Friday, 17 May 2024
ECONBIZ

หากจะพูดถึง หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดประจำปี 2563 ถ้าในต่างตลาดประเทศ คนอาจจะโฟกัสไปที่หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า TESLA แต่ถ้าเมืองไทยชั่วโมงนี้ต้องยกให้ DELTA ที่ขี่พายุทะลุฟ้า ราคาทะยานในรอบ 1 ปี ถึง 3,000% !!!

กระแสความร้อนแรงของหุ้น TESLA ที่ทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ นิวไฮ ที่ 695 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น เมื่อวันที่ 18 ธ.ค ที่ผ่านมา ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในรอบปี ที่ 70 เหรียญ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ช่วงที่โควิด -19 เริ่มระบาดและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ TESLA ก็สามารถทะยานขึ้นมาเกือบ 1,000% หรือ 10 เท่าภายในเวลา 9 เดือนอย่างสวยงาม อาจจะไม่ได้สร้างความฮือฮามากนัก

แต่เมื่อย้อน กลับมามองตลาดหุ้นไทย ที่ต้องยกตำแหน่งหุ้นร้อนแรงแห่งปีให้กับหุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ราคาหุ้นพุ่งทะยานอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน จากราคาที่ลงไปต่ำสุดที่ 27 บาท ในระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 13 มีนาคม 63 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปต่ำสุดในรอบปีที่ 969 จุด เช่นกัน

แต่หลังจากนั้น ราคาหุ้น DELTA เริ่มพุ่งทะยานจนขึ้นไปสูงสุดระหว่างชั่วโมงซื้อขายของวันที่ 28 ธันวาคม โดยพุ่งขึ้นไปยืนที่ 838 บาท เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปรากฎการณ์สุดยอดหุ้นแห่งปีที่คนในวงการหุ้นต้องกล่าวถึง

เพราะเมื่อเทียบกับราคาปิด ณ สิ้นปี 2562 กับจุดสูงสุดที่ 838 บาท หุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 784.50 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,466.35% หรือ 14.66 เท่า

แต่ถ้าเทียบกับจุดต่ำสุดที่ 27 บาท หุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 811 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,003.70% หรือ 30.03 เท่ากันเลยทีเดียว

แน่นอนว่า ราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงภายใน 1 ปี สร้างผลตอบแทนถึง 14 เท่า ไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นกันได้ง่าย ๆ ว่ากันว่านักลงทุนบางคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อาจจะได้เห็นปรากฎการณ์ DELTA เป็นหุ้นตัวแรกที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเกินกว่า 1,000% ภายใน 1 ปีก็ได้

สำหรับ DELTA เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2538 โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการระบบกำลังไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุด มีมาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 5.46 แสนล้านบาท (ณ ราคาปิด วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ) และเมื่อคำนวณจากราคาสูงสุด 838 บาท จะมีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 1.04 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่เพียงปตท. เท่านั้น (ปัจจุบัน มาร์เก็ตแคป อันดับ 1 คือ PTT 1.17 ล้านล้านบาท ส่วนอันดับ 2 คือ AOT 8.78 แสนล้าน)

แต่อย่างไรก็ตาม ความร้อนแรงของ DELTA อาจปิดฉากลงแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากวิ่งมาราธอน จนสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ราคา 838 บาท จากนั้นก็ถูกเทขายอย่างหนักกระทั่งราคาร่วงอย่างหนัก โดยราคาปิดล่าสุด ณ วันที่ 29 ธันวาคม 63 ลงมาที่ 438 บาท เมื่อเทียบกับราคาสูงสุด 838 บาท เท่ากับว่าราคาร่วงไปแล้ว 47%

ซึ่งอาจมองได้ว่าราคาหุ้น DELTA อาจจะหมดรอบแล้วก็เป็นได้ เพราะราคาเริ่มสะท้อนความเป็นจริง หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สอบถามไปยังผู้บริหาร DELTA ว่า บริษัทมีพัฒนาการด้านใดเป็นพิเศษที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

และเมื่อได้รับคำตอบจากฝ่ายบริหาร DELTA ที่ส่งเอกสารชี้แจงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ระบุว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการใดที่ส่งผลต่อการซื้อขายหุ้น หลังจากนั้นราคาหุ้น DELTA ก็ดิ่งเหวทันที

อย่างไรก็ตาม การลากราคาหุ้น DELTA และทิ้งดิ่งเหวในครั้งนี้ คงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่พอจะอนุมานได้ว่า เป็นการทำราคาของกองทุนขนาดใหญ่ นั่นหมายถึงกองทุนต่างประเทศ ที่พากันลากขึ้นมา เพราะปีหน้า DELTA จะถูกดันเข้าไปอยู่ในกลุ่ม SET 50 ที่จะทำให้เป็นที่สนใจของกองทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

บทเรียนจากราคาหุ้นที่ร้อนแรงแห่งปี ทั้ง TESLA และ DELTA ทำให้นักลงทุนทั้งมือเก่าและมือใหม่ ได้เรียนรู้ว่า หุ้นที่ขึ้นมาจากพื้นฐานธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนอย่าง TESLA มักจะทำราคาสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและราคาจะไม่ร่วงดิ่งเหว ผิดกับ DELTA ที่ราคาขึ้นอย่างร้อนแรง โดยไม่มีเหตุผลและพื้นฐานทางธุรกิจรองรับ เมื่อถึงจุดที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ราคาจึงสะท้อนให้เห็นดังเช่น 2 วันที่ผ่านมานั่นเอง

Forbes ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ทำรายได้สูงสุดบนYouTube ออกมา โดยผู้ที่ทำรายได้สูงสุดนั่นก็คือ ‘Ryan Kaji’ จากช่อง ‘Ryan’s World’ ที่อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น

คลิปวิดีโอส่วนใหญ่ของ ‘Ryan Kaji’ จะเป็นการเปิดกล่องของเล่น หรือไม่ก็เป็นการเล่าเรื่องราวชวนให้อบอุ่นใจซะมากกว่า ซึ่งคอนเทนต์รูปแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมบนYouTube เลยเอื้อโอกาสที่จะทำรายได้ได้ดีมากขึ้นไปอีก

สำหรับในปีนี้ 2020 นี้ ‘Ryan Kaji’ สามารถทำรายได้ไปกว่า 29.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 885 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่าปีที่ก่อนหน้าที่ทำได้อยู่ที่ 26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


ที่มา: Social Media Today

รู้หรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จใจชีวิตแบบที่ 'รุ่ง' แล้วไม่มีวัน ‘ร่วง’ เขามีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น ถ้าอยากทราบลองไปเรียนรู้กรณีศึกษาของคนเก่ง ที่มักไม่หยุดซ้อม ผ่านเพลงเตะ Bruce Lee นักแสดงภาพยนตร์บู๊ และผู้เชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัวก้องโลกกันดู

คุณคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ เขามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น?

