Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ชี้แจงข้อเท็จจริงจากข่าวลือกรณีเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ยันไม่เป็นความจริง ระบุโรงงานประกอบกิจการเสื้อผ้าสำเร็จ ไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยกรณีที่มีข่าวลือว่ากรณีเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลในพื้นที่บริเวณเขตประกอบการเสรีนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และมีผู้ได้รับผลกระทบจากการสูดดมสารเคมีจนเป็นลมจำนวนหลายคนนั้น ขอชี้แจงว่า โรงงานดังกล่าวประกอบกิจการ ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชุดชั้นในสตรี ชุดว่ายน้ำและถุงเท้า และวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป รับจ้างผลิต และจำหน่ายหน้ากากอนามัย ซึ่งในขั้นตอนของกระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น กรณีสารเคมีรั่วไหลจากโรงงานดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง

“กรณีที่เกิดขึ้น ผมได้รับรายงานจากทางนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินแล้วว่า เกิดจากการที่มีพนักงานในบริษัทฯ ดังกล่าว ได้ทำการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อแบบเข้มข้น เพื่อทำความสะอาดพื้นในบริเวณพื้นที่ทำงานซึ่งเป็นห้องปรับอากาศ พนักงานบางคนก็นำน้ำยาในขวดสเปรย์มาฉีดใส่ตัว เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งทำให้อากาศไม่หมุนเวียนออกไปสู่ภายนอก ส่งผลให้พนักงานบางคนเป็นลม หน้ามืด หมดสติ โดยพบว่ามี จำนวน 17 ราย ทั้งหมดได้นำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว ซึ่งล่าสุดบางรายกลับบ้านได้แล้ว” นายวิริศ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 08.15 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 64 หลังได้รับรายงาน กนอ. ได้ให้บริษัทฯ หยุดทำการผลิตทันที และให้พนักงานกลับที่พัก และดำเนินการเปิดพื้นที่อาคารโรงงานเพื่อระบายอากาศ โดย กนอ. จะติดตามความคืบหน้าและตรวจติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และแจ้งให้ทราบในระยะต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คณะกรรมการโรคติดต่อ เคาะแล้วฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ต่างชนิดกัน เข็มแรก Sinovac เข็มสอง AstraZeneca สำหรับคนไทยทั่วไป พร้อมฉีด แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์ ให้บุคลากรทางการแพทย์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข แถลงผลการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 7/2564 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีมติเห็นชอบ 4 ประเด็นต่อการควบคุมโรคโควิด-19 คือ

1.) การให้ฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ชนิด เข็ม 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค และเข็ม 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า โดยห่างจากเข็มแรกนาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้รับวัคซีน

2.) การฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Booster dose) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยห่างจากเข็ม 2 นาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วที่สุด เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า และธำรงระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบแล้วนานมากกว่า 3 เดือน จึงควรได้รับการกระตุ้นในเดือนกรกฎาคมได้ทันที อาจเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์

3.) แนวทางการใช้ Antigen Test Kit ในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยใช้ Antigen Test Kit ที่ผ่านการรับรอง และขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปัจจุบันขึ้นทะเบียนแล้ว 24 ยี่ห้อ โดยอนุญาตให้ตรวจในสถานพยาบาล และหน่วยตรวจที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการตรวจ RT-PCR ที่มีมากกว่า 300 แห่ง ช่วยลดระยะเวลารอคอย และในระยะต่อไปจะอนุญาตให้ประชาชนตรวจเองได้ที่บ้าน โดยจะมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร กำกับการดำเนินงานตามแนวทางปฏิบัติ

4.) แนวทางการแยกกักที่บ้าน (Home isolation) และการแยกกักในชุมชน (Community isolation) สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีเงื่อนไขเหมาะสม หรือไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ รวมทั้งการแยกกักในชุมชน ในกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนเป็นจำนวนมาก โดยมีกระบวนการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด จากสถานพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยและเป็นมาตรฐานในการดูแลรักษา เช่น มีเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เครื่อง Oximeter วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด และยารักษาโรค โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร นำเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ยังรับทราบแนวทางการจัดทีมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวหรือกลุ่มผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน ในพื้นที่ กทม.

นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นการระบาดที่เกิดจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา และมีแนวโน้มแพร่เชื้อไปต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานประกอบการ โรงงาน ตลาดค้าส่ง หากไม่มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่เข้มงวดมีประสิทธิภาพ

คาดการณ์ว่าอาจพบผู้ติดเชื้อสูงถึง 10,000 ราย/วัน หรือสะสมมากกว่า 100,000 ราย ใน 2 สัปดาห์ ส่งผลทำให้มีการเสียชีวิตเกิน 100 ราย/วัน จำเป็นต้องใช้มาตรการยาแรงจะดำเนินการพร้อมกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เช่น ห้ามการรวมกลุ่มคนมากกว่า 5 คน จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ลดจำนวนขนส่งสาธารณะข้ามจังหวัดระยะไกล ปิดสถานที่เสี่ยง ให้พนักงาน Work from home ให้มากที่สุด เพื่อลดโอกาสสัมผัสโรค ลดการเคลื่อนย้าย และลดกิจกรรมของบุคคลให้มากที่สุด

รวมถึงปรับแผนการฉีดวัคซีน ระดมฉีดกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคทั่วประเทศ ตั้งเป้าฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในพื้นที่ระบาดรุนแรง เช่น กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้ได้ 1 ล้านคนภายใน 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันมากกว่า 80% เนื่องจากกลุ่มนี้หากติดเชื้อมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง โดยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-11 กรกฎาคม 2564 ฉีดวัคซีนไปแล้ว 12,569,213 โดส เป็นเข็ม 1 จำนวน 9,301,407 ราย เข็ม 2 จำนวน 3,267,806 ราย


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กอ.รมน. ร่วม ทบ. จัดโครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน พาคนกลับบ้าน เพื่อสนับสนุนรัฐบาลลดภาระ ระบบสาธารณสุข ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 

พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิค – 19 ในประเทศไทยมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อทำให้ติดเชื้อโดยง่าย ส่งผลให้มี ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องยกระดับโดยกำหนดมาตรการที่มุ่งลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคลเพื่อลดการติดต่อการสัมผัสระหว่างกัน จำกัดการเดินทางออกจากบ้านลดการเดินทางโดยไม่จำเป็นและไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
 
พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิค – 19 ตามนโยบายของรัฐบาล ทุกช่องทางโดยเฉพาะการสนับสนุนการบริหารจัดการด้านระบบสาธารณสุขเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมอบให้ กอ.รมน. ได้บูรณาการร่วมกับกองทัพบก ตาม “โครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน ทบ. และ กอ.รมน. พาคนกลับบ้าน” จัดกำลังพลและยานพาหนะรับผู้ป่วยโควิด – 19 ที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อยที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ผู้ป่วยสีเขียว) กลับภูมิลำเนา
 
สำหรับการดำเนินการส่งผู้ป่วยกลับไปรักษายังภูมิลำเนาในครั้งนี้เป็นโครงการนำร่อง กอ.รมน.โดย กอ.รมน.ภาค3 ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก, โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และกอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก จัด “โครงการพาคนพิษณุโลกกลับบ้าน” โดยจัดรถบัส(ไม่ติดแอร์) เคลื่อนย้ายผู้ป่วยฯจากพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล กลับไปยังจังหวัดพิษณุโลก 

โดยมีแนวทางปฏิบัติต่อผู้ป่วยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่1 (ผู้ติดเชื้อและมีผลการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อฯ) และกลุ่มที่ 2 (ผู้ที่มีอาการ แต่ไม่มีผลการตรวจยืนยัน) ในการ เคลื่อนย้ายกลุ่มที่ 1 กำหนดเดินทางในวันเสาร์ที่ 10 ก.ค. จำนวน 30 คน และกลุ่มที่ ๒ กำหนดเดินทางในวันจันทร์ที่ 12 ก.ค. จำนวน 100 คน (ที่ติดค้างอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ด้วยตนเอง) และเมื่อถึงจังหวัดพิษณุโลกจะมีศูนย์คัดกรองและจัดกลุ่มผู้ป่วย (Triage Center) เข้าดำเนินการคัดกรองเพื่อเข้าระบบรักษาภายในโรงพยาบาลต่อไป ทั้งนี้การดำเนินการเคลื่อนย้ายได้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
 
