Wednesday, 4 December 2024
NEWS FEED

คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การคมนาคม เห็นค้านกทม. ขึ้นค่าโดยสารรถไฟสายสีเขียว 104 บาท ชี้ ซ้ำเติมวิกฤติประชาชน ระบุขอให้กทม.ชี้แจงการคำนวณราคาตั้งแต่พ.ย.ปีก่อน แต่ยังไม่ได้ข้อมูล เชื่อทำราคาได้ต่ำกว่า 65 บาท จ่อเรียกชี้แจง 21 ม.ค.นี้

นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทางกรุงเทพมหานครออกประกาศปรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ว่า เป็นการซ้ำเติมประชาชน ในช่วงวิกฤติ Covid-19 กมธ.การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ไม่เห็นด้วยกับการคิดอัตราค่าโดยสาร สายสีเขียว ตลอดสาย 65 บาท พร้อมขอให้ กทม. ชี้แจงที่มาของการคำนวณราคา ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ปีที่แล้ว จนบัดนี้ ยังไม่ได้รับ ข้อมูล แต่กลับข่มขู่ประชาชน ว่าจะขึ้นราคา 104 บาท ในเดือนหน้า

นายโสภณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กมธ.การคมนาคม ได้มีข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การคิดอัตราค่าโดยสาร นั้นต้องเปิดเผยที่มา การคิดราคาอย่างโปร่งใส และเชื่อว่า สามารถคิดราคาได้ถูกกว่า 65 บาทตลอดสาย และควรกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ถูกที่สุดสำหรับประชาชนที่ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ  โดยกมธ.คมนาคมมีความเห็นคือ

1. การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยคิดราคาค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท กทม.ควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ว่ามีฐานการคิดคำนวณมาอย่างไร เนื่องจาก การสอบถามข้อมูลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงคมนาคม เห็นว่า ยังสามารถลดค่าโดยสารลงได้ต่ำกว่า 65 บาท กมธ.การคมนาคม จึงเห็นว่า ค่าโดยสารที่สามารถลดลงได้อีก เนื่องจากปริมาณการเดินทางในอนาคต จะมีมากขึ้น ต้นทุนต่อการเดินรถควรจะถูกลงอีก จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะสามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้มากขึ้น

2. ประชาชน ควรจะได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ในการต่อสัญญาสัมปทานครั้งนี้ เช่น การลดค่าแรกเข้าระบบ ที่ไม่ควรจะมีการคิดซ้ำซ้อน และไม่มีเงื่อนไขซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้โดยสาร

3. หากยังไม่มีการต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งกำลังจะหมดลงในปี 2572 หรือในอีก 9 ปี ข้างหน้า และสินทรัพย์ทั้งหมด   จะตกกลับมาเป็นของรัฐ คือ กทม. จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

มากกว่า เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีกำไร หลังจากหักค่าจ้างเดินรถแล้ว จะมีกำไรไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต กำไรดังกล่าวสามารถนำมาบริหารจัดการช่วยลดอุดหนุนเส้นทางรถไฟฟ้า อื่น ๆ ที่อยู่นอกเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อยกว่า ได้ใช้รถไฟฟ้าในอัตราที่ถูกกว่า คนในใจกลางเมือง การที่อ้างว่า กทม.ไม่มีความสามารถทางการเงินในการชำระหนี้ และบริหารจัดการไม่เป็นความจริง เนี่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งเส้นทาง มีศักยภาพทางธุรกิจที่ชัดเจน สามารถระดมเงินเพื่อบริหารจัดการ ได้จากแหล่งเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคาร แหล่งทุน เนื่องจากมีรายได้มหาศาลที่ชัดเจน

4. การดำเนินการของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 3/2562 ควรเปิดเผยรายงานการประชุม ต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน โดยทั่วไปได้ และ  5.การต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าว ยังดำเนินการไม่ครบถ้วน เช่น พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง 2562 และการตรวจสอบจากองค์กรอิสระต่าง ๆ ยังไม่แล้วเสร็จ

