Monday, 20 January 2025
ECONBIZ NEWS

‘พลังงาน’ ยัน กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ชี้ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล จะนำมารวมเต็มกำลังการผลิตไม่ได้

กระทรวงพลังงาน เผยขอยืนยันว่า ปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศหรือ Reserve Margin อยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่สามารถนำมานับรวม 100% ได้ เพราะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา และแม้ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมากำลังผลิตไฟฟ้าอาจอยู่ในระดับสูงเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ปัจจุบันก็บริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว

(27 ธ.ค. 67) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยที่สูงถึง 50% นั้น ขอเรียนชี้แจงว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ซึ่งการคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องคำนวณจากการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้จริง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้ 

ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา อาจจะสูงซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าอาจจะไม่มีความสอดคล้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่ในปัจจุบันหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจึงไม่ได้สูงถึง 50% ตามที่มีการเผยแพร่

ด้าน  Peak Demand หรือความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบทั้ง 3 การไฟฟ้า ในปีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์ ในระยะหลังการเกิด Peak จะเป็นช่วงกลางคืนซึ่งต่างจากในอดีต แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของประชาชนเปลี่ยนไป ทั้งนี้ การใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว กำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาประมาณ 46,191 เมกะวัตต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงนั้นเพียง 25.5% เท่านั้น

“กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ กำลังการผลิตไฟฟ้านั้น ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าที่มีเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน จะสามารถนำมาคำนวณกำลังการผลิตได้ 100% แต่หากเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในวันที่มีแสงแดดปกติจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้แค่ 4-6 ชั่วโมงต่อวันโดยประมาณ ส่วนพลังงานลม พลังงานชีวมวล ก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้ 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งได้มีการศึกษาและพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนั้น ยังต้องคำนึงถึงนโยบายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ดังนั้น แผนกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องพิจารณาให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต รวมทั้งต้องพิจารณาถึงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น การคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องคำนวณตามชนิดเชื้อเพลิงและศักยภาพของโรงไฟฟ้าแต่ละโรงที่แท้จริงจึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และที่สำคัญที่สุด 

แผนการผลิตไฟฟ้านั้น กระทรวงพลังงานได้วางแผนเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมไปพร้อมกับการใช้พลังงานสะอาดที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกในปัจจุบัน นอกจากนั้น ก็ได้เตรียมพร้อมรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้ไฟฟ้าจาก Data Center ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในปริมาณที่สูง ซึ่งจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศอีกด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

'กระทรวงพลังงาน' เปิดสำรวจปิโตรเลียมรอบ 25 คาดสร้างเม็ดเงินลงทุนกว่า 70 ล้านดอลลาร์

(26 ธ.ค. 67) กระทรวงพลังงาน ลงนามประกาศเชิญชวนการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก ครั้งที่ 25 กระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมกว่า 70 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 67 นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริม สนับสนุน และเร่งรัดการจัดหาพลังงาน โดยการส่งเสริม และเร่งรัดการสำรวจ และพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติในประเทศได้ดำเนินการเปิดให้สิทธิสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก ครั้งที่ 25 ภายใต้ระบบสัมปทาน จำนวน 9 แปลง

ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 แปลง บริเวณจังหวัดหนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และสุรินทร์ ของประเทศ และพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2 แปลง บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี รวมเป็นขนาดพื้นที่ 33,444.64 ตารางกิโลเมตร

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ ดังกล่าวจะประชาสัมพันธ์ให้บริษัทผู้ประกอบการด้านปิโตรเลียมที่สนใจเข้าร่วมการประมูล และมีการเผยแพร่ประกาศเชิญชวนผ่านทางเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยบริษัทที่สนใจสามารถดาวน์โหลดประกาศเชิญชวน และเงื่อนไขต่างๆ ได้จากทั่วโลก

พร้อมทั้งเปิดห้อง Data room ให้บริษัทผู้สนใจเข้าศึกษาข้อมูลในการจัดทำข้อเสนอการยื่นขอสิทธิฯ ต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและนำเสนอผลการคัดเลือกต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะดำเนินการประกาศผลผู้ชนะ และลงนามในสัมปทานต่อไป

“การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมบนบกครั้งนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยสามารถสร้างผลประโยชน์ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น สร้างงานสร้างอาชีพที่มั่นคงให้คนไทย รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของภาคการลงทุน ช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตให้กับธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ อีกจำนวนมากจากธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม อาทิ ธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร โรงแรม รวมถึงภาคขนส่งอีกด้วย

นอกเหนือจากประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศแล้วยังเรียกได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมในประเทศอีกครั้ง เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้มีการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ใหม่บนบกที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งทำให้ไม่มีการดำเนินกิจกรรมการสำรวจเพื่อพัฒนาศักยภาพปิโตรเลียมในพื้นที่บนบกเพิ่มเติม

จึงนับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการค้นพบแหล่งปิโตรเลียม และการนำทรัพยากรปิโตรเลียมภายในประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์สูงสุด ให้คนไทยได้มีปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศใช้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ดำเนินการยื่นขอสิทธิฯ ในครั้งนี้ตามขั้นตอนต่างๆ อย่างเปิดเผย และโปร่งใส โดยยึดมั่นในผลประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอย่างยั่งยืน 

'เอกนัฏ' สั่งฟันโรงงานสายไฟลอบทำลายของกลาง จัดหนัก 2 ข้อหาอาญา หลังส่งทีมตรวจซ้ำพบของหายหมดคลัง

'เอกนัฏ' ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตรวจซ้ำโรงงานสายไฟในสมุทรสาคร ที่เคยถูกดำเนินคดีแล้ว พบลอบทำลายของกลางสายไฟฟ้าไร้คุณภาพ สั่งฟัน 2 คดีอาญาทันที ย้ำ โรงงานสายไฟฟ้าต้องผลิตให้ได้มาตรฐานปลอดภัย ตรวจพบดำเนินคดีเด็ดขาด

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามมาตรการเข้มงวดโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย จึงได้ส่งชุดตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว. อุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผอ.กองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และเจ้าหน้าที่ สมอ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ จ.สมุทรสาคร เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ถูกดำเนินคดีโทษฐานผลิตสายไฟฟ้าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ได้สั่งยึดอายัดสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานไว้เกือบ 2,677 ม้วน มูลค่ากว่า 2.1 ล้านบาท 

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นโดยทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ของกลางสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานที่ยึดอายัดไว้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หายไปจากคลังสินค้าทั้งหมด ซึ่งผู้บริหารโรงงานอ้างว่าได้นำของกลางที่ถูกยึดอายัดไปทำลายหมดแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง มีเจตนาต้องการทำลายหลักฐานที่ต้องใช้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนทางกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งผู้บริหารโรงงาน ขึงเทปพร้อมติดคำสั่งประกาศห้ามเคลื่อนย้ายสินค้าของกลางที่ถูกอายัดทั้งหมด จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลไว้ด้วย

”เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินคดีเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 141  และมาตรา 142 ฐานทำลายซ่อนเร้นหลักฐานทางคดีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ“ รมว.อุตสาหกรรม ระบุ

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า ขอแจ้งเตือนโรงงานผู้ผลิตสายไฟฟ้าทุกรายต้องผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ สมอ.จะสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับ มอก. มีความปลอดภัย และหากพบโรงงานใดมีเจตนาผลิตสายไฟฟ้าต่ำกว่ามาตรฐานจะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและติดตามอย่างต่อเนื่อง

‘เป๋าตัง’ ผนึก ‘Whoscall’ แจกโค้ด Premium Basic ฟรี 10 ล้านโค้ด ✨ เสริมเกราะป้องกันภัย ลดความเสี่ยงสูญเสียทางการเงิน ✨

📅 วันที่ 25 ธ.ค. 2567
บริษัทอินฟินิธัส บายกรุงไทย ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ร่วมกับ บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย ผู้ให้บริการ Whoscall แอประบุตัวตนสายเรียกเข้าและป้องกันสแปมบนสมาร์ทโฟน ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ! แจก Whoscall Premium Basic ฟรี 10 ล้านโค้ด ใช้งานได้นาน 3 เดือน ช่วยลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพออนไลน์

💡 ขั้นตอนการรับสิทธิ์
1️⃣ เข้าแอปฯ เป๋าตัง ไปที่เมนู "เป๋าตังเปย์"
2️⃣ กดรับคูปอง Whoscall
3️⃣ เข้าเว็บไซต์ https://redeem.whoscall.com/
4️⃣ ใช้โค้ดที่ได้จากเป๋าตังเพื่อเริ่มใช้งานทันที

📲 รองรับทั้งระบบ Android และ iOS ดาวน์โหลด Whoscall ได้ที่ https://app.adjust.com/1f16qjtc

