Saturday, 30 September 2023
ECONBIZ NEWS

'รมว.อุตฯ' ปลื้ม!! ผู้ประกอบการไทยร่วมดันหลากซอฟต์พาวเวอร์ ช่วยหนุนมูลค่าเศรษฐกิจโต เพิ่มรายได้ให้ชุมชนยั่งยืน

กระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ความสำเร็จพัฒนา 3 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์อาหาร แฟชัน และงานแฟร์ ดันผ้าไหมไทยเข้าวงการแฟชั่นโลก ชู 22 เมนูอร่อยชุมชนดีพร้อม พร้อมจัดงานแฟร์เปิดพื้นที่โปรโมทสินค้า ดึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นชูผลิตภัณฑ์ เกิดผู้ประกอบการใหม่ ตอบโจทย์เทรนด์ตลาดโลก สร้างรายได้เข้าชุมชนต่อเนื่อง เผยเดินหน้าขยายผลพัฒนาต่อเนื่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

(25 ก.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันมุ่งสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของประเทศ เพื่อยกระดับและพัฒนาความสามารถด้านความรู้ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมีเป้าหมายส่งเสริมและพัฒนา 3 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ประกอบด้วย...

1. อาหาร (Food) 2.การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) และ 3. การจัดงานแสดงสินค้า (Fair) ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนประสบความสำเร็จและยังคงเดินหน้าขยายผลพัฒนาต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชนให้มากขึ้น

“ประเทศไทยมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนและมีชื่อเสียง ทั้งอาหาร วัฒนธรรม การแต่งกาย เครื่องดนตรี ฯลฯ จนกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวและทั่วโลกได้รู้จักสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นชุมชน ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญและช่วยกันพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน และให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ในส่วนของแฟชันไทยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เข้าไปยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอและผ้าพื้นเมือง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่ในรูปแบบใหม่ บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผสานเทคโนโลยี ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม จนสามารถผลิตผ้าไหมได้ถึง 24 ผลิตภัณฑ์ จาก 8 วิสาหกิจชุมชน สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้กว่า 7,000,000 บาท ทำให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้น 400,000 - 1,700,000 บาทต่อชุมชน 

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในงาน 'มัดทอใจ มรดกผ้าไทยร่วมสมัย' ภายใต้โครงการพัฒนาผ้าไหมไทยร่วมสมัย (Premium Thai Silk) ประจำปี 2566 รวมทั้งยังมีการจัดส่งผ้าไหมไทย เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ อาทิ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, อิตาลี และยุโรป ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี

ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหาร ที่นับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญของไทย ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ดำเนินการจัดโครงการเมนูเด็ดชุมชนดีพร้อม 22 เมนู ปั้นเชฟชุมชนดีพร้อม 22 ชุมชน ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นด้วย Soft Power ด้านอาหารผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้สูงถึง 25,000,000 บาท และเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายผลและต่อยอดเป็นโมเดลต้นแบบต่อไป

ซอฟต์พาวเวอร์อีกส่วนที่สำคัญคือ การจัดงานแสดงสินค้าหรืองานแฟร์ (Fair) เพื่อให้เกิดกลไกทางการตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ ผ่านการจัดกิจกรรมจัดงานแฟร์ตลอดทั้งปีทั่วประเทศ เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงฯ ได้มีช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้ใช้ของดีมีคุณภาพและมาตรฐาน และเป็นการกระตุ้นผู้ประกอบการเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง

โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดงาน 'อุตสาหกรรมแฟร์' กระจายตามพื้นที่ต่างๆ จำนวน 14 ครั้ง สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 700 ล้านบาท โดยปี 2567 มีแผนการจัดงานแฟร์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขยายขอบเขตบกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการปั้นผู้ประกอบการใหม่ที่สามารถพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สินค้าไทยสามารถเติบโตในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจชุมชนไทย

‘สามย่านมิตรทาวน์’ ปลื้ม!! ‘ยอดคนเดิน-เช่า’ ฉลุย!! เล็งปรับโซนใหม่ รับ ‘ฮัลโลวีน-ลอยกระทง-เคานต์ดาวน์’

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 66) นางธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPCT ผู้บริหารศูนย์การค้า สามย่านมิตรทาวน์ และสีลมเอจ เปิดเผยถึงภาพรวมในการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจรีเทลว่า ปัจจุบันสายธุรกิจรีเทลของบริษัทประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

สะท้อนจากตัวเลขทราฟฟิกซึ่งสูงขึ้นกว่า 40% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยมีทราฟฟิกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 77,000 คน/วัน รวมถึงสามารถรักษาอัตราการเช่าสูงถึง 98% และมีอัตราการต่อสัญญาอยู่ที่ 97% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจสำหรับการเป็น meeting place for all

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากที่บริษัทได้มีการพัฒนาพื้นที่รีเทลรูปแบบใหม่ให้มีความแตกต่างจากผู้เล่นรีเทลรายอื่น ภายใต้แนวคิด ‘การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน’ เมื่อ 4 ปีก่อน และได้สร้างกลยุทธ์เพื่อเดินหน้าธุรกิจท่ามกลางความท้าทายที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความแกร่งด้านที่ตั้งในทำเลศักยภาพ ด้วยการตั้งเป้าหมายรองรับกลุ่ม mass meet niche target ซึ่งมีความเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา สำหรับ สามย่านมิตรทาวน์ และกลุ่มคนทำงาน สำหรับ สีลมเอจ ที่เพิ่งเปิดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

