Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

ยาฟาวิพิราเวียร์ ขององค์การเภสัชกรรม ได้รับการขึ้นทะเบียนอย.แล้ว ต้นสิงหาคมนี้เริ่มกระจายเข้าระบบการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กล่าวว่า ยาฟาเวียร์ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) มีชื่อสามัญทางยา คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ที่องค์การเภสัชกรรมได้ดำเนินการ วิจัย พัฒนา และผลิตเอง ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว

โดยยาฟาเวียร์เป็นผลิตภัณฑ์ยาสามัญรายแรกของประเทศไทยมีคุณภาพมาตรฐานสากล จะเริ่มผลิตและกระจายให้ผู้ป่วยได้ใช้ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยในระยะแรกผลิตได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 2 ล้านเม็ด ที่โรงงานขององค์การฯ ที่ถนนพระราม 6 และจะขยายกำลังการผลิตไปยังโรงงานผลิตยาที่ คลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การผลิตยาดังกล่าวขององค์การฯ ครั้งนี้ ทำให้ราคายาถูกลงกว่าการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ส่งผลให้รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ

“ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นรายการยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ ตามแนวทางการรักษาของประเทศไทย ซึ่งเดิมต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 มีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ถึงประมาณวันละ 3 แสนเม็ดหรือเดือนละประมาณ 9 ล้านเม็ด

ซึ่งองค์การฯ ได้มีการจัดหาเข้ามาจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และองค์การฯ จะเริ่มผลิตยาฟาเวียร์คู่ขนานไปด้วย โดยองค์การฯ จะได้มีการบริหารจัดการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ให้เพียงพอและสอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ”

ดร.ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวต่อไปว่า องค์การฯ ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาและผลิตยาฟาเวียร์ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ มาใช้ในการพัฒนาสูตรตำรับ จนขยายขนาดการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ยาดังกล่าวได้ผ่านการศึกษาความคงตัวและประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) ซึ่งเป็นการศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบแล้ว โดยผลการศึกษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสากลและผลการศึกษาชีวสมมูลเทียบเท่ากับยาต้นแบบ

“องค์การฯ ต้องขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมทรัพย์สินทางปัญญา ภาคประชาสังคม และอีกหลายหน่วยงาน ที่ร่วมกันผลักดันให้การดำเนินการในครั้งนี้สำเร็จ จนส่งผลให้องค์การฯ สามารถที่ผลิตยารักษาโควิด-19 ให้กับผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้”


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขณะที่คนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนด้วยการด่าทำให้สังคมไทยดีขึ้น แต่มันเป็นแบบนั้นจริงหรือ?

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม สำนักข่าว The Straits Times ของสิงคโปร์รายงานข่าวว่า "บุคลากรแพทย์ไทยหลายร้อยคนติดเชื้อทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนชิโนแวค โควิด-19" พร้อมกับโปรยหัวข่าวในเฟซบุ๊คของสำนักข่าวว่า "บุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับ Sinovac จำนวน 2 โดส ติดเชื้อจำนวน 618 จาก 677,348 คน"

ข่าวเดียวกันนี้ปรากฎขึ้นที่ไทยก่อน แน่นอนว่าในโลกโซเชียลของไทยนั้นด่าแบบเสียผู้เสียคนทั้งวัคซีนจีนและคนนำเข้าวัคซีนเข้ามา (รัฐบาล) รวมถึงคนที่เสนอข้อมูลเรื่องวัคซีนจีนคือ "หมอยง" ศ. นพ. ยง ภู่วรวรรณ ยังถูกคนมือบอนแก้ไขข้อมูลประวัติในวิกิพีเดียของคุณหมอว่าเป็น "เซลล์แมนของซิโนแวค"

ขณะที่ไทยหัวหมุนกับเกมการเมืองเรื่องวัคซีน และพยายาม "ขับเคลื่อนประเทศด้วยการด่า" อย่างที่อินฟลูเอนเซอร์บางคนคุยโว ในช่องความเห็นของ The Straits Times นั้นไปคนละทางกับไทย เช่น

Jonathan Tan บอกว่า "600 เคสจาก 677,000 น้อยกว่า 0.1% นี่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่พาดหัวข่าวทำให้ดูแย่ รายงานควรมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ?"

Mohd Faliq Putrans บอกว่า "ที่มาเลเซีย บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อทั้ง ๆ ที่ฉีด Pfizer ไปแล้ว 2 โดส กรุณารายงานอย่างเป็นธรรม ผมไม่ใช่พวกโปรจีน แต่น่ารำคาญกับรายงานที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้น"

Richard Ker (ซึ่งมีคนกดไลค์มากที่สุด) บอกว่า "รายงานมีอคติ >68% ของคนอังกฤษได้รับวัคซีน AZ แต่ปัจจุบันมีผู้ป่วยมากกว่า 30,000 ราย? มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?" ซึ่งเขาอาจจะหมายความรายงานนี้เอนเอียงไปทางโจมตี Sinovac ขณะที่วัคซีนตัวอื่นมีข้อกังขาเรื่องประสิทธิภาพเหมือนกัน

