"

เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ปัจจุบันใยบุรุษจึงตั้งตนเป็นใหญ่ในโลก!!

หลังผ่านพ้นยุคหิน โลกโบราณถูกปกครองโดยนักรบ (กษัตริย์) ตามกลไกธรรมชาติซึ่งผู้แข็งแรงกว่าย่อมมีอำนาจดูแล ปกป้อง ผู้ด้อยกว่า ซึ่งในที่นี้ก็คือ สตรี (และเด็ก) นั่นเอง จึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าบุรุษยุคโน้นข่มเหงสตรี เพียงแต่เพศมีความสำคัญต่างกัน ชายออกรบ ล่า แสวงหาอาหาร (ความมั่นคง) ส่วนหญิงก็ดำรงบทบาทระดับสังคมย่อยลงมา อาทิ ดูแลบ้านช่องและกิจการภายในยามผู้นำออกศึกทุกกรณี

คาดว่าค่านิยมดูแคลนสตรีเพศเริ่มต้นมาจากการบิดเบือนคำสอนตามพระคัมภีร์ต่างๆ หลายกรรมหลากวาระ หวังสร้างความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจ แม้ในพระไตรปิฎกก็มีเป็นต้น "...ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้ไม่น่ายินดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัด คึกคะนอง ไม่มีเลือก เหมือนกับไฟที่ไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงข้ามกับความจริงจากพระพุทธโอษฐ์

'สมรักษ์ คำสิงห์' ชายผู้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 เหนือหัว พร้อมพาเพลงชาติไทยดังกระหึ่มโอลิมปิกที่แอตแลนตา

(19 เม.ย.66) จากเพจ 'ความเห็นของผม' ได้โพสต์ข้อความถึงความเป็นมาของ 'พี่บาส' สมรักษ์ คำสิงห์ ระบุว่า...

เผื่อเด็กรุ่นหลังที่ตามข่าว #เบสท์รักษ์วนีย์ อาจจะไม่รู้รายละเอียดว่า สมรักษ์ คำสิงห์ เป็นใครมาจากไหน 

โพสต์นี้จึงขอเขียนวีรกรรมของตำนานยอดฝีมือนักมวยสากลสมัครเล่นคนนี้พอสังเขป...

สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดในครอบครัวที่ยากจนที่จังหวัดขอนแก่น เขาฝึกชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก และขึ้นสังเวียนชกครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ โดยใช้ขื่อในวงการมวยไทยว่า พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ

ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี เขาเริ่มเบนเข็มมาสู่วงการมวยสากลสมัครเล่น โดย สมรักษ์ คำสิงห์ ปรากฏตัวในเวที 'โอลิมปิกเกมส์' ครั้งแรกเมื่ออายุ 19 ปี ที่ โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 25 เมืองบาร์เซโลน่า ปี 1992 เขาขึ้นชกในรุ่นเฟเธอร์เวท ผลคือ ตกรอบที่สอง

แม้จะไปได้เพียงแค่รอบสอง แต่เด็กอายุ 19 ปี ที่แพ้ในโอลิมปิก มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งเสียใจ เพราะเขายังมีเวลาที่จะเขียนประวัติศาสตร์ 

และหลังจากนี้ สมรักษ์ คำสิงห์ ก็เริ่มเขียนมัน

เขาเริ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้เป็นครั้งแรก เมื่อเขาเป็นหนึ่งในสองนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญทองจากการแข่งขัน เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ ฮิโรชิม่า ในปี 1994 ร่วมกับ 'ฉลามนุก' รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ จากกีฬาว่ายน้ำ

2 ปีต่อมาหลังจากได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ เขาก็ไปโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 ที่แอตแลนต้า (1996)

ด้วยสภาพร่างกายที่สดเต็มพิกัดในวัย 23 บวกกับประสบการณ์ที่เคยแพ้มาแล้วในครั้งก่อน และความมั่นใจจากเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทำให้ในรุ่นเฟเธอร์เวท กล้าพูดได้ว่า นาทีนั้น สมรักษ์ คำสิงห์ ‘เจอใครก็ได้’ แม้ว่ามันจะเป็นเวทีโอลิมปิก แม้ว่ามันจะมีพยัคฆ์หนุ่มคะนองอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ อยู่ในพิกัดเดียวกันก็ตาม

สมรักษ์เอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า เข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ...

ประวัติศาสตร์ถูกเขียนอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศในกีฬามวยสากลสมัครเล่น ต่อจาก ทวี อัมพรมหา ที่ได้เหรียญเงินจากโอลิมปิกเกมส์ ที่ ลอสแอลเจลิส ในปี 2527

หรือโอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา จะถูกโฉลกกับนักชกไทยจริงๆ...