พร้อมทั้งรองรับการให้บริการด้วย ecosystem ที่แข็งแกร่งภายในมิกซ์ยูสจากกลุ่มคนทำงานภายในอาคารสำนักงาน รวมถึงผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียม ให้กลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้ชีวิตได้ทุกช่วงเวลา โดยศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ และสีลมเอจ เป็นศูนย์การค้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง รวมถึงการสร้างสาธารณประโยชน์ให้แก่ชุมชน

อาทิ อุโมงค์เชื่อมมิตร จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่าน เข้าสู่สามย่านมิตรทาวน์, สวนลอยฟ้า พื้นที่ outdoor บนชั้น 5 สำหรับชมวิวเมือง รวมถึงการเปิดพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของนักศึกษา ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์อยู่อย่างต่อเนื่อง

นางธีรนันท์กล่าวต่อไปว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานหลังจากนี้ไปบริษัทจะยังคงเดินหน้าสานต่อจุดยืนในการเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ พร้อมสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนในด้านดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงมีส่วนร่วมให้ธุรกิจรายย่อยได้เติบโตผ่านพื้นที่ sandbox ด้วยการเปิดโอกาสให้ธุรกิจหน้าใหม่ และสินค้าทดลองตลาดได้แจ้งเกิดในพื้นที่เช่าแบบหมุนเวียน 3-6 เดือน เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความหลากหลายและสีสันให้กับประเภทร้านค้า ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

รวมถึงเดินหน้าเสริมจุดแข็งให้พื้นที่รีเทลด้วยการจับกระแสต่าง ๆ ให้ไวในการสร้างแคมเปญและกิจกรรมที่เป็นแม็กเนตการตลาดเพื่อดึงดูดใจผู้ใช้บริการ โดยในช่วง 4 เดือนหลังจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เข้ากับเทศกาลที่จะถึงนี้ อาทิ ฮัลโลวีน ลอยกระทง และปีใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ จากงาน ‘ลานนมสามย่าน Music Playground’ ที่จัดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับอย่างดี ปีนี้ก็มีเตรียมจะจัดงานนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยจะมีทั้งศิลปินดัง และร้านค้าต่าง ๆ จำนวนมาก ที่จะมาช่วยสร้างสีสันในช่วงเทศกาลเคานต์ดาวน์ ที่สามย่านมิตรทาวน์ ตั้งแต่วันที่ 27-31 ธันวาคม 2566

สำหรับในต้นปีหน้า นอกจากการขยายพื้นที่รีเทลและปรับสัดส่วนของร้านค้าภายในสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจแล้ว ยังจะมีการเพิ่มโซนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำงานให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน

“ในฐานะต้นแบบอาคารสำนักงาน-พื้นที่รีเทลแห่งแรงบันดาลใจที่สร้างสรรค์สังคม บริษัทมีเจตนารมณ์ที่จะดำเนินธุรกิจเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคน และควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG เพื่อขับเคลื่อนองค์กร และสังคมให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน” นางธีรนันท์ กล่าว

‘ททท.’ รับเทรนสายมู ทำ E-Book โปรโมตสถานที่ 60 แห่งทั่วไทย หวังสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่ ดึงนทท.เข้าประเทศมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.66) การท่องเที่ยวเชิงศรัทธากำลังเป็นที่สนใจในตลาดโลก ตามรายงานข้อมูลจาก Future Market Insight ในปี 2566 ได้รายงานว่า การท่องเที่ยวมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ททท. เล็งเห็นโอกาสจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณและการเติบโตของ ‘เศรษฐกิจสายมู’ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันส่งเสริมกระแสการท่องเที่ยวสายมูในประเทศไทยสนับสนุนการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ โปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและวัฒนธรรม 60 แห่งสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศ

ทั้งนี้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและอธิบายถึงความเชื่อ ของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณต่างๆ แก่ชาวต่างชาติ ให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธา รวมถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น

ขยายความหมายและเหตุผลว่าทำไมนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงให้ความศรัทธาและเดินทางไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ หรือสถานที่นั้นๆ ในแง่วัฒนธรรมที่หลอมรวมกลายเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ของประเทศไทยที่น่าสนใจในความแตกต่างและความหลากหลาย สะท้อนถึงพหุวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่าง ความเชื่อกับศาสนานำมาเชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางแห่งความศรัทธาให้ นักท่องเที่ยว

โดยรวบรวมข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวสายมูเตลูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวม 60 แห่ง โดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งในเมืองหลัก และจังหวัดเมืองรอง เพื่อส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวในเขตเมืองรองเพิ่มขึ้น โดยเน้นการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและมีคุณค่า พร้อมทั้งภาพถ่ายที่งดงามเพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยเนื้อหาประกอบด้วยการแนะนำสถานที่ด้วยภาพถ่ายประกอบแผนที่การเดินทาง และสร้างเนื้อหาบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจในแต่ละสถานที่ และทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนในการไปเยี่ยมชมได้ง่าย ได้รับข้อมูลที่สร้างความเข้าใจที่มากขึ้นในแง่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาว่าทำไมสถานที่นี้จึงถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับรายละเอียดวิธีการเคารพบูชา การอธิษฐานขอพร หรือการภาวนาที่ถูกต้อง ณ สถานที่แต่ละแห่งนั้น

ทั้งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวสายมูที่แนะนำภายใน E-book เล่มนี้ ได้แก่

