Thursday, 9 May 2024
ECONBIZ

ททท. เคาะ 9 เส้นทางคนโสดเที่ยวทั่วประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ‘โสดสายมู - โสดสายแซ่บ - โสดสายชิลล์’ ดีเดย์ 15 ธันวาคม ปูพรม ‘จอง’ ทริปสลัดคาน

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และแอปพลิเคชัน Tinder ทำเส้นทางคนโสด ซิงเกิล เจอร์นี่ย์ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โสดซีซั่นทั่วประเทศ 9 เส้นทาง คือ

.

1.) แม่ฮ่องสอน

2.) เชียงใหม่

3.) เชียงราย

4.) ลพบุรี-สระบุรี

5.) อุดรธานี-เลย ชุมพร-สุราษฎร์ธานี

6.) ภูเก็ต

7.) พัทยา

8.) พระนครศรีอยุธยา

9.) และกรุงเทพฯ

.

โดยนำร่อง 3 เส้นทาง คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก, โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก และโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

.

สำหรับเส้นทางนำร่องแรก คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก โดยททท. ร่วมกับบริษัท แกรนด์เพิร์ล จำกัด จัดทริปล่องเรือ ขอพร ไหว้พระ 9 วัด กับหมอช้าง “ทศพร ศรีตุลา” เล่าถึงเคล็ดลับการไหว้พระขอพร และดินเนอร์กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จำนวนจำกัด 100 คน ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถลุ้นเข้าร่วมทริปผ่านกิจกรรมของพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ได้แก่  แฟนเพจ Sneakout แอปพลิเคชัน Tinder

ส่วนเส้นทางที่ 2 โสดสายแซ่บ เกาะลับไม่ห่างรัก ร่วมกับ เลิฟ อันดามัน จัดปาร์ตี้ริมทะเล ชมคอนเสิร์ต ณ เกาะไข่ จังหวัดภูเก็ต ราคาพิเศษ 222 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 9 ม.ค.64 และเส้นทางโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปิดโบกี้รถไฟลอยน้ำ เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี (วันเดียวกลับ) ชมวิว ถ่ายรูป และรับประทานอาหารกลางเขื่อน ราคาพิเศษ 555 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2564

4 ปัจจัยที่แท้ทรู!! มุมมองใหม่ "คนรวย" ยุค 2021 เมื่อ "คนมีทรัพย์" จะไม่ใช่คนที่มีเงินสดเยอะอีกต่อไป

ในอดีตการออมหรือการเอาเงินไปฝากธนาคาร เพื่อให้เงินในบัญชีมีมากๆ พอมีมากๆ ก็เท่ากับมีเงินสดเยอะ พอมีเงินสดเยอะ ใคร ๆ ก็บอกว่า "รวย"

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่เงินเยอะ อาจจะไม่ถูกเรียกว่าคนรวยอีกต่อไปก็ได้

ลองย้อนไปมองดูปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดไปเรื่อย ๆ ทั้งที่โควิดก็ยังอยู่ แม้เศรษฐกิจตกต่ำก็ยังไม่ลดลงแบบบ้าคลั่งตามสถานการณ์ที่ร้ายแรง

เหตุผลของเรื่องนี้เป็นเพราะระบบการเงินในโลกหลาย ๆ ส่วนเริ่ม "รวน"

ฉะนั้นการมองว่า "เงิน" คือสินทรัพย์ที่ต้องเกาะเอาไว้กับตัวแล้ว "มั่งคั่ง - ร่ำรวย" อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมดอีกต่อไป

แล้วสินทรัพย์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ ความปลอดภัยและยกระดับให้เกิดความมั่งคั่ง จนถึงขั้นเรียกว่า "รวย" สไตล์ใหม่ได้บ้าง?

มีอยู่ 4 ปัจจัยง่าย ๆ แต่ไม่รู้ทำได้ง่ายไหมมาแนะนำ!!

ปัจจัยแรก "จับสินทรัพย์ถูกตัว"

สังเกตได้จาก "การพิมพ์เงิน" อย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลโลก ส่งผลให้ "เงินลดมูลค่า" ของตัวเองลง แต่สิ่งที่ตามมา คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ราคาขึ้น หมายความว่า คนที่จะรวยมหาศาลในยุคนี้ ก็คือ คนที่จับสินทรัพย์ถูกตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หุ้น หรือแม้แต่เงินดิจิทัล และ กล้าที่จะถือผ่านความผันผวนของราคา ที่เรียกว่า "อดทนรวย" นั่นแหละ

ปัจจัยที่ 2 คือ "หาเงินเก่ง ไม่สำคัญเท่าลงทุนเป็น"

เพราะภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ส่งผลให้หาเงินยาก คู่แข่งเยอะ แต่ในด้านการลงทุน ถ้าถูกตัว ถูกจังหวะ มันจะเติบโตแบบไม่คิดชีวิต "ขึ้นแหลก!!" เห็นได้จากปรากฏการณ์หุ้น Tesla ที่ทำให้ Elon Musk ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ธุรกิจยังไม่ได้ทำเงินมหาศาลเลย

ปัจจัยที่ 3 "สินทรัพย์เสี่ยง น่าลงทุนกว่าสินทรัพย์ไม่เสี่ยง"

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ วิ่งหาความชัวร์ ความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งกันซื้อ จนราคาแพง บางครั้งแทบไม่คุ้มที่จะซื้อด้วยซ้ำ ตรงข้ามกัน สินทรัพย์เสี่ยงบางอย่าง กลับถูกเกินความจริง และ สามารถสร้างเศรษฐีได้ในอนาคต

ปัจจัยที่ 4 "ตลาดทุนและการระดมทุน เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น"

เป็นโอกาสการสร้างตัวแบบก้าวกระโดดในยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อหาเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อเข้าตลาดหุ้น สามารถระดมเงินได้มากกว่า โตได้เร็วกว่า ใช้เงินตัวเองน้อยกว่า และ โตได้ไกลกว่า

ที่ว่ามานี้ น่าจะพอให้เห็นภาพว่ากระแสเงินสด อาจจะไม่ได้สรุปถึงคนรวยอีกต่อไป แต่คนรวยในยุคต่อไป อาจจะเป็นคนที่มีสินทรัพย์แห่งอนาคต ที่ผ่านการซื้อสะสมแบบต่อเนื่อง

ในวันที่มูลค่าเงินสดมีแต่ลดลง หากเลือกสินทรัพย์ที่ให้โอกาส เช่น ที่ดิน หุ้น สินทรัพย์แห่งอนาคต เช่น เงินดิจิทัล...เราจะได้อิสรภาพทางการเงินแถมไปด้วย


ที่มา: Pawawit Stock Comment

ที่มาภาพ: https://www.mic.com/articles/180662/smart-things-to-buy-as-an-investment-in-your-future-from-bitcoin-ether-litecoin-and-stocks-to-bonds-and-more

สแกน Motor Expo 2020!! มัดรวมค่ายรถใจนักเลง...บรรเลงเพลงผ่อน 0% Honda - Mazda - Nissan ไม่ตกขบวน

ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง หากจะหารถยนต์ไว้ใช้ซักคัน นอกจากจะเลือกจากรุ่นรถที่ชอบ งบประมาณที่จ่ายไหว อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม คือ "ดอกเบี้ย" เพราะอย่าลืมว่า รถหนึ่งคัน ต้องใช้เวลาผ่อน 4 - 7 ปี ถ้าได้ดอกเบี้ยต่ำ ๆ ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร

...และยิ่งถ้าได้ 'แคมเปญ 0%' พ่วงมาด้วย ก็ยิ่งน่าสนใจไม่น้อย

Motor Expo 2020 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 12 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ มีหลายค่ายที่พาเหรดรถในคลังของตน โดยมีหลายรุ่นที่จัดดอกเบี้ย 0% กันหลายเจ้า ส่วนจะมีค่ายไหนรุ่นใดบ้าง ไปตามดูกัน

เริ่มจากค่าย MAZDA ที่มาพร้อมแคมเปญ 0% เกือบทุกรุ่น ไล่ตั้งแต่รุ่นเล็ก Mazda2, Mazda3, Mazda CX-3, Mazda CX-5, Mazda CX-8 ดอกเบี้ย 0% แถมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี พร้อมขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรอีกด้วย

ขณะที่ค่าย NISSAN จัดแคมเปญ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 0% เช่นกัน ทั้ง NISSAN MARCH, NISSAN NOTE, NISSAN LEAF และNISSAN TERRA และยังมีประกันภัยชั้นหนึ่งแถมให้อีก 1 ปี และ ขับฟรี 90 วัน

มาที่ค่าย HONDA จัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% ในรุ่น All-new Honda Accord Hybrid พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี  หรือ 100,000 กม. รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี, Honda HR-V ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะค่าแรงค่าอะไหล่ 3 ปี  หรือ 50,000 กม.และอีกหนึ่งรุ่น Honda Mobilio ที่ได้ดอกเบี้ย 0% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี ฮอนด้า อัลติเมท แคร์

ด้านค่าย Subaru จัดแคมเปญรุ่น XV ให้อัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือนกันเลยทีเดียว

ส่วนค่าย Mitsubishi ส่งแคมเปญ 0% สำหรับรุ่น Xpander นาน พร้อมฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

ด้านค่ายรถยนต์ยุโรปอย่าง AUDI อัดแคมเปญทั้งราคาลดพิเศษ หรือจะเลือกเป็น ผ่อน 0% 7 ปี ไม่มีบอลลูน สำหรับรุ่น A1, Q2, A8, Q5, Q7 45 TDI quattro, Q8 และ TT Roadster ก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแคมเปญค่ายรถยนต์ที่รวบรวมมาให้เบื้องต้นเท่านั้น หากอยากได้โปรโมชั่นแบบคุ้ม ๆ ทั้งดอกเบี้ยราคาพิเศษ รวมถึงส่วนลดและของแถมอื่น ๆ ยังสามารถต่อรองได้อีก เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาของลูกค้าอย่างแท้จริง เพราะค่ายรถยนต์กำลังจะปิดยอดขายปลายปีพอดี

ตั้งการ์ดท่าไหน? ในยุคโควิด-19 "เฟส 2" บทเรียนอดีตสะท้อนรัฐห้ามปิดเมืองหมด และผู้ประกอบที่ควร "ลดดีกรี" โกยแต่ "รายได้ - กำไร"

ได้เสียววาบ ๆ กันอีกรอบ อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์กันเลยก็เป็นได้ หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 ระลอกใหม่ในไทย ระลอกนี้เริ่มมาจากแดนเหนือ และเริ่มแพร่กระจายแบบไม่รู้จะคุมอยู่แค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ เริ่มเล็ดหลุดมากรุงเทพฯ เรียบร้อย

เรื่องโรคยังไงก็ต้องปล่อยหน้าที่ให้ทางการจัดการไป แต่ถ้าหันกลับมามองในแง่ของธุรกิจที่เหมือนกำลังจะกลับมาจะทำยังไงต่อไป ถ้าโควิด - 19 คัมแบ็คอีกรอบ

ลองมาตั้งสมมติฐานกันดูว่า หากโควิด - 19 กลับมาระบาดรอบสองแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจไทย จะรับมือกันอย่างไรต่อ? และจะยังมีแรงยกการ์ดตั้งรับไหวไหม? ที่สำคัญงวดนี้รัฐบาลควรจะหามาตรการใดมารับมือ?

"หากดูจากบทเรียนล็อกดาวน์รอบแรก"

กุญแจสำคัญของล็อกดาวน์รอบแรก ธุรกิจจะกลับมาดูธุรกิจตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะมีเวลามากขึ้น จากการที่โควิด - 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก โดย 3 เรื่องที่สามารถกลับมานั่งนิ่ง ๆ แล้วทบทวนตัวเอง คือ รายได้ / ต้นทุน และกำไร

     - อย่างรายได้ ถ้าอยากให้กลับมีเหมือนเดิม ก็ต้องเข้ามาดูลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจของเรา ต้องจับไว้ให้มั่น ไม่ใช่จับมันทุกกลุ่มเหมือนก่อนไหม

     - อย่างต้นทุน ถ้าอยากให้ลดลง ก็ต้องทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ไม่จำเป็น ลดลง บางสายงานจำเป็น ไม่จำเป็น ต้องโยกย้ายคนไหม ค่าใช้จ่ายไหน ไม่จำเป็นบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อาจจะต้องตัด

     - อย่างกำไร ถ้าอยากให้มากขึ้น ก็ต้องมีเวลากลับเข้ามาดูว่าธุรกิจส่วนไหนที่เราจะสามารถทำอะไรให้ได้มากขึ้น หรือขยายไปเป็นธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อยุคโควิด - 19 เช่น ร้านอาหาร ก็เปลี่ยนตัวเองจากขายหน้าร้าน มาส่งเดลิเวอรี่อย่างเดียว

ทีนี้ถ้าโควิด -19 รอบ 2 มา แล้วเกิดมันหนักจนรัฐต้องปิดประเทศอีกรอบ บอกเลยว่า...งวดนี้หนักแน่นอน!! เพราะจากข้อมูลในช่วงล็อกดาวน์ที่มีการประเมินจากศูนย์วิจัยต่าง ๆ พบว่า

     - ระบบเศรษฐกิจต้องสูญเสียรายได้ในประเทศประมาณ 1.5 หมื่นล้านต่อวัน

     - เมื่อเอา 30 วันคูณเข้าไป ก็ตก 4.5 แสนล้านต่อเดือน

     - และถ้าเอา 10 เดือนคูณเข้าไป ก็จะสูญเสียไป 4.5 ล้านล้านต่อปี

ฉะนั้นหากเกิดเหตุขึ้นอีก ตัวเลขนี้ก็จะเกิดตาม และจะไม่มีอะไรไปทดแทนได้อีกเลย ถ้าต้องล็อกดาวน์นานมากขนาดนั้น

"รัฐต้องวางหมากให้แม่น" การ์ดที่ภาครัฐต้องตั้ง คือ ดูแลทรัพยากร รวมถึงรายได้ธุรกิจภายในประเทศ หากต้องมีการล็อกดาวน์ ก็ควรล็อกแค่เฉพาะส่วน และปล่อยในบางส่วน เช่น พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในกรุงเทพ อย่าง ราชประสงค์ สยาม เยาวราช สีลม สุขุมวิท หากจะต้องเลือกล็อก ก็ต้องล็อกเฉพาะบางจุดของพื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในพื้นที่นั้น ๆ ไม่ควรปิดทั้งหมด

ขณะเดียวกันต้องเลือกผ่อนปรนบางธุรกิจที่สามารถกระตุ้นภาคการจับจ่ายไว้ด้วย โดยเฉพาะร้านอาหาร เพราะหากปิดทั้งหมด การจะกลับมาแบบเฟสแรกนี่คงยากมาก ๆ ไหนจะในแง่มูลค่าเศรษฐกิจ ไหนจะในเรื่องพนักงาน และคนทำงานด้วย โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขคนตกงานที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด - 19

มีการคาดการณ์ตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 8 ล้านกว่าคน ตัวเลขนี้ไม่ว่าจะชดเชยยังไง ก็ถมกันไม่หมด เพราะไม่ใช่แค่การสูญเสียเชิงมูลค่าเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีการสูญเสียมูลค่าทางใจที่ยากกู้คืนกลับ พูดง่าย ๆ คือ ในประเทศไม่ควรล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ถ้าปิดประเทศ ไม่ให้ต่างประเทศเข้ามา อันนี้ ควรทำ!!

