Saturday, 4 May 2024
ECONBIZ

เรียกว่าต้องหักกันชั่วคราว สำหรับ ‘ลาว’ กับ ‘ไทย’ หลังจากโควิดสมุทรสาคร ‘ทำพิษ’ จนทำให้ทางประเทศลาว มีคำสั่งชัดในการห้ามนำเข้าอาหารทะเลสด - แช่แข็งของไทยชั่วคราว

ก่อนหน้านี้รายงานจาก ลาวโพส สื่อท้องถิ่นประจำประเทศลาว ได้รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่มี สมจิด อินทะมิด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้ลงนามในหนังสือด่วน ถึงกรมภาษี กระทรวงการเงิน กรมอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงด่านชายแดนระหว่างลาว-ไทย เกี่ยวกับเรื่อง ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภท จากราชอาณาจักรไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

1.) ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสด และแช่แข็ง ที่นำเข้ามาจากราชอาณาจักรไทย

2.) มาตรการห้ามนำเข้านี้ เป็นมาตรการชั่วคราว และจะมีผลบังคับใช้จนกว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว และราชอาณาจักรไทย จะสามารถปรึกษาหารือมาตรฐานการตรวจสอบ คัดกรอง และยืนยันถึงความปลอดภัยของอาหารทะเลที่ส่งออกจากราชอาณาจักรไทย ว่าไม่พบการเจือปนของเชื้อโควิด

3.) มอบให้กรมอาหารและยา เป็นเจ้าภาพ สมทบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของลาวและไทย ค้นคว้าหามาตรการการแก้ไขตามที่ระบุไว้ในข้อ 2

ส่วนโอกาสที่จะกลับมาค้าขายกันอีกนั้น ก็คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่ของลาวและไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะร่วมกันหาหนทางตรวจสอบ คัดกรอง และรับรองความปลอดภัยของอาหารทะเลที่มาจากไทยได้ว่าไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ได้แบบ 100%

ล่าสุด ‘โควิดสมุทรสาคร’ ก็ทำให้ทางการลาว ตัดสินใจเด็ดขาด ‘ห้ามนำเข้าอาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภทไทยชั่วคราว’

ล่าสุด!! หนุ่มโคราชได้รายงานข้อมูลด่วนจากแหล่งข่าวในระดับเชื่อถือได้ว่า ‘กระทรวงพาณิชย์ลาว’ จะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีของอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย ที่ทางภาครัฐบาลไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว จนทางการลาวไทยเปลี่ยนคำสั่งยกเลิกห้ามนำเข้า ‘อาหารทะเลสด - แช่แข็งจากไทย’ ได้อย่างรวดเร็ว

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

รู้ไหม Apple จะไม่ได้มีขายแค่สมาร์ทโฟนอีกต่อไป นั่นก็เพราะภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Titan ซึ่งถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 ได้วางแผนที่จะสร้าง Apple Car อย่างจริงจัง

โดยรายงานจาก Reuters ได้เผยว่า Apple กำลังกลับมาจริงจังกับโครงการนี้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ Apple Car ให้ได้ภายในปี 2024 

สำหรับเป้าหมายของการผลิตรถยนต์ Apple Car คือ มุ่งสู่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ตลาดขนส่งมวลชน หรือสาธารณะ เหมือนกับคู่แข่ง เช่น บริษัท Waymo ของ Alphabet (Google) ซึ่งต้องการสร้างแท็กซี่ ที่ให้บริการแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือไร้คนขับ

จุดเด่นหลัก ๆ ของ Apple Car คือเรื่องของ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ได้ถูกออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด และจะทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ให้ได้
 
นั่นจึงทำให้ Apple พยายามตรวจสอบหาแนวทางในการใช้ แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (LFP) ที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยกว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประเภทอื่นๆ

ทั้งนี้ Apple กำลังพิจารณาเลือกพันธมิตรภายนอก เพื่อมาร่วมสร้างและผลิต Apple Car เช่น ผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ที่ช่วยให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทำงานได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจจับภาพแบบ 3 มิติ ได้รอบคัน

แน่นอนว่าพอมีข่าวนี้ออกมา ราคาหุ้นของผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Velodyne Lidar ก็เลยพุ่งขึ้นเกือบ 23% และ Luminar พุ่งขึ้นกว่า 27% หลังจากมีข่าวว่า Apple กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ทางด้านนี้

ทั้งนี้ หนึ่งในความท้าทายที่สุดของ Project Titan คือ การผลิตตัวรถยนต์เป็นจำนวนมาก เพราะทาง Apple ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน และตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ใครจะเป็นพันธมิตรของ Apple ในการทำหน้าที่ประกอบรถยนต์ Apple Car

ก็ต้องนับถอยหลังกันดูว่าในอีกราวไม่เกิน 4 ปี (2024) Apple จะสามารถผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ออกสู่ตลาดได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ละกัน

 

รายงานทางเศรษฐกิจของบลูมเบิร์ก ยกไทยขึ้นที่ 1 ตลาดเกิดใหม่น่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ ที่อาจทำได้ดีเกินคาดในปี 2564

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์เศรษฐกิจของ 17 ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ปี 2564 โดยใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งในนั้นมีการจัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่อันดับที่ 1

เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง (8.2 ล้านล้านบาท) และมีโอกาสอย่างมากที่จะเกิดการไหลเข้าของเงินทุนที่มีศักยภาพสูง (Portfolio inflows) ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางการเงินอื่นๆ

แม้จะมีข้อมูลตารางชี้ชัดของไทยถึงอันดับที่ไม่ดีนักในเรื่องของการล็อกดาวน์ ที่อาจส่งผลต่อความคล่องตัวต่างๆ รวมถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่แย่ที่สุด (3.9%) รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ค่อนข้างสูง (41%) เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่นำมาจัดอันดับ แต่ก็เป็นส่วนที่ต้องคอยจับตาดูเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงเท่านั้น