ศาลหลักเมือง ศาลพระพรหมเอราวัณ วัดศรีมหามาเรียมมัน (วัดแขก) ศาลแม่นาคพระโขนง ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร
วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
วัดสมานรัตนาราม วัดโพรงอากาศ (พระอาจารย์สมชาย) อุทยานพระพิฆเนศ องค์ยืน ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ปราสาทสัจธรรม พัทยา จังหวัดชลบุรี
วัดเจดีย์หอย จังหวัดปทุมธานี
วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม วัดทับศิลา จังหวัดกาญจนบุรี วัดป่าพุทธาราม จังหวัดราชบุรี
ศาลพุ่มพวง จังหวัดสุพรรณบุรี
สวนสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ และวัดพระธาตุดอยคำ จังหวัดเชียงใหม่
วัดบ้านปาง (วัดครูบาศรีวิชัย) จังหวัดลำพูน
ศาลหลักเมือง จังหวัดเชียงราย
อุทยานไทรงาม พิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศาลปู่พญานาค อนันตนาคราช จังหวัดมุกดาหาร
พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม
สะดือแม่น้ำโขง วัดภูทอก และถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ
คำโชนด จังหวัดอุดรธานี
วัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดหนองบัวลำภู
ถ้ำพระยานคร เขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หอพระอิศวร วัดเจดีย์ไอ้ไข่ หลวงปู่ทวด เกาะนุ้ยนอก จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่

‘โลตัส’ ครองตำแหน่ง ‘บริษัทที่น่าทำงานด้วยที่สุดในเอเชีย’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ผลพวงจากการดูแลเพื่อนพนักงานที่เป็นเลิศ ผ่านกลยุทธ์ 3C ขององค์กร

(25 ก.ย. 66) โลตัส ตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง ได้รับการยกย่องเป็นองค์กรโดดเด่นที่น่าทำงานด้วยที่สุดในเอเชีย คว้ารางวัลระดับสากล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 โดยนิตยสาร HR Asia ของบริษัท Business Media International (BMI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนความมุ่งมั่นของโลตัสในการเป็นผู้นำองค์กรที่เป็นเลิศด้านการดูแลเพื่อนพนักงาน ผ่านกลยุทธ์ 3C คือ Capacity, Capability และ Culture เพื่อเป็นองค์กรที่ส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้เพื่อนพนักงานในทุกมิติของการทำงาน พร้อมยกระดับทักษะความสามารถเพื่อนพนักงานเพื่อโอกาสในการเติบโต และตอบโจทย์องค์กรเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่สำเร็จร่วมกัน

นายธนกฤต ฉันทวิทิตพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานทรัพยากรบุคคล (เอเชีย) โลตัส กล่าวว่า “โลตัส เดินหน้าในการเป็นองค์กรที่โดดเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยมุ่งมั่นในการดูแลเพื่อนพนักงานทั้งในสำนักงานใหญ่ สาขาและศูนย์กระจายสินค้าของโลตัสทั่วประเทศ การได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 สะท้อนความสำเร็จและความไว้วางใจของเพื่อนพนักงาน จากนโยบายของโลตัสด้านการดูแลเพื่อนพนักงานที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในเวทีสากล โดยมี กลยุทธ์ 3C ได้แก่ Capacity ผ่านการวางรากฐานโครงสร้างองค์กร สร้างแบรนด์นายจ้างของโลตัสที่เข้มแข็งจากภายในสู่ภายนอก และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่และต่อยอดสู่การจ้างงานในอนาคต สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของโลตัส Capability ผ่านการพัฒนาทักษะของเพื่อนพนักงาน ทั้งการพัฒนาคนดีคนเก่งขององค์กร ทักษะความเป็นผู้นำ ยกระดับ digital skill และทักษะแห่งนวัตกรรม Culture สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมโลตัสให้เป็นสถานที่น่าทำงาน โดยมีรูปแบบการทำงานตามแนวคิด SMART (Simple, Motivated, Agile, Responsible, Transformative) สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี เปิดรับทุกความแตกต่างหลากหลาย ทั้งอายุ เพศ ศาสนา ฯลฯ พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมความรู้สึกที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีให้เพื่อนพนักงาน เพราะเพื่อนพนักงานคือบุคคลสำคัญขององค์กรในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสู่ความสำเร็จ โลตัสจึงเดินหน้าพัฒนาทักษะไปพร้อมกับการสร้างความสุขให้เพื่อนพนักงาน และสร้างความผูกพันต่อองค์กร เพื่อให้เพื่อนพนักงานสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมให้บริการและส่งต่อความรู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส ให้กับลูกค้าของเรา”

ในปี 2023 นอกจากรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 แล้ว โลตัส ยังได้รับรางวัล Top Employer 2023 in Thailand นายจ้างดีเด่นประจำประเทศไทย จาก Top Employers Institute ประเทศเนเธอร์แลนด์ อีกด้วย ตอกย้ำความเป็นผู้นำองค์กรที่เป็นแบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส

วันนี้วันแรก!! รัฐบาลเริ่มใช้มาตรการ ‘วีซ่าฟรี’  อ้าแขนต้อนรับ นทท.จีน-คาซัคฯ กระตุ้นการท่องเที่ยว

วันนี้ (25 ก.ย. 66) จะเป็นวันแรกที่รัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (วีซ่าฟรี) ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ จะเดินทางมายังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและมอบของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาโดยสายการบิน Thai Air Asia X (ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์) เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ ณ บริเวณประตูเทียบเครื่องบิน D4

ทั้งนี้เที่ยวบินที่ XJ761 วันที่ 25 กันยายน 2565 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด  341 คน โดยเป็นผู้โดยสารชาวจีน คิดเป็น 90 % และชาวต่างชาติ คิดเป็น 10 % โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT 80% และ 20%

อย่างไรก็ตามมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA Exemption) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 โดยรัฐบาลได้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน ให้สามารถเข้ามาและพำนักในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยจะยกเว้นเป็นเวลา 5 เดือน เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงระดับประชาชน รวมทั้งมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถาน

มาตรการดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวคาซัคสถานที่จะเดินทางมาไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะสามารถเดินทางมาไทยได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (ไม่ต้องขอวีซ่าจึงไม่มีค่าธรรมเนียม) และเป็นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามนโยบายรัฐบาล

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวตลาดจีนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของประเทศไทย โดยยังมีการฟื้นตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 และเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นแรงส่งช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่มีการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวนประมาณ 1,912,000 - 2,888,500 คน ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 41 - 62  สร้างรายได้เข้าประเทศ 92,583 - 140,313 ล้านบาท

ขณะที่นักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วง 5 เดือนดังกล่าวจะมีจำนวนประมาณ 129,485 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ประมาณ 7,930 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการ Quick Win ที่รัฐบาลใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะสั้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 10 กันยายน 2566 จำนวน 2,284,281 คน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด

ทั้งนี้ถ้าไม่มีมาตรการในการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) จะมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,470,430 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราการฟื้นตัวร้อยละ 31 สร้างรายได้ 174,358 ล้านบาท

แต่เมื่อมีการยกเว้นการตรวจลงตราจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการกระตุ้นตลาด ทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 4.04-4.4 ล้านคน และมุ่งสู่เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ 257,500 ล้านบาทในปี 2566

เนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (Ease of Traveling) นักท่องเที่ยวไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการขอตรวจลงตรา และเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น รวมถึงในช่วงวันที่ 1- 8 ตุลาคมนี้ที่จะเป็นช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว

ประกอบกับพันธมิตรด้านสายการบินมีความพร้อมจัดทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน ตลอดจนการเปิดเส้นทางการบินใหม่ อาทิ เฉิงตู - สมุย, ปักกิ่ง - เชียงใหม่, กวางโจว - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - เชียงใหม่, เซี่ยงไฮ้ - ภูเก็ต, กวางโจว - ภูเก็ต, คุนหมิง - หาดใหญ่ ทั้งระยะของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรายังครอบคลุมถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่และตรุษจีนที่จะช่วยส่งเสริมกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในช่วงต้นปี 2567 อีกด้วย

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT กล่าวว่าหลังจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการ Visa Free สนามบินสุวรรณภูมิคาดว่าจำนวนเที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเพิ่มขึ้น

โดยคาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ คือ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 จะมีเที่ยวบินรวม 674 เที่ยวบิน (เฉลี่ย 96 เที่ยวบินต่อวัน) เป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 337 เที่ยวบิน

ในส่วนประมาณการผู้โดยสารคาดว่าจะมีผู้โดยสารจากเที่ยวบินจีนรวม 130,593 คน (เฉลี่ย 18,656 คนต่อวัน) แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้า 65,584 คน ขาออก 65,009 คน

สำหรับเที่ยวบินระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ และสาธารณรัฐคาซัคสถาน คาดว่าในช่วง 7 วันแรกของมาตรการ ระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2566 มีเที่ยวบินรวม 6 เที่ยวบิน

แบ่งเป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 3 เที่ยวบิน เท่ากับช่วงก่อนมีมาตรการ แต่คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,338 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ขาละ 669 คน

การเตรียมความพร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิ ในการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก นั้นได้มีการบูรณาการการบริหารจัดการในขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

กระบวนการผู้โดยสารขาเข้า คือ 
1.ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ตม.) ขาเข้า 138 ช่องตรวจ (ช่องปกติ 118 ช่องตรวจ และช่อง Visa On Arrival อีก 20 ช่องตรวจ) และมีเครื่อง Auto Channel จำนวน 16 เครื่อง

สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง (กรณีที่มีการใช้งานทุกช่องตรวจ) ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน และมีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 1,550 ตารางเมตร ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิได้วางแนวทางดำเนินการกรณีเกิดความหนาแน่นบริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 11.00 - 16.00 น.) 

2.ขั้นตอนรับกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสายพานรับกระเป๋าขาเข้าสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ 4 สายพาน และสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ 18 สายพาน โดยหากเกิดความหนาแน่นบริเวณสายพานรับกระเป๋า สนามบินสุวรรณภูมิจะกำกับดูแลและติดตามเวลา First Bag และ Last Bag ของผู้ให้บริการภาคพื้นและสายการบิน

ปัจจุบันผู้รับสัมปทานผู้ให้บริการภาคพื้น (บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก ไฟลท์ เซอร์วิส จำกัด) สามารถทำได้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นจากช่วงปลายปี 2565

กระบวนการผู้โดยสารขาออก สนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการบริหารจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

1.ขั้นตอนการเช็กอินซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเคาน์เตอร์เช็กอิน แบบเดิม 302 เคาน์เตอร์ (ใช้เวลาเฉลี่ย 3 นาทีต่อคน) และมีเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) จำนวน 196 เครื่อง และเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) จำนวน 50 เครื่อง (ใช้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน) และกำหนดแนวทางการลดปัญหาความหนาแน่น โดยการทำ Early Check-in พร้อมประสานสายการบินให้นั่งเคาน์เตอร์ให้เต็ม และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารใช้ CUSS และ CUBD

2. บริการจุดตรวจค้น ซึ่งปัจจุบันมีจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศจำนวน 3 โซน เครื่องเอ็กซเรย์ 25 เครื่อง และมีการติดตั้งระบบ Automatic Return Tray System (ARTS) ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจค้นไม่เกิน 7 นาทีต่อคน วางแนวทางลดความหนาแน่น โดยเกลี่ยแถวในโซนจุดตรวจค้นที่หนาแน่น

3. ขั้นตอนการตรวจลงตรา ซึ่งปัจจุบันมีช่องตรวจหนังสือเดินทาง ตม.ขาออก 69 ช่องตรวจ และเครื่อง Auto Channel 16 เครื่อง ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อคน มีพื้นที่รองรับผู้โดยสาร 2,199 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4,149 คนต่อชั่วโมง

โดยได้วางแนวทางลดความหนาแน่นบริเวณ ตม.ขาออก โดยประสานเจ้าหน้าที่ ตม.ให้นั่งเต็มทุกเคาน์เตอร์ในชั่วโมงหนาแน่น (ช่วงเช้าระหว่างเวลา 06.00 - 07.00 น. ช่วงกลางวันระหว่างเวลา 14.00 - 15.00 น. และช่วงกลางคืนระหว่างเวลา 21.00 - 23.00 น.)