...ทีนี้หันกลับมามองภาคผู้ประกอบธุรกิจจะรับมือไหวไหม ถ้าโควิดระบาดจริง ๆ ?

ในที่นี้มี 3 สิ่งที่อยากให้ผู้ประกอบการลองคิด การตั้งการ์ดของผู้ประกอบการอาจจะเริ่มที่การกลับมาดูแลตัวเองเท่านั้น และในส่วนของ "รายได้" และ "กำไร" คงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ จัดการ "ต้นทุน" ให้เข้ม ต้องกลับมาทำให้องค์กร "ผอม" เพื่อให้ต้นทุนต่ำลง...นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำ!!

ต่อมา...ถ้าผ่านวิกฤตินี้ไปได้ จนไปถึงกลางปีหน้า อาจจะเห็นหลาย ๆ ผู้ประกอบการที่เคยทำธุรกิจหนึ่ง เปลี่ยนไปทำอีกธุรกิจหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ แบบที่บางธุรกิจหันมาทำหน้ากากอนามัยขาย หรือบางธุรกิจ เช่น โรงแรม มาทำอาหารขายไปเลย...นี่คือสิ่งต่อมาที่ควรทำ !!

ต่อมา...ถ้ารอไม่ไหว ต้องหาแรงสนับสนุน ผู้ประกอบการธุรกิจหนึ่ง อาจจะต้องร่วมมือกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ลองหันมาดูว่าธุรกิจเรา มีสิ่งไหนเป็นคีย์ซัคเซสที่ทำได้ดี

แล้วสิ่งไหนที่เราทำได้ยากหรือไม่ถนัด แต่ผู้ประกอบการอื่น ๆ มีศักยภาพมากกว่า

แล้วผู้ประกอบการก็ควรต้องหาทางไปร่วมมือกับเขาทันที!!

เช่น เดิมเคยทำอาหารได้อร่อยมาก แต่ไม่มีสายส่งอาหาร หรือไม่มีฐานลูกค้าในพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีวิธีการกระจายไปหาผู้บริโภคได้มากพอ ก็อาจจะต้องไปคุยกับร้านค้าอื่น ที่มีสาขาหลาย ๆ จุด เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น แล้วแบ่งกำไรกัน ต้องจำไว้ว่าเวลาเจอวิกฤติ การร่วมมือ สำคัญมากกว่า การแข่งขัน ท่องไว้...อย่าเห็นแก่ตัวในยามยาก!!…นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ห้ามมองข้าม!!

ช่วงวิกฤติหลายคนมักจะพูดถึงคำว่าโอกาสใหม่ ๆ นั่นก็ใช่!! แต่ไม่ทั้งหมด

เพราะจริงๆ แล้ว โอกาสมันมาจากการเจอนวัตกรรมใหม่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจช่วงนั้น

ต้องหาให้เจอ ต้องดิ้นให้สุด...

ไม่ผิดคาด!! ก๊วนเนชั่นพลัดถิ่น จ่อชิดรั้ว "NEW18" หลังสะพัด "สนธิญาณ" ปิดดีล 800 ล้าน คว้าดิจิทัลทีวีบ้าน "เหตระกูล" ไปครอง

ข่าวที่มั่นอันลงตัวใหม่ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย เริ่มสะพัดหนาหูขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนจะไปจบลงที่ช่อง "NEW18"

ก่อนหน้านี้ สนธิญาณ ได้มีภาพร่วมเฟรมกับอดีตผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี เช่น น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายสันติสุข มะโรงศรี, นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นายธีระ ธัญไพบูลย์, นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์, นายสถาพร เกื้อสกุล และ น.ส.อุบลรัตน์ เถาว์น้อย ที่มีการคาดเดาไปกันว่าจะใช้เพื่อโปรโมตรายการใหม่

โดยอดีตก๊วนเนชั่นทุกคนได้รับคำยืนยันจาก สนธิญาณ ว่า ตอนนี้ได้ช่องรายการที่จะไปผลิตรายการแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนคลับหลายคน

ทั้งนี้ได้มีแรงยันจากโพสต์ข้อความของ เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ ‘เป๊ปซี่’ หัวหน้ากองบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์นิวทีวี ด้วยว่า สนธิญาณ เตรียมแถลงข่าวประกาศเป็นทางการ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดว่าทีมนายสนธิญาณจะมาเริ่มงานกับช่อง NEW18 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ก็มีการสืบถึงความเป็นไปได้ของช่อง สนธิญาณ และก๊วนเนชั่นมือเก๋า กับ NEW18 หลังสื่อออนไลน์ที่ชื่อ The Key News ได้รายงานว่า...

บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด เจ้าของคลื่น NEW18 เผยถึง ผู้บริหารของบริษัทฯ ที่มีการเจรจาตกลงที่จะขายสัมปทานช่อง NEW18 ที่จะเหลือเวลาสัมปทานอีกประมาณ 8 ปี ให้กับกลุ่มของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยการเจรจาที่ผ่านมา หารือกันประมาณ 5 รอบ ในห้วงเวลา 3 สัปดาห์ มีคนกลางที่เป็นผู้เจรจาคือ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ได้เรียกคุณแดง - ประภา เหตระกูล มาหารือโดยตรงกับนายสนธิญาณ เพื่อหาข้อยุติ

เนื่องจากกลุ่มนายสนธิญาณ ได้นำใบเซ็นสั่งซื้อโฆษณาระยะยาวจากบริษัทที่มีชื่อเสียงประมาณ 6 - 7 บริษัท ซึ่งเป็นการการันตีว่า มีรายได้โฆษณาแน่นอน โดยจบที่ตัวเลข 800 กว่าล้านบาท และระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการโอนที่ดิน โอนตึก โอนเครื่องมือ เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ ใหม่

สำหรับบุคลากร ทราบมาว่า ทีมของนายสนธิญาณจะคัดเลือกบุคลากรบางคนมาร่วมงาน อย่างนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ เป๊ปซี่ ก็จะได้ไปจัดรายการใหม่กับทีมนายสนธิญาณ ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด ก็คงต้องมีการเจรจากันต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้รับการสนับสนุนด้านโฆษณาจาก 7 บริษัท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยผู้ให้การสนับสนุนโฆษณาเหล่านี้ไม่กลัวเรื่องการถูกแบนโฆษณา และวางแผนการลงโฆษณาระยะยาว ซึ่งนายสนธิญาณ จะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล และจะออนแอร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2563 เวลา 15.00 น. โดย 2 ชั่วโมงแรกจะเป็นรายการพิเศษ จากนั้นหลัง 17.00 น. เป็นต้นไป จะเข้าสู่ผังรายการปกติ

...บิ๊กเซอร์ไพรซ์จากผู้อาศัยเป็นเจ้าของช่อง!!

สำหรับการเข้ามาสู่ช่องใหม่ของทีมสนธิญาณนั้น มีข่าวมาได้ระยะหนึ่งกับการปักหมุดลงช่อง NEW18 แต่ก็ไม่ถึงขั้นมีมูลข่าวว่าจะทำการซื้อขายช่อง NEW18 ให้ปรากฏชัดนัก

อย่างไรก็ตาม หากมองดูจากผลประกอบการและการขาดทุนสะสมของช่อง NEW18 ดีลนี้ก็ค่อนข้างจะดูสมเหตุสมผล

นั่นก็เพราะ ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด หรือช่อง NEW18 ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของตระกูล "เหตระกูล" เจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น มีตัวเลขขาดทุนสะสมถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2,934.01 ล้านบาท จัดอยู่ในกลุ่มช่องทีวีดิจิทัลที่ขาดทุนมากที่สุดช่องหนึ่ง

.