เพียงลงทะเบียนวันนี้ - 31 มกราคม 2568 เพื่อรับสิทธิ์พิเศษสำหรับผู้ใช้เป๋าตังกว่า 40 ล้านรายทั่วประเทศ

กรมโรงงานฯ ตรวจสุดซอยตามนโยบาย ‘เอกนัฏ’ ลั่น พบโรงงาน - ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมทำความผิด เจอคดีทันที

(24 ธ.ค.67) นายพรยศ กลั่นกรอง รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมโรงงานฯ มีพันธกิจในการบริหารจัดการ กำกับดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมให้มีการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัย ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงระหว่างประเทศ ภายใต้นโยบายที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบไว้ “ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่” ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย 3 ด้าน 'สู้ เซฟ สร้าง' 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษ 'เซฟ' พี่น้องอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ และ 'สร้าง' อุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก 

อธิบดีพรยศฯ กล่าวต่อว่า การจะ 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ 'การปฏิบัติการตรวจสุดซอย' จึงเป็นปฏิบัติการเชิงรุก ในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักอาชีวอนามัย เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย  และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น พร้อมกับบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั่วประเทศ

และจากประเด็นที่ รัฐมนตรีเอกนัฏฯ ส่งชุดตรวจสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รวอ.พร้อมด้วย นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจโรงงานในอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พบการละเมิดคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมถึง 3 ครั้ง ที่มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ และปิดโรงงาน โดยโรงงานมีการฝ่าฝืนประกอบกิจการโรงงาน รวมถึง เคลื่อนย้ายของกลาง ติดตั้งเครื่องจักร ติดตั้งเตาหลอมโลหะโดยไม่มีวิศวกรรับรอง และลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในบริเวณบ่อน้ำขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโรงงานเพิ่มขึ้น และยังพบ 'เอกสารลับ' ชี้มีการเบิกจ่ายเงินนอกระบบให้กับบุคคลหลายตำแหน่ง จากหลายหน่วยงาน ทำให้เกิดเป็นข่าวในสื่อหลายสำนัก

อธิบดีพรยศฯ เพิ่มเติมว่า จากประเด็นดังกล่าว ทางกรมโรงงานฯ มิได้เพิกเฉยแต่อย่างใด การที่โรงงานจงใจฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมหลายครั้ง ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หากตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานฯ มีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างเฉียบขาด

“ผมมีนโยบายที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กำกับดูแล ตรวจสอบโรงงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้มารับบริการตามขั้นตอน ไม่มีเรียกรับสินบน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อคุ้มครองหรือดูแลผู้ประกอบกิจการโรงงาน ให้เกิดความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ 'ไม่ปลอดภัย ไม่อนุญาต' การตั้งและประกอบกิจการโรงงานต้องสะอาด สะดวก โปร่งใส ไม่เกรงใจอิทธิพล เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยอยู่ร่วมกับสังคมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายรัฐมนตรีเอกนัฏฯ" นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

'สรรพสามิต' ลดภาษี 'ผับ บาร์ ไนต์คลับ ค็อกเทลเลาจน์' จาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี ดันท่องเที่ยวไทยตลอดปี 68

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสถานบริการ จาก 10% เป็น 5% ของรายรับ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ

ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล รวมถึงการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวไทย 'Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025'  ที่จะสร้างการกระจายรายได้ไปยังท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เที่ยวไทยมากขึ้นนั้น กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจเกี่ยวข้องโดยตรงกับการท่องเที่ยว คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบปรับลดภาษีสรรพสามิตสถานบริการหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับบาร์ ค็อกเทลเลาจน์ ฯลฯ จาก 10% เหลือ 5% ของรายรับของสถานบริการ ซึ่งจะหมดอายุ 31 ธันวาคม 2567 ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการ นอกจากนี้ จะช่วยส่งเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

ซึ่งภายหลังการปรับลดภาษีจาก 10% เหลือ 5% ในปี 67 และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงผู้ประกอบการเข้าระบบภาษีเพิ่ม ทำให้ฐานภาษีกว้างขึ้น ทำให้มีผู้ประกอบสถานบริการหรือหย่อนใจจดทะเบียนเสียภาษีเพิ่ม 1,511 ราย เพิ่มขึ้นถึง 60.92% จำนวนผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการประกอบการเพิ่มขึ้น 52.06%  และกรมสรรพสามิตมีรายได้ภาษีสรรพสามิตสถานบริการหรือหย่อนใจเพิ่มขึ้น 31.24%

