Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

หากประเทศไทยผลิต ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ ได้เอง จะเกิดผลดีอย่างไร?

เมื่อวานมีข่าวดี รัฐบาลออกมาอัปเดตความคืบหน้าในการผลิต ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ ขึ้นเองในประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ บริษัท ปตท. ที่ได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้น (Active Pharmaceutical Ingredients : API) ของการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ โดยล่าสุดสามารถสังเคราะห์สารตั้งต้นที่มีความบริสุทธิ์ผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้ว

สเต็ปต่อมา คาดว่าในเดือนกรกฎาคมนี้ จะผ่านกระบวนการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และต่อจากนั้น จะเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 ภายในประเทศ ได้ใช้ในการรักษาต่อไป

ถือเป็นความสำเร็จ และเป็นข่าวดี ท่ามกลางสภาวะที่มียอดผู้ป่วยโควิด-19 มากขึ้นทุกวัน โดยปัจจุบัน ยาฟาวิพิราเวียร์ ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทำหน้าที่ขจัดเชื้อไวรัสออกไปจากร่างกาย ช่วยป้องกันอาการเชื้อลงปอดและภาวะอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่โดยรวมถือเป็นยาที่มีความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ในเวลานี้

THE STATES TIMES ไปรวบรวม ‘ข้อดี’ หากว่า ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ จะได้รับการผลิตขึ้นเองภายในประเทศ มาบอกกัน...


อ้างอิง : https://www.gpo.or.th/view/425, https://www.thaihealth.or.th/Content/54569

https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6506350


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ระวังตัว! อย่าตกเป็นเหยื่อ รู้ทันภัยการเงินในยุคข้าวยากหมากแพง!

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของคนเรามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลอกลวงเหยื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า 3 ผลิตภัณฑ์ที่ถูกแอบอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชนมากที่สุด คือ เงินฝาก/เงินโอน/เช็ค รองลงมา คือ ปลอมแปลงบัตรเครดิต หรือนำเงินไปใช้จ่าย และหลอกให้โอนเงินเพื่อช่วยให้ได้สินเชื่อ

ส่วนลักษณะการหลอกประชาชน พบว่าช่องทางที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นคือช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, E-mail ในขณะที่ช่องทางโทรศัพท์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากพฤติกรรมการสื่อสารในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นใช้ทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งภัยทางการเงินหลักที่พบคือ

1.) หลอกให้ลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง ในรูปแบบการลงทุนต่าง ๆ เช่น Forex, เงินดิจิทัล, แชร์ลูกโซ่ออนไลน์, กลุ่ม Line ที่คล้ายลักษณะการตั้งวงแชร์, บริษัทซื้อขายทองคำ, บริษัทขายตรง, โดยในบางกรณีมีการแอบอ้างชื่อ ธปท.

2.) หลอกว่าสามารถช่วยให้ได้สินเชื่อ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เงินกู้จาก Facebook Line บัตรเครดิต แล้วให้โอนเงินค่าธรรมเนียมหรือค่าจัดการขอสินเชื่อให้

3.) หลอกจีบให้ตายใจ แล้วขอให้โอนเงินให้

4. หลอกให้โอนเงินให้ โดยอ้างว่าจะได้รับเงินก้อนใหญ่หรือพัสดุที่มีมูลค่าสูง จากมิจฉาชีพต่างชาติที่ติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยหลอกให้โอนเงินเป็นค่าธรรมเนียมหรือภาษี

5.) หลอกให้ชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้าหรือบริการนั้น เช่น กล้องถ่ายรูป แพ็กเกจเสริมความงาม แลกเงินตราต่างประเทศในอัตราที่ถูกกว่าท้องตลาด บริการหางาน

6.) หลอกว่าโอนเงินให้แล้วพร้อมส่งหลักฐานการโอน เพื่อให้ส่งสินค้าให้ แต่ไม่มีการโอนเงินจริง

