โดยนางอมรัตน์ ระบุว่าวันนี้ตนจะอภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นการทุจริตในหน้าที่ 3 ข้อ คือ 1) ทำผิดกฎหมายประมวลรัษฎากร หนีภาษี 2) ทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับผลประโยชน์อื่นใดเกินที่กฎหมายกำหนด และ 3) มีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลส่วนตัวเพื่อหนีการตรวจสอบ มี และเข้าข่ายให้ข้อมูลเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญ
***ขี้ตู่! แจงทรัพย์สิน ป.ป.ช.บ้านหลังน้อยกลางซอยเปลี่ยว แต่ตัวจริงอยู่เซฟเฮาส์ลับ 3 ไร่กลางค่าย ร.1 สร้างจากภาษีประชาชนตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ***
นางอมรัตน์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่มีความผิดโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่นั่นคือการวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น คือประเด็นต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากการพักอาศัยอยู่บ้านหลวงในกองทัพบก แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอำนาจวินิจฉัยความผิดตามกฎหมายอื่น นั่นคือความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. ความผิดตามกฎหมายอาญาเกี่ยวกับภาษี ซึ่งพฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีความผิดตามกฎหมายทั้งสองข้างต้นอย่างชัดเจน
โดยตนได้ไปทำการสืบค้น จนพบข้อพิรุธในการปกปิดข้อมูลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคือ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2557 ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน สามเสนใน กทม. ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. อยู่บ้านพักในค่ายแล้ว
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ยื่นคำให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 253/54 กรมทหารราบที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับที่กองทัพบกให้การ แต่ทว่ากรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบไปยังการไฟฟ้านครหลวง ได้รับตอบกลับมาว่าไม่พบว่ามีบ้านเลขที่นี้อยู่ในกรมทหารราบที่ 1
ทั้งนี้ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารได้เคยเขียนเล่าในหนังสือ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ แท้ที่จริงแล้วอาศัยอยู่ในเซฟเฮ้าส์เลขที่ 702 ในค่ายทหารตั้งแต่ยังเป็น ผบ.ทบ.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็นับเป็นเวลามากกว่าสิบปีแล้ว ในหนังสือชื่อ “ลับลวงพราง 5 ศึกชิงอำนาจผ่าแผนปฎิบัติการเลือด” ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2555 ในบทที่ 68
และในหนังสือดังกล่าว ยังเขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านเซฟเฮาส์เลขที่ 702 เอาไว้อีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างบ้านพักหลังนี้บนเนื้อที่เกือบ 3 ไร่ ที่จะเป็นทั้งบ้านพัก ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมลับ ห้องรับรอง ห้องจัดเลี้ยงวอร์รูมและ safe house ที่พร้อมสรรพและทันสมัย ในแบบประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมจากที่ไหนในโลกก็ได้
และยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมา 3 ป. ได้ใช้บ้านพักหลวงแห่งนี้เป็นที่ประชุมทางการเมืองมาตลอด เป็นที่ประชุมลับในช่วงวิกฤต บ้านพักหลังนี้มีการวัดระยะก่อนสร้างว่าเอ็ม 79 ยิงไม่ถึง เป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์มีแผนที่จะอยู่ในอำนาจยาวนานและรู้ด้วยว่าจะต้องพบเจอภารกิจใดบ้างนับจากนี้ นอกจากนี้ วาสนายังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ร.1 รอ. และ เซฟเฮาส์เลขที่ 702 จะเป็นสถานที่ให้กำเนิดและตัดสินชะตาบ้านเมืองอีกครั้งก็เป็นได้
“อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่นของคฤหาสน์บ้านหลวงริมน้ำ ที่ปลูกเต็มพื้นที่ 3 ไร่ เป็นเงินภาษีของประชาชน แต่ทำไมมันลึกลับยากต่อการตรวจสอบขนาดนี้คะ ขนาดกรรมาธิการ ป.ป.ช.แห่งรัฐสภาทั้งขอตรวจสอบไปที่การไฟฟ้านครหลวง ทั้งขอคำชี้แจงจากกองทัพก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ ถ้าสร้างด้วยเงินของท่านเองดิฉันก็คงไม่มายืนอภิปรายในวันนี้ค่ะ ทั้งหมดนั้นสร้างจากเงินภาษีอากรของประชาชนตาดำๆ ทั้งสิ้น จัดให้อยู่ฟรีมีสุขขนาดนั้นแล้วยังจะหนีการตรวจสอบ ยังจะกล้าหนีภาษีอีกเหรอคะ” นางอมรัตน์กล่าว
นางอมรัตน์กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นๆ ในคฤหาสน์ริมบึงพื้นที่ 3 ไร่ในค่ายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มีค่าใช้จ่ายเกิน 3 พันบาทตามกฎหมาย ป.ป.ช.อย่างเห็นได้ชัด
