Friday, 19 April 2024
ECONBIZ NEWS

รู้จัก WolffiaX ผู้ปลุกปั้น ‘ไข่ผำ’ สู่อาหารแห่งอนาคต เจาะตลาดต่างชาติ ฉลุย!! เพาะได้ทั้งปี มีโปรตีนสูง

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ‘ดร.อันนา ปาจรียางกูร’ ผู้บริหารแบรนด์ ‘วูล์ฟเฟียเอ็กซ์’ (WolffiaX) ผู้เพาะเลี้ยงไข่ผำ หรือ ไข่น้ำ อีกหนึ่งอาหารแห่งอนาคต ถึงแนวทางการผลิต เพาะเลี้ยง จนถึงการจัดจำหน่าย ภายใต้กระบวนการที่ใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม
.ดร.อันนา เล่าถึงที่มาของไข่ผำ ว่า ‘ไข่ผำ’ หรือไข่น้ำนั้น เป็นพืชน้ำที่มีหน้าตาคล้ายไข่กุ้ง ขนา

ประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งมีมานานแล้วกว่า 200 ปี ในประเทศไทยมีมากในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยไข่ผำเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีมากกว่า 11 สายพันธุ์ทั่วโลก และเจริญเติบโตในแหล่งน้ำธรรมชาติ ถือว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์มากเพราะมีวิตามิน B12 สูง ซึ่งผู้ทานมังสวิรัติสามารถรับประทานได้โดยไม่ขาดวิตามินบี 12 และยังมีโปรตีนสูง ไฟเบอร์สูงอีกด้วย 

ในส่วนของ ‘ไข่ผำ’ ภายใต้แบรนด์วูล์ฟเฟียเอ็กซ์ ถูกพัฒนาให้กลายเป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่ได้รับความสนใจจากประเทศสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล เนื่องจากในต่างประเทศมีการเพาะเลี้ยงไข่ผำเช่นกัน แต่ต้นทุนสูงกว่า ขณะที่เมืองไทยมีสภาพอากาศที่เหมาะกับการเพาะเลี้ยงไข่ผำได้ตลอดทั้งปี โดยวูล์ฟเฟียเอ็กซ์ เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เพาะเลี้ยงไข่ผำจำหน่ายเพื่อการบริโภคโดยตรง เนื่องจากไข่ผำเป็นพืชที่มีศักยภาพ เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมอาหาร อีกทั้งเป็นแหล่งโปรตีนที่ทานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเนื้อสัตว์ (Alternative Protein) โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการดูแลสุขภาพ เด็กที่ไม่ชอบรับประทานผักหรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวก็สามารถทานไข่ผำได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งราคาจำหน่ายที่ต่างประเทศจะสูงกว่าเมืองไทย 5-10 เท่า  

ส่วนการเพาะเลี้ยงไข่ผำนั้นยั่งยืนมาก (Sustainability) เนื่องจากกระบวนการเพาะเลี้ยง จนถึงการบรรจุภัณฑ์ ไปจนการส่งต่อสู่ผู้บริโภค แทบจะเป็น Zero Waste เกือบทั้งหมด ขณะที่การใช้น้ำเพาะเลี้ยงไข่ผำนั้น ต่อ 1 กรัมโปรตีน จะใช้น้ำเพียงประมาณ 1.2 แกลลอน ซึ่งเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ต่อ 1 กรัมโปรตีนแล้ว จะต้องใช้น้ำมากถึง 10-20 แกลลอนกันเลยทีเดียว ดังนั้นหากเทียบกับการทำปศุสัตว์แล้ว การเพาะปลูกไข่ผำ จึงใช้น้ำน้อยมาก ๆ 