ในรอบชิงเหรียญทอง สมรักษ์ คำสิงห์ ต้องเจอกับนักมวยยอดฝีมือจากบัลแกเรีย ที่เอาชนะโคตรมวยอนาคตไกลอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ มาในรอบรองชนะเลิศ

และในที่สุด ...

4 สิงหาคม 1996 ประวัติศาสตร์ได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่า สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยจากแดนสยาม สามารถเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ คู่ชกจากบัลแกเรียได้อย่างหมดจด

เขาทำสำเร็จ เขาคว้าเหรียญทองให้กับทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกได้เป็นครั้งแรก..!!!!

๓ ข้าหลวงต่างพระองค์ ที่ ร.๕ วางพระราชหฤทัย มอบให้ดูแลบ้านเมือง ‘ต่างพระเนตร-พระกรรณ’

ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้ ผมกลับมาอยู่บ้านในภาคอีสานพร้อมกับตระเวนไปตามจังหวัดใกล้เคียงบ้านเกิดของผม ซึ่งในอีสานจะมีถนนและสถานที่รำลึกถึงข้าหลวงต่างพระองค์อยู่หลายแห่ง อาทิ หนองประจักษ์ จ.อุดรธานี ถนนสรรพสิทธิ์ จ.นครราชสีมา หรืออย่าง ถนนพิชิตรังสรรค์ จ.อุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์คือตำแหน่งอะไร สำคัญอย่างไร แล้วมีกี่ท่านที่นับได้ว่าเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ 

‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ นั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าข้าหลวงปกติ ข้าหลวงเทศาภิบาลหรือสมุหเทศาภิบาล เพราะคำว่า ‘ต่างพระองค์’ มีความหมายว่าเป็นตัวแทนดูแลราษฎรและพื้นที่ ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ และมีฐานะเป็น ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ตีความได้รับมอบความสำเร็จเด็ดขาดมาจากองค์พระเจ้าแผ่นดิน เพื่อดูแลทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกร ตำแหน่ง ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ เท่าที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีทั้งสิ้น 3 พระองค์ คือ… 

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร 
๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
และ ๓.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม 

ซึ่งพระประวัติและพระกรณียกิจของทั้ง ๓ พระองค์ผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าโดยสังเขปดังนี้นะครับ

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล’ เป็นต้นราชสกุล ‘คัคณางค์’ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ เป็นหนึ่งในพระเจ้าน้องยาเธอที่ ‘เก่ง’ ทั้งทางการปกครอง ทางกฎหมาย และการประพันธ์ ทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกา พระองค์แรก มีหนังสือหลายเล่มโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๕ ว่าทรงกริ้ว จึงทรงให้ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปดูแลพื้นที่ห่างไกล แต่ถ้าหากมองจากบริบทของการปกครองแบบรวมศูนย์ในยุคนั้น การให้เชื้อพระวงศ์ระดับสูงไปดูแลภูมิภาคต่างๆ นั้นแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้นได้ไปดูแลภูมิภาค ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ อยู่หลายแห่ง เริ่มต้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ไปรักษาเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับปรับปรุงการศาลต่างประเทศ และจัดระเบียบการปกครองภาคเหนือใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘ข้าหลวงใหญ่’ หัวเมืองลาวกาว ประจำอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ทรงปรับปรุงการปกครองหัวเมืองทางภาคอีสาน ประมาณ ๒๐ หัวเมือง โดยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รวมเป็นมณฑล 

ต้องบอกว่าพระองค์มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านชายแดนลาว และกัมพูชาเป็นอย่างดี คือเรียกว่า เสด็จ ฯ ไปทั่วทุกพื้นที่ในหัวเมือง นอกจากนี้พระองค์ยังมีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษ มีความเชี่ยวชาญด้านยาทรงเป็นคนไทยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ปรุงยาไทยผสมกับยาต่างประเทศ เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้พิพากษาฝ่ายไทยร่วมกันพิจารณาคดีความร่วมกับฝรั่งเศส ในกรณี ‘พระยอดเมืองขวาง’ ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม’ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริพระชันษาได้ ๕๔ ปีโดยการเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ของพระองค์นั้นคือการดำเนินการปรับระบบการปกครองและระบบการพิจารณาคดีความให้เป็นเนื้อเดียวกันกับกรุงเทพฯ เป็นหลัก 

๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง เช่นเดียวกับ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช’ เป็นต้นราชสกุล ‘ชุมพล’ ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งแรกทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกาและศาลแพ่งก่อนจะดำรงตำแหน่งอธิบดีในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ จนกระทั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นตามหัวเมืองทางตะวันออก ตั้งแต่เมืองนครราชสีมาลงไปจนถึงเมืองปราจีนฯ เจ้าเมือง กรมการเมือง ไม่สามารถที่จะปราบปรามให้สงบเรียบร้อยลงได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงพิเศษเสด็จขึ้นไปทรงบัญชาการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งก็ทรงสามารถทำได้เป็นผลดีตามพระราชประสงค์ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมาจนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการว่างลง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ แต่ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งใหม่นี้อยู่ได้ไม่นานนัก ก็เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จำเป็นต้องมี ‘ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ’ ไปดูแลพื้นที่มณฑลลาวกาว
และมณฑลอุดร กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับราชการสนอง พระเดชพระคุณในตำแหน่งข้าหลวงต่างประเทศสำเร็จราชการมณฑลลาวกาวอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี โดยประทับและตั้งกองบัญชาการข้าหลวงอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี 

กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงปรับปรุง พัฒนามณฑลลาวกาว ซึ่งต่อมาคือ มณฑลอีสาน อย่างต่อเนื่อง ปรับรูปแบบ การปกครอง จากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตำแหน่งอุปฮาดเป็นปลัดเมือง ฯลฯ จัดตั้งกองทหารในเมืองอุบลราชธานี เรียกคนเข้ารับราชการเป็นตำรวจ พ.ศ.๒๔๕๑ ทรงตั้งศาลยุติธรรมขึ้นที่เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นศาลเมืองอุบลราชธานี และศาลมณฑลอีสานอีกด้วย  โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์นั้นก็คือ ‘การปราบกบฏผีบุญ’ โดยเริ่มต้นจาก โนนโพขององค์มั่นก่อนจะดำเนินการอย่างราบคาบเรียบร้อย ซึ่งมีนักเขียนหลายสำนักโจมตีเรื่องการปราบผีบุญนี้ว่าเป็นการปราบที่โหดร้ายป่าเถื่อน แต่เอาเข้าจริงๆ บริบทของยุคสมัยที่กบฏผีบุญกลายเป็นลัทธิแห่งความขี้เกียจ การมั่วสุมไม่ทำงาน ผิดลูกผิดเมีย และชิงเอาของชาวบ้านดื้อๆ ไม่ผิดกับโจร ไม่ปราบ ก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ทำขี้เกลืออะไร? จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ และทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระชันษาได้ ๖๕ ปี

'ยังโอม' กับ 'ธาตุทองซาวด์' ปรากฏการณ์ที่ยังเพรียกหามือช่วย

ปรากฏการณ์ 'อีกี้' จาก MV ธาตุทองซาวด์ ของศิลปิน 'ยังโอม' อันเปรี้ยงปร้างเกินกว่าเพลงและมิวสิควิดีโอฮิพฮอพดาดๆ เพราะผู้คนพากันขุดอีกี้ของตัวเองมาโพสต์เต็มฟีดของโซเชี่ยลมีเดียทุกแพล็ตฟอร์ม สมเจตนาจนยังโอมเองก็ต้องออกมาโพสต์

"MV เพลงนี้ผมใช้เงินตัวเองลงไปประมาณ 1,200,000 บาท เป็น MV ที่ผมใช้เงินเยอะที่สุดในชีวิต…"

โดย "...ที่ผมต้องลงทุนเยอะขนาดนี้ เพราะอยากให้ทั้งโลกเห็นว่าคนไทยก็เฟี้ยวเหมือนกันนะ คนไทยถ้าเอาจริงๆ เราทำได้ทุกอย่าง เรามีความสามารถ เรามีศิลปินทที่เก่งมาก ในทุกๆ แขนงของศิลปะ"

และ "...นี่ขนาดผมทำด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินตัวเอง มันยังได้ขนาดนี้ ผมอยากจะรู้จริงๆ ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจะนำพาประเทศเราไปได้ถึงจุดไหน จะไปได้ไกลเท่าเกาหลีไหมนะ…"

ผมชื่นชมยังโอม ยินดีด้วยกับความสำเร็จระดับไวรัล แต่กับข้อคิดเห็น (หรือคำถาม) "...ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน" ผมเองก็อดคิดตามไม่ได้

ศิลปินแขนงวงการบันเทิงบ้านเรามักออกมาพูดถึงอะไรแบบนี้เสมอเมื่อ 'งาน' ถูกนำเสนอจนเป็นที่นิยม ทำนองหยาดเหงื่อตนล้วนๆ ไม่มีใครสนับสนุน 'เหมือนบางประเทศ' ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นยก 'เกาหลี (ใต้)' มาเป็นคู่เปรียบกับไทย

ความจริงที่ต้องถามคือ "เกาหลีเขาสนับสนุนศิลปินกันแค่ไหน?"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top