ขณะที่รัสเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่แม้จะมีสัดส่วนหนี้ต่ำมาก แต่อัตราการเติบโตของ GDP นั้นแย่กว่าไทยเล็กน้อย ส่วนอันดับ 3 ร่วมคือเกาหลีใต้และไต้หวัน

ส่วนอันดับรองสุดท้ายบราซิล ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุด (89%) และอันดับสุดท้ายคือจีน โดยให้เหตุผลว่า ได้รับการคาดหวังที่สูงมากอยู่แล้ว

ส่วนความกังวลอีกเรื่องคือการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ที่หลายประเทศอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในด้านการกระจายวัคซีน และหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือที่ก่อนหน้านี้เรียกว่าตลาดกำลังพัฒนา ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก

รายงานของบลูมเบิร์กฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยนำตัวชี้วัดต่างๆ ของ 17 ประเทศมาวิเคราะห์ถึงการเติบโตในปีหน้า โดยตัวชี้วัดเหล่านั้นได้มาจากทั้งการคำนวณของบลูมเบิร์กเอง รวมถึงองค์กรระดับนานาชาติอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และบริษัทเอกชนอย่าง Goldman Sachs และ Barclays ซึ่งท้ายรายงานระบุว่า เป็นความเห็นจากนักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กที่พิจารณาจากปัจจัยที่นำมาคำนวณเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ที่สามารถป้องกันแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกได้ดี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

ดังนั้น มูลค่าตลาดและผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดเกิดใหม่ จึงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และจะเป็นตัวช่วยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี


ที่มา : https://www.bloomberg.com/graphics/2020-emerging-markets-recovery-ranking

สำนักข่าวชื่อดังของโลกจากสหรัฐเมริกาอย่าง ‘CNN’ ตามติดนโยบายโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" คนเดียวก็เที่ยวได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและเชิญชวนให้เดินทางท่องเที่ยวตามสไตล์คนโสด 9 เส้นทางทั่วประเทศ

โดย CNN เผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และ "แอพพลิเคชัน Tinder" จัดทำโครงการ เส้นทางคนโสด ‘Single Journey’ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โดยนำร่อง 9 เส้นทางภาคเหนือ โดยได้เริ่มต้น 3 เส้นทางก่อน ได้แก่

1.)เส้นทางคนโสดสายมู เป็นการล่องเรือ ไหว้พระ หารัก

2.)โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก

และ 3.) โสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

ทั้งนี้ช่องทางเปิดจองให้แก่ผู้ที่สนใจนั้นจะต้องลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

1.)https://sneaksdeal.com/singlejourney

2.)www.tourismthailand.org

และ 3.)Line Official @singlejourney

ความน่าสนใจของโครงการดังกล่าว ทำให้หลายทริปปิดดีลได้อย่างว่องไว โดยในส่วนของดีลคนโสดที่เปิดขายผ่านเว็บไซต์ https://sneaksdeal.com/singlejourney นั้น หลายทัวร์ได้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว เช่น ทริป Secret Island ทัวร์เกาะไข่ จ.ภูเก็ต ราคา 222 บาท ขายแล้วครบ 50 คน , รถไฟขบวนสุดท้าย 1 Day trip รถไฟลอยน้ำ 23 มกราคม ราคา 555 บาท ขายครบแล้ว 50 คน และ Secret Island เกาะลับไม่ห่างรัก 9 มกราคม พ.ศ.2564 ราคา 799 บาท โดยยังเหลือทริป Romantic พัทยา ล่องเรือยอชท์ จอดเรือรัก ราคา 2,888 บาท ซึ่งคงมีขายอยู่

ก็เรียกว่าโครงการนี้ดูจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนสำนักข่าว CNN ยังมีการการตั้งถามต่อท้ายว่า "หากคู่รักนัดพบรักกันระหว่างการเดินทางครั้งใดครั้งหนึ่ง ทางการท่องเที่ยวจะสนับสนุนฮันนีมูนในอนาคตของพวกเขาด้วยหรือไม่?"

แหม่!! อันนี้คงตอบยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนอยากให้มีภาคต่อ ซึ่งก็คงต้องตามดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเป้าหมายนั้น คาดว่าโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" จะทำให้เกิดการเดินทาง 7 ล้านคนต่อครั้ง ในช่วง 3 เดือนและเกิดเงินหมุนเวียนราว 100 ล้านบาทกันเลยทีเดียว


อ้างอิง: CNN

https://edition.cnn.com/travel/article/thailand-tinder-single-journey-intl-hnk/index.html

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการรายงานถึงงานวิจัยของเด็กไทยในกรุงลอนดอน ที่ทำการวิจัยโดยใช้ ‘ขนไก่’ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร มาแปรรูปทำอาหารรสชาติระดับมิชลินสตาร์

โดยตามรายงานระบุว่า เด็กไทยดังกล่าวชื่อ ‘ศรวุฒิ กิตติบัณฑร’ อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโทสาขา Material Futuresในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังหาทุนเพื่อเดินหน้าทำวิจัยหาวิธีการแปรรูปส่วนประกอบสารอาหารที่พบใน ‘ขนไก่’ มาทำเป็นผงที่สามารถนำไปผลิตเป็นอาหารแท่งโปรตีนแบบไร้ไขมันที่กินได้

ศรวุฒิ เล่าว่า “ขนไก่มีโปรตีน และหากสามารถนำโปรตีนเหล่านี้มาทำอาหารให้ชาวโลกได้ จะช่วยลดขยะลงได้มาก โดยปัจจุบันในภูมิภาคยุโรปที่เดียวมีการทิ้งขนไก่จำนวนมากถึง 2.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคสัตว์ปีกเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าจะมีขยะขนไก่มากกว่าในยุโรปถึง 30%