ปัจจุบัน วูล์ฟเฟียเอ็กซ์ มีโรงเพาะปลูกไข่ผำสดอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 ไร่ และได้รับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP (Good Agricultural Practices: GAP) นอกจากใช้น้ำน้อยในการเพาะปลูกแล้ว เราก็ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยมาก ซึ่งในอนาคตโรงเพาะเลี้ยงไข่ผำจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ไม่เพียงแบรนด์ วูล์ฟเฟียเอ็กซ์ จะจำหน่ายไข่ผำสดแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไข่ผำอีกด้วย เช่น ผงชงดื่มไข่ผำ (WolffiaX Drink) ละลายในน้ำรับประทานได้เลย เส้นบะหมี่ไข่ผำ (WolffiaX Noodle) ลูกชิ้นไข่ผำ (WolffiaX Meatballs) และยอไข่ผำ (WolffiaX Sausage) ซึ่งเป็นแพลนต์ เบส ฟู้ด (Plant based food) 

สำหรับผู้ใดที่สนใจอาหารแห่งอนาคตจากไข่ผำของ วูล์ฟเฟียเอ็กซ์ สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก WolffiaX และไลน์ @drwellnessx

'ไทย-มาเลย์' อ้าแขนรับ!! บ.ต่างชาติหนีค่าเช่าออฟฟิศแพงในสิงคโปร์ พร้อมชู 'นโยบาย-ภาษี' ดึงดูดใจ ช่วยให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ง่ายขึ้น

(12 เม.ย. 67) ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ ‘สิงคโปร์’ กำลังสูญเสียแต้มต่อในการเป็นฐานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ของบรรดาบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นและยุโรป ได้เริ่มมีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์ ไปตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศใกล้เคียง เช่น ไทย และ มาเลเซีย เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และขยายโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 

สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานว่า ไทยและมาเลเซีย น่าจะได้รับประโยชน์จากความเคลื่อนไหวนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม กระแสการโยกย้ายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงการย้ายพนักงานจากสำนักงานใหญ่ในบางแผนก เช่น แผนกขายหรือแผนกวางแผนองค์กร ออกจากสิงคโปร์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ไม่ได้เป็นการย้ายพนักงานออกไปทั้งหมด

เนื่องจากสิงคโปร์ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง ความสามารถทางด้านภาษาของบุคลากร และบริการทางการเงิน จึงทำให้เชื่อว่า สิงคโปร์ไม่น่าจะเสียตำแหน่งศูนย์กลาง หรือ ‘ฮับ’ ของบรรดาสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบรรดาบริษัทข้ามชาติสัญชาติต่าง ๆ ไปได้ง่าย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของบริษัทที่มีแผนโยกย้ายบางแผนกหรือบางส่วนงานออกจากสิงคโปร์ ไทยและมาเลเซียถือเป็นทางเลือกในอันดับต้น ๆ โดยทั้งสองประเทศต่างมีนโยบายดึงดูดใจ ให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ เช่น นโยบายให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นต้น

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (JETRO) ได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทญี่ปุ่นที่มีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ ซึ่งผลปรากฏว่า นอกจากบริษัทเหล่านี้จะมีความต้องการย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์มากขึ้นแล้ว การสำรวจยังพบว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทาง ที่บริษัทเหล่านี้เลือกมากที่สุดด้วย และที่รองลงมาคือประเทศมาเลเซีย

การสำรวจของ JETRO ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่า บริษัทญี่ปุ่นในสิงคโปร์ที่มีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์แล้วหรือกำลังมีแผนจะย้าย มี 19 บริษัทที่ตอบว่า ‘ประเทศไทย’ คือจุดหมายปลายทางที่อยากไปมากที่สุด ขณะที่อันดับสองคือ ประเทศมาเลเซีย มี 5 บริษัทที่ตอบว่าอยากย้ายบางแผนกไปที่นั่น 

นายเคสุเกะ อาซาคุระ รองกรรมการผู้จัดการประจำ JETRO สำนักงานสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า ไทยเป็นฐานการผลิตที่บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เชื่อว่าเมื่อค่าเช่าสำนักงานและต้นทุนอื่น ๆ ในสิงคโปร์สูงขึ้น การโยกย้ายบางแผนก เช่น ฝ่ายขาย มายังประเทศไทยก็จะมีมากขึ้นด้วย แต่ยังไม่ใช่การย้ายมาทั้งหมด 