‘ซีไอเอ็มบี ไทย’ มองเศรษฐกิจปี 2025 ไร้ความไม่แน่นอน แนะตั้งรับแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบาย ‘ทรัมป์’

(23 ธ.ค.67) ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2025 เปรียบได้กับงูที่ใส่เกียร์เดินหน้าเลื้อยคดบนถนนเศรษฐกิจ จากภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงและซับซ้อนภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ไทยจำเป็นต้องปรับตัวและรับมือกับความท้าทาย โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว การแจกเงินจากภาครัฐ และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2025  แม้จะมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก สำนักวิจัยฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 2.7%

เลื้อยคดบนถนนเศรษฐกิจไทยปี 2025
1. การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว การฟื้นตัวและขยายตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเป็นจุดเด่น จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากตลาดยุโรปและเอเชีย โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแตะ 39.1 ล้านคนในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 35.6 ล้านคนในปี 2024 แต่ยังต่ำกว่าจำนวน 39.9 ล้านคนในปี 2019 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนยังไม่ถึงระดับก่อนโควิด แต่นักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งค่าโรงแรมและร้านอาหาร ส่งผลเชิงบวกต่อโรงแรมระดับ 4 และ 5 ดาว รวมถึงที่พักสไตล์บูติก ขณะที่โรงแรมระดับ 3 ดาวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจะยังฟื้นตัวช้ากว่า
2. โครงการแจกเงินจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนและลดภาระค่าครองชีพมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนในปี 2025 โดยเฉพาะในภาคบริการและสินค้าไม่คงทน
3. การลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) และแบตเตอรี่ โดยได้รับแรงหนุนจากการย้ายฐานการผลิตและโอกาสใหม่ในอาเซียน นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและพลังงานจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมในภาครัฐและเอกชน เสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยอาจยังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับห่วงโซ่อุปทานของจีน รวมถึงต้องรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการจีน

แม้ว่าจะมีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต แต่ก็ยังมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย  อาทิ กำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยอ่อนแอ การส่งออกที่ฟื้นตัวช้า และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา
1. กำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยอ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากภาคการเกษตร ยังคงเผชิญกับความยากลำบากจากรายได้ภาคการเกษตรที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจำกัดความสามารถในการใช้จ่าย แม้รัฐบาลจะมีโครงการโอนเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยก็ตาม 
2. การส่งออกยังคงฟื้นตัวช้า โดยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าโลกและความต้องการที่ลดลงจากตลาดสำคัญ เช่น จีนและอาเซียน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการค้าโดยรวม 
3. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา โครงการก่อสร้างใหม่มีจำกัด การลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องลดลง โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งความต้องการยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ความท้าทายบนเส้นทางข้างหน้า: P – R – N - D

ปีงู 2025 อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้การคาดการณ์เป็นเรื่องยาก นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้สามารถก้าวผ่านปีงูไปได้อย่างราบรื่น ในที่นี้ ขอใช้สัญลักษณ์ของเกียร์อัตโนมัติ (P-R-N-D) ที่แสดงถึงแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ ดังนี้
• การหยุดชะงักของโลกาภิวัตน์ (Pause Globalization) ทรัมป์อาจพิจารณาการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากเพื่อลดการขาดดุลการค้าในประเทศกับคู่ค้าการค้าหลักของสหรัฐฯ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ยุโรป และจีน ภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อาจทำให้การค้าและการลงทุนทั่วโลกหยุดชะงักได้ และอาจทำให้โลกาภิวัตน์สะดุดลง การดำเนินมาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดการเติบโตทางเศรษฐกิจในเศรษฐกิจหลักๆ ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก

• การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Reverse Reshoring) ทรัมป์ต้องการนำงานในภาคการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ เดิมทรัมป์ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศพันธมิตร หรือ "friend-shoring" แต่ระยะถัดไปทรัมป์น่าจะมุ่งเป้าหมายไปที่การนำงานมูลค่าสูงกลับเข้าสู่สหรัฐฯ โดยตรง เพื่อกระตุ้นการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ และลดการพึ่งพาจีน แม้การย้ายโรงงานมายังสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนแรงงานที่สูงจนกระทบความสามารถในการแข่งขัน เราเชื่อว่าทรัมป์จะเสนอลดภาษีนิติบุคคลเพื่อจูงใจธุรกิจ และกำหนดอัตราภาษีสูงเพื่อลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