โดยตัวเลขรายได้ของ NEW18 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

  • พ.ศ.2557 รายได้ 14.20 ล้านบาท
  • พ.ศ.2558 รายได้ 75.21 ล้านบาท
  • พ.ศ.2559 รายได้ 84.25 ล้านบาท
  • พ.ศ.2560 รายได้ 124.30 ล้านบาท
  • พ.ศ.2561 รายได้ 117.63 ล้านบาท
  • พ.ศ.2562 รายได้ 124.20 ล้านบาท

.

หากดูจากจุดนี้ ก็เหมือนว่าทางช่อง NEW18 ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้โฆษณาที่ยังน้อยนิด เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำสถานีแต่ละปี แม้ระยะหลังจะมีแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนได้ดีขึ้นมากก็ตาม

นอกจากนี้แผนการปรับรูปแบบรายการอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องมาเผชิญกับช่วงโควิด-19, การแข่งขันของวงการสื่อที่รุนแรง และพิษเศรษฐกิจต่อเนื่อง จึงอาจจะเป็นการถอยให้ผู้ที่พร้อมกว่ามาปิดดีลนี้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นทางออกในระยะยาวของกลุ่มเหตระกูล

ฉะนั้นการเข้ามาของกลุ่ม นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ที่เชื่อว่าจะมาพร้อมกับแนวข่าวการเมืองเข้มจัดและฐานแฟนคลับที่ชัด น่าจะทำให้ NEW18 มีโอกาสสร้างผลประกอบการในรูปแบบกำไรได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้อย่าง "แบงก์กรุงเทพ" จึงพร้อมเซย์เยส!!

 

5 ตระกูลที่ร่ำรวยสุดในเอเชีย

บลูมเบิร์กเปิดทำเนียบ Top 20ตระกูลรวยที่สุดในเอเชีย ที่สามารถครองความมั่งคั่งรวมกว่า 4.63แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท โดยมีตระกูล "เจียรวนนท์" แห่งอาณาจักรซีพี ผงาดอันดับ 3 แซงหน้าตระกูล "ลี" แห่ง Samsung

.

อันดับที่ 1

ตระกูล "อัมบานี" ของอินเดีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Reliance Industries หรือกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ โทรคมนาคม ค้าปลีก มีเดีย ก่อตั้งโดย "ธีรุไภย อัมบานี"

.

อันดับที่ 2

ตระกูล "กว็อก" แห่งฮ่องกง มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Sun Hung Kai Properties ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของฮ่องกง

.

อันดับที่ 3

ตระกูล "เจียรวนนท์" มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์ธนินท์ หรือซีพี ที่มี "ธนินทร์ เจียรวนนท์" เป็นหัวเรือใหญ่ภายใต้ธุรกิจค้าปลีก อาหาร โทรคมนาคม และช่วงหลังก็ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

.

อันดับที่ 4

ตระกูล "ฮาร์โตโน" ของอินโดนีเซีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ตระกูลนี้ร่ำรวยจากธุรกิจบุหรี่ Djarum ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และการขยายไปสู่ธุรกิจธนาคาร Bank Central Asia

.

อันดับที่ 5

ตระกูล "ลี" แห่งเกาหลีใต้ เจ้าของ Samsung มูลค่าความมั่งคั่ง = 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มต้นกิจการ Samsung ในรูปของบริษัทส่งออกสินค้าผักและปลาในปี พ.ศ.2481 จากนั้นจึงมีการขยายเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการตั้งบริษัท Samsung Electronics ในปี พ.ศ. 2512 จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิพความจำรายใหญ่สุดของโลก

.

รู้หรือไม่?

นอกจากตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ยังมีตระกูล "อยู่วิทยา" และ "จิราธิวัตน์" ติดโผอีกด้วย โดยเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังครองความมั่งคั่งเป็นอันดับ 6 ขณะที่เครือเซ็นทรัลรั้งอันดับที่ 20


ที่มา : https://www.bloomberg.com/features/2020-asia-richest-families/

วิเคราะห์ราคา "ทองคำ" 64 โอกาสพุ่งยังมี!! แม้เลวร้ายสุด ก็ไม่หลุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

แม้ว่าสัปดาห์ก่อน ราคาทองคำ มีการปรับลดลงค่อนข้างมากจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำอาจจะเป็นช่วงขาลงแล้ว

แต่จากราคาทองคำล่าสุดได้ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ได้อีกครั้ง ซึ่งหากมองในแง่เทคนิค แสดงให้เห็นว่า ราคาทองคำยังไม่ถึงกับเป็นช่วงขาลง เพราะเมื่อราคาลงไปแตะ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับมา ส่วนถ้าจะมองเป็นขาลงนั้น ราคาจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

สถานการณ์ราคาทองคำดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ที่ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน

เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสได้เห็นราคาขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในสิ้นปีนี้ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองคำเป็นขาขึ้น มาจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของหลาย ๆ ประเทศ ที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทองคำจำนวนมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี

ดังนั้น แต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินอัดฉีด ซึ่งทุกครั้งที่ทำจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ที่มีการทำ QE จนพบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดลง หลังจากหยุดทำ QE ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับเป็นขาลง ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านี้ เพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองโดยประมาณอยู่ที่ระดับดังกล่าวนั่นเอง

ทางออกธุรกิจเพื่อสังคม!! กู้ที่ไหนไม่ได้...ให้มาออมสิน

แม้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) จะเป็นแนวคิดของการทำธุรกิจที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ

แต่ปัญหาสำคัญที่จะเรียกว่าปัญหาใหญ่เลยก็ว่าได้ของธุรกิจเพื่อสังคม คือ ความยากในการเข้าถึง "แหล่งเงินทุน" ที่จะนำมาใช้ต่อยอดและหมุนเวียนระบบธุรกิจ

เพราะด้วยเป้าหมายของการสร้างธุรกิจ SE โดยธรรมชาติ จะไม่ได้มองในเรื่องผลกำไรมาเป็นอันดับแรก ทางสถาบันการเงินส่วนใหญ่ จึงปล่อยกู้ให้ยาก แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจแนวนี้เติบโตในระยะยาว จึงเป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มี ธนาคารออมสิน ที่กำลังออกมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ ตามนโยบายที่ต้องการเพิ่มบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ขององค์กร

ล่าสุดธนาคารออมสิน ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับโครงการโดยเฉพาะได้แก่ "สินเชื่อธุรกิจ ออมสินขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อต่อเติมซ่อมแซมสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกิจการ" ออกมา

.

โดยสินเชื่อดังกล่าวตอบโจทย์ธุรกิจ SE ดังนี้

  • ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย มีทั้งเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MOR ต่อปี (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995%)
  • ขณะที่เงินกู้ระยะยาวให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปีแรกไม่ต้องชำระเงินต้น คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของธนาคารฯ = 6.150%)

.

เงื่อนไข

  • วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้บุคคลค้ำประกันร่วมกับ บสย.
  • วงเงินกู้ 3-10 ล้านบาท ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้

.