นอกเหนือจากบริษัทญี่ปุ่นแล้ว บริษัทยุโรปเองก็มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ โดยผลสำรวจของหอการค้ายุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา (2566) พบว่า บริษัทผู้ตอบแบบสำรวจ 69% เล็งย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์เพื่อหนีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้นเช่นกัน

‘พีระพันธุ์’ สั่งติดตามการสู้รบในเมียนมาอย่างใกล้ชิด ยัน!! แหล่งก๊าซฯ 3 แห่งยังส่งก๊าซฯ มาไทยได้ตามปกติ

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานเฝ้าติดตามสถานการณ์การสู้รบในประเทศเมียนมาว่าจะส่งผลกระทบต่อการจ่ายก๊าซธรรมชาติในแหล่งยาดานา, เยตากุน และซอติก้า แปลง M9 มายังประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้การสู้รบในประเทศเมียนมามีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

เบื้องต้นขณะนี้ก๊าซฯ จากทั้ง 3 แหล่งดังกล่าว ยังส่งเข้าไทยได้ตามปกติ ซึ่งที่ผ่านมาทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) ได้มีการซ้อมแผนรองรับวิกฤติก๊าซธรรมชาติทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ว่าจะเกิดปัญหากับก๊าซฯ ในจุดใด กรม ชธ. ก็จะสามารถบริหารจัดการก๊าซฯ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานในประเทศให้ได้

อย่างไรก็ตามคาดว่าการสู้รบในเมียนมาจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งก๊าซฯ มายังไทย เนื่องจากการสู้รบเป็นคนละส่วนกับพลังงานที่จำเป็นต่อชีวิตประชาชนทั่วไป แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดและกระทบต่อการส่งก๊าซฯ มายังไทยจริง ก็อยู่ในวิสัยที่ไทยยังสามารถบริหารจัดการได้ เพราะแหล่งก๊าซฯ เอราวัณ ในอ่าวไทยเริ่มกลับมาผลิตได้มากขึ้นแล้ว

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้สั่งการให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เตรียมจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาเติมให้เต็มถัง เพื่อความมั่นคงด้านไฟฟ้าและพลังงานในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนนี้ด้วย

สำหรับข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เมื่อปี 2566 พบว่าไทยมีปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 4,664 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งมาจากแหล่งในประเทศ 57% หรือ 2,653 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำเข้ามาจากต่างประเทศอีก 43% หรือ 2,010 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยเป็นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 31%  และก๊าซฯ จากเมียนมา 12%

สำหรับก๊าซฯ จากแหล่งในเมียนมาที่ส่งมายังไทย ได้แก่ ก๊าซฯ แหล่งยาดานา, แหล่งเยตากุน และแหล่งซอติก้า แปลง M9 ซึ่งทั้ง 3 แหล่งตั้งอยู่ในอ่าวเมาะตะมะ ของสหภาพเมียนมา โดยปัจจุบันแหล่งยาดานาส่งก๊าซฯ มาไทยประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน, ก๊าซฯ แหล่งเยตากุน ประมาณ 30 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และก๊าซฯ จากแหล่งซอติก้า แปลง M9 ประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมทั้งสิ้นประมาณกว่า 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

'ธอส.' ขานรับ 'กฤษฎา รมช.คลัง' ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.105% ต่อปี  มอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยให้ลูกค้าและประชาชน

(11 เม.ย.67) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบาย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าและประชาชน เพื่อมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยให้กับลูกค้าและประชาชน ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR 0.105% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

ด้าน นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้ ธอส. สนับสนุนนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าและประชาชน นั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ ‘ทำให้คนไทยมีบ้าน’ พร้อมดำเนินการดังกล่าว

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน และการเงิน (ALCO) ของ ธอส. ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.105% ต่อปี จากเดิม 6.90% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.795% ต่อปี โดยให้มีผลบังคับใช้ดั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2567 เป็นต้นไป เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในวันปีใหม่ไทยให้กับลูกค้าและประชาชน ให้มีภาระค่าใช้จ่ายลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ให้มีเงินเหลือเพียงพอในการดำรงชีพได้มากขึ้น ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ในครั้งนี้ของ ธอส. ถือว่าต่ำที่สุดในระบบสถาบันการเงินในปัจจุบัน