กอ.รมน. ใคร่ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ปฏิบัติตามแนวทางของ ศบค. และยังคงต้องยึดถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลของ สธ. (D-M-H-T-T-A) ได้แก่ D - Distancing : อยู่ห่างไว้ M - Mask wearing :  ใส่แมสก์กัน H - Hand wash : หมั่นล้างมือ T - Testing : ตรวจวัดอุณหภูมิ A – Application : หมอชนะ, ไทยชนะ และขอส่งกำลังใจไปยังประชาชนทุกคนให้ผ่านพ้นวิกฤตที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
 

จำให้ขึ้นใจ! แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังสามารถติดเชื้อโควิด-19 ได้

โควิด-19 เชื้อร้ายแรง แม้จะฉีดวัคซีนแล้ว แต่ก็ยังติดเชื้อได้ และสามารถแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้เช่นกัน

เว้นระยะห่าง การ์ดไม่ตก เพื่อตัวเรา และคนรอบข้าง


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ. สนับสนุนรัฐบาลในการส่งกลับผู้ป่วยโควิด-19 ใน กทม. และปริมณฑล ไปรักษายังภูมิลำเนาตามความประสงค์ และตามมาตรการที่ สธ. กำหนด 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก (ศบค.19 ทบ.) เปิดเผยว่าตามที่พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศดำรงการใช้ศักยภาพของทรัพยากรที่มีอยู่ สนับสนุนรัฐบาลดูแลช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมอบให้ ศบค.19 ทบ.หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนรัฐบาลดำเนินการส่งกลับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย (ผู้ป่วยสีเขียว) ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ที่มีความประสงค์ไปรักษายังภูมิลำเนา ตามระบบของ สธ. จังหวัดนั้นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความคับคั่งของระบบ สธ.ส่วนกลาง กระจายไปยังส่วนภูมิภาค และเพื่อดูแลอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้มีความปลอดภัย

สำหรับการดำเนินการในครั้งนี้ ได้ใช้ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก (กทม.) โทร. 02-270-5685-9 และ 02-615-0269 เป็นศูนย์กลางติดต่อประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลและวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบร่วมกับศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพภาค ในการยืนยันความพร้อมรับผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาของ สธ. ในพื้นที่ และดำเนินการเคลื่อนย้ายโดยใช้กลไกศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 กองทัพบก และกองทัพภาค สนับสนุนกำลังพลพร้อมยานพาหนะที่เหมาะสมต่อจำนวนผู้ป่วย, ระยะเวลาการเดินทาง และลักษณะเส้นทาง พร้อมจัดบุคลากรสายแพทย์ร่วมขบวน เพื่อประเมินสถานการณ์ กำกับดูแลผู้ป่วยตามมาตรฐานทางการแพทย์และแนวทางการป้องกันควบคุมโรคตามหลัก สธ. ซึ่งกองทัพบกได้กำหนดพื้นที่รวมการ รองรับผู้ป่วยใน กทม. และปริมณฑล ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อประเมินสภาพร่างกายและอาการให้สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังจุดรับ-ส่งผู้ป่วยที่แต่ละกองทัพภาคจัดเตรียมไว้ ประกอบด้วย กองทัพภาคที่ 2 รพ.ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา, กองทัพภาคที่ 3 รพ.ค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ และกองทัพภาคที่ 4 รพ.ค่ายเขตอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับให้กำลังพลทุกนายที่เกี่ยวข้องในภารกิจครั้งนี้ ปฏิบัติตามแนวทาง ศบค. ควบคู่ไปกับมาตรการพิทักษ์พลอย่างเคร่งครัด พร้อมสวมใส่เครื่องป้องกันอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีความปลอดภัยในภารกิจ ส่งกลับผู้ป่วยไปรักษายังภูมิลำเนาได้ตรงตามความต้องการ                                               

ทบ.ยกระดับมาตรการ “พิทักษ์พล” ขยายการตรวจเชิงรุกหาโควิด ให้กับกำลังพลและครอบครัว ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล พร้อมจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 รพ.ทบ.” ขับเคลื่อนนโยบาย Home isolation 

.ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบกเปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง ศบค.มีนโยบายขยายการตรวจเชิงรุกเพื่อเร่งแยกผู้ติดเชื้อออกจากประชาชนทั่วไปโดยเร็ว ลดการแพร่กระจายเชื้อ ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ความสำคัญกับนโยบายพิทักษ์พล ที่สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด-19 มีนโยบายให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกหาเชื้อโควิด-19 ให้กับกำลังพลและครอบครัวเร่งด่วน ในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ได้มอบให้