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า "ปัจจุบันทางออมสินได้มีการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมไปแล้วรวมกว่า 17 ล้านบาท และนอกเหนือจากนั้น ทางธนาคารยังได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Social Enterprise Thailand Association: SE Thailand) เพื่อช่วยสนับสนุนบริษัทสมาชิก ทั้งด้านการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ และช่วยสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับกิจการให้สามารถช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย"

"ชื่อฉัน" นั้นไพเราะที่สุด เรื่องเล็ก ๆ ที่ Starbucks "เสก" ให้เป็นเรื่องใหญ่ได้

เคยแอบสงสัยเล็ก ๆ เวลาไปสั่งกาแฟที่ร้าน Starbucks กันหรือไม่ว่า...ทำไมพนักงาน Starbucks จึงต้องถามชื่อเราว่าชื่ออะไรคะ? ชื่ออะไรครับ? แล้วก็จรดชื่อไว้บนแก้วกาแฟที่สั่ง

ถ้าคิดแบบคนยุคใหม่ ความคิดลึกซึ้ง และลึกล้ำ..."นี่ฉันกำลังจะได้โปรโมชั่น หรือฉันกำลังถูกเก็บข้อมูลป่ะ?"

จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก พนักงานก็คงแค่ตั้งใจเขียนชื่อลูกค้าบนแก้วเพื่อจัดการออเดอร์จำนวนมากให้เป็นระเบียบเท่านั้น

เพียงแต่ในเชิงของธุรกิจ เรื่องเล็ก ๆ ของชื่อบนแก้ว Starbucks นั้น มีนัยยะบางอย่างที่สะท้อนการต่อยอดให้เกิดความผูกพันต่อแบรนด์ Starbucks กับผู้คน จนกลายเป็น "เรื่องใหญ่" ที่น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย

นัยยะแรก!! ลูกค้าโปรโมท Starbucks ให้ฟรีๆ

ก่อนหน้านี้ถ้าจำกันได้จะมีเหตุการณ์แบบว่า ลูกค้าหลายรายชอบการเห็นชื่อตัวเองบนแก้ว Starbucks แล้วก็ตัดสินใจถ่ายรูปลงโพสต์ในโซเชี่ยลมีเดียไปอวดเพื่อน ๆ

บางคนถึงกับเล่นตลก แกล้งบอกชื่อปลอมกับพนักงาน เพื่อให้เขียนเป็นชื่อดารา คนดัง คนสวย คนหล่อ และอื่นๆ แล้วตัวเองก็เอาไปโพสต์ ให้เกิดเป็นบทสนทนาสนุกๆ ในโลกออนไลน์

ขณะเดียวกัน ในบางครั้งการที่พนักงานเขียนชื่อลูกค้าผิด ซึ่งมีอยู่บ่อยครั้งในต่างประเทศ เช่น จาก Jessica เป็น Gezzika จาก John เป็น Gaun นั้น ทาง Starbucks ก็เคยแอบคิดว่าลูกค้าต้องโกรธแน่ ๆ

แต่ในความเป็นจริง ลูกค้ากลับชอบและยิ่งโพสต์ชื่อแปลกๆ ของตัวเองลงโซเชียลกันมากกว่าเดิม สรุปนอกจากจะไม่โกรธแล้ว พวกเขายังมองว่านี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของประสบการณ์ที่ร้าน Starbucks อีกด้วย

ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการโพสต์รูปแก้ว Starbucks ที่มีชื่อตัวเองลงไปสารพัดแบบในโลกออนไลน์นั้น ถือเป็นการกระจายความรับรู้แบรนด์ Starbucks ในยุคที่ร้านกาแฟแข่งเดือดได้อย่างมาก เรียกได้ว่า Starbucks ไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาสักบาท ก็มีคนมาช่วยโปรโมทแบรนด์กาแฟของพวกเขาให้ฟรี ๆ

นัยยะที่สอง!! ความภูมิใจที่ฉันคือเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว

อีกเรื่องที่น่าสนใจมาก คือ การเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้ว ค่อย ๆ พัฒนาความรู้สึกให้ลูกค้าคิดว่า แก้วกาแฟของฉันนั้น "น่าอวด" 

เพราะเดิมคุณค่าของแบรนด์ Starbucks นั้นก็สูงอยู่แล้ว จากราคาต่อแก้วที่สูงกว่าท้องตลาดทั่วไป (เดี๋ยวนี้เริ่มมีกาแฟราคาใกล้เคียงเยอะขึ้น) ทำให้การดื่ม Starbucks หรือควงแก้ว Starbucks ไปไหนต่อไป ก็ได้อารมณ์ยังกะหิ้วหลุยส์หรือชาแนล

ยิ่งมีชื่อตัวเองลงไปบนแก้ว Starbucks ยิ่งทำให้รู้สึกว่า "แก้วนี้ทำมาเพื่อฉันคนเดียวในโลก" ซึ่งไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ มันสำคัญมากกว่าราคาหลักร้อยต่อแก้วที่ต้องจ่าย เพราะสิ่งที่ลูกค้าจ่ายมันได้รสนิยมที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้พ่วงกลับมา จนลูกค้าเก่าต้องกลับมาซื้อซ้ำ ส่วนลูกค้าใหม่ก็อยากลองสัมผัสประสบการณ์นี้

นัยยะสุดท้าย!! สายใยที่เกิดขึ้นจากคนแปลกหน้า

เป็นเรื่องปกติที่ทุก ๆ ร้านกาแฟ มักจะมีการถามว่า "เอาหวานน้อย หวานปกติ รับแก้วไซส์ไหน ใส่วิปครีมไหมคะ"

แต่การเขียนชื่อลงไปบนแก้วนั้น จะทำให้พนักงาน Starbucks จำชื่อลูกค้าที่เข้าร้านเป็นประจำได้ ทำให้ครั้งต่อไปสามารถทักทายลูกค้าด้วยชื่อโดยไม่ต้องถามได้อีกด้วย

และยิ่งไปกว่านั้น ตามหลักจิตวิทยาแล้ว การเรียกชื่อใครได้แบบคุ้นเคย ยังถือเป็นการทำลายกำแพงของความแปลกหน้า ที่สามารถเปลี่ยนคนไม่คุ้นตามาเป็นคนคุ้นเคยแบบคนในครอบครัว Starbucks ได้ง่ายกว่าเดิม

เหล่านี้คือเรื่องเล็กๆ ที่เริ่มจากการเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้วกาแฟ Starbucks ที่ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็น "ประสบการณ์สไตล์ Starbucks" ที่ยากจะหาใครเลียนแบบ

ความรู้สึกนี้มันช่างหอมหวานมิได้ด้อยกว่ารสชาติกาแฟเลยจริงๆ 

ก็อย่างว่า "ชื่อของเรา" มันช่างไพเราะสุด ๆ @Starbucks นินา!!

"MTL – BDMS - Pfizer" ผนึกกำลังยกระดับสิทธิประโยชน์ เสิร์ฟลูกค้าไทยประกัน 4 ล้านราย

ถ้าจะทำธุรกิจแบบเดินเดี่ยว (Stand Alone) สายป่านไม่ดีจริง หรือฐานลูกค้าไม่ภักดีจริง อาจจะเหนื่อยนักในยุคนี้ แม้แต่จะเป็นธุรกิจใหญ่ก็ตาม

ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา การจับมือกันทางธุรกิจ จึงเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะจับกับแบบ "ข้ามธุรกิจ" แล้วเอาความเชี่ยวชาญของแต่ละธุรกิจเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

ล่าสุด 3 บริษัทใหญ่อย่าง บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ร่วมมือกับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกโครงการใหม่ร่วมกันโดยใช้ชื่อว่า "MTL Health Buddy"

สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MTL เผยว่า "โครงการนี้เป็นการนำร่องเพื่อยกระดับระบบนิเวศน์ของวงการสุขภาพ (Health Ecosystem) ที่ลูกค้าของเมืองไทยฯ จะได้รับความสิทธิประโยชน์จากการที่เราได้ร่วมมือกับทั้ง BDMS และไฟเซอร์ โดยทาง BDMS จะทำหน้าที่ผู้ช่วยด้านสุขภาพ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ค้นหาศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ทำการนัดหมาย ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ให้กับ "ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต" กว่า 4 ล้านคน"

"ขณะเดียวกัน ทาง ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จะเข้ามาเป็นอีกทางเลือกแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ในการเข้าถึงการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และหากได้รับผลตอบรับที่ดี หลังจากนี้จะมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการเตรียมขยายสิทธิประโยชน์การรักษากลุ่มโรคอื่นๆ อีกต่อไปในอนาคต เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็ง ลำไส้ เป็นต้น"

ด้าน พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 BDMS ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริษัทฯ จะให้บริการการปรึกษาแพทย์แบบ Teleconsultation ทั้งการปรึกษาปัญหาสุขภาพจากอาการป่วย หรือการวางแผนสุขภาพเชิงป้องกัน รวมไปถึงการหา Second opinion

โดยมีทีมแพทย์จากศูนย์แห่งความเป็นเลิศ Center of Excellence ในสาขาต่างๆ ร่วมให้คำปรึกษา อาทิ โรคสมอง หัวใจ มะเร็ง กระดูก หรืออุบัติเหตุ การเจ็บป่วยที่รุนแรง ฯลฯ หากเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม จะมีการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคมะเร็ง พร้อมแนะนำการเลือกใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งได้ร่วมมือกับทางไฟเซอร์ในการให้ยามุ่งเป้าเพื่อการรักษาในระยะยาวอีกด้วย

.

ปัจจุบัน การรักษาด้วยโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy ในคนไข้ทั่วไป ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เฉลี่ยประมาณ 100,000 บาทต่อการรับยา 1 ครั้ง และบางคนต้องรับยาเดือนละหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ และหากการรักษายาวนานเป็นปี คนไข้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านบาท

.

แต่หากลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ที่มีประกันสุขภาพอีลิทเฮลท์ (Elite Health) ที่มีวงเงินความคุ้มครอง 20 - 100 ล้านบาท จะได้รับสิทธิ์ในการรักษาแบบ Targeted Therapy ทันที ส่วนลูกค้าประกันมะเร็ง (CI) อื่น ๆ แม้ไม่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่จะได้รับสิทธิ์เป็นส่วนลดค่ายานวัตกรรมจากไฟเซอร์แทน เช่น เดือนนี้จ่าย แต่เดือนหน้าฟรีค่ายา เป็นต้น

.

Did you know

- มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง

- มะเร็งเต้านม เป็นอันดับ 2 ของยอดผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด

- ปีค.ศ.2018 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใหม่กว่า 2 ล้านคนทั่วโลก

- ยอดผู้เสียชีวิต 6.3 แสนคนทั่วโลก

- ในไทย มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 1.9 หมื่นคนต่อปี

- คนไทย เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม 5,900 คนต่อปี

ผลตรวจของคุณเป็น 'บวก' เช็คสุขภาพอสังหาฯ ไทยโค้งสุดท้าย 2020

ถ้าจะบอกว่าปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เหนื่อยแค่ไหน ก็คงต้องบอกว่าเหนื่อยมาก ยิ่งไปในช่วงคาบเกี่ยวของไตรมาส 2 และ 3 ที่เจอกับพิษโควิด-19 แบบจุก ๆ เข้าไป ทำให้หลาย ๆ บริษัทต้องงัดกลยุทธ์เพื่อประคองตัวแบบเต็มเหนี่ยว ทั้งโปรโมชันลดแหลกในหลาย ๆ โครงการ

แต่ในช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อย ก็ยังมีแบรนด์อสังหาฯ ที่สร้างผลบวกให้กับธุรกิจได้อยู่พอสมควรมาดูกันว่ารายได้อสังหาฯ เจ้าไหนในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอยู่ที่เท่าไร แล้วใครที่ยังทำตัวเลข 'บวก' ได้บ้าง


ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เขาว่า 'คนไทย' มีเงินใช้แบบ 'เดือนชนเดือน'

ใครว่า ก็ไม่รู้แหละ!!

แต่จากผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง 'สถานการณ์ทางการเงินของคนไทย ในปี 2563' โดยกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ พบว่า...

กว่าครึ่งหนึ่งของไทยตอนนี้ ไม่มีเงินออม ต้องใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน เหตุเพราะสินค้ามีราคาแพงขึ้น บวกภาระหนี้สินสะสม


ที่มา: กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เช็คก่อน...ชัวร์กว่า!! อย่าเพิ่งรีบหิ้ว iPhone 12 ออกนอกร้าน หากยังเช็คไม่ครบสูตร

เช็คก่อน...ชัวร์กว่า!!  อย่าเพิ่งรีบหิ้ว iPhone 12 ออกนอกร้าน หากยังเช็คไม่ครบสูตร

'นิค วูจิซิค' แรงบันดาลใจจากชายไร้แขน - ขา ผู้นำพา 'กำลังใจ' มาสู่คนทั่วโลก

เวลารู้สึกเหนื่อย ๆ ท้อ ๆ ไม่อยากทำอะไร รู้สึกชีวิตมันไม่เป็นดั่งหวัง แล้วชอบตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ ว่า...ทำไมเราไม่เป็นแบบเขาคนนั้น ทำไมเราไม่รวยแบบเขาคนนี้?

และเชื่อเถอะว่าในยุคที่เรากำลังเจอกับสถานการณ์แย่ ๆ ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ การเมือง และ Climate Change หลากรูปแบบ มันก็ยิ่งทำให้อดไม่ได้ที่ปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้หลั่งใหลเข้ามาในความคิดแบบทับถม

ใช่เลย 'ความสิ้นหวัง' กำลังเข้ามาเยือนชีวิตเราใกล้มากขึ้น ๆ

แต่ขอโทษที!! ถ้ามองมุมกลับ ทำไมเราไม่เคยคิดลุกขึ้นมาหรือสู้กับความคิดเหล่านี้และผ่านมันไปให้ได้บ้างล่ะ มีเรื่องของชายคนหนึ่งที่อยากจะนำมาแชร์ เขาเป็นคนที่น่าจะสิ้นหวังกับชีวิตยิ่งกว่าเรา ๆ ท่าน ๆ หรือใครในโลก

ชายนั้นชื่อว่า 'นิค วูจิซิค' (Nick Vujicic) นิค เป็นชายที่ไม่มีแขนขามาตั้งแต่เกิด!! เขาเป็นชาวออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2525 (อายุ 38 ปี) โดยพ่อและแม่เป็นชาวเซอร์เบียที่อพยพเข้ามายังออสเตรเลีย

แม่ของนิคมีอาชีพเป็นพยาบาลและเธอก็ดูแลตัวเองมาตลอดช่วงที่ตั้งท้อง แถมตอนตรวจอัลตร้าซาวด์ประมาณ 3 ครั้ง ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในตัวนิคเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งวันที่นิคเกิด เขาลืมตามองดูโลก มาพร้อมกับร่างกายที่ไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ขณะเดียวกันเขามีขาสั้นๆ ลีบเล็กเพียงหนึ่งข้างกับนิ้วเท้า 2 นิ้วเท่านั้น อาการนี้เรียกว่า Tetra-amelia disorder เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้ผู้ป่วยไม่มีแขนและขา

แล้วรู้ไหมว่า คนที่มีอาการแบบนี้บนโลก มีเพียง 7 คน พูดง่าย ๆ คือ โอกาสที่จะเกิดอาการดัวกล่าวมีเพียง 0.000000092% เท่านั้น แต่นิคก็คือหนึ่งในนั้น