• การใช้จ่ายที่นิ่ง (Neutral Spending) แม้ทรัมป์วางแผนลดภาษี แต่ไม่มีแผนลดการใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงยังอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากนโยบายควบคุมการอพยพครั้งใหญ่ ซึ่งอาจกดดันเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ มาตรการทางการคลังเหล่านี้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจสร้างความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดหาเงินทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีอิทธิพลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งหมายความว่าพันธบัตรรัฐบาลไทยและบริษัทในประเทศอาจเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตอันใกล้

• การขับเคลื่อนการลดค่าเงินดอลลาร์ (Driving Dollar Devaluation) แม้เราคาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่า แต่ทรัมป์อาจพลิกมุมมองนี้ด้วยการดำเนินนโยบายลดค่าเงินดอลลาร์ ที่ผ่านมา เขาได้ตรวจสอบแนวทางการค้าของคู่ค้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวหาว่าบางประเทศมีการแทรกแซงค่าเงินและขู่จะเก็บภาษีตอบโต้ ทรัมป์อาจมองว่าเงินดอลลาร์มีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าจำนวนมาก มุมมองนี้อาจนำไปสู่การดำเนินกลยุทธ์คล้ายกับ Plaza Accord ในปี 1985 โดยกดดันประเทศผู้ส่งออกสำคัญให้ปรับค่าเงินให้แข็งค่าเทียบกับเงินดอลลาร์

เศรษฐกิจไทยปี 2024

สำนักวิจัยฯ ได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 2.6% จากเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ขยายตัวดีเกินคาดที่ 3.0% YoY รวมถึงผลจากนโยบายการแจกเงินช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ขยายผลต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 โดยคาดว่า GDP ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่ 3.7% YoY หรือ 0.5% QoQ หลังปรับฤดูกาล (QoQ,SA) ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการแจกเงินของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักเป็นภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ กิจกรรมก่อสร้างภาครัฐเริ่มเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2024 ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะในอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์การเกษตร

อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ยังอ่อนแอ ส่งผลลบต่อการเติบโตของค่าจ้างและโอกาสการจ้างงาน แม้เราได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มซบเซาจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 กำลังซื้ออ่อนแอในกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ลดลงมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้ามาแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต่ำ และการถูกปฏิเสธสินเชื่อในอัตราสูง โดยเฉพาะกลุ่มประวัติการเงินหรือเครดิตไม่ดี ด้านกำลังซื้อกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรรายได้ต่ำยังอ่อนแอ ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากอุทกภัยฉับพลันและสภาพอากาศเลวร้ายกลางปี 2024 ผลผลิตการเกษตรลดลง ท่ามกลางระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่ก่อนหน้า

ด้านการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ตามคาด เพื่อประเมินผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคม ค่าเงินบาทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงปลายปี 2024 คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยจาก 4.75% เหลือ 4.50% ช่วยลดส่วนต่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯให้แคบลง

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หลังปรับลดลง 25 bps เดือนตุลาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ยและติดตามการส่งผ่านของนโยบายการเงินต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมจาก 2.25% เป็น 1.50% ภายในสิ้นปี 2025 โดยมีปัจจัยสำคัญ 5 ประการที่เป็นแรงผลักดัน ได้แก่ การส่งออกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง รายได้ภาคเกษตรที่ลดลง และความจำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันด้วยการปล่อยค่าเงินอ่อนค่า ซึ่งปัจจัยสุดท้ายถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สงครามการค้าอาจลุกลามเป็นสงครามค่าเงิน

สำหรับอัตราเงินเฟ้อปี 2025 มีแนวโน้มที่จะไม่ถึงกรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันลดลง โดยคาดว่าทรัมป์จะกดดันราคาน้ำมันโลกให้ลดลงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ผ่านการเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ภายในประเทศ หรือการคลี่คลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียและตะวันออกกลาง คาดว่า ธปท. จะยุติการปรับลดดอกเบี้ยภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 สอดคล้องกับการพักการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด โดยการตัดสินใจของเฟด อาจได้รับอิทธิพลจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เกิดจากการลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่ายของทรัมป์

เงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากการไหลออกของเงินทุนไทยไปตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ รวมถึงการโยกสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ไปสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก แต่ก็อาจเพิ่มต้นทุนการนำเข้า ก่อให้เกิดความท้าทายต่อธุรกิจที่พึ่งพาวัสดุที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2024 ก่อนที่จะอ่อนค่าลงต่อไปที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2025