ตามเอกสารรายการหักบัญชีค่าไฟฟ้าของบ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. 10400 ซึ่งเป็นบ้านหลังที่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินนักการเมืองต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 บ้านหลังนี้อยู่ในซอยแคบและอยู่ก้นซอย เข้าไปก็กลับรถลำบาก บ้านหลังเล็กๆนี้ไม่มีคนอยู่ยังมีค่าไฟฟ้าเดือนละพันกว่าบาททุกเดือน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่มาเป็นสิบปียังค่าไฟเดือนละกว่าพันบาททุกเดือน เทียบกับคฤหาสน์ริมน้ำพื้นที่ 3 ไร่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิน 3 พันบาทแน่นอน
“คำถามต่อไปคือเฉพาะค่าไฟที่มีใบเสร็จอย่างเดียวนี่เดือนละกี่พันกี่หมื่น และค่าบำรุงรักษาดูแลอีกเดือนละเท่าไหร่ ได้ข่าวมาว่า มีชั้นจอดรถใต้ดิน และลานจอดเฮลิคอปเตอร์อีกด้วย ทั้งหมดคือภาษีอากรของพวกเราประชาชนตาดำๆ ดิฉันต้องการให้ท่านเปิดเผยออกมาซักทีว่าเดือนๆ หนึ่งท่านใช้ภาษีของพวกเราไปเท่าไหร่” นางอมรัตน์กล่าว
นางอมรัตน์ยังกล่าวต่อไปว่า เรื่องบ้านเลขที่ที่มีปัญหา เด็กชั้นประถมต้นยังตอบบ้านเลขที่ของตัวเองได้แล้วเวลาที่ครูถาม แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ได้ดูถูก แต่ต้องถามว่าท่านจำบ้านเลขที่ตัวเองได้หรือไม่ เพราะข้อมูลที่ได้มาแต่ละแหล่งไม่ตรงกันเลย และนั่นคือข้อกล่าวหาของตน เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ทำการปกปิดอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของประชาชน ซึ่งผิดหลักการของนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยสากล
***จี้ต่อ ค่าไฟเซฟเฮาส์เดือนละกี่หมื่น? ซัด รับประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พัน ผิดกฎ ป.ป.ช.ชัดเจน***
หลังจากนั้น นางอมรัตน์ได้อภิปรายต่อไปถึงข้อกล่าวหาที่ 2 หรือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. จากการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3 พันบาท ซึ่งในกรณีนี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยให้การไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การรับประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการคือกองทัพ เป็นไปตามที่กองทัพปฎิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ที่มีสถานภาพและคุณสมบัติเดียวกันในธุรกิจการงานปกติ กองทัพจึงอนุมัติให้ผู้ถูกร้องเข้าอาศัยในอาคารเลขที่ 253/54 และสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอาศัย
“นี่คือใบเสร็จที่ทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพบกยื่นให้การไว้ต่อศาล และถูกบันทึกไว้แล้วในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนมัดตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไว้แน่นชนิดดิ้นไม่หลุดว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.จริง จากการยอมรับว่าได้รับผลประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พันบาทจากกองทัพ และทำผิดกฎหมายรัษฎากรจริง จากการยอมรับว่ามีรายได้อื่นแต่ไม่เคยยื่นเสียภาษี ภงด.90”
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์เกษียณตั้งแต่ปี 2557 กองทัพบกไม่ใช่ต้นสังกัดของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้กับนักการเมืองเหมือนเราทุกคนที่นี่ ท่านอาจจะบอกว่าเป็นสวัสดิการจากกองทัพ รับตามระเบียบกองทัพ เหมือนนายพลที่เกษียณอายุแล้วท่านอื่น ต้องตอบไว้ตรงนี้ว่าเพราะเพื่อนนายพลของท่านเหล่านั้นถ้าไม่ได้มาเป็นนักการเมืองก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ป.ป.ช.ที่บังคับใช้กับนักการเมืองแบบท่าน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2561 ในมาตรา 128 ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐทุกตำแหน่ง และที่พ้นตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน 2 ปี รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้เกิน 3,000 บาท" โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษตาม มาตรา 169 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นางอมรัตน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จึงอยากให้ย้อนไปดูบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นแล้วจากการชี้มูลของ ป.ป.ช. กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิด และแจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ในคดีดำหมายเลข 03- 3-57 9/2562 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 กรณีดังกล่าวป็นความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับเลขาฯ มีความว่า อดีตรัฐมนตรีทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. รับตั๋วเครื่องบินมูลค่าเกิน 3 พันบาท 2 ครั้ง ป.ป.ช.ชี้มูลว่าถือเป็นโทษ 2 กรรม 2 กระทง สำหรับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำผิดรับค่าไฟฟ้าจากกองทัพเกิน 3 พันบาท 76 เดือน เรียงเป็นโทษ 76 กระทง และถ้า ป.ป.ช.ยังแชเชือนชักช้าไม่กล้าดำเนินการใดๆ ก็จะเพิ่ม เดือนที่ 77, 78, 79 เพิ่มความผิดต่อไปเรื่อย ๆ อีก