‘นายกฯ’ เคลียร์ชัด ‘เงินฝาก’ 5 แสน นับวันที่ลงทะเบียน พร้อมให้ความมั่นใจ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ทำทุกอย่างถูกต้อง

(11 เม.ย. 67) ที่ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุกรมทางหลวง (Highway Traffic Operations Center : HTOC) กรมทางหลวง ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่านำเงินของเกษตรกร จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ ว่า มั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้อง เดี๋ยวจะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎหมายตามที่ตนเรียน

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านจะขอดูแผนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกฯ กล่าวว่า ก็ว่าไปตามกฎหมาย ตนแถลงไปครบแล้ว

เมื่อถามต่อว่ากรณีเงื่อนไขผู้มีเงินฝาก 5  แสนบาท นับตั้งแต่เดือนไหน นายกฯ กล่าวว่า ก็นับวันที่ลงทะเบียน

เมื่อถามอีกว่าเรื่อง Super App จะมีการเพิ่มงบ ในการทำหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวเขาพัฒนามาแล้วจะแจ้งให้ทราบ ทุกอย่างต้องโปร่งใสตรวจสอบได้

เมื่อถามย้ำว่า Super App จะเชื่อมโยงกับแอปเป๋าตังใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกแอปก็เป็นโอเพ่นแอป โอเพ่นลูป ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแอปฯ จะมีช่องทาง อื่นหรือไม่ ก็จะรับไปพิจารณาต่อ

คาด!! ราคาทองอาจพุ่งขึ้นต่อไปในระยะยาวจนถึงปีหน้า  เหตุเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย 'ในภาวะสงคราม-เงินดอลฯ แข็งค่า'

(11 เม.ย. 67) จากบทสัมภาษณ์กับนายแพทย์ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ในรายการ Business Tomorrow ได้เผยว่า ราคาทองจะพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นคลื่นของราคาทองขึ้นลูกที่ 5 

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า การขึ้นของราคาทองในคลื่นลูกที่ 5 นี้ จะพุ่งขึ้นสูงได้ไกลและขึ้นได้ในระยะยาวโดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปได้ถึงปีหน้า โดยนพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ในระยะ 3-4 ปีก่อน แม้ราคาจะยังคงแกว่งขึ้นลงตามรูปแบบกราฟตามรายเดือนแล้ว ราคาทองในปีนี้กำลังอยู่ในวัฎจักรของตลาดขาขึ้นอย่างเต็มตัว นพ.กฤชรัตน์ยังกล่าวว่า ราคาทองคำกำลังขึ้นในรูปแบบ 'Cup and Handle' ซึ่งเป็นกราฟขาขึ้นที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถไว้วางใจได้เป็นอย่างมาก

สำหรับเหตุผลของตลาดขาขึ้นของราคาทองคำมาจาก 2 ปัจจัย...

1. สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นเกินระดับของ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไวกว่าการคาดการณ์ที่มองว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นในช่วงหลังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว ทำให้ทองคำที่มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหรือ Safe Haven 

2. เงินดอลลาร์ที่ยังแข็งอยู่ทำให้นานาประเทศกังวลการเก็บพันธบัตรสหรัฐไว้ โดยในช่วงสงคราม ยังกังวลเรื่องการที่ทุนอาจถูกสหรัฐฯ ยึดได้ในกรณีที่มีปัญหาต่อกัน จึงมองไปที่การซื้อทองคำเข้ามาถือ ธนาคารกลางทั่วโลกเลือกที่จะซื้อทองคำมาถือไว้แทน 

'เอ็มเค' ส่ง 'สุกี้พร้อมปรุง' ขายในเซเว่นฯ ชุดละ 69 บาท เจาะกลุ่มสะดวกซื้อ-ฝ่าวิกฤติคู่แข่งแบ่งตลาดพรึ่บ