กรมแพทย์ทหารบกโดยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร เข้าดำเนินการ โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านพักข้าราชการส่วนกลาง ซึ่งมีกำลังพลและครอบครัวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อทำให้สามารถค้นพบผู้ติดเชื้อในระยะแรกเริ่ม ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการดูแลรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว ตลอดจนลดภาระด้านสาธารณสุขนอกจากนั้นยังจะทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดภายในหน่วยทหารมีประสิทธิภาพ
                                                                                                                การดำเนินการตรวจเชิงรุกดังกล่าว ได้เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 64) 
โดยจัดชุดตรวจเคลื่อนที่ดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่พักอาศัยของอาคารสงเคราะห์กองทัพบกส่วนกลาง เกียกกาย เป็นลำดับแรก และจะดำเนินการตรวจตามความเร่งด่วนและสถานการณ์การแพร่ระบาด ครอบคลุมพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ตามลำดับ อาทิ บ้านพักข้าราชการ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 แจ้งวัฒนะ, กอง สรรพาวุธเบาที่ 1 , กองทหารพลาธิการ กองพลรักษาพระองค์ที่ 1 รักษาพระองค์ เขตหลักสี่, 
กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี เป็นต้น ทั้งนี้ กองทัพบกได้เริ่มดำเนินการตรวจเชิงรุกหาเชื้อโควิด-19 ให้กับกำลังพลทุกระดับ ที่ได้ปฏิบัติตามมาตรการ WFH (Work From Home) และกลับมาปฏิบัติงานในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก ตั้งแต่ 21 มิ.ย. 64 ที่ผ่านมาและในช่วงเช้าวันนี้ (12 ก.ค. 64) พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ไปตรวจเยี่ยม จุดบริการตรวจเชิงรุก ณ อาคารสงเคราะห์กองทัพบกส่วนกลาง เกียกกาย ซึ่งดำเนินการตรวจเป็นวันที่ 2 พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดตรวจ และกำลังพลที่เข้ารับการตรวจ ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ณ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก เกียกกาย
                                                                                                                    นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก” ให้ 37 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ ทั้งกำลังพลและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดเชื้อสีเขียว (ไม่แสดงอาการหรืออาการเล็กน้อย) สามารถกักตัวรักษาได้ที่บ้าน (Home isolation) ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ พยาบาล และลดภาระงานในสถานพยาบาล
ให้สามารถรักษาผู้ป่วยวิกฤตได้อย่างเต็มที่ รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่รับผิดชอบ และพิจารณาผู้ติดเชื้อสีเขียวที่ประสงค์จะรักษาที่บ้าน มีที่พักอาศัยตามลักษณะที่สาธารณสุขกำหนด ภายใต้การดูแลรักษา ติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง จากโรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกผ่านระบบสื่อสารต่างๆ และมีระบบรับ-ส่งผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเข้าสู่กระบวนการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ กองทัพบกเชื่อมั่นว่าการดูแลผู้ติดเชื้อที่ต้องกักตัวที่บ้าน (Home isolation) จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ได้เข้าถึงระบบการดูแลรักษาของสาธารณสุข ลดการสูญเสียชีวิต อีกทั้งลดภาระงาน
ของสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละ ทุ่มเท ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ตลอดการแพร่ระบาดในครั้งนี้ อย่างดีที่สุด

รวมเรื่องราวความผูกพัน 31 วัน กับ ‘ฟุตบอลยูโร 2020’

รูดม่านปิดฉากลงไปเรียบร้อย สำหรับศึกฟุตบอลเพื่อคนนอนดึก เอ้ย! ศึกฟุตบอลยูโร 2020 งานนี้เริ่มคิกออฟกันมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผ่านมาจนถึงนัดชิงชนะเลิศเมื่อคืนนี้ กินระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 31 วัน

ผลปรากฎว่า ทีมชาติอิตาลี สามารถคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด แม้ยูโรจะปิดฉากลงไป แต่ความประทับใจยังคงอยู่ THE STATES TIMES จึงไปประมวลเรื่องราวที่แฟนบอลชาวไทย ‘ได้รับ’ จากการชมฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์นี้มาฝากกัน ถือเป็นการปิดท้ายรายการฟุตบอลดี ๆ แล้วพบกันใหม่ในทัวร์นาเม้นท์หน้า...