   ...ฉลาดกว่า

   ...พรสวรรค์มากกว่า

   ...หรือเรียนรู้มากกว่า

โดยรวมแล้ว ทั้ง 3 สิ่ง ก็เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จทั้งสิ้น

แต่เอาจริงๆ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วย ‘ลับคม’ ให้กับ 3 สิ่งข้างต้น และก็จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้เหนือยิ่งกว่าการมีแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจาก 3 สิ่งที่ว่ามานี้ นั่นคือ...

     - การฝึกซ้อม -

การฝึกซ้อม พอพูดคำนี้ขึ้นมา หลายคนอาจจะแอบรู้สึกถึงความน่าเบื่อ เพราะมันหมายถึงการต้องทำมาอะไรซ้ำๆ ขัดๆ เกลาๆ กับบางสิ่งที่เราก็ทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง เล่นฟุตบอล ซ้อมวงสวิง ซ้อมพูด หัดนำเสนองาน ซ้อมเล่นเครื่องดนตรี หรือแม้แต่การทำงานงานและการดำเนินธุรกิจของตน

จนสุดท้ายก็มักจะมีคำถามแทรกมาในหัวเสมอว่า ‘จะทำไปเพื่ออะไร’>??? แค่รู้หรือแค่ทำได้แล้ว ก็พอละมิใช่หรือ???

จริงๆ มันก็ใช่นั่นแหละ แต่ทราบไหมว่า คนที่มีความคิดแบบนี้ แบบที่ว่า “ก็รู้แล้ว ทำเป็นแล้ว แค่นี้เอง” อาจจะไม่สามารถไปไหนได้ไกลมากกว่าจุดที่ตัวเองยืน

   - ถ้าเป็นนักฟุตบอลก็รุ่งแค่ปี 2 ปีแล้วก็ดับ

   - ถ้าเป็นนักดนตรีออกอัลบั้มมาครั้ง 2 ครั้งก็จอด

   - ถ้าเป็นเชฟปรุงอาหารรสชาติก็จะผิดเพี้ยนและมีแต่เลวลงๆ

สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรได้ หรือทำอะไรเป็น แต่ถ้าคุณไม่ ‘ซ้อม’ หรือไม่หมั่น ‘ฝึกฝน’ สิ่งที่คุณทำได้ทำเป็นอย่างสม่ำเสมอ มันก็ไม่ต่างอะไรกับมีดที่รอวันทื่อและสนิมเกาะ จนสุดท้ายจะไม่สามารถนำไปฟาดฟันกับใครได้เลย

คุณรู้จัก Bruce Lee (บรูซ ลี) กันหรือไม่?

Bruce Lee นักแสดงภาพยนตร์บู๊ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัว นักสร้างภาพยนตร์ชื่อก้องโลกอย่างเรื่อง Enter the Dragon (ไอ้หนุ่มซินตึ้ง มังกรประจัญบาน) หรือ Fist of Fury (คนเล็กต้องใหญ่) ชายผู้มีชื่อก้องที่โลกแม้แต่ใครที่ไม่เคยได้ดูหนังของเขา อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา

แม้ Bruce Lee จะเป็นคนดัง และเป็นคนที่เก่งด้านศิลปะป้องกันตัว แต่เชื่อไหมว่าเขาไม่เคยที่จะหยุดซ้อมในสิ่งที่เขาถนัดเลยตลอดชั่วชีวิต เขาสนใจแต่การฝึกในสิ่งที่ตนทำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เตะมากขึ้น ต่อยมากขึ้น

สิ่งที่ปรากฎแก่ตัว Bruce Lee ผู้ไม่เคยทะนงตนและละเลยในการฝึกซ้อม จึงเป็นพรมแดงที่คนทั่วโลกกางให้เดินในฐานะ ‘ตัวจริง’

Bruce Lee เคยกล่าวไว้ว่า การฝึกซ้อมคือ เส้นแบ่งระหว่าง ‘มือสมัครเล่น’ และ ‘ตัวจริง’ และเขาก็เคยกล่าวเป็นคำคมให้คนทั้งโลกต้องจดจำด้วยว่า “ผมไม่เคยกลัวคนเก่ง แต่ผมกลัวคนที่หมั่นฝึกซ้อม เพราะคนที่ซ้อมเตะท่าเดียว 10,000 ครั้งนั้น น่ากลัวกว่าคนที่ซ้อมเตะ 10,000 ท่า ในครั้งเดียวมากนัก”

มีผลวิจัยหนึ่งในปี 1993 ที่สะท้อนให้เห็นถึงการฝึกซ้อมแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้ส่งผลต่อความเป็นมืออาชีพหรือมือสมัครเล่นได้มากกว่า 80% โดยผลวิจัยนี้ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นแนวคิด ‘ฝึก 10,000 ชั่วโมง’ ของ Malcolm Gladwell ที่ว่า ‘หากอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน ให้ทำสิ่งเหล่านั้นซ้ำๆ 10,000 ชั่วโมง’ นั่นเอง

...การฝึกซ้อม อาจจะไม่ใช่เทคนิคอันเลิศล้ำ

...แต่การฝึกซ้อม คือ เทคนิคที่ีทำให้ใครก็ตามคุณไม่ทัน

เพราะทุกๆ ครั้งที่ฝึกซ้อม จะช่วยให้เราก้าวข้ามมากกว่าการคุ้นชิน แต่การฝึกซ้อม คือ การฝังทักษะบางอย่างลงไปสู่ร่างกายและสมองให้เรียกออกมาใช้งานได้โดยอัตโนมัติเมื่อต้องการ โดยทักษะใดๆ ก็ตามที่ถูกบ่มซ้อมมากขึ้นๆ ก็จะกลายเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณกันเลยทีเดียว

ฉะนั้นหากกล่าวโดยสรุปแล้ว ‘การฝึกซ้อม’ ถือเป็นการเตรียมพร้อมตัวเราให้พร้อมต่อห้วงเวลาที่ต้องใช้ ‘ทักษะ’ ต่างๆ ที่มีอยู่ออกมาใช้ แม้จะต้องเจอภาวะ ‘กดดัน’ ก็ไม่เกรง

ลองหาคำตอบดูให้ดีว่า ทำไมการไม่หยุดซ้อม และลับคมตนอย่างสม่ำเสมอ จึงน่ากลัวกว่าใครๆ หน้าไหน!!