(10 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK ยังคงเดินเกมบุกตลาดสุกี้อย่างต่อเนื่อง หลังประกาศขาย ‘น้ำจิ้มสุกี้สูตรต้นตำรับ’ ในรูปแบบขวด ขนาด 830 กรัม ราคา 119 บาท และขนาด 350 กรัม ราคา 65 บาท

โดยวางจำหน่าย ผ่านช่องทางสาขาร้าน MK Restaurants หรือสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็ปไซต์ MK Restaurants, ลาซาด้า, ช้อปปี้ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ 7-11 และซูเปอร์มาร์เก็ตเช่น ท็อปส์ เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่ง ‘ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร’ พร้อมปรุง รูปแบบแพ็คใส่ถุง พร้อมน้ำจิ้มสูตรต้นตำรับ ขนาด 325 กรัม วางจำหน่ายในร้าน 7-11 ในราคาชุดละ 69 บาท

ประกอบด้วย ผักรวม ได้แก่ ผักกาดขาว เห็ดซิเมจิดำ ผักบุ้ง แครอท ขึ้นฉ่าย น้ำจิ้มสุกี้เอ็มเค และ ลูกชิ้นรวมมิตร ได้แก่ ลูกชิ้นรักบี้ เอ็มเคแชลมอน สาหร่ายทรงเครื่อง ลูกชิ้นเอ็มเค เต้าหู้เนื้อปลา และวุ้นเส้น

การเดินเกมของเอ็มเคสุกี้ที่รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม เพื่อให้ตอบโจทย์คนที่ชอบกินที่บ้าน ท่ามกลางพฤติกรรมลูกค้าและตลาดสุกี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากมีคู่แข่งดาหน้าเข้ามาสู่ตลาด

คงต้องติดตาม หลังจากนี้เอ็มเคสุกี้จะมีการทำตลาดอะไรออกมาอีกบ้าง

'กระทรวงแรงงาน' ดีลสำเร็จ!! งานโรงพยาบาลญี่ปุ่น ปี 67 - 68   พร้อมรับแรงงานทักษะเฉพาะเพิ่ม 200% เงินเดือนเริ่มต้น 6 หมื่นบา

(10 เม.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน หารือด้านขยายตลาดแรงงาน ร่วมกับ Mr.Daiki KAMO ผู้บริหารบริษัท Medical Corporation MIDORI-KAI และผู้แทนองค์กรผู้รับ พร้อมตรวจเยี่ยมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคในความดูแล ณ โรงพยาบาล Midorikai Medical Corporation Takesato Hospital เมืองคาสุคาเบะ จังหวัดไซตามะ 

นายสมชาย เปิดเผยว่า งานบริบาลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ เป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่กรมการจัดหางานให้ความสำคัญต้องการผลักดันและส่งเสริมให้นายจ้างญี่ปุ่นนำเข้าแรงงานไทยเป็นจำนวนมาก โอกาสนี้ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจ้างแรงงานไทยในอนาคตตามนโยบายของโรงพยาบาล และสิ่งที่ต้องการให้กรมการจัดหางานสนับสนุน เพื่อส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยในภาคบริบาล เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่ประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงาน และให้ค่าตอบแทนสูง เดือนละประมาณ 250,000 เยน หรือราว 6 หมื่นบาท 

สำหรับโรงพยาบาล Midorikai Medical ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 เป็นศูนย์ดูแลและรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ขนาด 274 เตียง อาคาร 5 ตึก แบ่งการดูแลตามสภาพของผู้ป่วย มีการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค และแรงงานทักษะเฉพาะชาวไทย 17 ราย ประกอบด้วย ผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค 8 ราย แรงงานทักษะเฉพาะ 8 ราย และอยู่ระหว่างยื่นขอวีซ่าทำงานประเภทบริบาล 1 ราย ซึ่งทางโรงพยาบาลยินดีรับแรงงานทักษะเฉพาะจากประเทศไทยในปีนี้และปี 2568 เพิ่มจำนวน 10 คน 