ในเทรดคอมเมนต์ของ Richard Ker มีผู้แสดงความเห็นมากมาย (500 คอมเมนต์) หนึ่งในนั้นถามว่า "ช่วยอธิบายหน่อยรายงานข่าวนี้อคติอย่างไร?" ซึ่ง Tan Kia Sin อธิบายเหมือนความเห็นแรกว่า "จากตัวเลขที่กำหนดโดย Reuters/ST เปอร์เซ็นต์ของ 618 เทียบกับ 677, 348 นั้นน้อยมาก ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์ของบุคลากรแถวหน้าในสิงคโปร์ที่ติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนครบโดสอาจสูงกว่าในประเทศไทย ในสิงคโปร์ในคลัสเตอร์เดียว 50% ของผู้สูงอายุที่ติดเชื้อได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว"

ความเห็นเรื่องนี้บอกกับเราว่าคนสิงคโปร์

1.) คิดว่าสถานการณ์ไทยดีกว่า

2.) พูดคุยอย่างเป็นสุภาพชนและมีเหตุผล

3.) รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลและ "อ่านเนื้อข่าวโดยไม่อ่านแค่พาดหัว"

เรามักบอกว่าสิงคโปร์แซงหน้าไทย แต่มีสักกี่คนที่สังเกตว่าสิงคโปร์ไม่ได้แซงแค่วัตถุ แต่คุณภาพของประชาชนยังแซงหน้าด้วย และกรณีข่าวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว หากลองอ่านความเห็นใน The Straits Times ทุก ๆ ข่าวเราจะเห็นคุณภาพของประชาชนสิงคโปร์ได้ดี

เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในโลกโซเชียลในไทย ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่มีแต่มีน้อยจนน่าเศร้าใจที่จะคุยกันด้วยเหตุและผลอย่างคนสุภาพ

สิ่งที่คนสิงคโปร์มีคือ Digital Civility หรือความมีอารยะทางอินเทอร์เน็ต

ไม่ใช่ว่าเรามีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งขอโลก (ซึ่งไทยเป็นแบบนั้นจริง ๆ) แล้วจะถือว่ามีอารยะ มันไม่ใช่แบบนั้น ความมีอารยะในโลกดิจิทัลเขาวัดกันที่พฤติกรรมที่ดีต่อกันในโลกโซเชียล อัตราการใช้วาจาประทุษร้ายต่อกัน และหลงเชื่อข่าวปลอมมากแค่ไหน

จากดัชนีความมีอารยะหรือความสุภาพทางอินเทอร์เน็ต (Digital Civility Index) ของบริษัท Microsoft ประจำปี 2020 พบว่าประเทศที่มีอารยะสูงสุดในโลกออนไลน์คือเนเธอร์แลนด์ ส่วนในเอเชียอันดับที่ 1 คือสิงคโปร์ ขณะที่ไทยอยู่กลุ่มท้ายตารางอันดับบ๊วยคือเวียดนาม ไล่ขึ้นมาอินโดนีเซีย และไทย

ที่ทำให้รู้สึกว่าคนสิงคโปร์มองเห็นอนาคตในวิกฤตก็คือ จากการสำรวจพบว่า 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามในสิงคโปร์กล่าวว่าความมีอารยะทางออนไลน์ดีกว่าในช่วงการระบาดใหญ่ โดยเป็นผลมาจากความรู้สึกของชุมชนและผู้คนที่รวมตัวกันเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้มากขึ้น

ในขณะที่ 31% ระบุว่าความสุภาพทางออนไลน์แย่กว่าเนื่องจากมีการแพร่กระจายของข่าวเท็จและข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดมากขึ้น และผู้คนใช้โลกออนไลน์แสดงความผิดหวังต่าง ๆ นานา

ดังนั้น สิงคโปร์ก็เหมือนไทยคือเจอข่าวปลอมเล่นงานหนักและผู้คนก็สิ้นหวังจนต้องมาระบายทางเน็ต แต่ถึงแม้จะเจอปัญหาเดียวกันแต่คุณสมบัติด้านความเป็นสุภาพชนของคนสิงคโปร์ดีกว่า

เช่น ข่าวที่ The Straits Times รายงานเรื่องยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งข่าวนี้ไล่หลังข่าวที่ไทยเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งคนสิงคโปร์สนใจกันมากเพราะอยากมาเที่ยวไทยกันเต็มแก่แล้ว ปรากฏความเห็นที่มีคนสนใจมากที่สุดบอกว่า Steven Rostron "พาดหัวข่าวที่แย่และไม่ถูกต้อง เคสที่เพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดภูเก็ตเลย"

เราจะเห็นว่าตั้งแต่ข่าวบุคลากรแพทย์ในไทยที่ฉีด Sinovac ติดเชื้อแล้วจนถึงข่าวข้างต้น ผู้อ่านสื่อสิงคโปร์มักแย้งการรายงานของสื่อ ซึ่งไม่ได้รายงานข่าวเท็จ แต่พาดหัวหวือหวาจนเกือบจะทำให้คนเข้าใจผิด ความละเอียดลออนี้ทำให้คนสิงคโปร์มีภูมิคุ้มกันสูงต่อข่าวปลอม ซึ่งหมายความว่ามีอารยะสูงในโลกออนไลน์ด้วย