สำหรับขนไก่ที่ศรวุฒินำไปแปรรูปเป็นอาหารต้นแบบนั้น มีทั้งสเต็ก และนักเก็ตไก่ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้ทดลองชิม ที่สัมผัสได้ถึงความซับซ้อน และไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหารใดๆ ได้ แต่เมื่ออาหารตัวอย่างถูกนำไปปรุง เช่น สเต็ก ก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าราวกับเป็นอาหารจาก ‘ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์’ กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าไอเดียขนไก่แปรรูปนี้ เป็นอีกการต่อยอดแนวคิดแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจที่กำลังได้รับการศึกษาวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ มีเนื้อที่ผลิตจากโปรตีนพืชสำหรับกลุ่มวีแกนออกมากันบ้าง

อย่างไรก็ตาม อาหารจากขนไก่ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอาหารจากสัตว์ คนกินมังสวิรัติหรือทานเจ อาจศีลขาดได้...


ที่มา:

https://www.huffpost.com/entry/chicken-feathers-food-source_n_5fda3666c5b610200986d053?fbclid=IwAR19NVebfdMUm_irXy4u55Gh6JnpVygLMYWdBg9sPCS_Lk8RbGVQ0CoWF9E

คงต้องยอมรับว่าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ที่ปิดรับลงทะเบียนไปเรียบร้อยภายในเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เป็นตัวการันตีว่าโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายภาครัฐที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ย่อมมีทั้งคนที่สมหวังและไม่สมหวังในการได้รับสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ไม่สมหวัง รวมถึงผู้ที่อาจจะตั้งเป้าโจมตีนโยบายดังกล่าวแบบไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่เชื่อได้ว่าเฟสต่อ ๆ ไปของโครงการนี้จะต้องตามติดออกมาอีกแน่นอน

ทั้งนี้จากเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chao Jiranuntarat" หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้โพสต์ข้อความหนึ่งออกมาเตือนสติได้อย่างน่าสนใจว่า...

"ปุจฉา: "#คนละครึ่ง ควรเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาล"

"วิสัชนา: สิทธิ์คนจน รัฐควรให้ทุกคนที่เข้าข่าย สวัสดิการของรัฐ รัฐควรให้ขั้นต่ำ แต่คนละครึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ร้านเล็กๆ ไม่ให้ ร้านใหญ่เข้าร่วม และทุกร้านที่เข้าร่วมไม่ได้จำกัดจำนวน แต่คนที่จะได้สิทธิ์คนละครึ่งก็มีงบประมาณจำกัด ต้องหาวิธีที่ต้องมีคนต้องการและได้สิทธิ์นั้น คนที่ได้สิทธิ์ทางอื่นอยู่แล้วก็ไม่ควรได้ การลงทะเบียนอาจไม่เป็นธรรมกับบางคน แต่ก็เป็นวิธีที่กระจายมากที่สุด มีคนทุกวัยทุกท้องที่กระจายกันอยู่ ในอนาคตเมื่อรัฐมีข้อมูลของประชาชนถูกต้องมากขึ้น ก็อาจมีวิธีการที่กระจายได้ดีกว่านี้ แต่การพูดว่าแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาลเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจและเป็นการทำให้โครงการที่ได้ประโยชน์แบบนี้ถูกมองเป็นลบมากขึ้น"

"การลงทะเบียนที่ผ่านมามีปัญหาเรื่อง การส่ง SMS ซึ่งรู้ว่าเป็นข้อจำกัด ในอนาคตอาจไม่ต้องมี แต่การบอกว่า NET ไม่ดี เสียเปรียบ คนจนเสียเปรียบ ก็ต้องลองไปดูว่าคนลงทะเบียนได้เป็นคนประเภทไหนบ้าง คนรวยลงได้มากกว่าจริงหรือ การที่จะพัฒนาโครงการดีๆ แบบนี้ ไม่รั่วไหลให้นักการเมือง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ในบ้านเรา ไม่เข้าใจว่าคนที่คิดว่า แย่งกันเหมือนขอทานมีความคิดอย่างไร และหากงบรัฐมีจำกัด มีข้อเสนอแนะอย่างไรที่เป็นธรรมและกระจายได้มากที่สุด"

ททท. เคาะ 9 เส้นทางคนโสดเที่ยวทั่วประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ‘โสดสายมู - โสดสายแซ่บ - โสดสายชิลล์’ ดีเดย์ 15 ธันวาคม ปูพรม ‘จอง’ ทริปสลัดคาน

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และแอปพลิเคชัน Tinder ทำเส้นทางคนโสด ซิงเกิล เจอร์นี่ย์ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โสดซีซั่นทั่วประเทศ 9 เส้นทาง คือ

.

1.) แม่ฮ่องสอน

2.) เชียงใหม่

3.) เชียงราย

4.) ลพบุรี-สระบุรี

5.) อุดรธานี-เลย ชุมพร-สุราษฎร์ธานี

6.) ภูเก็ต

7.) พัทยา

8.) พระนครศรีอยุธยา

9.) และกรุงเทพฯ

.

โดยนำร่อง 3 เส้นทาง คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก, โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก และโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

.