นายโสภณ กล่าวอีกว่า หาก กทม.ยังคงยืนยันการดำเนินการเรื่องรถไฟสายสีเขียวในยามวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชนถือว่าเป็นการซำ้เติมสถานการณ์ของบ้านเมือง และยังไม่ฟังเสียงประชาชนและข้อทักท้วงจากส่วนราชการ และข้อแนะนำจากภาคประชาชน

"กมธ.การคมนาคมจะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดี (21 มค.) ที่จะถึงนี้เพื่อคัดค้านการขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรมและแจ้งเรื่องการคัดค้านดังกล่าวไปยังรัฐบาล เพื่อสั่งให้ยุติวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด" นายโสภณ กล่าว

พรรคเพื่อไทย ย้ำเงินเยียวยาต้องได้ทั้งประเทศ ไม่จำกัดแค่ 28 จังหวัดพื้นที่สีแดง จี้ 3 เหล่าทัพตัดงบปี 65 ช่วยประชาชนก่อน เหน็บกองทัพอากาศ ทุ่มงบฯ สร้างสถานีอวกาศ เพื่อ? ขนาดเครื่องบินยังไม่ค่อยมีคนขึ้น ส่วนกองทัพเรือควรหยุดซื้อเรือดำน้ำ

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ รวมกันแถลง โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 รอบนี้ถือว่าหนักกว่าปีที่แล้ว ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ ซึ่งรัฐบาลตัดงบลงทุนออกแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกัน เพราะเป็นงบฯกระต้นเศรษฐกิจ ขณะที่ประชาชนจ่ายเงินเยียวยาเพียง เดือนละ 3,500 บาท 2 เดือนเท่านั้นเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาปีที่แล้วท่านให้น้อยลง ทั้งที่การแพร่ระบาดครั้งนี้หนักกว่าเดิม ทั้งยังบอกว่าจะให้แค่ 28 จังหวัด เพราะไม่มีเงินแล้ว

ตนอยากเรียกร้องว่า ผลกระทบจากโควิด ไม่ได้มีแค่ 28 จังหวัด หากท่านจะพิจารณาให้เงินช่วยเหลือก็ควรช่วยชาวบ้านทั้งประเทศ เพราะเดือดร้อนกันหมด ดังนั้นในการจัดทำงบประมาณปี 65 โดยเฉพาะงบของทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยงบประมาณของกองทัพเรือ ที่มีการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 2 ลำ จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ในการจัดทำงบปี 64 ก็ชะลอการจัดซื้อออกไปเพราะการระบาดของโควิด19 ซึ่งการระบาดรอบ2 ถือว่าหนักกว่า ก็ควรที่จะชะลอการจัดซื้อออกไปแล้วนำเงินมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดก่อน

จึงขอถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ไม่ตัดสินใจยกเลิกการจัดซื้อเรือดำน้ำ เพราะสถานการณ์ประเทศขณะนี้เรือดำน้ำยังไม่จำเป็น ท่านควรทำเงินตรงนี้มาช่วยเหลือประชาชนก่อนดีหรือไม่

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้งบปี 65 ของกองทัพบก มีรายการที่ต้องใช้งบประมาณใหญ่ คือ 1.โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตี วงเงินกว่า 4,200 ล้านบาท 2. โครงการจัดหาระยานเกาะจำนวนกว่า 1 พันล้านบาท และ 3. โครงการจัดหายานเกาะล้อยางเพื่อเสริมสร้างการรบรูปแบบใหม่ จำนวน 900 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดยังไม่จัดซื้อ

เหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรมว.กลาโหมจึงไม่สั่งให้เลื่อนหรือชะลอการซื้อสิ่งเหล่านี้ ส่วนงบฯกองทัพอากาศ มีรายการใหม่ที่ยังไม่ได้จัดซื้อ คือโครงการจัดหาเครืองบินโจมตีเบา 4,500 ล้านบาท โครงการสร้างคลังอาวุธและจัดหาอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิดวิกฤต จำนวน 900 ล้านบาท และโครงการพัฒนาปฏิบัติการในห่วงอวกาศ จำนวน 1,470 ล้านบาท