นอกจากนี้ยังมีกรณีตัวอย่างเรื่อง "การตำหนิรัฐบาล" ขอยกตัวอย่างคอมเมนต์ "ตำหนิ" ใน The Straits Times ข่าวที่นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง แถลงต่อประชาชนถึงแนวทางรับมือโควิด-19 เมื่อเดือนพฤษภาคม ชาวสิงคโปร์ใช้เฟซบุ๊กของสำนักข่าวนี้ตำหนิและเยาะเย้ยผู้นำ

Eric Wong บอกว่า "นี่เป็นเพียงจุดสีแดงเล็กๆ โปรดจัดการกับการระบาดใหญ่นี้ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดมากกว่ารัฐมนตรีที่ได้รับค่าตอบแทนสูงๆ ทั้งหมดของคุณ โปรดอย่าอ่านสคริปต์เดิม ๆ ของคุณ มิฉะนั้นเราทุกคนจะรีบแห่ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต" คำตำหนินี้มีคนกดไลค์มากที่สุด ซึ่งเป็นความเห็นตำหนิที่เบามากเมื่อเทียบกับที่ผู้นำไทยเจอ

วันที่ 14 กรกฎาคม คราวนี้เป็นทีของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อมีหญิงจากเวียดนามถือใบอนุญาติเข้าเมืองระยะสั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ในสิงคโปร์ ข่าวนี้ทำให้คนสิงคโปร์เดือดดาลมาก แต่ในความเดือดดาลนั้นยังอาการก็ยังไม่หลุดเหมือนชาวเน็ตไทย เช่น ความเห็นท็อปเมนต์นี้

Joy Lee "Can MOH pls disclose the list of public places visited by the infected Vietnamese lady? This sounds like a super spreading event."

ผู้เขียนไม่ขอแปลข้อความนี้เพื่อจะให้เห็นรูปแบบของข้อความที่สุภาพและมีเหตุผล ไม่มีการใส่อารมณ์ แม้จะเรียบราบและไม่ได้เดือดดาลอย่างบ้าคลั่งก็ยังมีคนกดไลค์มากที่สุด

อีกท็อปเมนต์หนึ่งของอีกข่าวที่รายงานเรื่องเดียวกันแสดงอาการเล็กน้อย Vik Vicknesh บอกว่า "This is a joke. What is a short term pass holder doing here? Isn't travel suppose to be only for extreme essential if not citizens?"

คอมเมนต์นี้ถือว่าเจ็บที่สุดแล้ว ในไทยนั้นใครแสดงความเห็นแบบนี้จะไม่ใช่ท็อปเมนต์แต่จะเป็น "ท้ายเมนต์"

อย่างไรก็ตาม ที่ยกตัวอย่างการเจรจาระหว่างประชาชนกับรัฐบาลสิงคโปร์ ไม่ได้ผู้เขียนหมายความว่าจะให้ไปพูดนะจ๊ะนะจ๋ากับพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะกับเรื่องการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพที่สมควรถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนให้ตระหนักถึงความผิดพลาดนั้น

ย้ำว่า "วิจารณ์" ไม่ใช่ด่า เพราะด่าแล้วนายกฯ ไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็คงไม่แคร์ อย่าว่าแต่คนระดับหัวของประเทศ คนเดินดินเท่า ๆ กันด่ากันเองยังไม่ยอมฟัง นี่คือสัจธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

เพียงแต่จะบอกว่านี่คือระดับคุณภาพความสุภาพของสิงคโปร์ที่สมกับอันดับที่หนึ่งในเอเชีย ส่วนในไทยนั้นถึงกับมีแคมเปญของคนบางกลุ่มที่บอกว่า "ประเทศขับเคลื่อนด้วยการด่า"

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมไทยถึงติดอันดับที่ 3 จากบ๊วย

กรกิจ ดิษฐาน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/658025


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช ประกาศ เรื่อง ประทานพระอนุเคราะห์แก่การฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ขาดแคลน

วันนี้ (15 ก.ค.) สำนักงานเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช ประกาศ เรื่อง ประทานพระอนุเคราะห์แก่การฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ขาดแคลน

อนุสนธิ มติมหาเถรสมาคม ที่ 250/2564 ในการประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 ข้อ 4 ระบุว่า “กรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และไม่มีค่าใช้จ่ายในการฌาปนกิจศพ ให้วัดช่วยดำเนินการ แล้วให้เบิกค่าใช้จ่ายได้ที่สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ในต่างจังหวัดให้แจ้งความประสงค์เบิกค่าใช้จ่ายผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด” ความแจ้งแล้ว นั้น

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระปรารภให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สอดส่องสำรวจตรวจตราวัดในปกครองอย่างใกล้ชิด ว่ามีข้อขัดข้องหรือความยากลำบากในการสงเคราะห์ประชาชนเกี่ยวกับการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่เพียงใด พร้อมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้แก่วัดและประชาชนที่ประสบความยากลำบากในเบื้องต้นอย่างตามกำลังความสามารถ