‘สุริยะ’ ลุยแผนลงทุน!! ‘ทางคู่ - ไฮสปีด – มอเตอร์เวย์’ สร้างโครงข่าย!! การเดินทาง ขนส่งสินค้า ‘ไทย - ลาว - จีน’

(22 ธ.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนเป็นฐานการผลิตและการบริโภคที่สำคัญ และเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน GPD กว่า 623 ล้านล้านบาท การเชื่อมต่อการเดินทางที่มีประสิทธิภาพจากไทยไปสู่จีน จึงเป็นการสร้างโอกาสทั้งในด้านการเดินทาง การขนส่งสินค้า การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวออกไปยังจีนและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาการเดินทางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและจีนได้ทั้งทางถนนและทางรถไฟ

กระทรวงคมนาคมจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เชื่อมโยงระหว่างไทย - ลาว - จีน และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว โดยได้เร่งรัดพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งจากกรุงเทพฯ และพื้นที่ EEC ให้เชื่อมต่อไปยังลาว เวียดนาม และจีนได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง

ซึ่งปัจจุบันได้ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น เสร็จแล้ว ส่วนช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สำหรับระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น - หนองคาย และชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 2568 พร้อมนี้ได้เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ในปี 2571

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนามอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปัจจุบันใกล้เสร็จแล้วและจะเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้เหลือเพียง 2 ชั่วโมง อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบมอเตอร์เวย์สายใหม่ร่วมกับระบบรางจากแหลมฉบัง - นครราชสีมา เร่งรัดเปิดให้บริการสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) ภายในปี 2568 และอยู่ระหว่างพัฒนาศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยจะเปิดให้บริการได้ในปี 2568 และพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อเชื่อมรางกับถนนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่ตั้งว่าจะอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นหรือนครราชสีมา เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายการเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศ (Aviation Hub) ของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาท่าอากาศยานที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต อาทิ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 2.8 ล้านคนต่อปี ก่อสร้างลานกลับลำอากาศยานของท่าอากาศยานนครราชสีมา และสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาทำการบินให้มากขึ้น ขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่นและนครพนมให้สามารถรองรับจำนวนอากาศยานได้มากขึ้น และศึกษาออกแบบต่อเติมขยายความยาวทางวิ่งของท่าอากาศยานร้อยเอ็ดและเลย ให้สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้

นายสุริยะ กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็น Corridor สำคัญของไทย และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเปลี่ยน ‘ความท้าทาย’ ให้กลายเป็น ‘ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม’ ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดยได้มอบนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย’ ให้หน่วยงานในสังกัดใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน เดินหน้าลงทุนพัฒนา Mega Projects ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

‘ทักษิณ’ แนะ!! ส่งสาวอีสาน ไร้ศัลยกรรม ลุย!! ตลาดนางแบบโลก สร้างรายได้เข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (20 ธ.ค. 67) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมงานสัมมนา ‘ISANNEXT พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก’ พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย’

นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้ไม่ทราบจะพูดอะไรดี เพราะรัฐมนตรีทุกคนพูดได้ดีมาก ตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงทุกวันนี้ พี่น้องชาวอีสานก็ยังไว้วางใจตลอดเวลา เพราะตนเองไปเห็นพี่น้องชาวอีสานทุกซอกทุกมุม ก็คิดในใจตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไร ถึงจะพลิกฟื้นได้ โดยประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่มีเจ้าภาพ เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นหน่วยงานใครหน่วยงานมันทำหน้าที่ไป

นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเองขอเริ่มต้นด้วยคำว่า กันดารคือสินทรัพย์ ภาคอีสานมีความกันดารมาก่อนที่จะพัฒนามาจนถึงวันนี้ กันดารคือความยากจน ทำให้คนอีสานต้องดิ้นรน พยามสร้างวัฒนธรรมการสู้ชีวิต นี่คือข้อดีของความลำบาก และหวังว่าเราจะทำให้คนอีสานหมดความลำบาก ถึงเวลาที่จะต้องพลิกฟื้นอีสานให้ได้ด้วยความตั้งใจ