สำหรับเส้นทางนำร่องแรก คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก โดยททท. ร่วมกับบริษัท แกรนด์เพิร์ล จำกัด จัดทริปล่องเรือ ขอพร ไหว้พระ 9 วัด กับหมอช้าง “ทศพร ศรีตุลา” เล่าถึงเคล็ดลับการไหว้พระขอพร และดินเนอร์กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จำนวนจำกัด 100 คน ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถลุ้นเข้าร่วมทริปผ่านกิจกรรมของพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ได้แก่  แฟนเพจ Sneakout แอปพลิเคชัน Tinder

ส่วนเส้นทางที่ 2 โสดสายแซ่บ เกาะลับไม่ห่างรัก ร่วมกับ เลิฟ อันดามัน จัดปาร์ตี้ริมทะเล ชมคอนเสิร์ต ณ เกาะไข่ จังหวัดภูเก็ต ราคาพิเศษ 222 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 9 ม.ค.64 และเส้นทางโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปิดโบกี้รถไฟลอยน้ำ เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี (วันเดียวกลับ) ชมวิว ถ่ายรูป และรับประทานอาหารกลางเขื่อน ราคาพิเศษ 555 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2564

4 ปัจจัยที่แท้ทรู!! มุมมองใหม่ "คนรวย" ยุค 2021 เมื่อ "คนมีทรัพย์" จะไม่ใช่คนที่มีเงินสดเยอะอีกต่อไป

ในอดีตการออมหรือการเอาเงินไปฝากธนาคาร เพื่อให้เงินในบัญชีมีมากๆ พอมีมากๆ ก็เท่ากับมีเงินสดเยอะ พอมีเงินสดเยอะ ใคร ๆ ก็บอกว่า "รวย"

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่เงินเยอะ อาจจะไม่ถูกเรียกว่าคนรวยอีกต่อไปก็ได้

ลองย้อนไปมองดูปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดไปเรื่อย ๆ ทั้งที่โควิดก็ยังอยู่ แม้เศรษฐกิจตกต่ำก็ยังไม่ลดลงแบบบ้าคลั่งตามสถานการณ์ที่ร้ายแรง

เหตุผลของเรื่องนี้เป็นเพราะระบบการเงินในโลกหลาย ๆ ส่วนเริ่ม "รวน"

ฉะนั้นการมองว่า "เงิน" คือสินทรัพย์ที่ต้องเกาะเอาไว้กับตัวแล้ว "มั่งคั่ง - ร่ำรวย" อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมดอีกต่อไป

แล้วสินทรัพย์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ ความปลอดภัยและยกระดับให้เกิดความมั่งคั่ง จนถึงขั้นเรียกว่า "รวย" สไตล์ใหม่ได้บ้าง?

มีอยู่ 4 ปัจจัยง่าย ๆ แต่ไม่รู้ทำได้ง่ายไหมมาแนะนำ!!

ปัจจัยแรก "จับสินทรัพย์ถูกตัว"

สังเกตได้จาก "การพิมพ์เงิน" อย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลโลก ส่งผลให้ "เงินลดมูลค่า" ของตัวเองลง แต่สิ่งที่ตามมา คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ราคาขึ้น หมายความว่า คนที่จะรวยมหาศาลในยุคนี้ ก็คือ คนที่จับสินทรัพย์ถูกตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หุ้น หรือแม้แต่เงินดิจิทัล และ กล้าที่จะถือผ่านความผันผวนของราคา ที่เรียกว่า "อดทนรวย" นั่นแหละ

ปัจจัยที่ 2 คือ "หาเงินเก่ง ไม่สำคัญเท่าลงทุนเป็น"

เพราะภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ส่งผลให้หาเงินยาก คู่แข่งเยอะ แต่ในด้านการลงทุน ถ้าถูกตัว ถูกจังหวะ มันจะเติบโตแบบไม่คิดชีวิต "ขึ้นแหลก!!" เห็นได้จากปรากฏการณ์หุ้น Tesla ที่ทำให้ Elon Musk ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ธุรกิจยังไม่ได้ทำเงินมหาศาลเลย

ปัจจัยที่ 3 "สินทรัพย์เสี่ยง น่าลงทุนกว่าสินทรัพย์ไม่เสี่ยง"

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ วิ่งหาความชัวร์ ความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งกันซื้อ จนราคาแพง บางครั้งแทบไม่คุ้มที่จะซื้อด้วยซ้ำ ตรงข้ามกัน สินทรัพย์เสี่ยงบางอย่าง กลับถูกเกินความจริง และ สามารถสร้างเศรษฐีได้ในอนาคต

ปัจจัยที่ 4 "ตลาดทุนและการระดมทุน เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น"

เป็นโอกาสการสร้างตัวแบบก้าวกระโดดในยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อหาเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อเข้าตลาดหุ้น สามารถระดมเงินได้มากกว่า โตได้เร็วกว่า ใช้เงินตัวเองน้อยกว่า และ โตได้ไกลกว่า

ที่ว่ามานี้ น่าจะพอให้เห็นภาพว่ากระแสเงินสด อาจจะไม่ได้สรุปถึงคนรวยอีกต่อไป แต่คนรวยในยุคต่อไป อาจจะเป็นคนที่มีสินทรัพย์แห่งอนาคต ที่ผ่านการซื้อสะสมแบบต่อเนื่อง

ในวันที่มูลค่าเงินสดมีแต่ลดลง หากเลือกสินทรัพย์ที่ให้โอกาส เช่น ที่ดิน หุ้น สินทรัพย์แห่งอนาคต เช่น เงินดิจิทัล...เราจะได้อิสรภาพทางการเงินแถมไปด้วย


ที่มา: Pawawit Stock Comment

ที่มาภาพ: https://www.mic.com/articles/180662/smart-things-to-buy-as-an-investment-in-your-future-from-bitcoin-ether-litecoin-and-stocks-to-bonds-and-more

สแกน Motor Expo 2020!! มัดรวมค่ายรถใจนักเลง...บรรเลงเพลงผ่อน 0% Honda - Mazda - Nissan ไม่ตกขบวน

ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง หากจะหารถยนต์ไว้ใช้ซักคัน นอกจากจะเลือกจากรุ่นรถที่ชอบ งบประมาณที่จ่ายไหว อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม คือ "ดอกเบี้ย" เพราะอย่าลืมว่า รถหนึ่งคัน ต้องใช้เวลาผ่อน 4 - 7 ปี ถ้าได้ดอกเบี้ยต่ำ ๆ ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร

...และยิ่งถ้าได้ 'แคมเปญ 0%' พ่วงมาด้วย ก็ยิ่งน่าสนใจไม่น้อย

Motor Expo 2020 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 12 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ มีหลายค่ายที่พาเหรดรถในคลังของตน โดยมีหลายรุ่นที่จัดดอกเบี้ย 0% กันหลายเจ้า ส่วนจะมีค่ายไหนรุ่นใดบ้าง ไปตามดูกัน

เริ่มจากค่าย MAZDA ที่มาพร้อมแคมเปญ 0% เกือบทุกรุ่น ไล่ตั้งแต่รุ่นเล็ก Mazda2, Mazda3, Mazda CX-3, Mazda CX-5, Mazda CX-8 ดอกเบี้ย 0% แถมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี พร้อมขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรอีกด้วย

ขณะที่ค่าย NISSAN จัดแคมเปญ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 0% เช่นกัน ทั้ง NISSAN MARCH, NISSAN NOTE, NISSAN LEAF และNISSAN TERRA และยังมีประกันภัยชั้นหนึ่งแถมให้อีก 1 ปี และ ขับฟรี 90 วัน

มาที่ค่าย HONDA จัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% ในรุ่น All-new Honda Accord Hybrid พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี  หรือ 100,000 กม. รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี, Honda HR-V ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะค่าแรงค่าอะไหล่ 3 ปี  หรือ 50,000 กม.และอีกหนึ่งรุ่น Honda Mobilio ที่ได้ดอกเบี้ย 0% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี ฮอนด้า อัลติเมท แคร์

ด้านค่าย Subaru จัดแคมเปญรุ่น XV ให้อัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือนกันเลยทีเดียว

ส่วนค่าย Mitsubishi ส่งแคมเปญ 0% สำหรับรุ่น Xpander นาน พร้อมฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

ด้านค่ายรถยนต์ยุโรปอย่าง AUDI อัดแคมเปญทั้งราคาลดพิเศษ หรือจะเลือกเป็น ผ่อน 0% 7 ปี ไม่มีบอลลูน สำหรับรุ่น A1, Q2, A8, Q5, Q7 45 TDI quattro, Q8 และ TT Roadster ก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแคมเปญค่ายรถยนต์ที่รวบรวมมาให้เบื้องต้นเท่านั้น หากอยากได้โปรโมชั่นแบบคุ้ม ๆ ทั้งดอกเบี้ยราคาพิเศษ รวมถึงส่วนลดและของแถมอื่น ๆ ยังสามารถต่อรองได้อีก เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาของลูกค้าอย่างแท้จริง เพราะค่ายรถยนต์กำลังจะปิดยอดขายปลายปีพอดี

ตั้งการ์ดท่าไหน? ในยุคโควิด-19 "เฟส 2" บทเรียนอดีตสะท้อนรัฐห้ามปิดเมืองหมด และผู้ประกอบที่ควร "ลดดีกรี" โกยแต่ "รายได้ - กำไร"

ได้เสียววาบ ๆ กันอีกรอบ อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์กันเลยก็เป็นได้ หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 ระลอกใหม่ในไทย ระลอกนี้เริ่มมาจากแดนเหนือ และเริ่มแพร่กระจายแบบไม่รู้จะคุมอยู่แค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ เริ่มเล็ดหลุดมากรุงเทพฯ เรียบร้อย

เรื่องโรคยังไงก็ต้องปล่อยหน้าที่ให้ทางการจัดการไป แต่ถ้าหันกลับมามองในแง่ของธุรกิจที่เหมือนกำลังจะกลับมาจะทำยังไงต่อไป ถ้าโควิด - 19 คัมแบ็คอีกรอบ

ลองมาตั้งสมมติฐานกันดูว่า หากโควิด - 19 กลับมาระบาดรอบสองแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจไทย จะรับมือกันอย่างไรต่อ? และจะยังมีแรงยกการ์ดตั้งรับไหวไหม? ที่สำคัญงวดนี้รัฐบาลควรจะหามาตรการใดมารับมือ?

"หากดูจากบทเรียนล็อกดาวน์รอบแรก"

กุญแจสำคัญของล็อกดาวน์รอบแรก ธุรกิจจะกลับมาดูธุรกิจตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะมีเวลามากขึ้น จากการที่โควิด - 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก โดย 3 เรื่องที่สามารถกลับมานั่งนิ่ง ๆ แล้วทบทวนตัวเอง คือ รายได้ / ต้นทุน และกำไร

     - อย่างรายได้ ถ้าอยากให้กลับมีเหมือนเดิม ก็ต้องเข้ามาดูลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจของเรา ต้องจับไว้ให้มั่น ไม่ใช่จับมันทุกกลุ่มเหมือนก่อนไหม

     - อย่างต้นทุน ถ้าอยากให้ลดลง ก็ต้องทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ไม่จำเป็น ลดลง บางสายงานจำเป็น ไม่จำเป็น ต้องโยกย้ายคนไหม ค่าใช้จ่ายไหน ไม่จำเป็นบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อาจจะต้องตัด

     - อย่างกำไร ถ้าอยากให้มากขึ้น ก็ต้องมีเวลากลับเข้ามาดูว่าธุรกิจส่วนไหนที่เราจะสามารถทำอะไรให้ได้มากขึ้น หรือขยายไปเป็นธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อยุคโควิด - 19 เช่น ร้านอาหาร ก็เปลี่ยนตัวเองจากขายหน้าร้าน มาส่งเดลิเวอรี่อย่างเดียว

ทีนี้ถ้าโควิด -19 รอบ 2 มา แล้วเกิดมันหนักจนรัฐต้องปิดประเทศอีกรอบ บอกเลยว่า...งวดนี้หนักแน่นอน!! เพราะจากข้อมูลในช่วงล็อกดาวน์ที่มีการประเมินจากศูนย์วิจัยต่าง ๆ พบว่า