ทั้งนี้ ในกรณีเจ้าภาพศพเป็นผู้ขาดแคลน ให้วัดดำเนินการสงเคราะห์หีบศพ และเชื้อเพลิงปลงศพทุกราย แล้วให้นำความกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 250/2654 โดยเร็ว เพื่อโปรดประทานพระอนุเคราะห์ต่อไป

อนึ่ง โปรดให้เชิญรับสั่งทรงอนุโมทนาและประทานกำลังใจแก่วัดและชุมชนซึ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อการสาธารณสงเคราะห์อย่างเต็มสติกำลัง ตามบทบาทหน้าที่ที่วัดและชุมชนพึงมีต่อกัน อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามของสังคมไทย อีกทั้งประทานพรให้ทุกรูปและทุกคนจงประสบสวัสดิภาพ ถึงพร้อมด้วยสรรพกำลังในอันที่จะประกอบกรณียกิจเกื้อกูลประโยชน์มหาชนอย่างมิลดละ แม้ในสถานการณ์อันยากลำบากนี้

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล สาขาวิชาโรคภูมแพ้ รพ.รามาธิบดี เล่าอาการติดโควิดสายพันธุ์เดลตา เผยข้อดีซิโนแวค ช่วยกำจัดไวรัสได้เร็ว ลดการอักเสบที่ปอด

วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 หลัง พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล สาขาวิชาโรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (2 ก.ค.) ว่าตนเองตรวจพบเชื้อโควิด หลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด พญ.ประภาพร ได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้ง เล่าถึงอาการหลังการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) พร้อมระบุ ตนได้ทราบผลการตรวจ Swab พบว่า ไวรัสที่ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์เดลตา ว่า...

เป็นไปตามคาดนะคะ ทราบผล Sequencing ของไวรัสที่ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์ Delta (B.1.617.2) ผลตรวจจาก Swab ของหมอแสดงในข้อมูล COVID-19 Network Investigations (CONI) Alliance หมอ hi-lighted ด้วยสีแดงนะคะ

ล่าสุดมีข้อมูลตีพิมพ์ในวารสาร Science (DOI: 10.1126/science.abg6296) พบว่าในสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศปิดและมีปริมาณไวรัสสูง ๆ ที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี (หรือไม่มี filter ที่ดักจับไวรัสได้) ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นนาน ๆ ในที่สุดแล้วเราก็จะต้องหายใจเข้าปอดไปอยู่ดี (ไม่ว่าหน้ากากที่เราใส่จะดีเพียงใด) สิ่งนี้คงเป็นปัจจัยที่ทำให้หมอติดเชื้อด้วยค่ะ

เพราะฉะนั้นถ้าต้องเข้าไปในสถานที่แบบนั้นอย่าอยู่นานนะคะ เพราะจะมีโอกาสรับเชื้อได้มากขึ้น

จากข้อมูลที่ทราบกันดีว่าสายพันธุ์เดลตามีการกลายพันธุ์ที่เพิ่มความสามารถในการติดเชื้อได้ดีและสามารถเพิ่มจำนวนไวรัสในเซลล์มนุษย์ได้ดี ดังนั้น จึงสามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้เร็ว มีระยะฟักตัวที่สั้น และทำให้มีอาการแสดงได้เร็ว

ดังนั้น การรู้ว่าเราเกิดการติดเชื้อโควิดได้เร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะให้การรักษาได้อย่างรวดเร็วและลดโอกาสการเกิดข้อแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ การเข้าถึงการตรวจได้เร็วจะช่วยในส่วนนี้มาก (หวังว่าการปลดล็อคการตรวจหลายอย่างจะทำให้ขั้นตอนนี้เร็วขึ้น)

วันนี้หมอเลยมาเล่าอาการของการติดเชื้อโควิด สายพันธุ์ Delta ของหมอให้ฟังกันและดูว่าการฉีด Sinovac ช่วยเราอย่างไรนะคะ

โดยอาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดจะแบ่งเป็น 2 ระยะคือ..

1.) ระยะแรกของการติดเชื้อ : ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเริ่มต้นคล้ายเป็นหวัดทั่วไปนะคะ มีไข้ ปวดเมื่อยตัว มีน้ำมูก ระคายคอ คันคอ เจ็บคอ อาการเหล่านี้แถบจะแยกไม่ได้จากอาการหวัดทั่วไปเลย แต่อาการจมูกไม่ได้กลิ่น ดูเหมือนจะเป็นอาการที่ค่อนข้างจำเพาะกับการติดเชื้อโควิด (แต่อาการจมูกไม่ได้กลิ่นนี้ ไม่ได้เกิดในวันแรก ๆ จะมาพร้อม ๆ กับอาการคัดจมูกและมีน้ำมูก)

ถ้าดูในรูปจะเห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกาย การรักษาก็คือการรักษาตามอาการ (ให้ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก แก้ไอ เจ็บคอ) และการให้ยาต้านไวรัสในช่วงนี้จะช่วยลดปริมาณไวรัสลงและช่วยให้มีโอกาสการเกิดอาการแทรกซ้อนลดลง โดยระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อ การทำงานของภูมิคุ้มกัน