Toyota เตรียมปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ แม้ประธานใหญ่จะเคย ‘ซัด’ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน ‘สร้างมลพิษ’

ช่วงหลังๆ ที่ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Toyota ออกมาพูดในเวทีต่างๆ นั้น ม้กจะได้เห็นวิวาทะเชิงตำหนินโยบายห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

อีกทั้งยังบอกอีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนสร้างมลพิษมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงจากแหล่งที่มาของไฟฟ้าในบางพื้นที่ ล้วนมาจากก๊าซ และถ่านหิน ดังนั้นรัฐบาลทุกประเทศต้องกลับไปทบทวนว่าการใช้นโยบายลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่หากนำสมมติฐานดังกล่าวมาวิเคราะห์จะพบว่า เรื่องดังกล่าวไม่จริง เพราะแหล่งที่มาของไฟฟ้ามีหลากหลาย และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปล่อยมลพิษออกมามากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ยังขับเคลื่อนนโยบายลักษณะนี้ต่อไป โอกาสที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์จะล่มสลายก็มีสูง นอกจากนี้ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ายังราคาค่อนข้างสูง การผลักดันให้ผู้บริโภคไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ

แต่จนแล้วจนรอด ข้ออ้างต่างๆ นานา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ Toyota ตกขบวนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยตอนนี้ก็เริ่มเห็นการกลืนน้ำลายและพ่นน้ำลายออกมาในเวลาเดียวกันของ Toyota เลยก็ว่าได้ เนื่องจากล่าสุดทางToyota ก็ได้ปล่อยโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกมาให้คนได้รับรู้ถึงการยืนในสนามรถไฟฟ้าของพี่ใหญ่แห่งวงการยานยนต์

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับชื่อรุ่น แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของ Toyota จะมาในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ Ultracompact Car มีทั้งหมด 2 ที่นั่ง ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion วิ่งได้ราว 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม โดยปรับปรุงเพื่อเหมาะสมกับการวิ่งบนภูเขา รวมถึงในเมือง

ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นดังกล่าวยังออกแบบให้เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มผู้สูงอายุที่ปกติจะขับรถยนต์ขนาดเล็กกลุ่ม Kei Car เดินทางไปที่ต่างๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับรถยนต์เป็นครั้งแรก โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเริ่มทำตลาดในปี 2021 ราคาราว 1.6-1.7 ล้านเยน (ราว 4.5 แสนบาท) เน้นทำตลาดในระดับองค์กร และหน่วยงานรัฐก่อน ส่วนการทำตลาดในกลุ่มบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2022

สำหรับเป้าหมายในเบื้องต้น Toyota นั้น ได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 100 คันกับกลุ่มลูกค้าองค์กร และหน่วยงานรัฐ ซึ่งหากมองจากการออกมาเปิดตัวครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะ Toyota ถูกกดดันจากหน่วยงานภาครัฐที่อยากให้ Toyota พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กรูปแบบใหม่มาทดแทนรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้น้ำมัน สอดรับกับแผนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อยากให้มีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ที่หลังๆ เริ่มถูกจีนเข้าไปจับจองในหลายๆ ตลาดทั่วโลก รวมถึง Tesla ที่มีมูลค่าบริษัทแซง Toyota ไปอย่างน่าเจ็บใจ

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ Toyota หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากนั้น น่าจะมาจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในหลายๆ มลรัฐของสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎเกณฑ์ในเรื่องของมลพิษจนกลายเป็นแนวคิดต้นทางในการทบทวนมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์ไปทั่วโลก รวมถึงจีนเองก็พยายามในการผลักดันให้เพิ่มจำนวนการใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าทางประธาน Toyota ก็คงจะยังไม่ทิ้งและจะยังมุ่งเน้นไปยังกลุ่มรถยนต์สาย Hybrid และ Fuel-Cell อยู่เหมือนเดิม

อ้างอิง: Nikkei Asia / Toyota

เรียกว่าต้องหักกันชั่วคราว สำหรับ ‘ลาว’ กับ ‘ไทย’ หลังจากโควิดสมุทรสาคร ‘ทำพิษ’ จนทำให้ทางประเทศลาว มีคำสั่งชัดในการห้ามนำเข้าอาหารทะเลสด - แช่แข็งของไทยชั่วคราว

ก่อนหน้านี้รายงานจาก ลาวโพส สื่อท้องถิ่นประจำประเทศลาว ได้รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่มี สมจิด อินทะมิด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้ลงนามในหนังสือด่วน ถึงกรมภาษี กระทรวงการเงิน กรมอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงด่านชายแดนระหว่างลาว-ไทย เกี่ยวกับเรื่อง ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภท จากราชอาณาจักรไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

1.) ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสด และแช่แข็ง ที่นำเข้ามาจากราชอาณาจักรไทย

2.) มาตรการห้ามนำเข้านี้ เป็นมาตรการชั่วคราว และจะมีผลบังคับใช้จนกว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว และราชอาณาจักรไทย จะสามารถปรึกษาหารือมาตรฐานการตรวจสอบ คัดกรอง และยืนยันถึงความปลอดภัยของอาหารทะเลที่ส่งออกจากราชอาณาจักรไทย ว่าไม่พบการเจือปนของเชื้อโควิด

3.) มอบให้กรมอาหารและยา เป็นเจ้าภาพ สมทบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของลาวและไทย ค้นคว้าหามาตรการการแก้ไขตามที่ระบุไว้ในข้อ 2

ส่วนโอกาสที่จะกลับมาค้าขายกันอีกนั้น ก็คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่ของลาวและไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะร่วมกันหาหนทางตรวจสอบ คัดกรอง และรับรองความปลอดภัยของอาหารทะเลที่มาจากไทยได้ว่าไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ได้แบบ 100%

ล่าสุด ‘โควิดสมุทรสาคร’ ก็ทำให้ทางการลาว ตัดสินใจเด็ดขาด ‘ห้ามนำเข้าอาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภทไทยชั่วคราว’