7.) หลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล/ขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน OTP รหัส ATM รหัส CCV เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น นำไปใช้โอนเงิน หรือถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก นำข้อมูลบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าออนไลน์ โดยผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น หลอกว่าจะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือเพิ่มวงเงินสินเชื่อแล้วให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หลอกให้กรอกข้อมูลใน E-mail, Website, Application ปลอมของสถาบันการเงิน

8.) ขโมยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต เพื่อนำไปชำระค่าสินค้า

9.) ปลอมแปลงข้อมูล หรือเอกสาร เช่น ปลอม Facebook Line เพื่อแอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือคนรู้จัก และต้องการใช้เงินด่วนให้โอนเงินให้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนแห่ซื้อสมุนไพร “ขิง-กระชาย ฟ้าทะลายโจร” ขาดตลาด 

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า หลังจากมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกใหม่นี้ ทำให้ประชาชนมีความเชื่อว่ากระชายสด และขิง มีสรรพคุณในการป้องกันและต้านไวรัสโควิดได้ จึงหาซื้อไปต้มเป็นน้ำสมุนไพรบริโภคจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้มีประชาชนร้องเรียนจำนวนมากว่า ผักสด และยารักษาโรคบางชนิดมีราคาแพงและขาดแคลน โดยเฉพาะกระชายสดราคาพุ่งไปถึง กก.ละ 150-200 บาท จากปกติกก.ละ 30-50 บาท รวมถึงขิงแก่ราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก กก. 30-40 บาท เป็น 70-80 บาท อีกทั้งยังหาซื้อยากในหลายพื้นที่ 
 
ทั้งนี้ ยังได้รับแจ้งอีกว่ายาแพทย์แผนไทยหลายชนิดที่มีสรรพคุณป้องกัน รักษาโรคโควิดก็ขาดตลาดอย่างหนัก เช่น ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร ราคากระปุกละ 140-200 บาท ยาแคปซูลสกัดจากกระชายขาว 200-300 บาท วิตามินบำรุงร่างกายประเภทต่างๆ รวมถึงยาเขียวที่มีสรรพคุณขับสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งขาดตลาดมาร่วม3-4 สัปดาห์ หลังประชาชนแห่ไปซื้อกักตุนจนเกลี้ยงห้างขายยา และร้านสะดวกซื้อ

“คนส่วนใหญ่ที่แห่ซื้อ กระชาย ขิง รวมถึงยารักษาโรค ระบุว่าต้องการหาทางช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวไว้ก่อน หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ มียอดผู้ติดเชื้อใหม่เฉียดวันละ 1 หมื่นคน อีกทั้งบางส่วนไม่เชื่อมั่นการบริหารของรัฐบาล เห็นได้จากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย” 

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) นำองค์ความรู้ และขีดความสามารถในการวิจัย พัฒนา และผลิตจรวดสำหรับใช้ในทางทหารมาต่อยอดในการวิจัยและพัฒนาเป็นจรวดดัดแปรสภาพอากาศ

โดยดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาจรวดดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร (ฝล.) โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กำหนดความต้องการทางเทคนิคให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเป็นผู้ดำเนินการออกแบบและผลิตจรวด สำหรับบรรจุสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ใช้ในภารกิจยับยั้งพายุลูกเห็บหรือทดลองทำฝนจากเมฆเย็นในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเทคโนโลยีทางเลือกในการสนับสนุนภารกิจการทำฝนเมฆเย็นหรือสลายลูกเห็บ ในกรณีที่สภาพอากาศแปรปรวนเครื่องบินไม่สามารถขึ้นบินได้ 