“ผมขอถามว่า ท่านจะไปทำอะไรในห้วงอาวกาศในช่วงนี้ เพราะแค่ลำพังเครื่องบินของสายการบินในประเทศช่วงนี้ยังไม่มีคนนั่งเลย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้สามารถชะลอได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผมนำงบประมาณที่สามารถชะลอได้ของทั้ง 3 เหล่าทัพมาคำนวณแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท หากเอาไปช่วยเหลือประชาชนคนละ 3,500 บาท คนละ 2 เดือน จะช่วยประชาชนได้อีก 5.43 ล้านคน และเมื่อท่านบอกว่างบประมาณในปีนี้ไม่เพียงพอท่านก็ต้องรู้จักประหยัด ขณะนี้ที่ท่านสั่งให้หน่วยงานอื่นหั่นงบประมาณแหลกลาน ตัดงบฯลงทุนที่จะสร้างงานในต่างจังหวัดให้กับประชาชน แต่ท่านกลับไม่แตะงบฯกองทัพเลย” นายยุทธพงศ์ กล่าว

‘นายกสมาคมนักประดิษฐ์ และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย’ ลากไส้ ‘แจ็ค หม่า’ เจ้าของอาลีบาบา ชี้ใช้ช่องว่างกฎหมายขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผ่านเว็บ เผยเหตุผลที่ตนฟ้องร้อง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทย

นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ นายกสมาคมนักประดิษฐ์และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึง แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา อี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะมานานกว่า 2 เดือน ว่า ตนเห็นว่า แจ็ค หม่า หรือ หม่า หยุ่น คือ ต้นแบบของนักธุรกิจที่สร้างภาพ อวดตัวเองว่าเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ โดยถูกยกย่องจากโซเซียลมีเดียมากจนเกินจริง ซึ่งผมเคยเตือนว่า เหรียญด้านที่สองของสังคมโซเชียลมีเดีย มักจะมีด้านดีด้านไม่ดีปรากฏอยู่เสมอ

อีกทั้งยังเตือนว่าคนไทยอย่าชื่นชมคนรวยที่พอรวยจะใช้เงินสร้างภาพมาตลอด ซึ่งพฤติกรรมของเขานั้นจะเขียนเว็บไซต์ขึ้นมาในยุคที่รัฐบาลต่างๆ ยังสร้างเกาะคุ้มกันคือกฎหมายออกมาไม่ทัน ก็ปล่อยให้สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งสมัยก่อนไม่กล้านำออกมาขาย เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับ

ดังนั้น คนที่ต้องการขายสินค้าประเภทดังกล่าว ก็จะใช้วิธีขายผ่านเว็บไซต์จองแจ็ค หม่า โดยในช่วยแรกจะให้สมัครขายได้ฟรี เพื่อสร้างความน่าสนใจจากคนจำนวนมากที่ต้องการจะขายสินค้า จากนั้นจึงเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมรายปี หากใครไม่จ่าย เว็บของแจ็ค หม่า ก็จะฝังสินค้าเหล่านั้นไปอยู่ใต้ดินของเว็บ ซึ่งหากใครเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาร้องเรียนไป ขอเอกสารโน่นนี่นั่น หลอกเอาเอกสารส่งให้สุดท้ายเงียบ แต่กลับมีสินค้าที่ยังมีสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นจาก 1 กลายเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน จนผู้คิดค้นหรือเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เริ่มล้มหายเหลือแต่สินค้าละเมิดเกลื่อนในเว็บของเขาไปหมด

“ผมอยากให้คนไทยมองแล้วคิดให้ดีๆ อย่ามองแต่ภายนอกเองรวย ทุกวันนี้เว็บของเขาถูกฟ้องหลายคดี เช่น เคอริง เอสเอ ผู้แทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์หรู อาทิ กุชชี่ และ อีฟว์ แซงต์ โลร็อง ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าเว็บไซต์ของอาลีบาบา ซึ่งเป็นตลาดการค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ไม่ยอมจัดการปัญหาของผู้ค้าสินค้าปลอมลอกเลียนแบบ