ล่าสุด!! หนุ่มโคราชได้รายงานข้อมูลด่วนจากแหล่งข่าวในระดับเชื่อถือได้ว่า ‘กระทรวงพาณิชย์ลาว’ จะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีของอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย ที่ทางภาครัฐบาลไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว จนทางการลาวไทยเปลี่ยนคำสั่งยกเลิกห้ามนำเข้า ‘อาหารทะเลสด - แช่แข็งจากไทย’ ได้อย่างรวดเร็ว

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

รู้ไหม Apple จะไม่ได้มีขายแค่สมาร์ทโฟนอีกต่อไป นั่นก็เพราะภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Titan ซึ่งถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 ได้วางแผนที่จะสร้าง Apple Car อย่างจริงจัง

โดยรายงานจาก Reuters ได้เผยว่า Apple กำลังกลับมาจริงจังกับโครงการนี้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ Apple Car ให้ได้ภายในปี 2024 

สำหรับเป้าหมายของการผลิตรถยนต์ Apple Car คือ มุ่งสู่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ตลาดขนส่งมวลชน หรือสาธารณะ เหมือนกับคู่แข่ง เช่น บริษัท Waymo ของ Alphabet (Google) ซึ่งต้องการสร้างแท็กซี่ ที่ให้บริการแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือไร้คนขับ

จุดเด่นหลัก ๆ ของ Apple Car คือเรื่องของ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ได้ถูกออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด และจะทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ให้ได้
 
นั่นจึงทำให้ Apple พยายามตรวจสอบหาแนวทางในการใช้ แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (LFP) ที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยกว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประเภทอื่นๆ

ทั้งนี้ Apple กำลังพิจารณาเลือกพันธมิตรภายนอก เพื่อมาร่วมสร้างและผลิต Apple Car เช่น ผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ที่ช่วยให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทำงานได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจจับภาพแบบ 3 มิติ ได้รอบคัน

แน่นอนว่าพอมีข่าวนี้ออกมา ราคาหุ้นของผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Velodyne Lidar ก็เลยพุ่งขึ้นเกือบ 23% และ Luminar พุ่งขึ้นกว่า 27% หลังจากมีข่าวว่า Apple กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ทางด้านนี้

ทั้งนี้ หนึ่งในความท้าทายที่สุดของ Project Titan คือ การผลิตตัวรถยนต์เป็นจำนวนมาก เพราะทาง Apple ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน และตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ใครจะเป็นพันธมิตรของ Apple ในการทำหน้าที่ประกอบรถยนต์ Apple Car

ก็ต้องนับถอยหลังกันดูว่าในอีกราวไม่เกิน 4 ปี (2024) Apple จะสามารถผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ออกสู่ตลาดได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ละกัน

 

รายงานทางเศรษฐกิจของบลูมเบิร์ก ยกไทยขึ้นที่ 1 ตลาดเกิดใหม่น่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ ที่อาจทำได้ดีเกินคาดในปี 2564

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์เศรษฐกิจของ 17 ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ปี 2564 โดยใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งในนั้นมีการจัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่อันดับที่ 1

เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง (8.2 ล้านล้านบาท) และมีโอกาสอย่างมากที่จะเกิดการไหลเข้าของเงินทุนที่มีศักยภาพสูง (Portfolio inflows) ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางการเงินอื่นๆ

แม้จะมีข้อมูลตารางชี้ชัดของไทยถึงอันดับที่ไม่ดีนักในเรื่องของการล็อกดาวน์ ที่อาจส่งผลต่อความคล่องตัวต่างๆ รวมถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่แย่ที่สุด (3.9%) รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ค่อนข้างสูง (41%) เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่นำมาจัดอันดับ แต่ก็เป็นส่วนที่ต้องคอยจับตาดูเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงเท่านั้น

ขณะที่รัสเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่แม้จะมีสัดส่วนหนี้ต่ำมาก แต่อัตราการเติบโตของ GDP นั้นแย่กว่าไทยเล็กน้อย ส่วนอันดับ 3 ร่วมคือเกาหลีใต้และไต้หวัน

ส่วนอันดับรองสุดท้ายบราซิล ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุด (89%) และอันดับสุดท้ายคือจีน โดยให้เหตุผลว่า ได้รับการคาดหวังที่สูงมากอยู่แล้ว

ส่วนความกังวลอีกเรื่องคือการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ที่หลายประเทศอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในด้านการกระจายวัคซีน และหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือที่ก่อนหน้านี้เรียกว่าตลาดกำลังพัฒนา ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก

รายงานของบลูมเบิร์กฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยนำตัวชี้วัดต่างๆ ของ 17 ประเทศมาวิเคราะห์ถึงการเติบโตในปีหน้า โดยตัวชี้วัดเหล่านั้นได้มาจากทั้งการคำนวณของบลูมเบิร์กเอง รวมถึงองค์กรระดับนานาชาติอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และบริษัทเอกชนอย่าง Goldman Sachs และ Barclays ซึ่งท้ายรายงานระบุว่า เป็นความเห็นจากนักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กที่พิจารณาจากปัจจัยที่นำมาคำนวณเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ที่สามารถป้องกันแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกได้ดี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

ดังนั้น มูลค่าตลาดและผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดเกิดใหม่ จึงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และจะเป็นตัวช่วยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี


ที่มา : https://www.bloomberg.com/graphics/2020-emerging-markets-recovery-ranking

สำนักข่าวชื่อดังของโลกจากสหรัฐเมริกาอย่าง ‘CNN’ ตามติดนโยบายโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" คนเดียวก็เที่ยวได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและเชิญชวนให้เดินทางท่องเที่ยวตามสไตล์คนโสด 9 เส้นทางทั่วประเทศ

โดย CNN เผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และ "แอพพลิเคชัน Tinder" จัดทำโครงการ เส้นทางคนโสด ‘Single Journey’ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โดยนำร่อง 9 เส้นทางภาคเหนือ โดยได้เริ่มต้น 3 เส้นทางก่อน ได้แก่

1.)เส้นทางคนโสดสายมู เป็นการล่องเรือ ไหว้พระ หารัก

2.)โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก

และ 3.) โสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

ทั้งนี้ช่องทางเปิดจองให้แก่ผู้ที่สนใจนั้นจะต้องลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