‘ปลัด มท.’ ปลื้ม!! งาน ‘OTOP Midyear 2023’ วันแรก สุดคึกคัก!! ชวนชม-ชิม-ช้อปสินค้าคัดสรรจากทุกภูมิภาค คาด เงินสะพัด 50 ลบ.

ปลัด มท.ปลื้ม วันแรกของการจัดงาน ‘OTOP Midyear 2023’ เงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท พร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมเที่ยวงาน ‘OTOP Midyear 2023’ พบกับความหลากหลายของสินค้าที่คัดสรรจากทั่วทุกภูมิภาคของไทย มาให้ ชม ชิม ช้อป กันอย่างจุใจ ได้จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2566

( 24ก.ย. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึง ตัวเลขการจัดจำหน่ายสินค้าภายในงาน ‘OTOP Midyear 2023’ ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 23 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันแรกของการจัดงาน พบมีผู้เข้าชมงานรวมทั้งสิ้น 15,966 คน และมียอดการจำหน่ายและสั่งซื้อสินค้า รวมทั้งสิ้น 50,803,466 บาท แบ่งเป็น ยอดจำหน่าย 48,289,471 บาท และยอดสั่งซื้อ 2,513,995 บาท โดยคาดหวังว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทย จะได้แสดงให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ของชุมชน ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุดที่เป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่มีคุณค่าจากฝีมือคนไทย ทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านศิลปาชีพ มากำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจฐานรากเพื่อเพิ่มพูนรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน โดยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการผ่านโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่สามารถกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ชนบทได้อย่างแท้จริง กิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP การส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และการส่งเสริมช่องทางการตลาด

โดยกำหนดให้มีการจัดงานแสดงและจำหน่ายทั้งระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ โดยการจัดงาน OTOP Midyear 2023 จัดขึ้นเป็นปีที่ 17 ภายใต้ธีมงาน “ที่สุดแห่งภูมิปัญญา รังสรรค์จากการพัฒนา เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย” เป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีความล้ำค่าจากฝีมือคนไทยที่สะท้อนภูมิปัญญาและความสามารถของคนไทยอย่างชัดเจน รวมถึงมีการสร้างบรรยากาศภายในงานจากเอกลักษณ์ของภูมิปัญญาที่แสดงความเป็นท้องถิ่นไทยในแต่ละภูมิภาค ผสมผสานกับสีสันส่งท้ายปีที่สร้างความคึกคัก เต็มไปด้วยความสนุกสนานของกิจกรรม และของรางวัลมากมาย

และในปีนี้มีผู้ประกอบการร้านค้าร่วมจำหน่ายในงานทั้งสิ้น 1,670 ราย และมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก โดยภายในงานมีกิจกรรมที่มีความหลากหลาย ประกอบด้วย โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โซน OTOP Trader จังหวัดและประเทศไทย จัดสรรพื้นที่ในรูปแบบ Open Area เพื่อจัดแสดงผลงานและจัดหาช่องทางทางการตลาดให้แก่สินค้า OTOP ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โซนแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP 3 – 5 ดาว ที่ผ่านการคัดสรรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ประจำปี พ.ศ. 2565 กว่า 1,200 บูธ และโซนโอทอปชวนซิม มากกว่า 160 ร้านค้าทั่วประเทศ

สำหรับไฮไลต์สำคัญของงานนี้ คือ โซนศิลปิน OTOP จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากศิลปิน OTOP กว่า 40 ราย ที่อนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น โซนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โซนผ้าไทยใส่ให้สนุกและ First Lady โซนพิเศษภายในงานอีกมากมาย อาทิ โซน Health & SPA ที่ได้สร้างสรรค์พื้นที่ภายในงานให้ทุกท่านได้พักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์สปาไทย พร้อมกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรคุณภาพดีให้ได้เลือกช้อป

นอกจากนี้ ยังมีมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินนักร้องชื่อดังมาร่วมสร้างความบันเทิงอย่างคับคั่ง ได้แก่ แช่ม แช่มรัมย์ นนทิยา จิวบางป่า รัชนก ศรีโลพันธุ์ ลำยอง หนองหินห่าว ไรอัล ไมค์หมดหนี้ ตรี ชัยณรงค์ เต๋า ภูศิลป์ หญิง ธิติกานต์ และป๊อป ปองกูล รวมถึงการจับสลากรางวัลชิงโชค ไม่น้อยกว่า 20 รางวัล และในวันสุดท้ายของการจัดงานร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่ทองคำ มูลค่ากว่า 200,000 บาท

นายสุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ถือเป็นวันแรกของการจัดงาน พบว่ามียอดการจำหน่ายและสั่งซื้อสินค้า รวมทั้งสิ้น 50,803,466 บาท แบ่งเป็น ยอดจำหน่าย 48,289,471 บาท และยอดสั่งซื้อ 2,513,995 บาท โดยมีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายได้สูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1) เครื่องประดับเงิน (Buddlaya) จ.สระแก้ว 3,820,000 บาท 2) ชุดเครื่องประดับงาช้าง (ศิริพรเครื่องประดับงาช้าง) จ.สุรินทร์ 2,950,000 บาท 3) ทองสุโขทัย (นางสมสมัย เขาเหิน) จ.สุโขทัย 966,400 บาท 4) ชุดผีเสื้อนพเก้า (นายจารุเดช เครือปัญญา) จ.ปทุมธานี 760,000 บาท และ 5) ทับทิมรวงข้าว (ร้านมณีแดงทับทิมไทย) จ.จันทบุรี 655,000 บาท