ทั้งนี้ ในช่วงปีเมษายน 2559 ผมได้ยื่นฟ้องบริษัท หางโจว อาลีบาบา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด และ แจ็ค หม่า ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บขายสินค้าออนไลน์ระดับโลก “ALIBABA” และ “ALIEXPRESS” ฐานโฆษณาและประกาศขายสินค้าปลอม ละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีแต่คนไทยด่าผมว่า เห็นเขารวยฟ้องอยากได้เงิน ผมจึงถามว่า ผมไม่ใช่คนไทยหรือเมื่อผมเป็นคนไทย และถูกกระทำผมไม่มีสิทธิที่จะปกป้องสิทธิของผมหรือครับ หรือว่าคนไทยเป็นเหยื่อของสื่อโซเชียลที่มีคนเอาไปสร้างภาพ และปัจจุบันคดีผมก็ยังในระหว่างการพิจารณาของศาลไทย

.

การที่ แจ็ค หม่า ไม่ยอมสู้คดีก็เพราะผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจในไทย ด้วยความคิดอย่างกินรวบไม่แบ่งให้สังคม ได้แต่สร้างภาพ จึงสร้าง แอนท์ กรุ๊ป เพราะต้องการกินรวบ เพื่อให้ตัวเองรวยแล้วรวยอีก เพราะรัฐบาลจีนเริ่มมองเห็นว่าการทำธุรกิจกินรวบคนเดียวไม่แบ่งปันให้เพื่อนร่วมโลก มันอยู่ไม่ได้ จึงให้สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน หรือ State Administration for Market Regulation (SAMR) เริ่มการสืบสวนบริษัท อาลีบาบา ว่ามีพฤติกรรมผูกขาดหรือไม่ และสั่งให้ แอนท์ กรุ๊ป ปรับโครงสร้างการดำเนินกิจการใหม่ ก่อนที่นายหม่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเชิญตัวไปสอบสวน ปัจจุบันยังคงอยู่ในการดูแลของรัฐบาลจีน

เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากจะบอกไปยังคนไทย ควรทำหน้าที่ตัวเองปกป้องคนไทยที่มีจำนวนมากเพื่อให้คนไทยได้มีเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย ได้รับสิทธิเท่าเทียม ปกป้องคนไทยด้วยกัน อย่าเห็นแต่คนมีเงินแล้วสร้างภาพให้ตรวจสอบว่าคนคนนั้นมาจากไหน ทำอะไร มองให้ไกลๆ คนเก่งต้องสร้างด้วยตนเอง ทำมันขึ้นมาและประสบความสำเสร็จ และดูแลสังคมให้เกิดความเท่าเทียมกันนั้นแหละคนเก่งจริงๆ” นายภณวัชร์นันท์ กล่าว

คนเป็นหนี้ต้องรู้!! แบงก์ชาติ ผสานสถาบันการเงิน ขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดระลอกใหม่ สามารถสมัครรับความช่วยเหลือ พร้อมให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกช่วยลูกหนี้ผ่านช่วงวิกฤติ

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น ธปท. จึงขอให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (ผู้ให้บริการทางการเงิน) เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ขยายเวลาให้ลูกหนี้รายย่อยสมัครรับความช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 (จากเดิมที่ครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2563) โดยลูกหนี้สามารถสมัครขอรับความช่วยเหลือด้วยตนเอง หรือนายจ้างหรือเจ้าของกิจการสมัครขอรับความช่วยเหลือแทนลูกหนี้ได้ เช่น ในกรณีสินเชื่อสวัสดิการ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ที่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง เพื่อให้การขอรับความช่วยเหลือของลูกหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์

2. ให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกประเภท (ลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่) ตามความเหมาะสมกับประเภทสินเชื่อและคำนึงถึงความเสี่ยงของลูกหนี้ จำแนกตามลักษณะธุรกิจและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีแนวทางต่าง ๆ ดังนี้

2.1 ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เช่น ลดค่างวด ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ต่ออายุวงเงินหรือคงวงเงิน เปลี่ยนประเภทหนี้จากสินเชื่อระยะสั้นเป็นสินเชื่อระยะยาว ปลอดชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยชั่วคราว ลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าอัตราตลาด เป็นต้น

2.2 ให้เงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติม

2.3 พิจารณาชะลอการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก. soft loan