1.)https://sneaksdeal.com/singlejourney

2.)www.tourismthailand.org

และ 3.)Line Official @singlejourney

ความน่าสนใจของโครงการดังกล่าว ทำให้หลายทริปปิดดีลได้อย่างว่องไว โดยในส่วนของดีลคนโสดที่เปิดขายผ่านเว็บไซต์ https://sneaksdeal.com/singlejourney นั้น หลายทัวร์ได้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว เช่น ทริป Secret Island ทัวร์เกาะไข่ จ.ภูเก็ต ราคา 222 บาท ขายแล้วครบ 50 คน , รถไฟขบวนสุดท้าย 1 Day trip รถไฟลอยน้ำ 23 มกราคม ราคา 555 บาท ขายครบแล้ว 50 คน และ Secret Island เกาะลับไม่ห่างรัก 9 มกราคม พ.ศ.2564 ราคา 799 บาท โดยยังเหลือทริป Romantic พัทยา ล่องเรือยอชท์ จอดเรือรัก ราคา 2,888 บาท ซึ่งคงมีขายอยู่

ก็เรียกว่าโครงการนี้ดูจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนสำนักข่าว CNN ยังมีการการตั้งถามต่อท้ายว่า "หากคู่รักนัดพบรักกันระหว่างการเดินทางครั้งใดครั้งหนึ่ง ทางการท่องเที่ยวจะสนับสนุนฮันนีมูนในอนาคตของพวกเขาด้วยหรือไม่?"

แหม่!! อันนี้คงตอบยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนอยากให้มีภาคต่อ ซึ่งก็คงต้องตามดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเป้าหมายนั้น คาดว่าโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" จะทำให้เกิดการเดินทาง 7 ล้านคนต่อครั้ง ในช่วง 3 เดือนและเกิดเงินหมุนเวียนราว 100 ล้านบาทกันเลยทีเดียว


อ้างอิง: CNN

https://edition.cnn.com/travel/article/thailand-tinder-single-journey-intl-hnk/index.html

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการรายงานถึงงานวิจัยของเด็กไทยในกรุงลอนดอน ที่ทำการวิจัยโดยใช้ ‘ขนไก่’ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร มาแปรรูปทำอาหารรสชาติระดับมิชลินสตาร์

โดยตามรายงานระบุว่า เด็กไทยดังกล่าวชื่อ ‘ศรวุฒิ กิตติบัณฑร’ อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโทสาขา Material Futuresในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังหาทุนเพื่อเดินหน้าทำวิจัยหาวิธีการแปรรูปส่วนประกอบสารอาหารที่พบใน ‘ขนไก่’ มาทำเป็นผงที่สามารถนำไปผลิตเป็นอาหารแท่งโปรตีนแบบไร้ไขมันที่กินได้

ศรวุฒิ เล่าว่า “ขนไก่มีโปรตีน และหากสามารถนำโปรตีนเหล่านี้มาทำอาหารให้ชาวโลกได้ จะช่วยลดขยะลงได้มาก โดยปัจจุบันในภูมิภาคยุโรปที่เดียวมีการทิ้งขนไก่จำนวนมากถึง 2.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคสัตว์ปีกเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าจะมีขยะขนไก่มากกว่าในยุโรปถึง 30%

สำหรับขนไก่ที่ศรวุฒินำไปแปรรูปเป็นอาหารต้นแบบนั้น มีทั้งสเต็ก และนักเก็ตไก่ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้ทดลองชิม ที่สัมผัสได้ถึงความซับซ้อน และไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหารใดๆ ได้ แต่เมื่ออาหารตัวอย่างถูกนำไปปรุง เช่น สเต็ก ก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าราวกับเป็นอาหารจาก ‘ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์’ กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าไอเดียขนไก่แปรรูปนี้ เป็นอีกการต่อยอดแนวคิดแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจที่กำลังได้รับการศึกษาวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ มีเนื้อที่ผลิตจากโปรตีนพืชสำหรับกลุ่มวีแกนออกมากันบ้าง

อย่างไรก็ตาม อาหารจากขนไก่ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอาหารจากสัตว์ คนกินมังสวิรัติหรือทานเจ อาจศีลขาดได้...


ที่มา:

https://www.huffpost.com/entry/chicken-feathers-food-source_n_5fda3666c5b610200986d053?fbclid=IwAR19NVebfdMUm_irXy4u55Gh6JnpVygLMYWdBg9sPCS_Lk8RbGVQ0CoWF9E

คงต้องยอมรับว่าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ที่ปิดรับลงทะเบียนไปเรียบร้อยภายในเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เป็นตัวการันตีว่าโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายภาครัฐที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ย่อมมีทั้งคนที่สมหวังและไม่สมหวังในการได้รับสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ไม่สมหวัง รวมถึงผู้ที่อาจจะตั้งเป้าโจมตีนโยบายดังกล่าวแบบไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่เชื่อได้ว่าเฟสต่อ ๆ ไปของโครงการนี้จะต้องตามติดออกมาอีกแน่นอน

ทั้งนี้จากเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chao Jiranuntarat" หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้โพสต์ข้อความหนึ่งออกมาเตือนสติได้อย่างน่าสนใจว่า...

"ปุจฉา: "#คนละครึ่ง ควรเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาล"

"วิสัชนา: สิทธิ์คนจน รัฐควรให้ทุกคนที่เข้าข่าย สวัสดิการของรัฐ รัฐควรให้ขั้นต่ำ แต่คนละครึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ร้านเล็กๆ ไม่ให้ ร้านใหญ่เข้าร่วม และทุกร้านที่เข้าร่วมไม่ได้จำกัดจำนวน แต่คนที่จะได้สิทธิ์คนละครึ่งก็มีงบประมาณจำกัด ต้องหาวิธีที่ต้องมีคนต้องการและได้สิทธิ์นั้น คนที่ได้สิทธิ์ทางอื่นอยู่แล้วก็ไม่ควรได้ การลงทะเบียนอาจไม่เป็นธรรมกับบางคน แต่ก็เป็นวิธีที่กระจายมากที่สุด มีคนทุกวัยทุกท้องที่กระจายกันอยู่ ในอนาคตเมื่อรัฐมีข้อมูลของประชาชนถูกต้องมากขึ้น ก็อาจมีวิธีการที่กระจายได้ดีกว่านี้ แต่การพูดว่าแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาลเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจและเป็นการทำให้โครงการที่ได้ประโยชน์แบบนี้ถูกมองเป็นลบมากขึ้น"