ที่น่าเศร้าในช่วงแรก ๆ หน่อย คือ ตอนที่พยาบาลอุ้มนิคออกมาจากห้องคลอด เพื่อมาให้ผู้เป็นแม่ได้พบนั้น เธอรับไม่ได้และก็ปฏิเสธที่จะอุ้มเขา พ่อและแม่ของนิคเรียกว่าเสียใจอย่างมาก และต่างก็คิดว่านิคคงอยู่ได้ไม่นาน แต่พอหมอได้ตรวจสุขภาพนิค ก็พบว่าเขามีร่างกายที่แข็งแรงดี พวกเขาจึงทำใจยอมรับ และตั้งใจให้นิคได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป

ทว่าต่อให้สุขภาพนิคจะดีแค่ไหน แต่ด้วยร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของนิคลำบากอย่างมาก ไหนจะเกือบอดเข้าเรียน เพราะกฎหมายในออสเตรเลียขณะนั้น ไม่ให้คนพิการเข้าเรียนกับคนปกติ (แต่กฎหมายแก้ตอนหลังให้เรียนด้วยกันได้)

ไหนจะถูกเพื่อนล้อเลียนเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้แหละที่คนปกติบางทียังทนไม่ไหว แต่นี่เกิดกับเด็กที่พิการอย่างหนัก มันก็อาจจะทำให้หัวใจเปราะบางเอาง่าย ๆ

ครั้งหนึ่งนิคเคยเจอการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้เขาอย่างมาก เพราะเขาโดนเพื่อนถึง 12 คนรุมแกล้ง และมองเขาเป็นตัวตลก เขาเสียใจและกลับมานั่งคิดว่า การที่เขามีสภาพอยู่แบบนี้ต่อไป มันช่างไร้ความสุข ซ้ำยังเป็นภาระของพ่อและแม่อีก เขาเลยคิดอยากฆ่าตัวตายหลายครั้ง

***แต่โชคดีที่ 'ความรัก' และ 'กำลังใจ' จากพ่อแม่ ได้ทำให้เขาผ่านเรื่องร้าย ๆ พวกนั้นมาได้***

นิคเริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ เขามองว่าแม้ภายนอกจะแตกต่าง แต่ 'ภายใน' (ความคิดและจิตใจ) ของเขานั้นก็เหมือนกับคนทั่วไปทุกอย่าง

หลังจากเรียนจบ (ปริญญา 2 ใบทางด้านบัญชี และด้านการวางแผนการเงินในวัย 21 ปี) เขาจึงตั้งใจอยากจะนำเรื่องราวในชีวิตของเขามาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่น ๆ ผ่านอาชีพ 'นักพูด' 

เขาตัดสินใจติดต่อไปยังโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อไปพูดให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่เด็ก ๆ แต่ช่วงแรกนิคก็โดนปฏิเสธจากทุกโรงเรียน แต่จนมาวันหนึ่งเขาก็ได้รับการตอบรับ…

แม้ครั้งแรกที่เขาไปพูดจะมีคนฟังเพียง 10 คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อ เขายังคงเดินหน้าทำสิ่งที่เขารักมาตลอด จนเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสุดท้ายคนจำนวนมากก็ยอมรับในตัวเขา ถึงขนาดยกย่องว่า นิค เป็นหนึ่งในนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกกันเลยทีเดียว

นิคเริ่มโด่งดังและมีชื่อเสียงถึงขนาดในปี ค.ศ.2009 ได้มีโอกาสไปเล่นหนังเรื่อง 'The Butterfly Circus' ซึ่งหนังเรื่องดังกล่าวได้รับรางวัลหลายรางวัล และในปี ค.ศ.2011 ยังได้ถูกเชิญไปพูดเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจที่ 'World Economic Forum' ซึ่งเป็นการประชุมเศรษฐกิจประจำปี ที่มีผู้นำจากหลายประเทศเข้าร่วมอีกด้วย

แต่ที่น่ายินดีเหนือกว่านั้น คือ เขาเติมเต็มชีวิตได้ด้วยชีวิตคู่…ใช่แล้ว!! ปัจจุบัน นิค แต่งงานและมีลูกกับภรรยาด้วยกัน 4 คน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นิค ได้พยายามแสดงให้หลายคนเห็นว่า ความพิการมันไม่ได้ทำให้ชีวิตคนย่ำแย่ แต่ความท้อแท้ต่างหากที่จะนำปัญหาต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต

...ยังมีคนอีกมาก ที่แย่กว่าเรา 

...ยังมีคนอีกมาก ที่อาจจะไม่เคยได้รับโอกาสใด ๆ เลย

และยังมีคนอีกมากที่ยอม 'ล้มลง' ไปดื้อ ๆ เพียงแค่ไม่ได้บางสิ่งบางอย่างตามใจหวัง

เรื่องราวของนิคน่าจะทำให้หลายคนที่กำลังนำความทุกข์เข้ามาในชีวิต เพราะความ 'อยากได้อยากมี' และการ 'ไขว่คว้า' บางสิ่งบางอย่างที่มากเกินความเป็นจริงของชีวิต อาจจะไม่ใช่คำตอบ 

กลับกันขอแค่ได้ลองสัมผัสกับความสุขที่ 'พอเพียง' ในแบบที่คุณและคนข้าง ๆ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันได้โดยไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เกินตัว

.

แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้ง…

 

ถอดสมการ MV = PY กลยุทธ์ ‘ตก’ กำลังซื้อ เวอร์ชั่นรัฐ ใต้ไอเดีย ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด’

ถูกด่าก่อนสอบสวน!! น่าจะเป็นตัวอธิบายความได้ดีที่สุดของโครงการคนละครึ่ง

.

แต่จนแล้วจนรอดโครงการดังกล่าวก็กลายเป็นการแก้ปัญหาที่ดูจะถูกจุดเกินคาดของภาครัฐ ที่งวดนี้ปล่อยหมัดฮุกเข้าตรงจุดไปยังกลุ่มคนฐานราก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการหมุนวงล้อเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง

.

แล้วตอนนี้ก็เข้าใจว่า ‘โครงการคนละครึ่ง’ น่าจะกำลังถูกเคาะต่อไปยาวๆ หลังจากกระทรวงการคลังพยายามจะเปิดโอกาสให้ ‘ทุกคน’ ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมดในระลอกใหม่ต้นปีหน้า

.

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า!!

.

อันที่จริงรัฐบาลไทยดูจะพยายามหากลยุทธ์ที่เหมาะกับเศรษฐกิจประเทศ โดยการใช้เงินให้ตรงจุด ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะเข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้าง

.

แต่ทราบหรือไม่ว่าทุกๆ เม็ดเงินที่ถูกใส่ลงไปในระบบโยบายเชิงประชานิยม ที่มักถูกวิจารณ์ว่าไร้สติ (แต่คนด่านี่แหละคนกดลงทะเบียนก่อนเพื่อน) เป็นการแก้ปัญหาแบบ ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุด’ (ขอยืมคำบาบีก้อนมาใช้หน่อย)

.

ไม่ว่าจะชิม ช้อป ใช้เอย / เราไม่ทิ้งกันเอย / การเพิ่มวงเงินเฉพาะให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเอย หรือแม้แต่ล่าสุดกับโครงการ ‘คนละครึ่ง’

.

แน่นอนว่าเวลาพูดถึงนโยบายเชิงเศรษฐกิจ ภาพมันก็ต้องกระทบวงกว้าง ต้องใหญ่ ต้องเปลี่ยนประเทศ แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด

.

