Wednesday, 2 July 2025
ECONBIZ NEWS

‘เอกนัฏ’ คุมกำเนิดเหล็กห่วยเซฟอุตสาหกรรมเหล็กไทย สั่งห้ามตั้งโรงเหล็กเส้นทั่วประเทศ ถึงปี 73 คุมคุณภาพ

(22 มิ.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นอกจากการดำเนินการสั่งจับสั่งปิดโรงงานเหล็กไม่มาตรฐานอย่างต่อเนื่องของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ยกระดับมาตรการควบคุมเหล็กให้มีคุณภาพให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการ ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกห้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... เป็นระยะเวลา 5 ปี มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมโดย รัฐมนตรี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เสนอ 

นายพงศ์พลฯ กล่าวว่า จากผลการตรวจสอบคุณภาพเหล็กของโรงงานหลอมเหล็กจากเตา IF (Induction Furnace) จำนวน 7 แห่งจาก 11 แห่งทั่วประเทศ โดยทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า มีผลิตภัณฑ์เหล็กไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะค่าโบรอนต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคเป็นวงกว้าง และขณะนี้ยังเหลือโรงงานอีก 4 แห่ง ที่อยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในไม่ช้า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับมาตรฐาน และการควบคุมคุณภาพเหล็ก เพื่อให้มั่นใจว่า เหล็กที่ส่งออกสู่ตลาดมีคุณภาพสูงตามเกณฑ์ และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค 

สาระสำคัญของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับนี้  คือ การขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568) เพื่อเป็นการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และใช้โอกาสนี้เพื่อเซฟอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ควบคุมคุณภาพการผลิต โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตเหล็กเส้นชนิด IF ที่พบปัญหาอยู่บ่อยครั้ง จากการลงตรวจของทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม 

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตระหนักถึงผลกระทบอย่างรุนแรงจากการผลิตเหล็กส่วนเกินและการตีตลาดจากเหล็กเส้นราคาต่ำ แต่มีปัญหาด้านคุณภาพ ที่ทะลักเพิ่มมากขึ้นในตลาดจากทุนข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน จึงได้ผลักดันร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกห้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... โดยขยายเวลาใช้บังคับออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่ง ครม. มีมติอนุมัติในหลักการ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

“ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับนี้ โดยการผลักดันของรัฐมนตรีเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพของการผลิตเหล็กเส้นในประเทศ ควบคุมการเข้ามาของทุนต่างชาติที่นำเข้าเหล็กเกินความจำเป็น และยังเป็นการเซฟอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีกับระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม” นายพงศ์พลฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘แอสเซนด์ มันนี่’ คว้าใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ เดินหน้าพัฒนาระบบพร้อมเปิดให้บริการภายใน 1 ปี

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) แอสเซนด์ มันนี่ นำโดย บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด ประกาศได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นของ บริษัทฯ ในการเดินหน้าขยายบริการทางการเงิน ผ่านการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และยกระดับความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้คนไทย

การได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของ แอสเซนด์ มันนี่ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและการเงินให้กับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสอดรับกับพันธกิจของ บริษัทฯ ในการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น โดย แอสเซนด์ มันนี่ มีแผนนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาคิดใหม่ทำใหม่ตลอดกระบวนการ เพื่อนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและตอบรับความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และประธานคณะกรรมการ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ถือหุ้นหลักของ แอสเซนด์ มันนี่ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ แอสเซนด์ มันนี่ ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการ เราเชื่อมั่นว่าเวอร์ชวลแบงก์จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของการสร้างสรรค์นวัตกรรม  การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเครือซีพี ในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาส (Platform of Opportunity) ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เพื่อเปิดทางให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียมและเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์จะสนับสนุน แอสเซนด์ มันนี่ อย่างเต็มที่ เพื่อให้ธนาคารดิจิทัลแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นพลังสำคัญในการยกระดับประเทศสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างแท้จริง”