การสร้างความแข็งแกร่งให้กับคนอีสาน คือต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ เพราะสามารถฝึกทักษะความชำนาญได้ เอาวัฒนธรรมที่มีอยู่ เอาความอดทนของคนอีสานมาแตกแขนงออกไปในแต่ละด้าน เช่น อาหาร หรือกีฬา โดยวัฒนธรรมของคนไทย มักอยากเห็นลูกได้ปริญญา แต่แม้ได้มา ก็หางานไม่ได้ สิ่งที่ได้มาคือต้องได้ความรู้ และปัญญา แต่บางคนไม่ได้มา ได้มาเพียงใบประกาศนียบัตร ทำให้คนเห่อปริญญา และทิ้งสิ่งที่เป็นสาระสำคัญในการเรียนหนังสือคือความรู้ และโลกปัจจุบันสนใจทักษะมากกว่าปริญญา ต่อไปนี้คนอีสานต้องได้รับการพัฒนาการผสมเทคโนโลยีเข้าไปสู่ชีวิตประจำวัน

วันนี้ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยเยอะ ครูบาอาจารย์เยอะ แต่ใช้ประโยชน์เขาน้อย วันนี้ต้องใช้วิทยาลัยเหล่านี้เป็นแกนหลักในการสร้างผลของอีสานโดยเฉพาะการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ และพัฒนา OTOP

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า คนอีสานจนลง เพราะการผูกขาด เพราะทุกอย่างผ่านระบบนายหน้า แต่วันนี้เทคโนโลยีมาแล้ว ต้องได้รับการบริจาคภาครัฐ ยกเลิกการผูกขาด ให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ได้ราคาที่เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้

ในวันนี้นายกรัฐมนตรี ได้ให้รัฐมนตรีไปดูกระบวนการผูกขาดทั้งหลาย ว่าจะไปแก้อย่างไร และซอฟต์พาวเวอร์ จะทำอย่างไรให้กลไกภาครัฐ เป็นตัวผลักดัน และใช้มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ฝึก ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ในแต่ละด้าน ส่วนการเกษตรของภาคอีสานต้องการความแม่นยำที่สุด  เพราะฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล การใช้เทคโนโลยีมาทำนายภูมิอากาศ เพื่อปลูกสิ่งที่เหมาะสม

นายทักษิณ กล่าวว่า รถไฟความเร็วสูงกำลังจะมา ถ้าเราตกลงกันเรียบร้อย ซึ่งจะผ่านเส้นทางอีสาน และกรุงเทพฯ จะส่งเสริมเรื่องการพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร ส่งของสดไปขายยังประเทศจีนได้ ทำให้โอกาสเกิดขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่ห่วงคนอีสานอีกเรื่องคือคุณภาพของประชาชน ที่ถูกมอมเมาด้วยยาเสพติด เพราะจะทำให้คนอีสานอ่อนแอ ซึ่งต้องทำอย่างกว้างขวางและจริงจังทั้งการบำบัดปราบ โดยนายกรัฐมนตรี กำลังสั่งให้ทำแอปพลิเคชัน ให้ได้รับรายงานจากพื้นที่โดยตรงว่าพื้นที่ไหนมีพ่อค้ายาเสพติด ก็จะรายงานโดยตรง

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนได้ใช้เงินส่วนตัวให้ต่างประเทศศึกษาเรื่อง OTOP ช่วงที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พยายามปรับปรุง OTOP และหลังปีใหม่นี้เขาจะมาอธิบายให้ฟังว่าจะปรับปรุงอย่างไร เช่น ผ้าพันคอแอร์เมส ซึ่งเป็นลายม้า ทำไมเราถึงไม่ใช้ลายบ้านเชียงมาทำบ้าง ดังนั้น เราขายดีไซน์ไทย คุณภาพการตัดเย็บแบบสากล จะต้องใช้เทคโนโลยี และดีไซน์ที่เป็นที่ต้องการต่างประเทศ โดยจะต้องมีการนำมาปรับปรุงให้ขายได้ทั้งโลก ฟื้นด้วยความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น โดยไม่ทิ้งวัฒนธรรมของไทย เพียงแต่ประยุกต์ให้เป็นสากล ซึ่งเท่าที่คุยกันไว้จะเริ่มต้นในปีหน้า เริ่มต้นใช้สถาบันการศึกษาเป็นแกนพัฒนาและปรับปรุงทั้งหมด และสิ่งที่คนอีสานต้องเรียนรู้อีกเรื่องคือ Ai เรียนรู้การสั่งการ