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ.แจง หลัง 'ปวิน' โพสต์ป่วนทหารไทยบินสหรัฐฯ ไปฉีดวัคซีน ยันไปภารกิจ 'การฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์' กับทบ.สหรัฐอเมริกา-ทบ.อินโดนีเซีย 10-26 ก.ค.นี้ ลั่นทุกคนฉีดวัคซีนจากไทยเรียบร้อยแล้ว

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า มีกลุ่มทหารไทยบินไปสหรัฐฯ กับสายการบินโคเรียนแอร์ 109 คน ซื้อตั๋วแพงสุด คาดว่าไปฉีดวัคซีนด้วยเงินภาษีประชาชนนั้น

ล่าสุด พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงกรณีที่มีการภาพทหารเดินทางที่สนามบิน และถูกนำไปบิดเบือนนั้นว่า กองทัพบกขอแจ้งข้อมูลอีกครั้งเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐฯ ของกำลังพล กองร้อยส่งทางอากาศ ที่เดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operation) กับกองทัพบกสหรัฐฯ ณ Fort Bragg รัฐนอร์ทแคโรไลนา ระหว่างวันที่ 10-26 ก.ค. 64

โดยเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ภายใต้การฝึกร่วมผสมครอบบร้าโกลด์ในปี 2565 พร้อมทั้งมีการกักตัวก่อนไปฝึกในค่ายทหาร และเมื่อไปถึงสหรัฐฯ ก็ปฏิบัติลักษณะเดียวกันตามระบบ Military Training Quarantine ซึ่งกำลังพลทุกนายผ่านการ SWAB test ได้ผลเป็นลบ และได้รับการฉีดวัคซีนที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว โดยสรุปกำลังพลทุกนายได้ผ่านกระบวนการตามมาตรฐานสาธารณสุขในการป้องกันโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตามกองทัพบกได้เผยแพร่ข่าวการเดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. 2564 รายละเอียดตาม https://www.facebook.com/100051350382505/posts/340112994377044/?d=n

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ ของกองร้อยส่งทางอากาศ ณ สนามกระโดดร่ม บ้านท่าเดื่อ อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่มีกำหนดเข้าร่วม “การฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์” (Strategic Airborne Operations) ณ Fort Bragg รัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ 10-26 ก.ค. 64 โดยทำการฝึกร่วมกับกองพลส่งทางอากาศที่ 82 กองทัพบกสหรัฐอเมริกา และกองทัพบกอินโดนีเซีย

พร้อมทั้งกำชับให้ทุ่มเทตั้งใจเข้ารับการฝึกศึกษา เรียนรู้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พัฒนาตนเองและกองทัพต่อไป และให้ตระหนักว่าเป็นตัวแทนประเทศไทย กองทัพไทยในการไปสร้างความเชื่อมั่น สร้างความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพมิตรประเทศ รวมทั้ง เน้นย้ำกำลังพลให้ปฏิบัติตนภายใต้มาตรการป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัด ไม่ประมาททั้งที่อยู่ในต่างประเทศ และเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย

สำหรับการส่งกำลังพล “กองร้อยส่งทางอากาศ” เข้าร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารในระดับกองทัพมิตรประเทศแล้ว ผู้เข้ารับการฝึกยังสามารถนำความรู้ ประสบการณ์มาพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยส่งทางอากาศกองทัพบก และยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ภายใต้การฝึกร่วมผสมครอบบร้าโกลด์ในปี 2565 อีกด้วย

สำหรับกำลังพลกองทัพบกที่เข้าร่วมการฝึกกระโดดร่มที่สหรัฐฯ ในครั้งนี้ มีจำนวน 114 นาย ประกอบด้วย นายทหารสัญญาบัตร นายทหารประทวนนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 5 และ พลทหาร ซึ่งทุกนายได้ผ่านกระบวนการตามมาตรฐานสาธารณสุขในการป้องกัน COVID-19

ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการโพสต์ภาพอ้างว่าทหารที่ได้ไปครั้งนี้ ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบภาพพบว่าเป็นภาพปลอม เพราะหากดูรายละเอียดวันเกิดในการ์ด ถ้าเกิดปี 1963 อายุน่าจะ 58 ปี ซึ่งทหารที่ไปไม่แก่ขนาดนั้น