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “แอสเซนด์ มันนี่ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้จัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการ เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญของการให้บริการธนาคารในยุคต่อจากนี้ เริ่มต้นจากความเข้าใจลูกค้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ถูกระบบการเงินแบบเดิมมองข้าม โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่ ทุ่มเทในการศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดเป็นบริการที่ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาให้พวกเขา แต่ยังมอบคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ  เราเชื่อมต่อให้ผู้คนที่ก่อนหน้านี้ไม่อยู่ในระบบได้เข้ามาอยู่บนระบบการเงินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา และบริษัทฯ ยังมีความพร้อมในการให้บริการโดยได้ลงทุนด้านบุคลากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และระบบบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างธนาคารดิจิทัลที่ให้บริการได้อย่างครอบคลุม ปลอดภัย และช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถมีชีวิตการเงินที่ดีขึ้น ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีจุดเริ่มต้นที่ แตกต่างอย่างไร เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์มที่เราสร้างจะมอบบริการทางการเงินที่เข้าถึงง่าย ตอบรับชีวิตจริง และสนับสนุนผู้ใช้ของเราให้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ พร้อมทำให้เรื่องของการเงินเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคน”

ทั้งนี้ ใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ที่ แอสเซนด์ มันนี่ ได้รับ จะเข้ามาเสริมศักยภาพบริษัทฯ ให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นผ่านบริการธนาคารดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตอบรับความต้องการในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ โดยบริษัทฯ จะใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีด้าน AI และ Data Analytics ในการนำเสนอบริการที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และแก้ปัญหาได้จริง โดยเป้าหมายสำคัญคือการลดความเหลื่อมล้ำและสนับสนุนการเติบโตทางการเงิน ให้กับทั้งลูกค้ารายย่อย และลูกค้าธุรกิจ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ MSMEs ต่อจากนี้ การเงินจะถูกทำให้เป็นเครื่องมือแห่งโอกาสเพื่อมอบการเติบโตและเข้าถึงทุกบริการอย่างทั่วถึงให้กับคนไทย โดยบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนทั่วไปผ่านนวัตกรรมและบริการของเรา

ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่  ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายการเข้าถึงทางการเงิน โดยพัฒนาหนึ่งในแอปพลิเคชันการเงินดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายที่สุดในภูมิภาคอย่าง ทรูมันนี่ (TrueMoney) ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ โดยทรูมันนี่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนมากเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านบริการใช้จ่าย ออม ลงทุน การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และการสร้างหลักประกันเพื่ออนาคต

ตัวเลขที่เห็นได้ชัดคือ ลูกค้าสินเชื่อของ แอสเซนด์ มันนี่ มากกว่า 50% ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเป็นครั้งแรกกับบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากระบบการเงินแบบเดิมได้ แต่ด้วยการที่ แอสเซนด์ มันนี่ พัฒนาโมเดลสินเชื่อที่นำเทคโนโลยี AI และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) มาใช้ ก็ได้ทำให้พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ เจ้าของธุรกิจรายย่อย และเกษตรกร สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำเป็นผ่านการให้บริการสินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ (Responsible lending) นอกจากนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว บริษัทฯ ได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยเบี้ยน้อย จ่ายสบาย เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านฉบับ เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากซึ่งไม่เคยเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้านประกันมาก่อน สามารถสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้านักลงทุนในกองทุนรวมที่มีกว่า 70% ยังเป็นผู้ที่เริ่มลงทุนเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ แอสเซนด์ มันนี่ ในการขยายการเข้าถึงเครื่องมือการเงินที่สร้างความมั่นคงในชีวิตให้ผู้คน

และภายในระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ แอสเซนด์ มันนี่ จะเปิดตัวบริษัทและเวอร์ชวลแบงก์ ที่ดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ จะยึดหลักความยั่งยืน โปร่งใส และตรวจสอบได้ตลอดกระบวนการ โดยรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ จะมีการเปิดตัวและนำเสนออย่างเป็นทางการต่อไป

กบน. ตรึงราคาหน้าปั๊ม - ลดเก็บเงินดีเซล 70 สต./ลิตร ลดผลกระทบประชาชนจากความขัดแย้งตะวันออกกลาง

(19 มิ.ย.68) นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพิลง (กบน.) ในการประชุมวันนี้ มีมติปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลลงอีก 70 สตางค์/ลิตร เพื่อช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการไม่ให้ปรับขึ้นราคา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

มติดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 75.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 93.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 87.49 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นตาม 

การลดอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์ ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซล ลดลงประมาณวันละ 43.50 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 62.97 ล้านบาท เหลือรายรับประมาณวันละ 19.47 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่ที่ประมาณวันละ 72.88 ล้านบาทเท่าเดิม (รายละเอียดในตาราง)

นายพรชัย กล่าวว่า “การดำเนินมาตรการในครั้งนี้สะท้อนถึงความพร้อมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการและดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประชาชน โดยใช้กลไกการจัดเก็บของอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยพยุงราคาน้ำมันให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 โดย กบน.จะติดตามสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อดูแลภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างรอบด้าน และมีประสิทธิภาพ”