ขณะที่ในส่วนองค์กรผู้รับ มีแผนรับแรงงานทักษะเฉพาะ สาขางานบริบาล ซึ่งจัดส่งผ่านบริษัทจัดหางานที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ในปี 2567 สาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และปี 2568 รวม 50 คน แบ่งเป็นสาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และสาขางานสายโรงงาน ประมาณ 20 คน ทั้งนี้ ถือว่าเพิ่มโอกาสในงานบริบาลให้แรงงานไทยถึง 252%

ในการนี้ อธิบดีกรมการจัดหางานได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล Midorikai Medical พร้อมมอบโอวาทแก่แรงงานไทยที่เสียสละความสุขส่วนตัวห่างครอบครัวมาทำงานไกลบ้านแม้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พี่น้องแรงงานไทยเคารพนับถือ คุ้มครองและดลบันดาลให้มีแต่ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจทุกประการ

ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทรศัพท์ 0 2245 1021 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

'กนอ.' มอบส่วนลดพิเศษกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงลงทุนนิคมฯ ภาคใต้ ในส่วน Rubber City

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ส่วนของพื้นที่ Rubber City เสนอโปรโมชันเด็ดเปิดจองที่ดินรับส่วนลดสูงสุดถึงร้อยละ 5 หวังดึงดูดการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

(10 เม.ย.67) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยผู้ประกอบกิจการใหม่ จะได้รับส่วนลดร้อยละ 3 ของอัตราราคาขายที่ดิน และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับส่วนลดร้อยละ 5 ของอัตราราคาขายที่ดิน 

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ประกอบกิจการใหม่และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับมาตรการส่งเสริมการขายที่ดิน ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้...

1) ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หรือทำสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ตามแบบที่ กนอ. กำหนด 

2) ชำระค่ามัดจำไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าที่ดินในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยค่าที่ดินส่วนที่เหลือต้องชำระภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. 

3) แจ้งเริ่มประกอบกิจการภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. 

4) ห้ามขายหรือโอนที่ดินบางส่วนหรือทั้งหมดภายใน 9 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ทั้งนี้ ไม่นับรวมถึงกรณีการควบรวมกิจการ หรือกรณีผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดามีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นใหม่ภายหลังได้แจ้งกับ กนอ. ไว้แล้วเป็นลายลักษณ์อักษร และผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินดังกล่าวถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนจดทะเบียน 

และ 5) กรณีผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งที่กำหนดไว้ ให้ถือว่ามาตรการส่งเสริมการขายที่ดินทั้งหมดเป็นอันยุติ ผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ต้องชำระค่าที่ดิน ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมดให้แก่ กนอ. โดยมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายที่ดินกับ กนอ. และต้องชำระให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่ กนอ. กำหนด

“Rubber City เป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในขณะนี้ โดยมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และยังมีโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงทั้งภายในและต่างประเทศ ที่สำคัญ ยังเป็นศูนย์กลางแหล่งผลิตยางพาราและตลาดการค้ายางที่สำคัญของประเทศอีกด้วย” นายวีริศ กล่าว

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 1,043 ไร่ เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป 582 ไร่ พื้นที่พาณิชยกรรม 35 ไร่ และพื้นที่ระบบสาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียว 426 ไร่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบกิจการแล้ว 12 ราย ใช้พื้นที่รวม 64 ไร่ ประกอบด้วย นักลงทุนไทย ร้อยละ 56 นักลงทุนมาเลเซีย ร้อยละ 21 นักลงทุนญี่ปุ่น ร้อยละ 4 และนักลงทุนอื่นๆ อาทิ อังกฤษ ไต้หวัน ปานามา ร้อยละ 19 ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ยังคงเหลือพื้นที่ขาย/ให้เช่า อีก 468 ไร่

ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการข้างต้นได้จากประกาศและมาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินได้ที่ [email protected] หรือที่โทรศัพท์ 0-2253-0561 ต่อ 1148 ,2124 ,2123 และ 1195 