“บุคคลต้องเสมอภาคเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย ยกเว้นท่านจะไม่ใช่บุคคล ลองคิดอย่างโง่ๆ สมมุติถ้ามนุษย์มีแค่ 84,000 เซลล์สมองจริงอย่างที่ท่านเคยว่าไว้ ก็มีเหลือทางเดียวที่จะรอดได้ นั่นคือต้องใช้อำนาจ ม.44 กลับไปแก้กฎหมาย ป.ป.ช. แต่จะแก้อย่างไร เพราะในตอนนี้ท่านไม่มีอำนาจ ม.44 อีกแล้ว นับจากวันพ้นสภาพลูกจ้างกองทัพมาเป็นลูกจ้างประชาชน ท่านต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของเดียวกับนักการเมืองทุกคน ท่านรับประโยชน์อื่นใดจากกองทัพเกิน 3 พันบาท รวม 76 กรรม 76 กระทง กระทง ละ 3 ปีมีโทษจำคุกรวม 228 ปี ลาออกตอนนี้เลยไหมคะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องให้อภิปรายข้อกล่าวหาต่อไปดีไหมคะ ดิฉันอายแทนท่าน” นางอมรัตน์ กล่าว
***ซัดต่อ เป็นถึงนายกฯไม่ยอมยื่นภาษี กินน้ำไฟหลวงฟรีจากกองทัพ อายชาวบ้านบ้างไหม***
สำหรับข้อกล่าวหาสุดท้าย นางอมรัตน์ ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 50 และทำผิดประมวลรัษฎากร โดยกรณีของรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (9) ระบุไว้ว่าบุคคลต้องมีหน้าที่เสียภาษี ส่วนประมวลรัษฎากรมาตรา 39 กล่าวถึงเงินได้พึงประเมินว่า เป็นเงินได้ที่ต้องนำมาเสียภาษี และให้หมายความรวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงิน และประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (2) กำหนดให้เงินได้เนื่องจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงานที่ทำถือเป็นเงินได้พึงประเมิน
โดยประมวลรัษฎากรมาตรา 42 ระบุข้อยกเว้นว่าผลประโยชน์อะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี มี 25 ข้อย่อย ยกตัวอย่างเช่นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าเดินทางที่นายจ้างจ่ายให้ ดอกเบี้ยสลากออมสิน ดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ มรดก ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ปรกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคม เป็นต้น
“ขอย้ำ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีความผิดเพราะไปรับประโยชน์ค่าไฟฟ้าจากกองทัพ แต่สิ่งที่กล่าวหาประเด็นนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์รับแล้วไม่ไปยื่นเสียภาษี ถามว่าท่านเป็นถึงผู้นำประเทศ ทำไมไม่ทำตามกฎหมาย ทำไมทุจริตจงใจหลีกเลี่ยงรับแล้วไม่ยอมเอาไปยื่นเสียภาษี ภงด.90 ต่างหาก และยังทำผิดแบบนี้มา 6 ปีแล้วนับตั้งแต่เกษียณจากกองทัพ เป็นเพราะความไม่แยแสไม่สนใจกฎหมาย คิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครจับได้ หรือมั่นใจว่าถึงจับได้ก็คงทำอะไรท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ทั้งนี้ นางอมรัตน์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปีถัดจากเกษียณอายุ คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนมารับเงินเดือนจากสำนักงานปลัดนายก หรือ สปน. ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ก็ไม่มีใครได้เห็นแบบ ภงด.90 ของท่านอีกเลย
ซึ่งหลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 2557 กองทัพกลายเป็นคนอื่นสำหรับท่านไปแล้ว การยื่นภาษีในปีต่อจากนั้นจึงต้องเอาผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทัพทั้งค่าน้ำค่าไฟค่าอื่นๆ มารวมเป็นรายได้ประจำใน (1) ในแบบ ภงด.90 ด้วย ขอย้ำอีกครั้งว่า ผลประโยชน์อื่นใดซึ่งศาลตัดสินให้ พล.อ.ประยุทธ์มีสิทธิ์รับจากกองทัพได้ไม่ผิด กองทัพไม่ผิด แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผิดที่หลบเลี่ยง ไม่นำมารวมเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 และมาตรา 40 และผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (2) ที่บอกไว้ว่าบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีนั่นเอง
"ในระหว่างที่ยังเป็นทหารถือเป็นลูกจ้างของกองทัพ จะอ้างกฎหมายหรือจะอ้างกฎเกณฑ์หยุมหยิมระเบียบราชการกองทัพอะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นนายก มาเป็นข้านักการเมือง ค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากกองทัพถือเป็นเงินได้พึงประเมิน เข้าลักษณะพึงเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39, 49"