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรม "ที่สุดแห่งภูมิปัญญา รังสรรค์จากการพัฒนา เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย" แฟนพันธุ์แท้ OTOP ยังคงช้อปได้อย่างสนุกสนาน ซึ่งภายในงานมีหลายโซนนำสินค้ามาจำหน่ายในราคาพิเศษเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้จับจ่าย... ยิ่งช้อปยิ่งได้! เมื่อช้อปปิ้งครบทุก ๆ 500 บาท สามารถแลกคูปอง 1 ใบ ส่งชิงโชคจับสลาก วันละ 2 รอบ (รอบแรก 13.00 น. และรอบที่สอง เวลา 19.00 น.) โดยจะมอบรางวัลให้ผู้โชคดี รอบละ 10 ท่าน ทั้งนี้ ผู้ได้รับรางวัลสามารถแสดงตัวพร้อมหลักฐานติดต่อรับรางวัลได้ข้างเวทีการแสดง และสามารถแลกของรางวัลได้ตั้งแต่จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2566

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านร่วมสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในงาน OTOP Midyear 2023 พร้อมพบกับความหลากหลายของสินค้าที่คัดสรรจากทั่วทุกภูมิภาคของไทยมาให้ ชม ชิม ช้อป กันอย่างจุใจ

โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 – 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนในการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้พี่น้องผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และสามารถติดตามข่าวสารและรับชมการถ่ายทอดสดบรรยากาศและกิจกรรมภายในงานได้ทาง Facebook Fanpage : กรมการพัฒนาชุมชน หรือ ‘OTOP TODAY OTOP Midyear 2023’

‘อ.อ.ป.’ แนะ ‘หยุดเผา – ลดฝุ่นควัน – รักษาผืนป่า’ แก้ปัญหาฝุ่นยั่งยืน ผ่านการขายคาร์บอนเครดิต

อย่างที่ทราบกันดีว่า พื้นที่ป่า มีประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านสังคม และทางด้านสิ่งแวดล้อม

โดยผลประโยชน์ทางด้านสังคม คือเป็นการสร้างงานนะ สร้างความมั่นคงให้แก่ชุมชนที่อยู่โดยรอบสวนป่าหรืออยู่ในพื้นที่สวนป่า สามารถใช้เป็นแหล่งหาอาหารหรือสิ่งจําเป็นในปัจจัยสี่ได้เช่นกัน
ส่วนทางด้านสิ่งแวดล้อม คือสร้างอากาศที่ดี สร้างสมดุลทางนิเวศนะครับในบริเวณพื้นที่และบริเวณโดยรอบ

และในปัจจุบัน ผืนป่ายังสามารถสร้างรายได้คืนสู่ชุมชนได้ด้วย ผ่านการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ที่จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นควันได้ หากทุกชุมชนที่อยู่ใกล้ฝืนป่าช่วยกันดูแลป่าไม้ให้สมบูรณ์และลดการทำลายผืนป่าด้วยการเผา

นายณรงค์ชัย ชลภาพ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจคาร์บอน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตว่า คาร์บอนเครดิตเปรียบเทียบได้กับโบนัสจากผืนป่า เหมือนกับคนที่ทํางานมาทั้งปี แล้วได้โบนัสจากผลการทำงานหนัก ซึ่งคาร์บอนเครดิตคือโอกาส ที่จะมาสนับสนุนในกิจการในทุกกิจการที่มีความเกี่ยวข้องกับทั้งการลดปลดปล่อยและการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยกตัวอย่างในส่วนขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีพื้นที่สวนป่าในเขตจังหวัดเชียงใหม่ อยู่จำนวน 12 สวนป่า คิดเป็นพื้นที่รวมประมาณ 70,000ไร่ กระจายอยู่ในทุกอําเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่ถึง 1% ของพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่จากการประเมินพบว่า สามารถที่จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ประมาณ 100,000 ตัน ซึ่งค่าการดูดซับที่ได้สามารถนำไปขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้

ในส่วนของการกำจัดตอซังข้าวโพดก็เช่นกัน หากการตรวจวัดการแปลงค่าเป็นการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ก็สามารถนำไปเคลมคาร์บอนเครดิตได้ เพราะการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเหลือตอซังอยู่ในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรจะใช้วิธีเผา เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกรอบใหม่ แน่นอนว่า เป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมาก แต่หากมีการประเมินว่าในการเผาในแต่ละครั้งนั้นสร้างก๊าซคาร์บอนฯจำนวนเท่าใด ก็จะเข้าโครงการคาร์บอนเครดิตได้ แต่ต้องควบคุมไม่ให้ถูกเผาเลย พร้อมกับพิสูจน์ได้ว่าตอซังข้าวโพดไม่ถูกเผาจริง ๆ เป็นจำนวนเท่าใด ก็จะสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตได้เท่านั้น ซึ่งปัจจัยสำคัญคือต้องสร้างการยอมรับจากผู้ซื้อให้ได้

“หากทุกหน่วยงานสามารถรณรงค์ให้เกษตรกรหยุดเผาตอซังข้าวโพดในพื้นที่ภาคเหนือได้ จะเกิดประโยชน์หลายด้านทีเดียว ทั้งการลดฝุ่น PM2.5 ลดโอกาสการเกิดไฟป่า และยังสามารถนำไปเคลมคาร์บอนเครดิตกลับมาเป็นรายได้เพื่อพัฒนาชุมชนได้ด้วย ขณะเดียวกันเกษตรกรยังมีทางเลือกสร้างรายได้ให้กับตนเองเพิ่มขึ้น ด้วยการเก็บตอซังข้าวโพดและเศษใบไม้นำไปขายเข้าโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะช่วยลดการเกิด PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ได้อย่างยั่งยืน”