     - ระบบเศรษฐกิจต้องสูญเสียรายได้ในประเทศประมาณ 1.5 หมื่นล้านต่อวัน

     - เมื่อเอา 30 วันคูณเข้าไป ก็ตก 4.5 แสนล้านต่อเดือน

     - และถ้าเอา 10 เดือนคูณเข้าไป ก็จะสูญเสียไป 4.5 ล้านล้านต่อปี

ฉะนั้นหากเกิดเหตุขึ้นอีก ตัวเลขนี้ก็จะเกิดตาม และจะไม่มีอะไรไปทดแทนได้อีกเลย ถ้าต้องล็อกดาวน์นานมากขนาดนั้น

"รัฐต้องวางหมากให้แม่น" การ์ดที่ภาครัฐต้องตั้ง คือ ดูแลทรัพยากร รวมถึงรายได้ธุรกิจภายในประเทศ หากต้องมีการล็อกดาวน์ ก็ควรล็อกแค่เฉพาะส่วน และปล่อยในบางส่วน เช่น พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในกรุงเทพ อย่าง ราชประสงค์ สยาม เยาวราช สีลม สุขุมวิท หากจะต้องเลือกล็อก ก็ต้องล็อกเฉพาะบางจุดของพื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในพื้นที่นั้น ๆ ไม่ควรปิดทั้งหมด

ขณะเดียวกันต้องเลือกผ่อนปรนบางธุรกิจที่สามารถกระตุ้นภาคการจับจ่ายไว้ด้วย โดยเฉพาะร้านอาหาร เพราะหากปิดทั้งหมด การจะกลับมาแบบเฟสแรกนี่คงยากมาก ๆ ไหนจะในแง่มูลค่าเศรษฐกิจ ไหนจะในเรื่องพนักงาน และคนทำงานด้วย โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขคนตกงานที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด - 19

มีการคาดการณ์ตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 8 ล้านกว่าคน ตัวเลขนี้ไม่ว่าจะชดเชยยังไง ก็ถมกันไม่หมด เพราะไม่ใช่แค่การสูญเสียเชิงมูลค่าเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีการสูญเสียมูลค่าทางใจที่ยากกู้คืนกลับ พูดง่าย ๆ คือ ในประเทศไม่ควรล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ถ้าปิดประเทศ ไม่ให้ต่างประเทศเข้ามา อันนี้ ควรทำ!!

...ทีนี้หันกลับมามองภาคผู้ประกอบธุรกิจจะรับมือไหวไหม ถ้าโควิดระบาดจริง ๆ ?

ในที่นี้มี 3 สิ่งที่อยากให้ผู้ประกอบการลองคิด การตั้งการ์ดของผู้ประกอบการอาจจะเริ่มที่การกลับมาดูแลตัวเองเท่านั้น และในส่วนของ "รายได้" และ "กำไร" คงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ จัดการ "ต้นทุน" ให้เข้ม ต้องกลับมาทำให้องค์กร "ผอม" เพื่อให้ต้นทุนต่ำลง...นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำ!!

ต่อมา...ถ้าผ่านวิกฤตินี้ไปได้ จนไปถึงกลางปีหน้า อาจจะเห็นหลาย ๆ ผู้ประกอบการที่เคยทำธุรกิจหนึ่ง เปลี่ยนไปทำอีกธุรกิจหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ แบบที่บางธุรกิจหันมาทำหน้ากากอนามัยขาย หรือบางธุรกิจ เช่น โรงแรม มาทำอาหารขายไปเลย...นี่คือสิ่งต่อมาที่ควรทำ !!

ต่อมา...ถ้ารอไม่ไหว ต้องหาแรงสนับสนุน ผู้ประกอบการธุรกิจหนึ่ง อาจจะต้องร่วมมือกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ลองหันมาดูว่าธุรกิจเรา มีสิ่งไหนเป็นคีย์ซัคเซสที่ทำได้ดี

แล้วสิ่งไหนที่เราทำได้ยากหรือไม่ถนัด แต่ผู้ประกอบการอื่น ๆ มีศักยภาพมากกว่า

แล้วผู้ประกอบการก็ควรต้องหาทางไปร่วมมือกับเขาทันที!!

เช่น เดิมเคยทำอาหารได้อร่อยมาก แต่ไม่มีสายส่งอาหาร หรือไม่มีฐานลูกค้าในพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีวิธีการกระจายไปหาผู้บริโภคได้มากพอ ก็อาจจะต้องไปคุยกับร้านค้าอื่น ที่มีสาขาหลาย ๆ จุด เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น แล้วแบ่งกำไรกัน ต้องจำไว้ว่าเวลาเจอวิกฤติ การร่วมมือ สำคัญมากกว่า การแข่งขัน ท่องไว้...อย่าเห็นแก่ตัวในยามยาก!!…นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ห้ามมองข้าม!!

ช่วงวิกฤติหลายคนมักจะพูดถึงคำว่าโอกาสใหม่ ๆ นั่นก็ใช่!! แต่ไม่ทั้งหมด

เพราะจริงๆ แล้ว โอกาสมันมาจากการเจอนวัตกรรมใหม่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจช่วงนั้น

ต้องหาให้เจอ ต้องดิ้นให้สุด...