โดยจรวดที่วิจัยและพัฒนาจะถูกยิงจากพื้นสู่อากาศเข้าสู่ก้อนเมฆที่ระดับความสูงประมาณ 18,000-24,000 ฟุต เพื่อปล่อยสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ลงในเมฆเย็น และมีระบบร่มนิรภัยสำหรับลดความเร็วของชิ้นส่วนจรวดให้ตกลงสู่พื้น เพื่อความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการ โดยในเบื้องต้นกำหนดพื้นที่ทดลองปฏิบัติการเป็นพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำและเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจากชุมชน เหมาะสำหรับทำให้เมฆเย็นตกลงมาเป็นฝน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้ง และยังช่วยทำให้กลุ่มเมฆที่กำลังจะก่อตัวขึ้นเป็นลูกเห็บขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นฝน เป็นการบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บให้กับพี่น้องประชาชน บ้านเรือน และผลผลิตทางการเกษตรไม่ให้ได้รับความเสียหาย

“กองทัพเรือ” เร่งแก้ปัญหาบริการไฟฟ้าพื้นที่อำเภอสัตหีบ แจงการดำเนินการกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ เป็นส่วนหนึ่งความมั่นคงทางทหาร เช่นเดียวกับความมั่นคงด้านพลังงานเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ที่ถือเป็นยุทธปัจจัย

พลเรือเอก เชษฐา โฆษกกองทัพเรือ  ชี้แจงกรณีที่ ผู้ใช้บริการไฟฟ้าในพื้นที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ร้องเรียนถึงกรณีการเกิดปัญหา ไฟตกและไฟดับบ่อยครั้ง ซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย ของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ มีการปรับปรุงแก้ไข โดยเรียกร้องให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ามาดำเนินกิจการแทนผู้ให้บริการรายเดิม โฆษกกองทัพเรือ ได้ชี้แจงว่า 
        
ปัจจุบัน หน่วยงานที่ให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี คือ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ซึ่งก่อตั้งด้วยเหตุผลความจำเป็นทางยุทธปัจจัยด้านปิโตรเลียม พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้งสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่ทุกฐานทัพ หรือเขตปลอดภัยทางทหารของเกือบทุกชาติในโลก ต่างต้องดำรงความพร้อมให้แก่กำลังทหารและยุทโธปกรณ์ โดยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2483   เริ่มต้นได้สร้างเป็นโรงกำเนิดไฟฟ้า ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จำนวน 3 เครื่องๆ ละ 275 กิโลวัตต์ เดินเครื่องจำหน่ายไฟฟ้าให้กับหน่วยราชการทหาร  ฐานทัพเรือ ตลอดจนหน่วยราชการฝ่ายพลเรือน และตลาดสัตหีบ ซึ่งในขณะนั้น บ้านเรือนราษฎรยังเบาบาง มีเฉพาะหน่วยงานทางทหารเป็นส่วนใหญ่ และในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีไฟฟ้าใช้  อยู่ในสภาวะกันดารด้วยเหตุที่การไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง 
        
ต่อมาในปี พ.ศ.2509 Officer Incharge Construction Center (O.I.C.C.) ของ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาช่วยเหลือด้านกิจการทหารของประเทศไทย โดยได้เพิ่มขีดความสามารถในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ บริการกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนในตำบลสัตหีบได้เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งในปี พ.ศ.2510 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้ามาถึงอำเภอสัตหีบ โดยได้ตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยที่ 1 ขึ้นที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กองทัพเรือ จึงได้ยกเลิก การเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และได้ซื้อกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาใช้ในหน่วยราชการทหาร และจำหน่ายให้แก่ประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่มาร้องขอใช้บริการ 
        
ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้รับสัมปทานให้ประกอบกิจการไฟฟ้าในการดำเนินการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2514 เป็นต้นมา มีการต่ออายุสัมปทานมาแล้วจำนวน 4 ครั้งๆ ละ 10 ปี โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขตามสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าซึ่ง กองทัพเรือ ได้รับจากกระทรวงกระทรวงมหาดไทยให้สัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า จำนวน 4 ครั้ง ในปี พ.ศ.2513, 2524, 2533 และ2541 และกระทรวงพลังงานให้สัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า จำนวน 1 ครั้ง ในปี พ.ศ.2550 มีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแทน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในเขตปลอดภัยในราชการทหารของฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ และประชาชน ในเขตที่ได้รับสัมปทาน โดยมีอาณาเขต ดังนี้ ทิศเหนือจรดเขตบ้านอำเภอ  ทิศใต้จรดกรมปืนต่อสู้อากาศยาน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ทิศตะวันออกจรดเขตคลองบางไผ่ ทิศตะวันตกจรดเขตฝั่งตะวันออกทั้งหมด    
         
การดำเนินการของกิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ   มีวัตถุประสงค์เป็นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชน ได้มีกระแสไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง และถูกต้องตามประกาศคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการไฟฟ้า พ.ศ.2558 และเรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ พ.ศ.2561 ซึ่งในประกาศดังกล่าวได้ให้นิยาม   ผู้ให้บริการไฟฟ้าว่า หมายถึง การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ (กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ) ผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนหรือผู้รับใบอนุญาตอื่นที่ กกพ. กำหนด 
    
โฆษกกองทัพเรือกล่าวต่อไปว่า สำหรับ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าและใบอนุญาตระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยกองทัพเรือยังคงมีความจำเป็นในการดำเนินการคือการไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยในราชการทหาร  เช่นเดียวกับความมั่นคงด้านพลังงานเชื้อเพลิง หรือการปิโตรเลียมและสาธารณูปโภคที่สำคัญอื่นๆอีกโดยเฉพาะในเขต ฐานทัพ ท่าเรือ  และเนื่องจากเขตอำเภอสัตหีบเป็นเขตปลอดภัยในราชการทหาร ตาม พระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารแห่งกองทัพเรือ ในท้องที่อำเภอบ้านค่าย อำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง และ อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2536 โดย กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ  มีฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นหน่วยดูแลรับผิดชอบ  
          
นอกจากที่กล่าวแล้วปัจจุบันยังมีภารกิจที่กองทัพเรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสำหรับการเตรียมการรองรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ต้องดูแลสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาซึ่งเป็นทั้งสนามบินเชิงพาณิชย์และสนามบินทางทหารในพื้นที่เดียวกัน และท่าเรือจุกเสม็ดที่เป็นทั้งท่าเรือพาณิชย์และท่าเรือทางทหารที่สำคัญอีกด้วยซึ่งจะทำให้ยิ่งต้องเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในเขตปลอดภัยทางทหาร ที่กองทัพเรือดูแลและถือเป็นพื้นที่ทางความมั่นคงทางทหารที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก เป็นที่ตั้งของหลายๆหน่วยขนาดใหญ่  ทั้งหน่วยกำลังรบและหน่วยสนับสนุนต่างๆอันได้แก่ กองเรือยุทธการ ฐานทัพเรือสัตหีบ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กรมสรรพาวุธทหารเรือ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กรมอู่ทหารเรือ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งรับผิดชอบทั้งกำลังทางบก กำลังทางเรือ อากาศยาน ตลอดจนยุทโธปกรณ์พาหนะ และเครื่องมืออุปกรณ์รวมถึงการส่งกำลังบำรุงต่าง ๆ 

อีกทั้งเขตเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ  ไม่ใช่เพียงการมีขีดความสามารถทางความมั่นคงด้านไฟฟ้านี้ไว้สำหรับหน่วยขนาดเล็กๆ โดยการไฟฟ้า นับได้ว่าเป็นอีกยุทธปัจจัยหนึ่งที่กองทัพเรือต้องควบคุมให้ดำรงไว้ให้มีใช้ได้อย่างต่อเนื่องในพื้นที่สำคัญด้านความมั่นคง พื้นที่ปลอดภัยทางทหารของกองทัพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตที่เป็นฐานทัพ  และทั้งนี้ กองทัพเรือโดยกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือได้มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบจำหน่าย การบริหารจัดการและการให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานที่ผู้ให้บริการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายกำหนด
       