วันนี้ประเทศไทยเป็นหนี้เยอะมากสูงยันกว่า 60% ของจีดีพี ซึ่งเรามีเพดานอยู่ที่ 70% เพราะฉะนั้นจึงกู้ไม่ไหว รัฐบาลจึงต้องลดหนี้ด้วยการเพิ่มจีดีพี เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ ซึ่งจะเพิ่มจีดีพีได้ ต้องเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเราดูดเงินจากระบบเยอะ เม็ดเงินเราเลยโตน้อยกว่าประเทศอื่นทั่วโลก

ที่ผ่านมารัฐบาลออกพันธบัตร ขายให้สถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยโดนัล ทรัมป์ กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีรอบที่ 2 และเอาจริงเอาจังเรื่องบิทคอยน์ คริปโตเคอร์เรนซี่ ดังนั้น สหรัฐอเมริกากำลังเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบของคริปโต ถ้าเราไม่ทำก็ไม่ทันเขา ทำอย่างไรให้ประชาชนไม่เกิดความเสี่ยง พันธบัตรที่เราต้องทุกปี ปีละ 8 แสนล้านบาท นำเงินส่วนนั้นออกมา และขายบุคคลทั่วไปดีหรือไม่ ให้อายุพันธบัตรสั้นลง เพื่อหมุนเวียนในตลาดได้ ออกมาในรูปแบบของเหรียญ หรือคอยน์ ซึ่งเงินเหล่านี้ จะอยู่ในเงินของประชาชน ดีกว่านำไปแช่ไว้ในสถาบัน ซึ่งจะนำมาใช้กับทุกภาค ทั้งประเทศเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจีดีพีเราไม่มีทางโต ทำนายกี่ครั้งก็ 2% ตนเองฟังแล้วทุเรศ และจะทำยังไงให้ถึง 4% -5% ให้ได้ นี่เป็นวิธีเดียวที่ไม่ต้องไปพิมพ์แบงค์ คราวนี้ที่รัฐบาลจะต้องเป็นมาหมุนเวียนเป็นหนี้ประชาชนดีกว่า

สิ่งที่ตนอยากจะลองอีกเรื่อง ผู้หญิงอีสานทำไมถึงมีฝรั่งมาชอบเยอะแยะ ความสวยของธรรมชาติบางทีบางครั้งมีเสน่ห์ ถ้าเราจะประกวดคนอีสาน ที่ไม่ผ่านการศัลยกรรมเลย แล้วนำไปสอน เป็นนางแบบระดับโลกดีหรือไม่ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนอีสาน เช่น คนผิวดำแอฟริกาที่เป็นนางแบบระดับโลก และทั้งหมดที่ตนพูดเน้นที่คนอีสานก่อน และการพัฒนาคนก่อน

‘จุลพันธ์’ เผย!! กระทรวงการคลัง ร่างกฎหมายคาสิโน เสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดช่องตั้ง!! เอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์ เชื่อทำรายได้ หลายแสนล้านบาท

(21 ธ.ค. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์ว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในลำดับถัดไป

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นี้ ถือเป็น ‘จุดเปลี่ยนประเทศไทย’ เพราะถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะเข้ามาทั้งจากการลงทุนและการใช้จ่าย โดยประเมินว่า เม็ดเงินลงทุนในช่วงการก่อสร้างนั้น จะทำให้การลงทุนของประเทศขยายตัวได้เพิ่มขึ้นกว่า 0.2% ต่อปี และจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 0.7% ต่อปี

“รายได้ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งของโรงแรม กีฬา สถานบันเทิง ต่าง ๆ ซึ่งคาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์เท่านั้น” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่าทั้งนี้ ในส่วนของกฎหมายที่ได้ร่างขึ้นมานั้น จะเทียบเท่ากฎหมายของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะสามารถผลักดันโครงการดังกล่าวได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์จะครอบกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ เพื่อผ่อนปรนให้โครงการนี้เกิดขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หลังจากปีใหม่ ตนจะเร่งเดินหน้าโครงการนี้ ซึ่งจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อพิจารณารายละเอียดของโครงการ ซึ่งหมายรวมถึง การกำหนดจุดที่จะจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ด้วย เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้นักลงทุนเข้ามาล็อกสเปคพื้นที่การก่อสร้าง

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ เชื่อว่า โครงการนี้จะมีประโยชน์ด้านการสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น หรือมีเม็ดเงินลงทุนราว 1 แสนล้านบาท โดยยกตัวอย่างกรณีสิงคโปร์ที่มีโครงการในลักษณะเดียวกันได้สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 5 หมื่นล้านบาท และมีรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ 2 หมื่นบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top