‘ภูมิธรรม’ เดินหน้าลดราคาสินค้า-ดึงร้านธงฟ้ารับดิจิทัลวอลเล็ต หนุน ปชช.ได้สินค้าราคาถูก-ลดค่าครองชีพ คาด ต.ค.นี้ ชัดเจน

‘ภูมิธรรม’ ย้ำลดราคาสินค้าได้เห็นแน่ หลังทำการวิเคราะห์ต้นทุนรายตัว เริ่มเห็นสัญญาณดี แม้จะลดไม่ได้ทั้งหมด แต่มีแน่ คาดต้น ต.ค.นี้ ชัดเจน ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด จะเดินหน้าต่อไป เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ให้สามารถซื้อสินค้าราคาประหยัด และลดภาระค่าครองชีพ เผยจะดึงร้านธงฟ้า เข้าร่วมใช้จ่ายในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตด้วย

(24 ก.ย. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมชมการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด ที่วัดบำเพ็ญเหนือ/วัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังติดตามการลดราคาสินค้า หลังจากที่ต้นทุนการขนส่งได้ปรับลดลง จากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล โดยได้ทำการคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละรายการแล้ว แม้จะลดไม่ได้หมด แต่จะพยายามเอาส่วนต่างๆ มาลดให้ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ตัวไหนลดได้ จะลดทันที ตัวไหนที่ลดไม่ได้ จะพยายามตรึงราคาไว้ และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน และถ้าหากมีปัจจัยเงื่อนไขอื่นที่สามารถลดราคาได้อีก ก็จะพยายามให้ปรับลดลง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 นี้

ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดนี้ เป็นโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ทำคู่ขนานไป จากที่จะดูแลประชาชนในวงกว้าง ก็ทำการเปิดจุดจำหน่ายเจาะลึกไปยังแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 100 จุด โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ นำสินค้าราคาประหยัดถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 50-60% มาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก โดยสินค้าที่นำมาลดราคา เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หมูเนื้อแดง ไก่ นม อาหารต่างๆ ซองปรุงรส อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นต้น และยังมีผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งตอนนี้เป็นมังคุด และลองกอง

สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแล เพื่อให้มีจุดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ได้ โดยร้านธงฟ้า จะผลักดันให้เข้าในโครงการเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่กังวงเรื่องการเก็บภาษี มองว่าอย่าไปกังวล เพราะไม่ใช่เป้าหมายของรัฐบาล เป้าหมายของรัฐบาลคือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ คือทุกคนทั่วหน้าทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องประชาชน ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดีก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็จะดีขึ้น การจ้างงานต่างๆ จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง ก็จะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย หวังว่า 6 เดือนที่ใช้เงินจำนวนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้มันดีขึ้น ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและการสร้างงาน

ส่วนกรณีนายทุนใหญ่มาฮุบตลาด ทำให้ผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบ จากการขายหมูถูกจากนายทุนใหญ่ และนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จะมีการพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องของการกำหนดราคาให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้เท่าที่ดูราคาหมูก็ได้มาตรฐานตามกลไกตลาดอยู่แล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด ในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับผู้ประกอบการรายเล็ก ถ้ากระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นต้นทางที่อยู่กับผู้ผลิตเสนอมาตนก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ยินดีร่วมมือและช่วยเหลือ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีการพูดคุยกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถือเป็นต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตนจะพยายามลดราคาปุ๋ย และพยายามจะเพิ่มราคามันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าสิ่งเหล่านี้มีการประสานงานกันสิ่งที่คาดหวังก็อาจจะเกิดขึ้นได้

‘สุริยะ’ เดินหน้าลุยโครงการพัฒนาคมนาคม ‘อุดรธานี-สกลนคร’ สั่งซ่อมบำรุงเส้นทางสัญจร เพิ่มความสะดวก-ปลอดภัยแก่ ปชช.

(24 ก.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญ ของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและสกลนคร และลงพื้นที่ก่อสร้างโครงข่าย ทางหลวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมด้วย นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม, นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม, นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร, นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง, นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท, นายปริญญา แสงสุวรรณ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน และนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนร่วมให้การต้อนรับ เมื่อวันที่  23 กันยายน 2566 ณ ห้องประชุมแขวงทางหลวงอุดรธานีที่ 1 จังหวัดอุดรธานี

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและสกลนคร ให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่และสามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อความอุดมสุขของประชาชน จึงได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและสกลนคร ดังนี้

การพัฒนาทางหลวงที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
1.) โครงการทางหลวงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ ทล.216 ถนนวงแหวนรอบเมืองอุดรธานี (ด้านตะวันออก) ทล.2 ตอน บ้านห้วยหินลาด - อำเภอโนนสะอาด และ ทล.2023 ตอน อำเภอกุมภวาปี - บ้านโนนสวรรค์ ระยะทางรวม 57 กิโลเมตร

2.) โครงการทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ได้แก่ ทล.2 ตอน อุดรธานี - อำเภอสระใคร (เป็นตอนๆ) ดำเนินการบูรณะพร้อมขยายถนนเป็น 6 ช่องจราจร คืบหน้า ณ เดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 90.20% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567