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ทำให้ผู้รับบริการไฟฟ้าในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนนั้น โฆษกกองทัพเรือกล่าวว่า กองทัพเรือไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการให้กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเร่งแก้ไขและ ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  พร้อมทั้งได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ อยู่เป็นประจำ เพื่อปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่มีความชำรุด รวมถึงได้ทำการวิเคราะห์ หาสาเหตุของไฟฟ้าขัดข้องจากอุปกรณ์ตรวจจับที่มีความทันสมัย
    
สำหรับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างติดต่อกันเมื่อช่วงวันที่ 8 - 11 กรกฎาคม 2564  บริเวณซอยจามจุรี ถึงกิโลเมตรที่ 6 ในพื้นที่อำเภอสัตหีบนั้น มีสาเหตุมาจากเหตุฝนฟ้าคะนอง ทำให้อุปกรณ์ชำรุด อีกทั้งระบบจำหน่ายบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่ต้นไม้ชุกทำให้กระทบกับอุปกรณ์แรงสูงและช่วงเวลาฝนตกทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินการ และระบบตรวจจับไม่สามารถ แจ้งพิกัดได้ เนื่องจากสายไฟฟ้าไม่ได้ขาดออกจากกัน ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องทำการวิเคราะห์ และกำหนดตำแหน่งเข้าตรวจสอบ จึงไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบสาเหตุไฟฟ้าดับบริเวณดังกล่าวได้ และเมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 กิจการไฟฟ้าฯ ได้ดำเนินการ ตรวจสอบสายส่งไฟฟ้าบริเวณดังกล่าว พบว่าบริเวณดังกล่าวต้นไม้ชุกและส่งผลกับอุปกรณ์แรงสูง อีกทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงมีอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูงชำรุดจึงได้เร่งดำเนินการแก้ไข และมีความจำเป็นต้องดับไฟในบางส่วนเป็นการชั่วคราว   ทั้งนี้จะดำเนินการดับไฟอีกครั้งในวันพุธที่ 14  กรกฎาคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -  13.00 น.  เพื่อซ่อมทำอุปกรณ์แรงสูงที่ชำรุดบริเวณสถานีไฟฟ้าแรงสูง พร้อมทั้งได้มีการแจ้งกับผู้ใช้บริการในพื้นที่แล้ว ในการนี้กิจการไฟฟ้าฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการและพัฒนาศักยภาพของกิจการไฟฟ้าฯ ในทุกรูปแบบเพื่อสร้างความพึงพอใจในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน  โดยคำนึงถึง ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ  โดยกองทัพเรือได้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายระบบไฟฟ้าในพื้นที่สัตหีบให้มีเสถียรภาพมาอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 3  พร้อมทั้งปรับปรุงสถานีที่1และ2ในปี 2561 - 2563 และจะดำเนินการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง4 เชื่อมกันทุกสถานีให้แล้วเสร็จในปี 2566

"กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" รับมอบน้ำดื่ม 3,600 ขวด จาก "IWRM" ภาคธุรกิจจัดการน้ำ เพื่อบริโภคและอุตสาหกรรม "ร่วมแบ่งปันเพื่อสังคม"

วันนี้ 14 กรกฎาคม 2564 ณ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (กทม.) "นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์" กรรมการผู้จัดการ INDUSTRIAL WATER RESOURCE MANAGEMENT CO.,LTD (IWRM) ,นายวิเชษฐ์  เกตุแก้ว ผู้สนับสนุน ประสานงานพื้นที่และชุมชน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีชี), นายชัยพร ภูผารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย / นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย / นายโกสินธ์ จินาอ่อน บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ / นายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร ผู้อำนวยการข่าวจังหวัดสมุทรปราการ (หนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์) ร่วมกันประสานงานนำน้ำดื่มจำนวน 3,600 ขวด มอบให้"นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการบริโภค สำหรับบุคลากร เจ้าหน้าที่ คนพิการ และครอบครัวคนพิการ

