นายโอฬาร วีระนนท์ กรรมการบริหาร พรรคสร้างอนาคตไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ยักษ์เขียว จำกัด (YAK GREEN) โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ถึงประสบการณ์การทำหน้าที่บอร์ดส่งเสริมสสว.อย่างน่าสนใจว่า
“ 10 สิ่งที่ได้เรียนรู้ กับการทำหน้าที่เป็นบอร์ดส่งเสริม สสว. ”
บันทึกความทรงจำ การสิ้นสุดหน้าที่การเป็นบอร์ดส่งเสริม สสว. กับ หน้าที่ท้าทายบทต่อไป
ตลอดระยะเวลา 1 ปี 10 เดือน ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่อันทรงเกียรติ ในการสนับสนุนคนตัวเล็กทั้ง SMEs และ Startup ของประเทศไทย ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2563 เป็นต้นมา จนถึงวันสุดท้ายที่ผมลงนามในใบลาออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ในวันที่ 19 เม.ย. 2565 รวมถึงได้รับความไว้วางใจ ได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการ, คณะอนุกรรมการตรวจสอบ, สสว. ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. 2564 - 19 เม.ย. 2565 นั้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ที่ได้มีส่วนร่วม และเรียนรู้ ขอบันทึกส่วนหนึ่งของความทรงจำเพื่อเตือนใจตนเอง และอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ ดังนี้
“ 10 สิ่งที่ได้เรียนรู้ กับการทำหน้าที่เป็นบอร์ดส่งเสริม สสว. ”
1.เมื่อได้รับโอกาส จงทำมันให้ดีที่สุด
คณะกรรมการส่งเสริม ถือเป็นหนึ่งในบอร์ดสูงสุด ที่ร่วมกำหนดนโยบายของประเทศในมิติของการส่งเสริม SMEs มีคณะกรรมการทั้งสิ้น 30 ท่าน เท่ากับจำนวนรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยมี
- นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเป็นประธานกรรมการ
- มีรองนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นรองประธาน
- มีรัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวงได้แก่ รมว.กระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม
- ปลัดกระทรวงอีก 4 กระทรวง คือ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ กระทรวงอุตสาหกรรม
- ผู้นำสูงสุดของ 4 องค์กรที่ดูแลเรื่องงบประมาณ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ, เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ, เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
- ประธานสภา / สมาคม หลักของประเทศ 5 องค์กรหลัก คือ สภาเกษตรกรแห่งชาติ, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย
- ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคต่างๆ อีก 10 คน ในที่นี้เป็นภาคเอกชน 7 ท่าน (ผมเป็น 1 ใน 7 ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน)
- ผู้อํานวยการ สสว. ทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ
จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงสุดของประเทศ ดังนั้นการที่เราได้รับเกียรติเข้าไป ก็แปลว่า เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่น้อยกว่าผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านเช่นกัน ดังนั้นการทำการบ้าน การเตรียมข้อมูล และการกล้านำเสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์ในภาพรวม ที่ไม่ใช่แค่ประโยชน์ส่วนตน เป็นสิ่งที่เราต้องพึงรำลึก และใช้ทุกนาทีที่มีโอกาสอย่างดีที่สุดเสมอ
2.เมื่อโอกาสไม่มี ผู้สร้างเวทีต้องเป็นเราเอง