ไม่ผิดคาด!! ก๊วนเนชั่นพลัดถิ่น จ่อชิดรั้ว "NEW18" หลังสะพัด "สนธิญาณ" ปิดดีล 800 ล้าน คว้าดิจิทัลทีวีบ้าน "เหตระกูล" ไปครอง

ข่าวที่มั่นอันลงตัวใหม่ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย เริ่มสะพัดหนาหูขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนจะไปจบลงที่ช่อง "NEW18"

ก่อนหน้านี้ สนธิญาณ ได้มีภาพร่วมเฟรมกับอดีตผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี เช่น น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายสันติสุข มะโรงศรี, นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นายธีระ ธัญไพบูลย์, นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์, นายสถาพร เกื้อสกุล และ น.ส.อุบลรัตน์ เถาว์น้อย ที่มีการคาดเดาไปกันว่าจะใช้เพื่อโปรโมตรายการใหม่

โดยอดีตก๊วนเนชั่นทุกคนได้รับคำยืนยันจาก สนธิญาณ ว่า ตอนนี้ได้ช่องรายการที่จะไปผลิตรายการแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนคลับหลายคน

ทั้งนี้ได้มีแรงยันจากโพสต์ข้อความของ เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ ‘เป๊ปซี่’ หัวหน้ากองบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์นิวทีวี ด้วยว่า สนธิญาณ เตรียมแถลงข่าวประกาศเป็นทางการ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดว่าทีมนายสนธิญาณจะมาเริ่มงานกับช่อง NEW18 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ก็มีการสืบถึงความเป็นไปได้ของช่อง สนธิญาณ และก๊วนเนชั่นมือเก๋า กับ NEW18 หลังสื่อออนไลน์ที่ชื่อ The Key News ได้รายงานว่า...

บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด เจ้าของคลื่น NEW18 เผยถึง ผู้บริหารของบริษัทฯ ที่มีการเจรจาตกลงที่จะขายสัมปทานช่อง NEW18 ที่จะเหลือเวลาสัมปทานอีกประมาณ 8 ปี ให้กับกลุ่มของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยการเจรจาที่ผ่านมา หารือกันประมาณ 5 รอบ ในห้วงเวลา 3 สัปดาห์ มีคนกลางที่เป็นผู้เจรจาคือ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ได้เรียกคุณแดง - ประภา เหตระกูล มาหารือโดยตรงกับนายสนธิญาณ เพื่อหาข้อยุติ

เนื่องจากกลุ่มนายสนธิญาณ ได้นำใบเซ็นสั่งซื้อโฆษณาระยะยาวจากบริษัทที่มีชื่อเสียงประมาณ 6 - 7 บริษัท ซึ่งเป็นการการันตีว่า มีรายได้โฆษณาแน่นอน โดยจบที่ตัวเลข 800 กว่าล้านบาท และระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการโอนที่ดิน โอนตึก โอนเครื่องมือ เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ ใหม่

สำหรับบุคลากร ทราบมาว่า ทีมของนายสนธิญาณจะคัดเลือกบุคลากรบางคนมาร่วมงาน อย่างนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ เป๊ปซี่ ก็จะได้ไปจัดรายการใหม่กับทีมนายสนธิญาณ ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด ก็คงต้องมีการเจรจากันต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้รับการสนับสนุนด้านโฆษณาจาก 7 บริษัท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยผู้ให้การสนับสนุนโฆษณาเหล่านี้ไม่กลัวเรื่องการถูกแบนโฆษณา และวางแผนการลงโฆษณาระยะยาว ซึ่งนายสนธิญาณ จะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล และจะออนแอร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2563 เวลา 15.00 น. โดย 2 ชั่วโมงแรกจะเป็นรายการพิเศษ จากนั้นหลัง 17.00 น. เป็นต้นไป จะเข้าสู่ผังรายการปกติ

...บิ๊กเซอร์ไพรซ์จากผู้อาศัยเป็นเจ้าของช่อง!!

สำหรับการเข้ามาสู่ช่องใหม่ของทีมสนธิญาณนั้น มีข่าวมาได้ระยะหนึ่งกับการปักหมุดลงช่อง NEW18 แต่ก็ไม่ถึงขั้นมีมูลข่าวว่าจะทำการซื้อขายช่อง NEW18 ให้ปรากฏชัดนัก

อย่างไรก็ตาม หากมองดูจากผลประกอบการและการขาดทุนสะสมของช่อง NEW18 ดีลนี้ก็ค่อนข้างจะดูสมเหตุสมผล

นั่นก็เพราะ ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด หรือช่อง NEW18 ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของตระกูล "เหตระกูล" เจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น มีตัวเลขขาดทุนสะสมถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2,934.01 ล้านบาท จัดอยู่ในกลุ่มช่องทีวีดิจิทัลที่ขาดทุนมากที่สุดช่องหนึ่ง

.

โดยตัวเลขรายได้ของ NEW18 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

  • พ.ศ.2557 รายได้ 14.20 ล้านบาท
  • พ.ศ.2558 รายได้ 75.21 ล้านบาท
  • พ.ศ.2559 รายได้ 84.25 ล้านบาท
  • พ.ศ.2560 รายได้ 124.30 ล้านบาท
  • พ.ศ.2561 รายได้ 117.63 ล้านบาท
  • พ.ศ.2562 รายได้ 124.20 ล้านบาท

.

หากดูจากจุดนี้ ก็เหมือนว่าทางช่อง NEW18 ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้โฆษณาที่ยังน้อยนิด เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำสถานีแต่ละปี แม้ระยะหลังจะมีแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนได้ดีขึ้นมากก็ตาม

นอกจากนี้แผนการปรับรูปแบบรายการอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องมาเผชิญกับช่วงโควิด-19, การแข่งขันของวงการสื่อที่รุนแรง และพิษเศรษฐกิจต่อเนื่อง จึงอาจจะเป็นการถอยให้ผู้ที่พร้อมกว่ามาปิดดีลนี้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นทางออกในระยะยาวของกลุ่มเหตระกูล

ฉะนั้นการเข้ามาของกลุ่ม นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ที่เชื่อว่าจะมาพร้อมกับแนวข่าวการเมืองเข้มจัดและฐานแฟนคลับที่ชัด น่าจะทำให้ NEW18 มีโอกาสสร้างผลประกอบการในรูปแบบกำไรได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้อย่าง "แบงก์กรุงเทพ" จึงพร้อมเซย์เยส!!