การฉีดวัคซีนช่วยเราอย่างไรในระยะนี้ วัคซีนที่กระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด CD8 T cells ให้มีความทรงจำต่อเชื้อโรคได้ดีจะทำให้เมื่อร่างกายเรารับเชื้อเข้าไปแล้ว CD8 T cells เหล่านี้จะเป็นกองหน้าที่แข็งแรงและมีความทรงจำกับเชื้อโรคที่เคยเห็นตอนได้วัคซีนกระตุ้นก็จะออกมาขจัดเชื้อโรคและอาจทำให้เรารับเชื้อแต่ไม่มีอาการเลยก็ได้

โดยวัคซีนที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้น CD8 memory T cells ที่ดีคือ mRNA vaccine และ Viral vector DNA ค่ะ ส่วน Sinovac ซึ่งใช้ตัวกระตุ้นภูมิเป็น Alum จะมีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้าง antibody ได้ดี แต่ไม่ค่อยกระตุ้น CD8 memory T cells (อันนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Sinovac ป้องกันการติดเชื้อได้ไม่ค่อยดีค่ะ)

>> แล้ว Sinovac ช่วยระบบภูมิคุ้มกันเราตรงไหน?

เมื่อเรารับเชื้อเข้ามาในร่างกาย ตัวเชื้อจะจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ในทางเดินหายใจ แล้วมุดเข้าไปในเซลล์ไปใช้อุปกรณ์ของใช้ทั้งหลายในเซลล์ของเราเพื่อเพิ่มจำนวนไวรัส และเมื่อไวรัสกินอยู่หลับนอนในเซลล์เราเรียบร้อยแล้ว ไวรัสก็ทำลายผนังเซลล์ทำให้เซลล์ตายและย้ายไปอยู่บ้านใหม่ เมื่อเซลล์ตายก็เหมือนกับบ้านพังต้องมีเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ๆ มาเก็บกินซากปรักหักพัง รวมทั้งออกมารบกับไวรัสตัวร้ายที่ทำลายบ้านช่อง ดังนั้นการปล่อยให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่าย ๆ และเพิ่มจำนวนเร็ว ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบตามมาและการอักเสบที่มาก ๆ จะนำไปสู่ระยะที่สองของการติดเชื้อ

2.) ระยะที่สองของการติดเชื้อ : เมื่อเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็มีโอกาสรุกล้ำเข้าไปสู่ปอดและทำให้เกิดการอักเสบได้ โดยการดำเนินของโรคระยะที่สองจะอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์แรกต่อกับสัปดาห์ที่สอง ในช่วงนี้ถ้าภูมิคุ้มกันของเราสามารถจัดการขจัดเชื้อโรคได้เร็ว เราก็อาจไม่เกิดปอดอักเสบหรือเกิดเล็กน้อยและสามารถดีขึ้นได้

แต่ถ้าภูมิคุ้มกันเราคุมไวรัสไม่อยู่อะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดการสู้รบกันระหว่างเม็ดเลือดขาวกับเชื้อโรค มีการใช้อาวุธ ทิ้งระเบิด (Cytokine เป็นอาวุธของเม็ดเลือดขาวที่ใช้สั่งการและทำลายไวรัส) ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Cytokine storm เกิดขึ้น และเมื่อเกิดภาวะนี้แล้วก็ต้องมีการใช้ยาต้านอักเสบกลุ่ม Steroid หรือยา Biologics อื่น ๆ เพื่อหยุดการอักเสบ

ดังนั้น Protective immunity ที่ได้จาก Sinovac ก็จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถจัดการขจัดไวรัสไปให้เร็วขึ้นและการอักเสบและการลุกลามไปที่ปอดเกิดลดลง ถึงเป็นที่มาของข้อมูลที่ Sinovac ช่วยลดอาการรุนแรง ลดการตายในผู้ป่วยติดเชื้อโควิดไงคะ

สำหรับข้อสังเกตของผู้ติดเชื้อโควิดว่าเราจะเริ่มมีอาการของปอดอักเสบร่วมไหม แนะนำว่าให้วัด Oxygen ปลายนิ้วมือก่อนและหลังออกกำลังกายสัก 3 นาที ถ้าลดลงหลังออกกำลังกายคงต้องสงสัยว่าอาจมีอาการของปอดอักเสบร่วมด้วย

ทีนี้มาดูอาการของหมอก็จะเห็นว่าไม่ใช่ Mild case ซะทีเดียวเพราะวันที่ 5 ของการติดเชื้อก็มีค่าเม็ดเลือดขาว Lymphocyte ที่ต่ำ (จริง ๆ แล้วลดลงทั้งเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือดด้วย ถ้าเทียบกับผลการตรวจร่างกายเมื่อก่อนหน้านี้) มีค่าการอักเสบ CRP เพิ่มขึ้น มีตับอักเสบ และ CT chest พบว่ามีปอดอักเสบ 5%

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างตกใจพอสมควร เพราะเรารู้เรื่องกลไกการเกิดโรคด้านภูมิคุ้มกันของโควิดค่อนข้างละเอียด กังวลว่าเราจะเดินหน้าไปเป็น Cytokine storm ไหม ต้องได้ยา Steroid ไหม เมื่อมีปอดอักเสบหมอเลยได้ยาต้านไวรัส ซึ่งใช้เวลา 2 วันหลังได้ยาต้านไวรัสแล้วอาการก็ดีขึ้น