เมื่อถามถึงประเด็นเรื่องค่าตั๋วที่แพงและงบประมาณการใช้จ่ายที่โดนโจมตี พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า งบประมาณการฝึกร่วมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ยืนยันกำลังพลที่ไปฝึกได้รับการฉีดวัคซีนจากเมืองไทย 2 ชนิด คือ AstraZeneca และ Sinovac

ขณะที่ด้านทวิตเตอร์ @Rachadaspoke ของ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ระบุว่า ทหารไทยไม่ได้บินไปสหรัฐฯ เพื่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มสาม แต่เป็นการเดินทางไปเพื่อร่วมฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operation) ร่วมกับกองทัพบกสหรัฐฯ ณ Fort Bragg รัฐนอร์ทแคโรไลนา ส่วนการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์แผนเข็มสามนั้น กระทรวงสาธารณสุขแจ้งชัด เริ่มสัปดาห์หน้า

 

อ้างอิง : https://twitter.com/Rachadaspoke/status/1414424739842379781?s=19


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อิตาลี ทีมไฮบริดลูกผสม คว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้เป็นผลสำเร็จ

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

ก่อนอื่นต้องขอปรบมือให้กับ ‘แชมป์ยูโรทีมล่าสุด’ เหล่าขุนพลอัซซูรี่-อิตาลี ที่ประกาศศักดา คว้าแชมป์ยูโร 2020 ได้เป็นผลสำเร็จ

หากย้อนเวลากลับไปตอนก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นท์ เชื่อว่าคงไม่มีใครฟันธงว่า อิตาลีจะมาวินได้แชมป์ไปแบบนี้ เหตุผลหนึ่ง เนื่องจากอิตาลีชุดนี้ ไม่ได้อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์เหมือนในอดีต เรียกว่าเป็นทีมไฮบริดลูกผสม คือผสมผสานระหว่างนักเตะตัวเก๋ากับนักเตะคลื่นลูกใหม่ แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นว่า มันช่างลงตัว

ต้องยกความดีให้โค้ช โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่จัดการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมอิตาลี จากรับเหนียว เล่นเคี่ยว ให้กลายเป็นทีมติดเทอร์โบ เดินหน้าแล้วฆ่ามัน แต่ในคราวเดียวกัน ใครก็อย่าได้มาแหยมหน้าปากประตูบ้านข้า เพราะข้ามี 2 เก๋าขาโหด จอร์โจ้ คิเอลลินี่ & เลโอนาร์โด โบนุชชี่ เป็นหน่วยเคลียร์

ดูอย่างเกมเมื่อคืน ที่ 2 เก๋าขาโหด เก็บแฮร์รี่ เคน กองหน้าอังกฤษ ซะอยู่หมัด ไม่นับบรรดาดาวรุ่งสายจรวดของอังกฤษ หากตัวไหนทำตัวเปรี้ยว หวังจะลากเลี้ยงบอลผ่านไป พี่แกทั้งดึง ทั้งเตะ ไม่เหลือหลอ!

แม้เมื่อคืนอังกฤษจะขึ้นนำเร็ว 1-0 และเล่นเหมือนได้ใจในช่วงครึ่งแรก แต่นักเตะอิตาลีก็พยายามประคองอาการเสียเปรียบและเสียแผนจนจบครึ่งแรกไปได้ จนเริ่มครึ่งหลัง ทุกอย่างก็เข้าทางอิตาลีไปหมด

อิตาลีแก้เกมได้ดี และรู้ว่านักเตะอังกฤษมีอาการเกร็ง จะรุกก็ไม่เต็มตัว จะรับก็ไม่ได้รัดกุมนัก สุดท้ายจึงปูพรมบุก ถ่ายบอลซ้ายที ขวาที และใช้ความรอบจัดของกองหน้า แอบส่องประตูอยู่เป็นระยะ

สุดท้ายถึงแม้เกมจะจบที่ฎีกาจุดโทษ แต่ภาพรวมอิตาลีทำได้ดีกว่า และสมควรเป็นผู้ชนะ นี่คือความสำเร็จของทีมที่เล่นกันเป็นทีม และมาด้วยแพสชั่นที่เหนือกว่า อิตาลีแสดงให้เห็นถึงความกล้า และไม่คิดมาก ปล่อยให้เกมเดินไปข้างหน้าเพื่อทำประตูมากกว่า