- ในฐานะคนตัวเล็ก ที่อยู่ในเวทีใหญ่ๆ แน่นอนว่า ถ้าเทียบกับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนแล้ว ต่อให้เราเป็นคนที่เล็กที่สุดในวง และไม่มีโอกาสแบบเป็นทางการในการนำเสนอ แต่หากเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราต้องการนำเสนอ ว่าเป็นผลดีต่อผู้คน ธุรกิจ และสังคมในภาพรวม อย่ารีรอในการสร้างโอกาส ให้สมกับเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่เราได้รับการคัดเลือกมา และใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ
3.อย่าเสียเวลาโฆษณาตนเอง
- การประชุมในระดับสูงนั้น เราแนะนำตัวสั้นๆ ก็เพียงพอ ไม่ต้องโฆษณาตนเองมาก เพราะทุกคนที่ถูกคัดสรรมา ล้วนมีคุณสมบัติที่มากพอ มีดีในมุมของตน เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับ และต่างถูก Screen ประวัติมาอย่างดี ดังนั้น จงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อที่ประชุมและประเทศอย่างสูงสุด จะได้รับการยอมรับกว่ามากนัก
4.เจาะลงไปที่แก่นของเนื้อหา โดยเน้นที่คุณค่าที่ผู้ฟังได้รับ
- จงใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า เจาะลงไปที่เนื้อหา แต่นำเสนออย่าง High Impact ด้วยความมั่นใจ จริงใจ สั้น กระชับ มี Key word ให้คนจดจำได้ ตัดประเด็นที่ซ้ำซ้อนออกไป เหลือแต่แก่นที่เป็นหัวใจของการนำเสนอ ที่เราเชี่ยวชาญ รู้จริง และทำข้อมูลมา เพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ธุรกิจ และสังคม
5.สิ่งที่เราเห็นจากสื่อ อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
- อีกมุมหนึ่งที่ผมได้เห็นและเรียนรู้ จากการเข้าร่วมประชุมกับลุงตู่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น ผมบอกได้จากใจว่าในทุกครั้งที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุมร่วมกันในฐานะบอร์ดส่งเสริม สสว. นายกฯ มีความตั้งใจดีจริงๆ มีการทำการบ้าน อ่านข้อมูลก่อนเข้าร่วมประชุม ตามทันเนื้อหาที่ยากและซับซ้อนได้เป็นอย่างดี ในหลายครั้งนายกฯ พยายามสร้างความมีส่วนร่วมให้กรรมการต่างๆ แสดงความคิดเห็น ให้เกียรติผู้อื่นอย่างเหมาะสม ไม่ได้เป็นดังภาพที่เราเห็นผ่านสื่อ Social Media ต่างๆ เสมอไป ส่วนผลงานการบริหารในมิติอื่นๆ เป็นอย่างไรนั้น เราทุกคนตัดสินกันด้วยตนเองได้
6.ข้อควรระวังเมื่อเราขึ้นสู่บทบาทที่สูงขึ้น คือ “คนรอบข้าง” และ “ข้อมูลที่รายล้อม”
- คบทุกคนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ควรคบ, ใช้ทุกคนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ควรใช้ เป็นสิ่งที่ควรตระหนักไว้เสมอ เมื่อเป็นคณะกรรมการระดับสูงในทุกองค์กร เราอาจไม่ได้มีเวลาในการลงไปติดตามงานทุกอย่างด้วยตนเอง ดังนั้นสิ่งที่จะมาถึงเรา ล้วนเป็นข้อมูลที่ถูกส่งและกลั่นกรองมาจาก “ทีมงาน และคนรอบข้าง” เราจะรู้ได้อย่างไรว่า “ข้อมูลนั้น ถูกต้องและเหมาะสม” และมีมุมมองใด ที่สำคัญ ที่เราควรเจาะลงไป ควร Benchmark กับใคร ในหรือต่างประเทศ ใช้ตัวอะไรเป็นชี้วัด ทั้งในมุมของผลงาน การสื่อสารทั้งในองค์กรและออกสู่สังคมในวงกว้าง อะไรคือสิ่งที่สะท้อนกลับมาให้เราสามารถพัฒนา ปรับปรุงได้อย่างเหมาะสม เพราะสิ่งใดที่วัดผลไม่ได้ ย่อมพัฒนาไม่ได้ และแน่นอนว่า การได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ย่อมทำให้การตัดสินใจคลาดเคลื่อนไปได้เช่นกัน
7.เรียนรู้ เพื่อพัฒนา
- ทุกครั้งที่เราได้โอกาสในการทำงานกับผู้คนในทุกระดับ จงเรียนรู้ในทุกขณะอย่างดีที่สุด ยิ่งมีโอกาสทำงานกับคนเก่งๆ ยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะฟัง เก็บข้อมูล บางสิ่งเราสามารถแนะนำพัฒนาได้ อย่ารีรอที่จะทำ หลายสิ่งอาจต้องรอเวลา ก็ต้องรู้จักจังหวะเวลา เร็วช้า หนัก เบา ทำงานเป็นทีมให้เป็น และสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี กับผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