ในการนี้ "นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์" กรรมการผู้จัดการ IWRM ได้กล่าวถึง เจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ ที่นำน้ำดื่มมามอบให้วันนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและขอบคุณ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่ทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือดูแล พี่น้องประชาชนคนไทย คนยากไร้ คนพิการ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

อีกทั้ง "นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ยังได้กล่าวขอบคุณผู้บริหาร IWRM พร้อมคณะ ที่ได้เป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชน คนพิการ คนยากไร้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้เพื่อให้คนไทยอยู่รอดปลอดภัยพร้อมทั้งขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชน ผู้ประกอบการ ที่มีจิตใจเป็นกุศลอยากจะร่วมบริจาคอาหาร น้ำดื่ม หรือจตุปัจจัยอื่น ๆ สามารถร่วมบริจาคมายัง "กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" หรือ โทร. 02- 354-3388 ต่อ 701-703 ได้ในวัน-เวลา ทำการ

องค์การเภสัชกรรม แจ้งความเอาผิด อ.ลอย ชุนพงษ์ทอง และนพ.บุญ วนาสิน ในข้อหาหมิ่นประมาท ปมเผยแพร่ข้อมูลนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาบวกกำไร-ภาษี

วันนี้ (14 ก.ค. 64) องค์การเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์ เรื่องแจ้งความเอาผิด "ลอย - หมอบุญ" หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเหตุให้องค์การเกสัชได้รับความเสียหาย กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยมีรายละเอียดว่า

องค์การเภสัชกรรม ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย องค์การเภสัชกรรม ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการเอาผิดกับนายลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชื่อดัง ผู้ทรงคุณวุฒิสหวิทยาการราชบัณฑิตยสภา และ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในข้อหา "หมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา อันเป็นเหตุให้องค์การเภสัชกรรมได้รับความเสียหาย" เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64

การดำเนินการตามกฎหมายครั้งนี้ เนื่องจากนายลอย และนพ.บุญ ได้นำข้อมูลซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยกล่าวหาองค์การเภสัชกรรม ในฐานะผู้แทนภาครัฐ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการประสานงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาให้กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ว่า ดำเนินภารกิจนี้ โดยมุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดจากประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหายต่อองค์การเภสัชกรรม จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย

องค์การเภสัชกรรม ยืนยันว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตัวแทนจัดซื้อจัดหาวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา เพื่อให้ประชาชนได้มีวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยมิได้มุ่งแสวงหาผลกำไร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา อ.ลอย ได้โพสต์คลิปผ่าน YouTube เกี่ยวกับข้อมูลราคานำเข้าวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของโมเดอร์นา โดยอ้างว่ารัฐบาลเรียกเก็บภาษีกว่า 100% จากการนำวัคซีน


ที่มา : https://www.facebook.com/gpoth.official/photos/a.879647762423872/1658677981187509/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

องค์การอนามัยโลก แจง การฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญและอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่

หัวหน้าคณะวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ ระบุว่า ประชาชนไม่ควรฉีดวัคซีนสลับชนิด (Mix And Match Vaccine) จากผู้ผลิตต่างกันด้วยตนเอง และการตัดสินใจดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข

"มันเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างอันตรายเล็กน้อย" ดร.โสมยา สวามีนาธัน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ WHO ได้เอ่ยเตือนระหว่างการแถลงข่าวขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันจันทร์ (12 ก.ค.) หลังถูกถามเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้น "มันจะเกิดสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงในประเทศต่าง ๆ หากพลเมืองเริ่มตัดสินใจเองว่าเมื่อไหร่และใครควรรับวัคซีนเข็มที่ 2 เข็มที่ 3 และเข็มที่ 4"