"การลงทะเบียนที่ผ่านมามีปัญหาเรื่อง การส่ง SMS ซึ่งรู้ว่าเป็นข้อจำกัด ในอนาคตอาจไม่ต้องมี แต่การบอกว่า NET ไม่ดี เสียเปรียบ คนจนเสียเปรียบ ก็ต้องลองไปดูว่าคนลงทะเบียนได้เป็นคนประเภทไหนบ้าง คนรวยลงได้มากกว่าจริงหรือ การที่จะพัฒนาโครงการดีๆ แบบนี้ ไม่รั่วไหลให้นักการเมือง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ในบ้านเรา ไม่เข้าใจว่าคนที่คิดว่า แย่งกันเหมือนขอทานมีความคิดอย่างไร และหากงบรัฐมีจำกัด มีข้อเสนอแนะอย่างไรที่เป็นธรรมและกระจายได้มากที่สุด"

ททท. เคาะ 9 เส้นทางคนโสดเที่ยวทั่วประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ‘โสดสายมู - โสดสายแซ่บ - โสดสายชิลล์’ ดีเดย์ 15 ธันวาคม ปูพรม ‘จอง’ ทริปสลัดคาน

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และแอปพลิเคชัน Tinder ทำเส้นทางคนโสด ซิงเกิล เจอร์นี่ย์ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โสดซีซั่นทั่วประเทศ 9 เส้นทาง คือ

.

1.) แม่ฮ่องสอน

2.) เชียงใหม่

3.) เชียงราย

4.) ลพบุรี-สระบุรี

5.) อุดรธานี-เลย ชุมพร-สุราษฎร์ธานี

6.) ภูเก็ต

7.) พัทยา

8.) พระนครศรีอยุธยา

9.) และกรุงเทพฯ

.

โดยนำร่อง 3 เส้นทาง คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก, โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก และโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

.

สำหรับเส้นทางนำร่องแรก คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก โดยททท. ร่วมกับบริษัท แกรนด์เพิร์ล จำกัด จัดทริปล่องเรือ ขอพร ไหว้พระ 9 วัด กับหมอช้าง “ทศพร ศรีตุลา” เล่าถึงเคล็ดลับการไหว้พระขอพร และดินเนอร์กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จำนวนจำกัด 100 คน ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถลุ้นเข้าร่วมทริปผ่านกิจกรรมของพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ได้แก่  แฟนเพจ Sneakout แอปพลิเคชัน Tinder

ส่วนเส้นทางที่ 2 โสดสายแซ่บ เกาะลับไม่ห่างรัก ร่วมกับ เลิฟ อันดามัน จัดปาร์ตี้ริมทะเล ชมคอนเสิร์ต ณ เกาะไข่ จังหวัดภูเก็ต ราคาพิเศษ 222 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 9 ม.ค.64 และเส้นทางโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปิดโบกี้รถไฟลอยน้ำ เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี (วันเดียวกลับ) ชมวิว ถ่ายรูป และรับประทานอาหารกลางเขื่อน ราคาพิเศษ 555 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2564

4 ปัจจัยที่แท้ทรู!! มุมมองใหม่ "คนรวย" ยุค 2021 เมื่อ "คนมีทรัพย์" จะไม่ใช่คนที่มีเงินสดเยอะอีกต่อไป

ในอดีตการออมหรือการเอาเงินไปฝากธนาคาร เพื่อให้เงินในบัญชีมีมากๆ พอมีมากๆ ก็เท่ากับมีเงินสดเยอะ พอมีเงินสดเยอะ ใคร ๆ ก็บอกว่า "รวย"

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่เงินเยอะ อาจจะไม่ถูกเรียกว่าคนรวยอีกต่อไปก็ได้

ลองย้อนไปมองดูปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดไปเรื่อย ๆ ทั้งที่โควิดก็ยังอยู่ แม้เศรษฐกิจตกต่ำก็ยังไม่ลดลงแบบบ้าคลั่งตามสถานการณ์ที่ร้ายแรง

เหตุผลของเรื่องนี้เป็นเพราะระบบการเงินในโลกหลาย ๆ ส่วนเริ่ม "รวน"

ฉะนั้นการมองว่า "เงิน" คือสินทรัพย์ที่ต้องเกาะเอาไว้กับตัวแล้ว "มั่งคั่ง - ร่ำรวย" อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมดอีกต่อไป

แล้วสินทรัพย์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ ความปลอดภัยและยกระดับให้เกิดความมั่งคั่ง จนถึงขั้นเรียกว่า "รวย" สไตล์ใหม่ได้บ้าง?

มีอยู่ 4 ปัจจัยง่าย ๆ แต่ไม่รู้ทำได้ง่ายไหมมาแนะนำ!!

ปัจจัยแรก "จับสินทรัพย์ถูกตัว"

สังเกตได้จาก "การพิมพ์เงิน" อย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลโลก ส่งผลให้ "เงินลดมูลค่า" ของตัวเองลง แต่สิ่งที่ตามมา คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ราคาขึ้น หมายความว่า คนที่จะรวยมหาศาลในยุคนี้ ก็คือ คนที่จับสินทรัพย์ถูกตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หุ้น หรือแม้แต่เงินดิจิทัล และ กล้าที่จะถือผ่านความผันผวนของราคา ที่เรียกว่า "อดทนรวย" นั่นแหละ

ปัจจัยที่ 2 คือ "หาเงินเก่ง ไม่สำคัญเท่าลงทุนเป็น"

เพราะภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ส่งผลให้หาเงินยาก คู่แข่งเยอะ แต่ในด้านการลงทุน ถ้าถูกตัว ถูกจังหวะ มันจะเติบโตแบบไม่คิดชีวิต "ขึ้นแหลก!!" เห็นได้จากปรากฏการณ์หุ้น Tesla ที่ทำให้ Elon Musk ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ธุรกิจยังไม่ได้ทำเงินมหาศาลเลย

ปัจจัยที่ 3 "สินทรัพย์เสี่ยง น่าลงทุนกว่าสินทรัพย์ไม่เสี่ยง"

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ วิ่งหาความชัวร์ ความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งกันซื้อ จนราคาแพง บางครั้งแทบไม่คุ้มที่จะซื้อด้วยซ้ำ ตรงข้ามกัน สินทรัพย์เสี่ยงบางอย่าง กลับถูกเกินความจริง และ สามารถสร้างเศรษฐีได้ในอนาคต

ปัจจัยที่ 4 "ตลาดทุนและการระดมทุน เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น"