2.4 ผ่อนปรนเงื่อนไขอื่นตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือควรรีบติดต่อศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า (call center) ของผู้ให้บริการทางการเงินแต่ละแห่งได้โดยตรง หรือ โทร 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. หรือผ่าน "ทางด่วนแก้หนี้" เว็บไซต์ https://www.1213.or.th/App/DebtCase

ธปท. จะติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ ธปท. สามารถทบทวนมาตรการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป

รัฐบาล ยืนยัน ห่วงใยพระสงฆ์ช่วงโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ย้ำขอให้ยึดหลักปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม ปรับศาสนกิจสู่วิถีใหม่ งดรับกิจนิมนต์พื้นที่เสี่ยง งดกิจกรรมบรรพชา-อุปสมบทหมู่ และงดจัดงานบุญที่มีคนร่วมงานจำนวนมาก

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับพระภิกษุ-สามเณรว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุ-สามเณร หลังปรากฏข่าวพระภิกษุสงฆ์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องปรับวิถีปฏิบัติศาสนกิจในลักษณะ New Normal

โดยยึดหลักปฏิบัติตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) อาทิ การงดรับกิจนิมนต์ในจังหวัดที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 งดการจัดกิจกรรมงานบรรพชาสามเณร และงานอุปสมบท ประจำปี 2564 รวมทั้งให้งดจัดกิจกรรมทางพระศาสนาที่มีประชาชนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เช่น การจัดงานวัด งานบุญประจำปี และงานบุญประเพณีต่างๆ ส่วนการออกบิณฑบาตหรือกิจกรรมภายในวัด การทำวัตรเช้า-เย็น การรับถวายภัตราหารหรือสิ่งของ ยังทำได้ตามปกติ เพียงแต่พระภิกษุ-สามเณร และพุทธศาสนิกชน จะต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างกัน และงดให้ศีลให้พร

ขณะที่งานศพซึ่งเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข แต่หากเป็นศพของผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ไม่ให้มีการเปิดศพ และให้สวดอภิธรรมจากรูปถ่ายแทน

นายชาญกฤช เปิดเผยถึงการแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 แก่พระภิกษุสงฆ์ว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนและประชาชนได้บริจาคแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้กระจายแจกจ่ายไปยังวัดต่างๆ โดยให้เน้นวัดที่มีความเสี่ยงก่อน ทั้งนี้ หากพบพระภิกษุ-สามเณรมีอาการผิดปกติ ไข้ขึ้นสูง ให้รีบไปพบแพทย์หรือโทรแจ้งสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 เพื่อขอรับข้อมูลและความช่วยเหลือ

รัฐบาล ย้ำขณะนี้ยังอยู่ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และพ.ร.บ. โรคติดต่อ ขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน หวั่นการชุมนุมทางการเมือง เป็นเหตุแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้ยังมีความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงการรวมตัวกันโดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเวลานี้ ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างดียิ่ง

นอกจากนี้ รัฐบาลก็กำลังเร่งพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ รวมถึงการเร่งเตรียมการในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขั้นต่อไป ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่อยากเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากเหตุของการรวมตัวกันเพื่อชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้

จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันด้วยอีกทางหนึ่ง

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ จ่อบุกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอีกรอบ จี้สอบ กอ.รมน. กรณีโซลาร์เชลล์แม่ฮ่องสอน มูลค่ากว่า 45 ล้านบาท ถูกทิ้งร้าง ชี้เข้าข่ายมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจชื่อดังรายงานว่า โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของ กอ.รมน. มีสภาพทิ้งร้างในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเพจดังกล่าวได้รายงานว่าเป็นโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยติดตั้งเป็นระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 จำนวน 20 ระบบ 20 หมู่บ้าน จุดละประมาณ 2 ล้านกว่าบาท รวม 45,590,000 บาท ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 จุด และจังหวัดตาก 8 จุด เมื่อปี 2561 ซึ่งผ่านมากว่า 2 ปี มีพลเมืองดีไปตรวจสอบพบว่า ทุกจุดอยู่ในสภาพไม่ได้ใช้งาน บางแห่งอยู่ในสภาพทิ้งร้างนั้น