>> ซึ่งหมอคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ดีขึ้น คงมีส่วนจากระบบภูมิคุ้มกันที่เคยได้รับการกระตุ้นด้วย Sinovac มาสองเข็ม ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันจะตกและทำให้ติดเชื้อ แต่ Memory cells ทั้งหลายก็คงจะพอมีให้เรียกกลับมาทำงานขจัดเชื้อโรคได้ทันในช่วงปลายสัปดาห์แรก และส่วนตัวไม่ได้มีโรคประจำตัวในกลุ่มเสี่ยง (นอกจากอยู่ในกลุ่มอายุที่ระดับ Antibody ลดลงเร็ว) และเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (ตอนเม็ดเลือดขาวต่ำก็ออกกำลังกายในห้องพักกับลูกชาย) ถึงแม้จะมีปริมาณเชื้อค่อนข้างมาก (ถ้าจำได้ Ct 18) ก็สามารถรอดกลับมาหายได้ด้วยการมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ Delta ที่แข็งแรงมากขึ้นค่ะ และการป่วยครั้งนี้ได้เข้าโครงการวิจัยของทางรามาธิบดีที่ทำการตรวจและติดตามผู้ป่วยโควิดด้วยค่ะ หวังว่าตัวเองจะไม่เกิด Long Term Side Effect ใด ๆ ตามมา

สุดท้ายนี้อยากบอกทุกท่านว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ วัคซีนก็คงช่วยเราไม่ได้ 100% เราคงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันของเราเองให้ดี

ป.ล. หวังว่าจะเข้าใจการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบง่าย ๆ ที่เล่ามานี้นะคะ

ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าหลักการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนแต่ละเทคโนโลยี และวิธีง่าย ๆ ของการเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการฉีดวัคซีนค่ะ

#Sinovacveteran

#Deltasurvivor


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4449830471702843&id=100000278023117


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เลขาธิการสภากาชาดไทย เผย สภากาชาดไทย เจรจานำเข้าโมเดอร์นา 1 ล้านโดสแล้ว รอองค์การเภสัชกรรมนำเข้า เตรียมฉีดให้ประชาชนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 15 ก.ค. ที่รัฐสภา น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 แถลงผลการประชุมกมธ.งบประมาณรายจ่ายปี 2565 ว่า ในการประชุมกมธ.งบฯ เมื่อวันที่ 14 ก.ค. เป็นการพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกมธ. ได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงเรื่องราคาวัคซีนโควิด แต่หน่วยงานผู้รับผิดชอบปฏิเสธให้ข้อมูล แจ้งว่าเรื่องสัญญาจัดซื้อวัคซีนเป็นสิ่งที่ห้ามเปิดเผย ทำให้กมธ.ลำบากใจ ไม่รู้ราคาวัคซีนที่แท้จริงในแต่ละยี่ห้อ

ขณะเดียวกันกมธ.ได้สอบถามสภากาชาดไทยในฐานะ 1 ใน 5 หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจในการเจรจาจัดซื้อวัคซีนว่า มีโอกาสหรือไม่ที่สภากาชาดไทยจะเป็นผู้เจรจาจัดซื้อวัคซีนทางเลือกโควิด-19 เข้ามาในประเทศไทย ได้รับการชี้แจงจากนายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทยว่า สภากาชาดไทยได้ดีลเจรจาการจัดซื้อวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นากับบริษัทผู้ผลิตเรียบร้อยแล้ว จำนวน 1 ล้านโดส เพื่อนำเข้ามาฉีดให้ประชาชนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งขั้นตอนการเจรจาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ขั้นตอนการนำเข้าจะอยู่ที่องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้รับผิดชอบ จึงขึ้นอยู่กับองค์การเภสัชกรรมจะนำเข้ามาได้เมื่อใด


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มท.แจ้งทุก จว.จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสำนักนายกฯ แจ้งว่าวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเชิญชวนหน่วยงานร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้แจ้งให้จังหวัดทุกจังหวัด จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ได้แก่ การจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมเครื่องราชสักการะบริเวณอาคารสำนักงาน ประดับธงชาติคู่กับธงอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองร่วมกับผ้าระบายสีขาว บริเวณรั้วอาคารสำนักงาน ระหว่างวันที่ 1-31 ก.ค. รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานให้สวยงามในระยะเวลาตามความเหมาะสม โดยเป็นไปด้วยความเรียบง่ายและสมพระเกียรติ พร้อมแจ้งส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดดำเนินการ และเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน ประชาชนในจังหวัด ร่วมดำเนินการดังกล่าว 

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ได้แจ้งให้จังหวัดจัดทำคำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 และสมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคลอิเล็กทรอนิกส์บนหน้าหลักของเว็บไซต์จังหวัด รวมทั้งเชิญชวนผู้บริหาร บุคลากร และประชาชน ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์จังหวัด ระหว่างวันที่ 15 – 31 ก.ค.หรือทางเว็บไซต์ http://forking.moi.go.th เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน

ราเมศ เลขา ประธานชวน รับเป็น “ทนาย” ช่วย ประสิทธิ์ เจียวก๊ก คนกระบี่ กรณี ถูกฟ้องผิดตัว 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการประธานรัฐสภา ได้กล่าวถึงกรณีที่ มีประชาชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ชื่อนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก  ถูกฟ้องผิดตัว ว่า 
 
กรณีนี้ ตนได้รับการประสานจากนายถาวร เสนเนียม ส.ส.จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด และมีความเป็นห่วง อยากให้เข้าไปให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายเพื่อให้ความเป็นธรรม ต่อนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ที่ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกฟ้อง และปรากฏข้อเท็จจริงชัดว่ากรณีนี้ เป็นการฟ้องผิดคน เพราะนายประสิทธิฯ มีอาชีพรับจ้างก่อสร้าง รายได้วันละ 200 บาท ไม่ได้ไปดำเนินการตั้งบริษัทแต่อย่างใด  และไม่ได้ประกอบธุรกิจตามที่ถูกกล่าวหา กลับถูกฟ้องต่อศาลอาญา ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นจำนวนถึง 4 คดี และมีหมายศาลให้ไปขึ้นศาล ในวันที่ 23 ส.ค.64 เวลา 13.30 น. ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา  

นายราเมศกล่าวว่า ตนได้ประสานไปยัง นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.จังหวัดกระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อร่วมให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จึงทำการสอบถามข้อร้องเรียนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมผ่านระบบ Video Conference (วีดีโอคอนเฟอเรนซ์) ซึ่งมีหลานของนายประสิทธิ์ ได้ดำเนินการให้นายประสิทธิ์ ได้พูดคุย เพราะไม่สามารถติดต่อผ่านช่องทางนี้ได้ ด้วยตนเอง ได้มีการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทราบว่าเป็นการฟ้องที่ผิดตัวจริง เพราะความจริงแล้ว มีคนที่ชื่อเดียวกันเป็นนักธุรกิจชื่อดัง ที่ถูกฟ้องคดีเป็นจำนวนมาก และเป็นคนจังหวัดกระบี่เหมือนกัน  และนายประสิทธิ์จะได้นำส่งคำฟ้องทั้งหมดเพื่อให้ดำเนินการช่วยเหลือต่อไป 

นายราเมศกล่าวว่า เรื่องนี้ตนจะรับเข้าเป็นทนายความให้นายประสิทธิ์เพื่อตามหาความเป็นธรรมให้ ข้อเท็จจริงไม่มีความยุ่งยาก แต่การไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ เมื่อได้รับหมายศาล คดีอาญา ถึงขั้นมีโทษติดคุกติดตะราง ไม่ใช่เรื่องเล็ก ที่น่าเห็นใจคือมีคนแนะนำให้นายประสิทธิ์ ไปเปลี่ยนชื่อหากไม่อยากถูกฟ้องผิดตัว ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง การเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมก็มีค่าใช้จ่าย จ้างทนายความก็มีค่าใช้จ่าย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ตนได้บอกว่าจะเสียค่าเดินทางให้เพื่อขึ้นมาพบเพื่อนำหลักฐานมาให้ ได้รับคำตอบคือ ไม่รู้แห่งกรุงเทพ ความหมายคือไม่เคยไป และไม่มีเงินด้วย จึงขอให้หาหลานที่ใช้โทรศัพท์เป็นเพื่อใช้ระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ ก็ได้พูดคุยกันทางนี้ประหยัดค่าใช้จ่ายโดยมี นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.จังหวัดกระบี่ ร่วมด้วย และจะรับผิดชอบในการรวบรวมเอกสารในพื้นที่เพื่อเตรียมใช้ในวันขึ้นศาลต่อไป  

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ขณะนี้ถึงแม้ว่ารัฐสภาจะงดประชุม 2 สัปดาห์ แต่การช่วยเหลือประชาชนยังคงเดินหน้าทำงานอยู่ทุกวัน นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กำชับเสมอว่าแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 แต่ต้องปรับการทำงานให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันที่เข้มงวด แต่จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือประชาชน

เอกชนตั้งคณะทำงานช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด-19

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ได้จัดตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเร่งด่วน แบ่งออกเป็น 5 คณะ คือ 


1. คณะทำงานด้านข้อมูลโควิด มีหน้าที่จัดการให้ความรู้คู่มือการใช้ Rapid Test, แนวการปฏิบัติตัวในช่วงโควิดและหลังโควิด ผ่านระบบ e-Learning และจัดทำคู่มือการปลูกและแจกเมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจร  

2. คณะทำงานจัดหาชุด Rapid test และจัดทำห้องความดันลบ มีหน้าที่ดำเนินการจัดหาชุด Rapid test & Product และจัดทำห้องความดันลบ 

3. คณะทำงาน Call Center และประสานงาน ทำหน้าที่ประสานงานรับเรื่องการตรวจโควิด-19 ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 

4. คณะทำงานระบบแจ้งเตือนผู้มีความเสี่ยงโควิด ทำหน้าที่ผลักดันต่อกรมควบคุมโรคเพื่อให้ภาคราชการ เอกชน ประชาชนได้ใช้ระบบ Exposure Notification Express (ENX) ในการติดตามและแจ้งเตือนเมื่อใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยง 

