ละรุนแรงต่อ 'สตรีเพศ' ให้สมเกียรติเยี่ยง 'สุภาพบุรุษ'  ทิ้งกมลสันดานชั่วในร่าง 'บุรุษ' เตือนตนว่าอย่าหาทำ

เมื่อส่วนแรกพระคัมภีร์ หรือส่วนปฐมกาลเขียนไว้ว่า...

"...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้คล้ายพระองค์ ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" ทำให้นักวิชาการผู้ศึกษาไบเบิลหลายคนตั้งคำถาม "หรือพระเจ้าเองมีทั้งความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัว?"

หากพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้ชายคนแรกขึ้นจากดิน ซึ่งนั้นก็คือ 'อดัม' และต่อมาก็ได้ใช้กระดูกซี่โครงของอดัมสร้าง 'อีฟ' นั่นจึงหมายความว่าทั้ง 'บุรุษ' และ 'สตรี' เคยเป็นหนึ่งเนื้อนาบุญเดียวกันมาก่อนใช่หรือไม่?

เรื่องดังกล่าวสอดคล้องต้องกันกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่สังฆอริยเจ้า 'พระพรหมคุณาภรณ์' (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยเทศนาไว้ "...ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า แต่ละคนเกิดเป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง หมุนเวียนไป แล้วแต่กรรมของตน ในแง่นี้ทุกคนเป็นมนุษย์ จึงไม่มีอะไรต่างกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจึงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ส่วนการที่เรามามองแยกเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายนี้ เป็นการมองในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่งๆ หรือเฉพาะหน้า แต่ความจริงแต่ละคนก็มีทั้งความเป็นหญิงและความเป็นชาย ที่จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ"

เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ปัจจุบันใยบุรุษจึงตั้งตนเป็นใหญ่ในโลก!!

หลังผ่านพ้นยุคหิน โลกโบราณถูกปกครองโดยนักรบ (กษัตริย์) ตามกลไกธรรมชาติซึ่งผู้แข็งแรงกว่าย่อมมีอำนาจดูแล ปกป้อง ผู้ด้อยกว่า ซึ่งในที่นี้ก็คือ สตรี (และเด็ก) นั่นเอง จึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าบุรุษยุคโน้นข่มเหงสตรี เพียงแต่เพศมีความสำคัญต่างกัน ชายออกรบ ล่า แสวงหาอาหาร (ความมั่นคง) ส่วนหญิงก็ดำรงบทบาทระดับสังคมย่อยลงมา อาทิ ดูแลบ้านช่องและกิจการภายในยามผู้นำออกศึกทุกกรณี

คาดว่าค่านิยมดูแคลนสตรีเพศเริ่มต้นมาจากการบิดเบือนคำสอนตามพระคัมภีร์ต่างๆ หลายกรรมหลากวาระ หวังสร้างความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจ แม้ในพระไตรปิฎกก็มีเป็นต้น "...ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้ไม่น่ายินดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัด คึกคะนอง ไม่มีเลือก เหมือนกับไฟที่ไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงข้ามกับความจริงจากพระพุทธโอษฐ์

"...มหาบพิตรผู้เป็นใหญ่กว่าปวงชน แท้จริง แม้สตรีบางคนก็ยังดีกว่า พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้เถิด สตรีที่มีปัญญา มีศีล บำรุงพ่อผัวดุจเทวดา จงรักภักดีต่อสามียังมีอยู่ บุรุษที่เกิดจากหญิงนั้นย่อมแกล้วกล้า เป็นใหญ่ในทิศได้ บุตรของภรรยาดีเช่นนั้น ก็ครองราชสมบัติได้" คือคำตรัสปลอบพระทัยพระเจ้าปเสนทิโกศลที่เห็นบุตรประเสริฐยิ่งกว่าธิดา

แม้สังคมไทยปัจจุบันที่เหล่าคนรุ่นใหม่เรียกร้องสิทธิสตรี เรียกหาความยุติธรรม หรือการรณรงค์ให้หยุดกระทำรุนแรงต่อเพศหญิง โดยอ้างวรรณะอันไม่เคยมีจริงในสยามยุคใหม่ อ้างเจ้าขุนมูลนายกดขี่ลูกเมีย - ไพร่ทาส (แต่ตนเองกลับกระทำเรื่องน่ารังเกียจด้วยขืนใจ หรือเตะเมียสลบคาตีน ก็เห็นออกบ่อยหน้าสื่อ) เพราะหากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง 'หนังสือนารีเรืองนาม' คงไม่เคยมีจริงบนบรรณพิภพ

'นารีเรืองนาม' เป็นหนังสือรวบรวมบทประพันธ์ที่กล่าวยกย่องเกียรติคุณของสตรี 15 ท่าน จากปลายปากกากวี 15 ท่าน โดยมีเนื้อหาเตือนใจผู้ชายให้ตระหนักถึงความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชายในสังคมปิตาธิปไตย เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2462 ประกอบด้วยโคลง ลิลิต กาพย์ และกลอนสลับกันไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดตรงยุคคลื่นลูกแรกสำหรับการเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคของผู้หญิงทั่วโลก หรือ First Wave Feminism

ความรุนแรงซึ่งชายกระทำต่อหญิง ณ วันนี้ จึงมิได้สะท้อนปรากฏการณ์อื่นใด นอกเสียจากความชั่วช้าที่ฝังลึกในกมลสันดานเป็นรายๆ ไปเท่านั้น


เรื่อง: พรชัย นวการพิศุทธิ์