 

5 ตระกูลที่ร่ำรวยสุดในเอเชีย

บลูมเบิร์กเปิดทำเนียบ Top 20ตระกูลรวยที่สุดในเอเชีย ที่สามารถครองความมั่งคั่งรวมกว่า 4.63แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท โดยมีตระกูล "เจียรวนนท์" แห่งอาณาจักรซีพี ผงาดอันดับ 3 แซงหน้าตระกูล "ลี" แห่ง Samsung

.

อันดับที่ 1

ตระกูล "อัมบานี" ของอินเดีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Reliance Industries หรือกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ โทรคมนาคม ค้าปลีก มีเดีย ก่อตั้งโดย "ธีรุไภย อัมบานี"

.

อันดับที่ 2

ตระกูล "กว็อก" แห่งฮ่องกง มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Sun Hung Kai Properties ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของฮ่องกง

.

อันดับที่ 3

ตระกูล "เจียรวนนท์" มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์ธนินท์ หรือซีพี ที่มี "ธนินทร์ เจียรวนนท์" เป็นหัวเรือใหญ่ภายใต้ธุรกิจค้าปลีก อาหาร โทรคมนาคม และช่วงหลังก็ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

.

อันดับที่ 4

ตระกูล "ฮาร์โตโน" ของอินโดนีเซีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ตระกูลนี้ร่ำรวยจากธุรกิจบุหรี่ Djarum ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และการขยายไปสู่ธุรกิจธนาคาร Bank Central Asia

.

อันดับที่ 5

ตระกูล "ลี" แห่งเกาหลีใต้ เจ้าของ Samsung มูลค่าความมั่งคั่ง = 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มต้นกิจการ Samsung ในรูปของบริษัทส่งออกสินค้าผักและปลาในปี พ.ศ.2481 จากนั้นจึงมีการขยายเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการตั้งบริษัท Samsung Electronics ในปี พ.ศ. 2512 จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิพความจำรายใหญ่สุดของโลก

.

รู้หรือไม่?

นอกจากตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ยังมีตระกูล "อยู่วิทยา" และ "จิราธิวัตน์" ติดโผอีกด้วย โดยเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังครองความมั่งคั่งเป็นอันดับ 6 ขณะที่เครือเซ็นทรัลรั้งอันดับที่ 20


ที่มา : https://www.bloomberg.com/features/2020-asia-richest-families/

วิเคราะห์ราคา "ทองคำ" 64 โอกาสพุ่งยังมี!! แม้เลวร้ายสุด ก็ไม่หลุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

แม้ว่าสัปดาห์ก่อน ราคาทองคำ มีการปรับลดลงค่อนข้างมากจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำอาจจะเป็นช่วงขาลงแล้ว

แต่จากราคาทองคำล่าสุดได้ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ได้อีกครั้ง ซึ่งหากมองในแง่เทคนิค แสดงให้เห็นว่า ราคาทองคำยังไม่ถึงกับเป็นช่วงขาลง เพราะเมื่อราคาลงไปแตะ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับมา ส่วนถ้าจะมองเป็นขาลงนั้น ราคาจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

สถานการณ์ราคาทองคำดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ที่ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน

เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสได้เห็นราคาขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในสิ้นปีนี้ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองคำเป็นขาขึ้น มาจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของหลาย ๆ ประเทศ ที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทองคำจำนวนมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี

ดังนั้น แต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินอัดฉีด ซึ่งทุกครั้งที่ทำจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ที่มีการทำ QE จนพบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดลง หลังจากหยุดทำ QE ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับเป็นขาลง ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านี้ เพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองโดยประมาณอยู่ที่ระดับดังกล่าวนั่นเอง

ทางออกธุรกิจเพื่อสังคม!! กู้ที่ไหนไม่ได้...ให้มาออมสิน

แม้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) จะเป็นแนวคิดของการทำธุรกิจที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ

แต่ปัญหาสำคัญที่จะเรียกว่าปัญหาใหญ่เลยก็ว่าได้ของธุรกิจเพื่อสังคม คือ ความยากในการเข้าถึง "แหล่งเงินทุน" ที่จะนำมาใช้ต่อยอดและหมุนเวียนระบบธุรกิจ

เพราะด้วยเป้าหมายของการสร้างธุรกิจ SE โดยธรรมชาติ จะไม่ได้มองในเรื่องผลกำไรมาเป็นอันดับแรก ทางสถาบันการเงินส่วนใหญ่ จึงปล่อยกู้ให้ยาก แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจแนวนี้เติบโตในระยะยาว จึงเป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มี ธนาคารออมสิน ที่กำลังออกมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ ตามนโยบายที่ต้องการเพิ่มบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ขององค์กร

ล่าสุดธนาคารออมสิน ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับโครงการโดยเฉพาะได้แก่ "สินเชื่อธุรกิจ ออมสินขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อต่อเติมซ่อมแซมสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกิจการ" ออกมา

.

โดยสินเชื่อดังกล่าวตอบโจทย์ธุรกิจ SE ดังนี้

  • ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย มีทั้งเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MOR ต่อปี (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995%)
  • ขณะที่เงินกู้ระยะยาวให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปีแรกไม่ต้องชำระเงินต้น คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของธนาคารฯ = 6.150%)

.

เงื่อนไข

  • วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้บุคคลค้ำประกันร่วมกับ บสย.
  • วงเงินกู้ 3-10 ล้านบาท ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้

.

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า "ปัจจุบันทางออมสินได้มีการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมไปแล้วรวมกว่า 17 ล้านบาท และนอกเหนือจากนั้น ทางธนาคารยังได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Social Enterprise Thailand Association: SE Thailand) เพื่อช่วยสนับสนุนบริษัทสมาชิก ทั้งด้านการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ และช่วยสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับกิจการให้สามารถช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top