5. คณะทำงานรับบริจาคช่วยเหลือ ทำหน้าที่เปิดรับบริจาคหาเงินช่วยเหลือในการดำเนินโครงการจัดทำห้องความดันลบ การจัดซื้อชุด Rapid test และการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 

ป.ป.ช. ฟัน “นายกอบต.ราชาเทวะ” ทุจริต จัดซื้อรถดับเพลิง-เอื้อเอกชน

รายงานข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ได้พิจารณากรณีกล่าวหานายทรงชัย นกขมิ้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กับพวก ฐานทุจริตประกวดราคาซื้อรถยนต์ดับเพลิงกู้ภัยแบบกระเช้าบันได จำนวน 1 คน วงเงิน 39,950,000 บาท ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 โดยจากการตรวจสอบพบว่า การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของรถยนต์ดับเพลิงกู้ภัยดังกล่าวไม่เป็นไปตามมาตรฐานกลางของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และดำเนินการต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัท โชคสมบูรณ์อิควิปมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนขายรถยนต์ดับเพลิงที่ประกอบในประเทศ หรือรถยนต์ดับเพลิงเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่โดยไม่ได้มาตรฐานด้านดับเพลิงสากล จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า รถดับเพลิงดังกล่าวต้นทุนไม่เกินคันละ 10 ล้านบาท มาขายให้กับ อบต.ราชาเทวะ ในราคาเกือบ 40 ล้านบาท 

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติชี้มูลความผิด นายทรงชัย กับพวก มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, 157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ทั้งนี้ หลังจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล รวมทั้งส่งให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน ไปดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่ง

หน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดลำพูน จัดอบรมสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ 1 โดยมี 3 วัตถุประสงค์ ให้ตระหนักและระลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา หน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดลำพูน จัดอบรมสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ 1 ณ ห้องประชุมโรงเรีบนป่าตาลบ้านธิพิทยา เลขที่ 100 หมู่ที่ 19 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยมีนายณัฎฐยศ ป่าหลวง ผู้อำนวยการโรงเรียนป่าตาลบ้านธิพิทยา ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน เป็นประธานการฝึกอบรมฯ

พันตำรวจโทหญิง ธนัฎฐา กะฐิน สารวัตรหัวหน้าหน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดลำพูน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตามที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้จัดทำโครงการสร้างจิตสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยในปีงบประมาณ 2564 โดยมอบหมายให้ หน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดลำพูน ดำเนินการจัดอบรมตามโครงการดังกล่าว จำนวน 3 รุ่น การจัดอบรมในครั้งนี้ เป็นรุ่นที่ 1 โดยมีนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ของโรงเรียนป่าตาลบ้านธิพิทยา เข้ารับการอบรมจำนวนทั้งสิ้น 100 คน และมีคณะครูอาจารย์เข้าร่วมสังเกตการณ์

โดยมีวิทยากรประกอบด้วย

1.) พันตำรวจโทมะนิตย์ ปลัดศรีช่วย ข้าราชการบำนาญ

2.) ร้อยตำรวจโท สง่า เจริญศิลป์ ข้าราชการบำนาญ

3.) นายอธิษฐาน วงศ์ใหญ่ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาลลำปาง

ดำเนินการฝึกอบรมโดย นางสาวกรรณิการ์ วิจิตรสกลการ ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์ข่าวสี่เหล่าทัพ

การจัดอบรมตามโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์

1.) เพื่อรณรงค์เสริมสร้างจิตสำนึกที่ดี และค่านิยมที่ถูกต้อง ให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ให้มีความเคารพรักเทิดทูน และร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมและยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติ นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

2.) เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในอันที่จะปกป้องสถาบัน โดยการจัดตั้งเครือข่ายภาคประชาชนทุกสาขาอาชีพ เพื่อต่อต้านภัยคุกคามต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

3.) เพื่อเสริมสร้างให้นักเรียน นักศึกษา ดำรงชีวิตตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี อันจะส่งผลดีต่อตนเอง สังคมและประเทศชาติต่อไป

ในการจัดอบรมโครงการในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนจากคณะครูอาจารย์ และนักเรียน โรงเรียนป่าตาลบ้านธิพิทยา เป็นอย่างดี

ด้านนายณัฎฐยศ ป่าหลวง ผู้อำนวยการโรงเรียนป่าตาลบ้านธิพิทยา กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอกล่าวชื่นชมและขอบคุณมายัง หน่วยตำรวจสันติบาลจังหวัดลำพูน กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ที่ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมและยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทุกคน โดยได้จัดการอบรม ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคณะผู้เข้าอบรมในครั้งนี้

"สถาบันพระมหากษัตริย์ นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นหลักชัยอันสำคัญยิ่ง ในการสร้างชาติสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ล้วนทรงมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อชาติไทยและต่อคนไทยเราทุกคน พระเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วโลก จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่คนไทยเราทุกคนจะได้ตระหนัก และระลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน รวมทั้งแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบต่อไป"


กรรณิการ์ วิจิตรสกลการ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จังหวัดลำพูน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top