เป็นโอกาสการสร้างตัวแบบก้าวกระโดดในยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อหาเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อเข้าตลาดหุ้น สามารถระดมเงินได้มากกว่า โตได้เร็วกว่า ใช้เงินตัวเองน้อยกว่า และ โตได้ไกลกว่า

ที่ว่ามานี้ น่าจะพอให้เห็นภาพว่ากระแสเงินสด อาจจะไม่ได้สรุปถึงคนรวยอีกต่อไป แต่คนรวยในยุคต่อไป อาจจะเป็นคนที่มีสินทรัพย์แห่งอนาคต ที่ผ่านการซื้อสะสมแบบต่อเนื่อง

ในวันที่มูลค่าเงินสดมีแต่ลดลง หากเลือกสินทรัพย์ที่ให้โอกาส เช่น ที่ดิน หุ้น สินทรัพย์แห่งอนาคต เช่น เงินดิจิทัล...เราจะได้อิสรภาพทางการเงินแถมไปด้วย


ที่มา: Pawawit Stock Comment

ที่มาภาพ: https://www.mic.com/articles/180662/smart-things-to-buy-as-an-investment-in-your-future-from-bitcoin-ether-litecoin-and-stocks-to-bonds-and-more

สแกน Motor Expo 2020!! มัดรวมค่ายรถใจนักเลง...บรรเลงเพลงผ่อน 0% Honda - Mazda - Nissan ไม่ตกขบวน

ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง หากจะหารถยนต์ไว้ใช้ซักคัน นอกจากจะเลือกจากรุ่นรถที่ชอบ งบประมาณที่จ่ายไหว อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม คือ "ดอกเบี้ย" เพราะอย่าลืมว่า รถหนึ่งคัน ต้องใช้เวลาผ่อน 4 - 7 ปี ถ้าได้ดอกเบี้ยต่ำ ๆ ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร

...และยิ่งถ้าได้ 'แคมเปญ 0%' พ่วงมาด้วย ก็ยิ่งน่าสนใจไม่น้อย

Motor Expo 2020 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 12 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ มีหลายค่ายที่พาเหรดรถในคลังของตน โดยมีหลายรุ่นที่จัดดอกเบี้ย 0% กันหลายเจ้า ส่วนจะมีค่ายไหนรุ่นใดบ้าง ไปตามดูกัน

เริ่มจากค่าย MAZDA ที่มาพร้อมแคมเปญ 0% เกือบทุกรุ่น ไล่ตั้งแต่รุ่นเล็ก Mazda2, Mazda3, Mazda CX-3, Mazda CX-5, Mazda CX-8 ดอกเบี้ย 0% แถมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี พร้อมขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรอีกด้วย

ขณะที่ค่าย NISSAN จัดแคมเปญ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 0% เช่นกัน ทั้ง NISSAN MARCH, NISSAN NOTE, NISSAN LEAF และNISSAN TERRA และยังมีประกันภัยชั้นหนึ่งแถมให้อีก 1 ปี และ ขับฟรี 90 วัน

มาที่ค่าย HONDA จัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% ในรุ่น All-new Honda Accord Hybrid พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี  หรือ 100,000 กม. รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี, Honda HR-V ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะค่าแรงค่าอะไหล่ 3 ปี  หรือ 50,000 กม.และอีกหนึ่งรุ่น Honda Mobilio ที่ได้ดอกเบี้ย 0% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี ฮอนด้า อัลติเมท แคร์

ด้านค่าย Subaru จัดแคมเปญรุ่น XV ให้อัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือนกันเลยทีเดียว

ส่วนค่าย Mitsubishi ส่งแคมเปญ 0% สำหรับรุ่น Xpander นาน พร้อมฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

ด้านค่ายรถยนต์ยุโรปอย่าง AUDI อัดแคมเปญทั้งราคาลดพิเศษ หรือจะเลือกเป็น ผ่อน 0% 7 ปี ไม่มีบอลลูน สำหรับรุ่น A1, Q2, A8, Q5, Q7 45 TDI quattro, Q8 และ TT Roadster ก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแคมเปญค่ายรถยนต์ที่รวบรวมมาให้เบื้องต้นเท่านั้น หากอยากได้โปรโมชั่นแบบคุ้ม ๆ ทั้งดอกเบี้ยราคาพิเศษ รวมถึงส่วนลดและของแถมอื่น ๆ ยังสามารถต่อรองได้อีก เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาของลูกค้าอย่างแท้จริง เพราะค่ายรถยนต์กำลังจะปิดยอดขายปลายปีพอดี

ตั้งการ์ดท่าไหน? ในยุคโควิด-19 "เฟส 2" บทเรียนอดีตสะท้อนรัฐห้ามปิดเมืองหมด และผู้ประกอบที่ควร "ลดดีกรี" โกยแต่ "รายได้ - กำไร"

ได้เสียววาบ ๆ กันอีกรอบ อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์กันเลยก็เป็นได้ หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 ระลอกใหม่ในไทย ระลอกนี้เริ่มมาจากแดนเหนือ และเริ่มแพร่กระจายแบบไม่รู้จะคุมอยู่แค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ เริ่มเล็ดหลุดมากรุงเทพฯ เรียบร้อย

เรื่องโรคยังไงก็ต้องปล่อยหน้าที่ให้ทางการจัดการไป แต่ถ้าหันกลับมามองในแง่ของธุรกิจที่เหมือนกำลังจะกลับมาจะทำยังไงต่อไป ถ้าโควิด - 19 คัมแบ็คอีกรอบ

ลองมาตั้งสมมติฐานกันดูว่า หากโควิด - 19 กลับมาระบาดรอบสองแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจไทย จะรับมือกันอย่างไรต่อ? และจะยังมีแรงยกการ์ดตั้งรับไหวไหม? ที่สำคัญงวดนี้รัฐบาลควรจะหามาตรการใดมารับมือ?