ต้องบอกว่า คุ้มค่ากับการรอคอยแชมป์ยูโรหนที่สองในรอบ 52 ปี และคุ้มยิ่งกว่านั้น คือการลงทุนปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่น หรือปรัชญาของทีมที่เป็นสัญลักษณ์มาตั้งแต่อดีต จนกลายมาเป็นความสำเร็จ

อิตาลียุคนี้กลายเป็น ‘มักกะโรนีแซ่บซ่า’ รสชาติเด็ด เผ็ดร้อน และมีสีสันอย่างมากมาย ใครจะไปกล้าคิดว่า จากทีมที่ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อน จะกลับมายิ่งใหญ่ คว้าแชมป์ยูโร 2020 แถมด้วยสถิติไม่แพ้ทีมใดในทัวร์นาเม้นท์นี้เลย

งานนี้ฉลองชัยชนะกันให้เต็มคราบ เพราะอีกไม่นาน บทพิสูจน์ครั้งใหม่กำลังใกล้เข้ามา ฟุตบอลโลก 2022 ปลายปีหน้า จะเป็นบททดสอบ ‘อิตาลียุคใหม่’ อีกครั้ง งานนี้เสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น ไม่นับโจทก์เก่าอย่างสิงโต (คำราม) ที่คงรอชำระแค้นแน่นอน

ถึงตรงนั้น คงต้องรอดูล่ะว่า มักกะโรนีจานนี้จะเด็ดเหมือนเคยหรือไม่...


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เฉลิมชัย' สั่งฟรุ้ทบอร์ด (Fruit Board) ลุย 'ผลไม้ใต้-ลำไยเหนือ' 1.5 ล้านตัน ฝ่าวิกฤตโควิด-19

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้​ (ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) เปิดเผยวันนี้​ (12 ก.ค.) ว่า ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการคพจ. (คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด) ซึ่งเป็นกลไกแกนหลักของ

ฟรุ้ทบอร์ด​ เร่งทำงานเชิงรุกดูแลผลไม้ภาคใต้และลำไยภาคเหนือภายใต้แผนปฏิบัติการปี 2564​ ของฟรุ้ทบอร์ด​ โดยเฉพาะในช่วงพีคของฤดูกาลผลิตปีนี้​ ด้วยการเน้นขับเคลื่อนแผนการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้ให้ใช้แนวทางการบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออกที่เพิ่งผ่านมาเป็นตัวอย่าง​ ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจทั้งเรื่องราคาและตลาดจากการทำงานเชิงรุกและเพิ่มกลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ​ เช่นระบบสั่งซื้อล่วงหน้า​ (Pre-order) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในการส่งออกทุเรียนไปตลาดจีน​ ที่ถือเป็นตลาดฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19​ เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายใต้การเน้นย้ำเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของผลไม้ให้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ ตนเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบ ZOOM ล่าสุดร่วมกับ​ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวแทนเกษตรกร ภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีการพิจารณาประเด็นสำคัญ อาทิ...

- การเพิ่มครัวเรือนเป้าหมายโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563

- ผลการบริหารจัดการผลไม้ประจำฤดูกาลผลิตที่ 1/2564 (มีนาคม - มิถุนายน) ในพื้นที่ภาคเหนือ (ลิ้นจี่) และภาคตะวันออก (ทุเรียน, มังคุด, เงาะ, ลองกอง)

- การประเมินสถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2564 (ภาคเหนือ และภาคใต้) และได้เห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือ (ลำไย) ปี 2564 แผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปี 2564 และการช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหามะม่วงของจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดชัยภูมิ

ทั้งนี้ ยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ดูแลตามห่วงโซ่อุปทาน (Supply-Value chain) ตามพื้นที่การผลิต (Areas -Products base) และคณะทำงานด้านระบบข้อมูลโลจิสติกส์ และคณะศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าเช่นลำไย อีกด้วย

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการเยียวยาชาวสวนลำไย ฤดูกาลผลิตปี 2563 ได้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงินให้เกษตรกร ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติม จำนวน 154 ราย ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรจำนวน 201,986 ราย ได้รับเงินเยียวยากว่า​2,858,355,450 บาท แล้ว