กรณีดังกล่าวอาจมีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไปหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบราคากับกรณีของพิมรี่พาย ที่ไปดำเนินการที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำความไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบไปแล้วเมื่อ 13 ม.ค.34 ที่ผ่านมา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการที่ กอ.รมน.ดำเนินการที่ จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.ตาก ดังกล่าวเกินระยะเวลามากว่า 2 ปีแล้วจึงน่าจะเกินเวลาของการประกันผลงานตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่มีผลสัมฤทธิ์ หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด และอาจขัดต่อ พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 หรืออาจมีการกระทำการอันเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือการใช้จ่ายเงินแผ่นดินของ กอ.รมน. ที่อาจมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ด้วย

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้อมหลักฐานไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ให้ตรวจสอบโครงการโชลาร์เชลล์ทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าวว่าเหตุใดจึงปล่อยทิ้งร้างและเสียหายและดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หากพบว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมายต่อไป และจะนำหลักฐานกรณีโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ไปมอบเพิ่มเติมให้ สตง.ตรวจสอบเพิ่มเติมอีกด้วย โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 18 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซ.อารีย์ พญาไท กทม. “ นายศรีสุวรรณ กล่าว

"รองโฆษกพรรคกล้า" ดักคอพวกสีเทาค้านคาสิโนถูกกฎหมาย กลัวกระทบผลประโยชน์ ฝากถึง "สิระ" สาปแช่งคนเห็นต่างไม่ใช่การเมืองสร้างสรรค์ ย้อนเกล็ดเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่กลับมีบ่อนผุดในเขตหลักสี่ เพิ่งจับได้หลังโควิดระบาดระลอกสอง

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี ส.ส.บางคน ออกมาคัดค้านข้อเสนอของพรรคกล้าให้มีการพนันถูกกฎหมายว่า ต้องรับฟังความเห็นรอบด้าน ฝ่ายที่แสดงความเห็นต่างโดยสุจริตนั้นน่ารับฟัง แต่ก็จะมีพวกที่ค้านเพราะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ เช่น นักการเมือง คนในเครื่องแบบ ที่มีผลประโยชน์อยู่กับบ่อนเถื่อนในเมืองใหญ่ หรือมีหุ้นกับคาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ออกมาคัดค้านด้วยการสาปแช่งและท้าให้ข้ามศพไปก่อน รองโฆษกพรรคกล้า มองว่า เป็นการใช้วาทกรรมการเมืองที่รุนแรง ไม่สร้างสรรค์ ผลักคนเห็นต่าง ไม่ได้นำสังคมไปสู่การหาข้อสรุปร่วมกัน จึงรู้สึกเห็นใจพรรคพลังประชารัฐที่มีลูกพรรคแบบนี้ และขอให้ยอมรับความจริงว่า บ่อนเถื่อนคือปัญหาผลประโยชน์คนมีสี เกิดการมั่วสุมแพร่โรคระบาด หากนายสิระเกลียดบ่อนจริง ทำไมเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่บ่อนแจ้งวัฒนะ 14 เขตหลักสี่ เพิ่งโดนจับหลังโควิดระบาดระลอกสอง เมื่อเดือนที่แล้ว

นายแสนยากรณ์ กล่าวย้ำว่า พรรคกล้ามีเจตนาให้การพนันเป็นพิษภัยกับสังคมให้น้อยที่สุด ด้วยการนำเข้ามาอยู่ในการควบคุมของรัฐ ซึ่งนอกจากการจัดการปัญหามั่วสุมแพร่ระบาดโรคติดต่อได้แล้ว ยังป้องกันเงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากพบว่านักพนันส่วนใหญ่ในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านกว่าร้อยละ 90 เป็นคนไทย เงินไหลออกนอกประเทศปีละไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ จึงเชื่อว่าหากอยู่ในการควบคุมของรัฐ จะก่อให้เกิดทั้งการสร้างรายได้ ตัดตอนผู้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เปลี่ยนส่วยเป็นภาษีพัฒนาประเทศ

นายกรัฐมนตรี ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ‘เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว’ เครื่องจักรตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศ ตั้งเป้าเพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการประชุมเพื่อพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลของการพัฒนาดังกล่าวต้องแลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดของเหลือทิ้งที่สร้างมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ จึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะ “ทำมากได้น้อย” เนื่องจากไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG"  หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นการเชื่อมโยงหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการสานพลังของจตุภาคีทั้งภาคประชาชน เอกชน หน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายต่างประเทศ โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรม

กิจกรรมหลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย (1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา เพิ่มพูนทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (2) บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และบริโภค อย่างยั่งยืน (3) ลดและใช้ประโยชน์ของทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (4) สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นต้นน้ำ จนถึงภาคการผลิตและบริการ และ (5) สร้างภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4  สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์  3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2561 รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างแรงงานรวมกัน 16.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการจ้างงานรวมของประเทศ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน  

“ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มีศักยภาพเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปีข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ BCG Model คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”

คณะกรรมการบริหารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์

ธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป แต่ธรรมชาติจะเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทุกสรรพสิ่งบนโลก เป็นพื้นฐานของความอยู่ดีกินดีของมนุษย์รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำตามหลักการหมุนเวียน

ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นการตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่เป็นอันดับแรก ใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

นำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ หรือการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ยกระดับมาตรฐานและให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบ “ทำน้อยได้มาก” แทน

ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

เน้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปเพิ่มศักยภาพของชุมชน ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต/บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบกรอบแผนยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” สำหรับการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (Post COVID-19 Strategy) พร้อมให้นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้าคือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การแปรปรวนของภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากร ด้วยเหตุนี้การพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะสามารถสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนแรงกดดันหรือข้อจำกัดเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการเร่งรัดพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว”

17 มกราคม พ.ศ. 2417 ‘อิน-จัน’ แฝดสยามที่สร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลก เสียชีวิตลงในวัย 63 ปี

วันนี้เมื่อกว่า 147 ปีมาแล้ว ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง เมื่อ ‘อิน-จัน’ แฝดสยามที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เสียชีวิตลงในวัย 63 ปี

แม้เวลาจะผ่านมานานนับร้อยปี แต่ชื่อเสียงของ ‘อิน-จัน’ ยังคงถูกพูดถึงกันอยู่เสมอ พวกเขาเป็นฝาแฝดที่มีลักษณะแปลกไปกว่าแฝดทั่วไป ที่ไม่ใช่เพียงมีใบหน้าที่เหมือนกัน แต่พวกเขายังมีร่างกายส่วนบนติดกัน

‘อิน - จัน’ เกิดที่จังหวัดสมุทรสงคราม ในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพ และมารดาเป็นคนไทย โดยทั้งคู่มีร่างกายที่ติดกันมาตั้งแต่แรกเกิด ตามปกติของฝาแฝดลักษณะนี้ มักจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่อิน-จันกลับสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเรื่อยมา

วันหนึ่งมีชาวต่างชาติมาพบพวกเขาเข้า ด้วยความแปลกที่ไม่เคยพบเจอที่ไหน อิน-จัน จึงถูกพาออกเดินทางไปโชว์ตัวไกลถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากวันนั้น พวกเขาก็ออกตระเวณโชว์ตัวไปทั่วเป็นเวลานับ 10 ปี ในที่สุดจึงได้ไปลงหลักปักฐานชีวิตอยู่ต่างประเทศ พร้อมกับมีลูกหลาน และไม่ได้กลับมายังประเทศไทยอีกเลย

แม้จะมีร่างกายที่ติดกัน แต่ทั้งคู่มีนิสัยที่แตกต่างกัน อิน เป็นคนใจเย็น สุขุม ส่วนจันเป็นคนอารมณ์ร้อน และชอบดื่มเหล้า ทำให้เขามีโรคประจำตัวหลายโรค กระทั่งเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว ๆ 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย ผลจากการชันสูตร ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้วผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อกนั่นเอง

ความโด่งดังของแฝดสยามคู่แรกที่มีร่างกายติดกัน ทำให้ปัจจุบันที่พิพิธภัณฑ์ Mutter เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ยังเก็บ ‘ตับ’ ของทั้งคู่เอาไว้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกาเช่นกัน ส่วนที่ประเทศไทยมีการสร้างอนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จัน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเป็นการระลึกถึงฝาแฝดที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top