ยิ่งคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ถึงขั้น ส่งให้ ‘ไทยรวย’ แบบฉับพลันต ยิ่งไม่ง่าย เพราะไหนจะปัญหาภายในประเทศ การเมือง สังคม รวมถึงโรคระบาดอย่างโควิด-19 มันไม่ได้ง่าย

.

ฉะนั้นแนวคิดแบบ ‘ทำมื้อนี้ให้ดีที่สุดก่อน’ จึงไม่ใช่แค่เหมาะ แต่ต้องทำ เพราะผลลัพธ์ถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศจริงๆ

.

สังเกตุจากโครงการคนละครึ่ง ที่พอมีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบ 2 ก็ลงกันสิทธิ์อย่างรวดเร็ว มียอดการใช้จ่ายผ่านแอพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ไปแล้วถึง 13,764 ล้านบาท กระจายสู่ร้ายหาบเร่แผงลอยได้กว่า 650,000 แสนร้าน และรอบ 3 ก็ปิดดีลได้อย่างว่อง

.

อันที่จริง หากมองข้ามเรื่องการเมือง แล้วมาคุยเรื่องเบาๆ (เบาชิบหาย) ในเชิงเศรษฐศาสตร์

.

สิ่งที่พอสะเดาะให้เข้ากับกลยุทธ์ของโครงการคนละครึ่งนี้ มีความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีปริมาณทางการเงินอย่างน่าสนใจ

.

โดยทฤษฎีดังกล่าว ถูกย่อยลงมาบนสมการหนึ่งที่เรียกว่า ‘MV = PY’

.

‘MV = PY’ คืออะไร? ไม่ต้องถาม เดี๋ยวจะบอกง่ายๆ เลย เพราะตอนแรกคนเขียนก็งง!! บนความรู้น้อยทางเศรษฐศาสตร์

.

อธิบายตามหลักการ ก็คือ สมการของการแลกเปลี่ยน

M = Money supply ปริมาณเงิน

V = Transaction velocity of money เงินมีการเปลี่ยนมือเร็วแค่ไหน

P = Price level ดัชนีราคาของสินค้าที่ซื้อขาย

Y = Real GDP ระดับผลผลิตที่แท้จริง

.

เป้าหมายของนโยบาย คือ V (Velocity) หรือต้องการให้ ‘เงินมีการเปลี่ยนมือเร็ว’ เพราะถ้า V เยอะจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวสูง จากเงินที่หมุนเป็นเฟืองต่อเฟือง

.

นั่นคือหลักเศรษฐศาสตร์!! ทีนี้มาลองนึกภาพตามแบบภาษาคนกันดูบ้าง

.

มีนักเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบให้เห็นนโยบายแบบ ‘คนละครึ่ง’ ว่าเหมือนกับเรามีถาดหมุนลูกบอลล็อตเตอรี่สักอัน

.

จากนั้นก็หยอดเหรียญเข้าไป 10 เหรียญ

.

ถ้าหมุน 10 รอบแบบเร็วๆ เราจะเห็นเหรียญที่หมุน ดูเยอะขึ้นๆ กว่า 10 เหรียญ

.

ทั้งๆ ที่เหรียญมีเพียง 10 เหรียญ แต่ทำไมแค่หมุนรอบ ทำให้เรามองเห็นว่าเงินมันดูเยอะขึ้น นั่นก็เพราะ ‘การหมุน’ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ คือ การที่เงินจากกระเป๋าหนึ่ง โยกไปหาอีกกระเป๋าหนึ่ง

.

มีตัวอย่างหนึ่งที่พอจะขยายภาพของการทำ V ที่รัฐบาลต้องการให้เกิดเป็นผลลัพธ์ต่อนโยบายที่โยนออกไป นั่นก็คือ

.

...สมมุติแบงค์ชาติมีการพิมพ์ธนบัตร 100 บาทออกมา 1 ใบ

.

แล้วธนบัตรใบนั้น ได้เริ่มต้นไปอยู่ในมือของนาย A

.

Part 1

นาย A ยังไม่คิดจะใช้เงิน จึงเก็บเงินไว้ในกระเป๋าตัวเอง 10 บาท และเอาไปฝากธนาคารจำนวน 90 บาท

.

นาย B ไม่มีเงินแต่ต้องการใช้เงิน จึงไปยืมจากธนาคารที่นาย A ไปฝากมาจำนวน 90 บาท

.

จากนั้นนาย B เอาเงินไปซื้อของกับ นาย C ทำให้เงินจำนวน 90 บาทไปอยู่ที่นาย C

...เท่ากับขั้นตอนนี้มีการซื้อขายเกิดขึ้น คิดเป็น GDP = 90 บาท

.

Part 2

คราวนี้ลูปจะวันกลับมาใหม่!!

โดยเริ่มที่นาย C มีเงินอยู่ 90 บาท แต่เขายังไม่คิดจะใช้เงิน จึงเก็บเงินไว้ในกระเป๋าตัวเอง 10 บาท และเอาไปฝากธนาคาร 80 บาท (เหมือนกับนาย A)

.

นาย D ไม่มีเงิน แต่ต้องการใช้เงิน จึงไปยืมเงินจากธนาคารที่นาย C ไปฝากมาจำนวน 80 บาท

.

จากนั้นนาย D ก็ไปซื้อของกับ นาย E ทำให้เงินจำนวน 80 บาทไปอยู่ที่นาย E

...เท่ากับขั้นตอนนี้มีการซื้อขายเกิดขึ้น คิดเป็น GDP = 80 บาท

.

เมื่อนับไทม์ไลน์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากแบงก์ชาติที่ให้เงินนาย A มา จนถึง GDP ของ Part1 ที่ 90 บาท + GDP ของ Part2 ที่ 80 บาท ได้ทำให้เกิด GDP รวมจาก ‘การหมุน’ ของเงิน 100 บาท เป็น 170 บาท

.

ทีนี้พอมาเทียบกับโครงการคนละครึ่งแล้ว เลยกลายเป็นว่าการใส่เงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของรัฐ มีส่วนช่วยอย่างมากให้เหรียญแค่ 10 เหรียญถูกแกว่งจนกลายเป็นภาพเหรียญที่มากกว่า 10 จากการซื้อ ยืม และเก็บวนไปเรื่อยๆ

.

โดยการหมุนตรงนี้ มีดีที่โฟกัสไปยังการหมุนวนเม็ดเงินกันระหว่างกลุ่มประชาชนฐานรากและฐานกลาง ที่ไม่เอื้อต่อฐานใหญ่ ซึ่งทำให้เม็ดเงินอุดเป็นคอขวด

.

นี่จึงเป็นอีกสูตรการกระตุ้น GDP ที่ควรทำในจังหวะที่ ‘กำลังซื้อ’ ของประชาชน ‘ชะลอตัว’ คนไม่มีเงิน ก็กล้าใช้เงิน เพราะมีรัฐช่วยค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง

.

ขณะเดียวกันคนที่มีเงินอยู่แล้ว ก็อยากดึงเงินออกมาใช้ให้มากกว่าเดิม เช่น เคยซื้อสินค้า 1 ชิ้น ในราคา 300 บาท แต่โครงการคนละครึ่ง ทำให้เสียแค่ 150 บาท จึงรู้สึกว่าการนำเงินส่วนต่างอีก 150 บาทไปใช้ต่อ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เป็นจิตวิทยาเพิ่มความกล้าในการใช้จ่ายเงินโดยไม่รู้ตัว

.

แต่กว่าจะมาถึงสูตรนี้ได้ อยากรู้นักว่าก่อนหน้านี้ ปล่อยให้ใครชี้เป้าเศรษฐศาสตร์ จนเศรษฐกิจแป้กไม่เลิก…

.

อ้างอิง: https://www.asquareschool.com/2015/08/02/mv-py/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top