ส่วนผลการบริหารจัดการผลไม้ ฤดูกาลผลิตที่ 1/2564 (มีนาคม - มิถุนายน) ภาคเหนือ ผลผลิตลิ้นจี่ มีปริมาณผลผลิตทั้งหมด 27,952 ตัน ในภาพรวมส่วนใหญ่มีการบริโภคในประเทศ 23,620 ตัน หรือร้อยละ 84.51 แปรรูป 2,131 ตัน หรือร้อยละ 7.62 และ ส่งออก 2,201 ตันหรือร้อยละ 7.87 ในส่วนของภาคตะวันออก ที่มีปริมาณรวมทั้งสิ้น 900,126 ตัน ประกอบด้วย ทุเรียน 575,542 ตัน มังคุด 106,796 ตัน เงาะ 197,708 ตัน และลองกอง 20,080 ตัน มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วรวมทั้งหมด 830,870 ตัน คิดเป็นร้อยละ 92.31 (ข้อมูล ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2564) ซึ่งขณะนี้ยังไม่สิ้นสุดฤดูกาล โดยมีการเน้นการป้องปรามทุเรียนอ่อน โดยจังหวัดได้กำหนดมาตรการระยะสั้นเพื่อควบคุมและป้องกันทุเรียนอ่อนไม่ให้ออกนอกแหล่งผลิต ด้วยการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อช่วยสกัดกั้นทุเรียนอ่อน โดยใช้บทลงโทษทางกฎหมาย

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาคุณภาพผลผลิตตามความเหมาะสมของพื้นที่ การเชื่อมโยงตลาด ภายใต้โครงการส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรตามอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีโดย​ AIC และหน่วยงานส่งเสริมต่าง ๆ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผลไม้และผลไม้อัตลักษณ์ตลอดจนการจัดทำแปลงเรียนรู้การส่งเสริมการผลิตตามระบบมาตรฐาน GAP และ GI การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรตามระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ สหกรณ์ และศูนย์คัดแยกผลไม้ชุมชน การตรวจสอบย้อนกลับโดยใช้ QR Code เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมหารือแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือ (ลำไย) ปี 2564-2565 มีการประเมินผลผลิตที่ 683,435 ตัน ใช้บริโภคสดภายในประเทศ 101,543 ตัน แปรรูป 438,420 ตัน ส่งออก 143,472 ตัน โดยขณะนี้ราคาลำไยสดช่อเกรด AA เท่ากับ 32 บาท/กิโลกรัม เกรด AA+A เท่ากับ 31 บาท/กิโลกรัม โดยกระจายผลผลิตผ่านล้งภายในประเทศ วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ห้าง Modern Trade ระบบของไปรษณีย์ไทย การตลาดออนไลน์และตลาดค้าผลไม้ภายในจังหวัด การจัดจำหน่ายตรงผู้บริโภค การบริโภคในครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้เร่งรัดดำเนินการด้านแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปี 2564 รวมปริมาณทั้งสิ้น 824,728 ตัน โดยเป็นทุเรียน 554,459 ตัน มังคุด 165,838 ตัน เงาะ 62,510 ตัน ลองกอง 41,921 ตัน ซึ่งจะมีแนวทางการกำกับ ติดตาม เฝ้าระวังช่วงปริมาณผลผลิตออกมาก (Peak) ปี 2564 และแจ้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.)บริหารจัดการเชิงรุกผลไม้ในพื้นที่พร้อมกำกับดูแลในพื้นที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเฝ้าระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนแรงงานและราคาผลผลิตตกต่ำในช่วงผลผลิตออกปริมาณมาก (Peak) ตามนโยบายของรัฐมนตรีเกษตรฯ

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้เกษตรกรชาวสวนได้รับผลกระทบ ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยกับชาวสวนมะม่วงที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับชาวนา และชาวสวนลำไย โดยเสนอขอชดเชยไร่ละ 2,000 บาท คนละไม่เกิน 25 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท และการพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้ตกต่ำในพื้นที่ จังหวัดชัยภูมิ ที่ได้รับความเดือดร้อน จำนวน 8,920 ครัวเรือน พื้นที่ 15,057 ไร่ ผลผลิต 11,292 ตัน โดยประสงค์ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อชดเชยราคาผลผลิตมะม่วง จำนวน 535,930,250 บาท ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนตาม 5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย โมเดลเกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต โดยบูรณาการทุกภาคส่วน และใช้เทคโนโลยีในการผลิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรต่อไปอย่างยั่งยืน” นายอลงกรณ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top