ในตอนแถลงข่าว สวามีนาธัน เรียกการฉีดวัคซีนสลับชนิดว่า "เป็นขอบเขตที่ปราศจากข้อมูล" แต่เขียนบนทวิตเตอร์ชี้แแจงความเห็นของเธอในเวลาต่อมา

"บุคคลใด ๆ ไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง หน่วยงานสาธารณสุขสามารถทำได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่" เธอระบุบนทวิตเตอร์ "ยังต้องรอข้อมูลการศึกษาวัคซีนสลับชนิดของวัคซีนต่างยี่ห้อ จำเป็นต้องประเมินความสามารถในการกระตุ้นสร้างแอนติบอดีและความปลอดภัย"

คณะผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษายุทธศาสตร์ด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลก เคยแนะนำในเดือนมิถุนายน ว่า วัคซีนของไฟเซอร์ อิงค์ ควรถูกใช้เป็นวัคซีนเข็มที่ 2 หลังเข็มแรกฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า หากว่าวัคซีนอย่างหลังไม่สามารถหาได้

การทดลองทางคลินิกที่นำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในสหราชอาณาจักร อยู่ระหว่างการตรวจสอบการฉีดวัคซีนสลับชนิดระหว่างแอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ และเมื่อเร็ว ๆ นี้การทดลองได้ขยายขอบเขตครอบคลุมถึงวัคซีนของโมเดอร์นา อิงค์ และโนวาแว็กซ์ ด้วยเช่นกัน


(ที่มา : รอยเตอร์)

ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000068410


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจไซเบอร์ค้นบ้านหนุ่มวัย 24 ปี มือดีแก้ไขข้อมูลของ ‘นพ.ยง ภู่วรวรรณ’ บนเว็บไซต์วิกิพีเดีย เพิ่มประวัติเป็น ‘เซลล์ขายซิโนแวค’ ให้กับรัฐบาล เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

วันนี้ (13 ก.ค. 64) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 64 นพ.ยง ภู่วรวรรณ ได้มอบอำนาจให้นางโศรยา ประสิทธิ์สมสกุล พบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน แจ้งว่าตรวจพบบุคคลแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของ นพ.ยง บนเว็บไซต์วิกิพีเดีย (Wikipedia) ว่า ‘เป็นเซลล์ขาย Sinovac ให้กับรัฐบาลพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา’

อีกทั้งยังปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ตามเพจต่าง ๆ ของเฟซบุ๊ก ว่ามีการนำข้อมูลที่เป็นเท็จมาเผยแพร่ ทำให้เกิดการวิพากวิจารณ์ ซึ่งมีบุคคลเข้ามาแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับ นพ.ยง

ล่าสุด พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ดำเนินการสืบสวน ติดตาม ผู้ที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวน ตรวจสอบ และวิเคราะห์หาตัวผู้กระทำความผิดจากข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรากฏพบข้อมูลของผู้ที่ก่อเหตุ ภายในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขตบางขุนเทียน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้น โดยพบโทรศัพท์มือถือที่ใช้ก่อเหตุและผู้ที่ก่อเหตุเป็นชายอายุ 24 ปี

จากการกระทำดังกล่าวของผู้ก่อเหตุที่เข้าไปแก้ไขข้อมูล เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และยังเป็นการได้กระทำการโดยโฆษณา เข้าข่ายความผิดฐาน ‘หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา’ ตาม ป.อาญา ม.328 และอาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่ ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือที่ก่อเหตุ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการพิสูจน์ทางเทคโนโลยี ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เวียดนาม' เอาด้วย!! ลุยฉีดวัคซีน 2 ยี่ห้อ เข็มแรก AstraZeneca เข็มสอง Pfizer

กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามตัดสินใจฉีดวัคซีน 2 ชนิดให้กับประชาชนที่เคยได้รับวัคซีน AstraZeneca เข็มแรกไปแล้ว ให้ได้รับวัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่สอง ซึ่งถือเป็นการบริหารวัคซีนที่ได้มาอย่างจำกัด เพื่อให้โครงการวัคซีนของรัฐบาลไม่สะดุด