"หากดูจากบทเรียนล็อกดาวน์รอบแรก"

กุญแจสำคัญของล็อกดาวน์รอบแรก ธุรกิจจะกลับมาดูธุรกิจตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะมีเวลามากขึ้น จากการที่โควิด - 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก โดย 3 เรื่องที่สามารถกลับมานั่งนิ่ง ๆ แล้วทบทวนตัวเอง คือ รายได้ / ต้นทุน และกำไร

     - อย่างรายได้ ถ้าอยากให้กลับมีเหมือนเดิม ก็ต้องเข้ามาดูลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจของเรา ต้องจับไว้ให้มั่น ไม่ใช่จับมันทุกกลุ่มเหมือนก่อนไหม

     - อย่างต้นทุน ถ้าอยากให้ลดลง ก็ต้องทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ไม่จำเป็น ลดลง บางสายงานจำเป็น ไม่จำเป็น ต้องโยกย้ายคนไหม ค่าใช้จ่ายไหน ไม่จำเป็นบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อาจจะต้องตัด

     - อย่างกำไร ถ้าอยากให้มากขึ้น ก็ต้องมีเวลากลับเข้ามาดูว่าธุรกิจส่วนไหนที่เราจะสามารถทำอะไรให้ได้มากขึ้น หรือขยายไปเป็นธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อยุคโควิด - 19 เช่น ร้านอาหาร ก็เปลี่ยนตัวเองจากขายหน้าร้าน มาส่งเดลิเวอรี่อย่างเดียว

ทีนี้ถ้าโควิด -19 รอบ 2 มา แล้วเกิดมันหนักจนรัฐต้องปิดประเทศอีกรอบ บอกเลยว่า...งวดนี้หนักแน่นอน!! เพราะจากข้อมูลในช่วงล็อกดาวน์ที่มีการประเมินจากศูนย์วิจัยต่าง ๆ พบว่า

     - ระบบเศรษฐกิจต้องสูญเสียรายได้ในประเทศประมาณ 1.5 หมื่นล้านต่อวัน

     - เมื่อเอา 30 วันคูณเข้าไป ก็ตก 4.5 แสนล้านต่อเดือน

     - และถ้าเอา 10 เดือนคูณเข้าไป ก็จะสูญเสียไป 4.5 ล้านล้านต่อปี

ฉะนั้นหากเกิดเหตุขึ้นอีก ตัวเลขนี้ก็จะเกิดตาม และจะไม่มีอะไรไปทดแทนได้อีกเลย ถ้าต้องล็อกดาวน์นานมากขนาดนั้น

"รัฐต้องวางหมากให้แม่น" การ์ดที่ภาครัฐต้องตั้ง คือ ดูแลทรัพยากร รวมถึงรายได้ธุรกิจภายในประเทศ หากต้องมีการล็อกดาวน์ ก็ควรล็อกแค่เฉพาะส่วน และปล่อยในบางส่วน เช่น พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในกรุงเทพ อย่าง ราชประสงค์ สยาม เยาวราช สีลม สุขุมวิท หากจะต้องเลือกล็อก ก็ต้องล็อกเฉพาะบางจุดของพื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในพื้นที่นั้น ๆ ไม่ควรปิดทั้งหมด

ขณะเดียวกันต้องเลือกผ่อนปรนบางธุรกิจที่สามารถกระตุ้นภาคการจับจ่ายไว้ด้วย โดยเฉพาะร้านอาหาร เพราะหากปิดทั้งหมด การจะกลับมาแบบเฟสแรกนี่คงยากมาก ๆ ไหนจะในแง่มูลค่าเศรษฐกิจ ไหนจะในเรื่องพนักงาน และคนทำงานด้วย โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขคนตกงานที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด - 19

มีการคาดการณ์ตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 8 ล้านกว่าคน ตัวเลขนี้ไม่ว่าจะชดเชยยังไง ก็ถมกันไม่หมด เพราะไม่ใช่แค่การสูญเสียเชิงมูลค่าเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีการสูญเสียมูลค่าทางใจที่ยากกู้คืนกลับ พูดง่าย ๆ คือ ในประเทศไม่ควรล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ถ้าปิดประเทศ ไม่ให้ต่างประเทศเข้ามา อันนี้ ควรทำ!!

...ทีนี้หันกลับมามองภาคผู้ประกอบธุรกิจจะรับมือไหวไหม ถ้าโควิดระบาดจริง ๆ ?

ในที่นี้มี 3 สิ่งที่อยากให้ผู้ประกอบการลองคิด การตั้งการ์ดของผู้ประกอบการอาจจะเริ่มที่การกลับมาดูแลตัวเองเท่านั้น และในส่วนของ "รายได้" และ "กำไร" คงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ จัดการ "ต้นทุน" ให้เข้ม ต้องกลับมาทำให้องค์กร "ผอม" เพื่อให้ต้นทุนต่ำลง...นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำ!!

ต่อมา...ถ้าผ่านวิกฤตินี้ไปได้ จนไปถึงกลางปีหน้า อาจจะเห็นหลาย ๆ ผู้ประกอบการที่เคยทำธุรกิจหนึ่ง เปลี่ยนไปทำอีกธุรกิจหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ แบบที่บางธุรกิจหันมาทำหน้ากากอนามัยขาย หรือบางธุรกิจ เช่น โรงแรม มาทำอาหารขายไปเลย...นี่คือสิ่งต่อมาที่ควรทำ !!

ต่อมา...ถ้ารอไม่ไหว ต้องหาแรงสนับสนุน ผู้ประกอบการธุรกิจหนึ่ง อาจจะต้องร่วมมือกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ลองหันมาดูว่าธุรกิจเรา มีสิ่งไหนเป็นคีย์ซัคเซสที่ทำได้ดี

แล้วสิ่งไหนที่เราทำได้ยากหรือไม่ถนัด แต่ผู้ประกอบการอื่น ๆ มีศักยภาพมากกว่า

แล้วผู้ประกอบการก็ควรต้องหาทางไปร่วมมือกับเขาทันที!!

เช่น เดิมเคยทำอาหารได้อร่อยมาก แต่ไม่มีสายส่งอาหาร หรือไม่มีฐานลูกค้าในพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีวิธีการกระจายไปหาผู้บริโภคได้มากพอ ก็อาจจะต้องไปคุยกับร้านค้าอื่น ที่มีสาขาหลาย ๆ จุด เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น แล้วแบ่งกำไรกัน ต้องจำไว้ว่าเวลาเจอวิกฤติ การร่วมมือ สำคัญมากกว่า การแข่งขัน ท่องไว้...อย่าเห็นแก่ตัวในยามยาก!!…นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ห้ามมองข้าม!!

ช่วงวิกฤติหลายคนมักจะพูดถึงคำว่าโอกาสใหม่ ๆ นั่นก็ใช่!! แต่ไม่ทั้งหมด

เพราะจริงๆ แล้ว โอกาสมันมาจากการเจอนวัตกรรมใหม่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจช่วงนั้น

ต้องหาให้เจอ ต้องดิ้นให้สุด...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top