‘รมว.ปุ้ย’ กรุยทางยกระดับรอบด้านโครงสร้างพื้นฐาน 'นครศรีธรรมราช' พร้อมเพิ่มทักษะ 'ชุมชนดีพร้อม' เชื่อมท่องเที่ยว 'สายมู' สร้างรายได้ยั่งยืน

รมว.ปุ้ย ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลุยแผนยกระดับศักยภาพพื้นที่ ขานรับนโยบายรัฐบาล มุ่งสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่น ผ่านการอัปสกิลชุมชน ให้ 'ดีพร้อม' ถอดรหัสความสำเร็จเชื่อมโยงท่องเที่ยวสายมูสู่การขยายผลพัฒนาชุมชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมหารือนายกฯ เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ต่อการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน

(9 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า การยกระดับเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนความมั่งคั่งของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงพื้นที่และมอบนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการยกระดับต้นทุนเดิมไปสู่ศักยภาพในการแข่งขัน 

ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความเข้มแข็งและประชาชนสามารถมีรายได้อย่างยั่งยืนได้นั้น จึงจำเป็นต้องกระจายโอกาสและสร้างรายได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการเชื่อมโยงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่

สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดใหญ่ของทางภาคใต้ มีภูมิประเทศและลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีศักยภาพทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความศรัทธา และความเชื่อที่มีมนต์เสน่ห์สวยงาม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรมการแสดงของชาวภาคใต้ อาทิ ครูหมอมโนราห์ ตาพรานบุญ ด้วยอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและกลมกลืนกับวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ประชาชนให้ความเลื่อมใสสักการะ อาทิ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช, วัดเจดีย์ จึงถือได้ว่ามีศักยภาพอย่างยิ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู อีกทั้ง ยังมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีความเหมาะสมอย่างมากในการนำเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม 

ขณะเดียวกัน ได้หารือนายกฯ เพื่อต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมที่มีความพร้อมในการขนส่งเชื่อมโยงในทุกด้าน รวมถึงความพร้อมในการยกระดับทุกมิติด้วยการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การขนส่ง และกระจายโอกาสสู่การพัฒนาตามแนววิสัยทัศน์ 'IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง' ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือได้ว่า จ.นครศรีธรรมราช เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมในการพัฒนาในทุกๆ ด้านไปสู่เศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมองหาโอกาสในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้เป็นแหล่งรายได้สำหรับภาคประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการและชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าจากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่นผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนการแปรรูปในเชิงอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ 

โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ 'ดีพร้อม' เร่งยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเข้มแข็งชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบผ่านโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ 'เปลี่ยนชุมชน ให้ดีพร้อม สู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน' ด้วยการถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนาชุมชนจากผู้ประกอบการและเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้เข้ารับบริการของกระทรวงอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบอกเล่าประสบการณ์ในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจและเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชุมชนสายมูได้อย่างดี โดยมีประชาชนจากชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 2,000 คน 

ขณะเดียวกัน รมว.ปุ้ย ยังได้ใช้โอกาสในการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชหารือ กับนายกฯ เศรษฐา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการยกระดับศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการสนามบิน จ.นครศรีธรรมราชสู่สนามบินนานาชาติ รวมถึงผลักดันการขยายถนน 4 ช่องจราจร ได้แก่ สายคลองเหลง-ขนอม และ ขนอม-ดอนสัก ซึ่งเส้นทางนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญ ในการเชื่อมโยงการเดินทางไปยังเกาะสมุยที่ใกล้ที่สุด โดยถนนสาย นศ.4088 เชื่อมโยงระหว่าง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ไปยัง อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเชื่อมั่นว่าเส้นทางนี้จะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ และเป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตทุเรียนมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี อีกทั้ง ยังเป็นเส้นทางอพยพของประชาชนในช่วงฤดูมรสุม น้ำหลาก 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับปรุงถนนเลียบชายทะเลขนอม-สิชล และถนนเลียบชายทะเลสิชล-ท่าศาลา เพื่อรองรับการพัฒนาไปสู่ถนนสายการกีฬาและท่องเที่ยวได้ในอนาคตอีกด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top