สำหรับรัฐบาลเวียดนามนั้น ได้สั่งซื้อวัคซีน Pfizer เข้ามาจำนวน 745,000 โดส คาดว่าจะทยอยมาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ นั่นจึงทำให้ทางรัฐพิจารณาเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่เพิ่งได้วัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มแรกไปแล้ว 8-12 สัปดาห์ ให้มาฉีดวัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่สองได้ทันที

ส่วนประชาชนที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนใดใดมาก่อนเลย สามารถฉีด Pfizer เป็นเข็มแรกได้ แต่ทั้งนี้ยังไม่ยืนยันว่าเข็มที่สองจะยังเป็น Pfizer หรือไม่

แต่ทั้งนี้ การเข้ารับวัคซีนชนิดใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้รับวัคซีนเป็นหลัก ว่าพอใจที่จะรับวัคซีนแบบ 2 เข็ม 2 ยี่ห้อ หรือต้องการจะฉีดเพียงยี่ห้อเดียวให้ครบโดสตามมาตรฐาน แต่ยังแนะนำให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน Covid-19 ที่ตอนนี้เริ่มระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในเวียดนาม

ส่วนการกระจายวัคซีน Pfizer จะเน้นไปที่ 4 เมืองหลักที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดในประเทศ ได้แก่ 'โฮจิมินห์ ซิตี้' ได้ 55,000 โดส 'ฮานอย' 38,000 โดส 'บิ่ญเซือง' และ 'ด่งนาย' ได้เมืองละ 25,000 โดส ส่วนที่เหลือ กระจายไปยังเมืองต่าง ๆ อีก 60 แห่งทั่วประเทศ

ถึงจะมีแผนการกระจายวัคซีนไว้พร้อมแล้ว แต่เวียดนามก็ยังไม่ได้วัคซีนครบ 745,000 โดสตามที่ได้สั่งจองไว้ และเพิ่งได้มาเพียง 97,000 โดสเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเริ่มทยอยจัดส่งภายในสิ้นเดือนนี้ ที่ยังไม่สามารถยืนยันจำนวนได้ว่าจะมาเท่าไหร่

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามจึงตัดสินใจให้มีการฉีดวัคซีน 2 ชนิด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเวียนนามตัดสินใจอนุญาตให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค 2 ประเภทให้กับผู้รับวัคซีน 1 คน โดยมีเคสที่พบในหลายประเทศเป็นกรณีศึกษาที่มีการฉีดวัคซีน Covid-19 ต่างชนิดกัน โดยเชื่อว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น

โดยยกตัวอย่างกรณีของประธานาธิบดีอังเกล่า มาร์เคิล แห่งเยอรมัน ที่รับวัคซีนเข็มแรกเป็น AstraZeneca ส่วนเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนจาก Moderna หรือกรณีในประเทศไทยที่ใช้ AstraZeneca เป็นการกระตุ้มภูมิสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac ไปแล้ว 1-2 เข็ม และมีอีกหลายประเทศ ที่กำลังพิจารณาฉีดวัคซีน 2 ชนิดเพื่อต่อสู้กับเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ เนื่องจากวัคซีน Covid-19 แต่ละประเภทมีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่าที่แตกต่างกันออกไป แม้ว่าทางองค์การอนามัยโลกจะได้ออกมาเตือนถึงกระแสการฉีดวัคซีนแบบผสมว่าเสี่ยงอันตราย และยังมีงานวิจัยสนับสนุนน้อยมา

ตอนนี้ในเวียดนามได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 4 ล้านคน แต่มีเพียง 280,000 คน ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และยังคงรอวัคซีนที่มาอย่างล่าช้า จึงต้องมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนแบบผสม 2 ชนิดในครั้งนี้ ให้โครงการเดินหน้าต่อโดยไม่สะดุดนั่นเอง


อ้างอิง : VN Express
ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top