3.) โครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมของบประมาณปี 2567 ได้แก่ ทล.2263 ตอน อุดรธานี - บ้านเพีย (กุดจับ) งานซ่อมสะพานข้ามลำน้ำปาว ทล.2023 ตอน น้ำฆ้อง - ศรีธาตุ ทล.2350 ตอน หนองหาน - กุมภวาปี ทล.2096 หนองเม็ก - คำตากล้า และ ทล.2022 ตอน นิคม - บ้านดุง

นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคตในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีอีก  5 โครงการ ระยะทางรวม 229.69 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้างรวม 27,596 ล้านบาท

การพัฒนาทางหลวงที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดสกลนคร
1.) โครงการทางหลวงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ ทล.2 สกลนคร - นครพนม ตอน 1 และ 2 และ ทล.2 อำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ตอน 1 และ 2 ระยะทางรวม 83 กิโลเมตร

2.) โครงการทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ได้แก่ ทล.223 สกลนคร - อำเภอธาตุพนม ตอน สกลนคร - อำเภอนาแก ขยายเป็น 4 ช่องจราจร ความคืบหน้า ณ เดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 95.62% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566

3.) โครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมของบประมาณปี 2567 ได้แก่ ทล.222 ตอน พังโคน - หนองแวงทล.2218 ตอน คำเพิ่ม - ห้วยบาง และ ทล.227 ตอน บ้านผาสุก - พังโคน

นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคตในพื้นที่จังหวัดสกลนครอีก 10 โครงการ ระยะทางรวม 207 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้าง 10,140 ล้านบาท

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย ถนนสาย ทล.2263 สายอุดร - กุดจับ ตรวจสอบความชำรุดของสะพานลำน้ำปาว เชื่อมต่อระหว่างอำเภอกุมภวาปีและอำเภอศรีธาตุ โครงการขยายช่องทางจรจรบน ทล.2023 สายน้ำฆ้อง - วังสามหมอ ตั้งแต่เมืองเก่า (บ้านพันดอน) ถึงเมืองใหม่ อำเภอกุมภวาปี ตรวจสอบและศึกษาการออกแบบโครงการขยายช่องจราจรถนน ทล.2350 ตอน หนองหาน - กุมภวาปี และ ทล.2022 สายสุมเส้า - บ้านดุง

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้พบปะพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานีที่มารอต้อนรับ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบวิถีชีวิต ครอบคลุมทุกมิติ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้

1.) ให้ ทล. ทช. และหน่วยงานอื่น ๆ รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้แทนประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่

2.) ให้พัฒนาเส้นทางคมนาคมรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่จะมาร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก 2569 ณ จังหวัดอุดรธานี

3.) จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน พบว่า มีบางเส้นทางผิวทางชำรุด คับแคบ ไม่สะดวกในการเดินทาง ซึ่ง ทล. ได้ดำเนินการซ่อมบำรุงเพื่อบรรเทาปัญหาในเบื้องต้น ตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปี 2566 แล้ว ดังนั้น เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมขนส่งมีประสิทธิภาพ มีความสะดวก ปลอดภัย และแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ตนจะเร่งรัดการจัดสรรงบประมาณให้ ทล. ทช. นำมาพัฒนาเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียงต่อไป

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ฝากบัญญัติ 10 ประการ รัฐบาลใหม่ ผลักดันเศรษฐกิจไทย โตก้าวกระโดดครึ่งปีหลัง

จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 24 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า... 

ประเทศไทยปีนี้น่าจะไปได้สวย เมื่อต้นปีเราเชื่อมั่นว่าในปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวและเอื้ออำนวยต่อการเติบโตต่อประเทศไทยมากยิ่งขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกก็เปลี่ยนไปเมื่อเศรษฐกิจจีนใน Q2 เริ่มมีอัตราเติบโตลดน้อยลง ทำให้หลายคนที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยวผิดหวังไปตามๆ กัน  แต่ผมยังเชื่อว่าในปี 2566 นี้ เศรษฐกิจไทยยังคงดีอยู่ จากเงินเฟ้อที่แม้จะมีอัตราสูงขึ้นจากปีที่แล้ว แต่ในปีนี้มีแนวโน้มชะลอลงอย่างชัดเจน รวมถึงแรงกดดันที่ส่งผลให้ธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นมีลดน้อยลง 

ทั้งนี้ ถ้าวิเคราะห์เศรษฐกิจไทย ก็จะมีทั้งดีและไม่ดี อย่างในช่วง Q1 ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก แต่พอมาใน Q2 นักท่องเที่ยวเริ่มซาลง แต่เมื่อสรุปโดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวในครึ่งปีแรก 12 ล้านคน นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็กลับมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งตัวเลขการส่งออกของไทยติดลบทุกเดือน จึงเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง เราเคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี น่าจะโตได้ 3%  โดยครึ่งแรกปีคาดเติบโตประมาณ 2.2 % เมื่อเทียบเคียงกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งหมายความว่าช่วงครึ่งหลัง เศรษฐกิจไทยควรเติบโตมากกว่า 4% ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ายังเป็นไปได้ 

สำหรับรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ อ.พงษ์ภาณุ ได้ฝากบัญญัติ 10 ประการ ที่อยากให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนไว้ดังนี้…

1.การใช้นโยบายการคลังที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย (Fiscal Stimulus) 
2.ธนาคารแห่งประเทศควรชะลอการขึ้นดอกเบี้ย 
3.เตรียมแผนรับมือเมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ 
4.ให้ความสำคัญกับความถดถอยของภาคอุตสาหกรรม ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และภาคส่วนอื่นๆ 
5.ส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าการลงทุน 
6.การปฏิรูปการคลังและภาษี 
7.ให้ความสำคัญกับมาตรการแก้ปัญหาโลกร้อน 
8.ยกระดับการลงทุนของประเทศ 
9.การใช้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 
และ 10.ผลักดันการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นไปตามเป้าหมายต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top