รับเงินชดเชย 5.1 พันล้าน คาดงวดแรกจ่าย ก.ค.68 กระทรวงอุตฯ ขอบคุณทุกฝ่ายเผาต่ำสุดซีซั่นนี้

(19 มิ.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/68 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีร้อยละ 100 ในอัตรา 69 บาทต่อตันอ้อย คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 5,175 ล้านบาท สำหรับเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จะได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ต้องเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกอ้อยไว้แล้วกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยคาดว่าจะสามารถโอนเงินรอบแรกภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลและสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ทำดีให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทางเลือกการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ

นายพงศ์พลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากได้มีการจัดทำแผนดำเนินงานเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างยั่งยืนและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาตัดอ้อยสดเพิ่มขึ้น 
ผ่านกลไกส่งเสริมการซื้อขายใบและยอดอ้อย เพื่อนำใบและยอดอ้อยไปผลิตไฟฟ้าขายให้กับภาครัฐ โดยเงินจะหมุนกลับไปหาเกษตรกรชาวไร่อ้อยอีกทางหนึ่ง และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน การผลิตอ้อยสดโดยไม่เผาเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับพลาสติกชีวภาพจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรไทย ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

“กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ขอขอบคุณเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในภาคการเกษตร ในฤดูการผลิตปี 2567/68 ลดการเผาอ้อยได้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่ร้อยละ 14.86 คาดว่าฤดูการผลิตปีหน้าเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลจะสามารถทำตัวเลขอ้อยเผาได้ลดลงกว่าปีนี้” นายพงศ์พลฯ กล่าวปิดท้าย

สกพอ. ผนึก สวทช. และกนอ. โรดโชว์เนเธอร์แลนด์ ดึงบริษัทชั้นนำ ลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวพื้นที่อีอีซี

(18 มิ.ย.68) ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำคณะ เดินทางไปราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 – 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหาร เคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหมุนเวียน โดยคณะฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการเกษตรอัจฉริยะ ได้แก่ Rijk Zwaan, Priva, Van der Hoeven, Koppert Biologic และ Hydrosat กลุ่มบริษัทและองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ Unilever, Thai Union และ FoodX กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเคมีชีวภาพ ได้แก่ Corbion และ Avantium และกลุ่มบริษัทด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Oryx Stainless  

ทั้งนี้ การเข้าร่วมประชุมและพบปะบริษัทชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์ดังกล่าว สกพอ. สวทช. และ กนอ. ได้ร่วมกันนำเสนอความพร้อมในการรองรับการลงทุน การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ในด้านภาษีและมิใช่ภาษีสำหรับการลงทุน การส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการลงทุน และการสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนโอกาสในการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและพร้อมดึงดูดนักลงทุนให้เข้าสู่พื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ สกพอ. และคณะฯ ได้มีโอกาสเข้าพบหารือกับบริษัทที่เข้าร่วมงาน GreenTech Amsterdam 2025 งานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ถือเป็นเวทีสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ สกพอ. ต้องการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ และเป็นศูนย์รวมระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำ (Innovation Ecosystem) ที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนไทย และภาคเอกชนจากต่างประเทศ 

พร้อมกันนี้ ได้มีโอกาสหารือกับบริษัทชั้นนำ เช่น Protix ที่มีเทคโนโลยีด้านการผลิตแมลงเพื่อใช้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ VISCON Group บริษัทระบบ Automation สำหรับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และมีโอกาสหารือกับ Invest International Netherlands หน่วยงานรัฐวิสาหกิจของเนเธอร์แลนด์ ที่มีภารกิจส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ให้เกิดการลงทุนในต่างประเทศผ่านการสนับสนุนด้านการเงิน รวมทั้งได้ทำให้ทราบว่าภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับตลาดเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนในอนาคตต และเป็นโอกาสของพื้นที่อีอีซีและประเทศไทย ในการเป็นฐานการผลิตสำหรับภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงาน เป็นสาขาที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์สนับสนุน 

สำหรับการเดินทางเยือนประเทศเนเธอร์แลนด์ครั้งนี้ สกพอ. ยังได้จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงธุรกิจในหัวข้อ “Thailand Meets Netherlands: Forging Stronger Business Partnerships on Bio-Circular-Green Economy in the Eastern Economic Corridor of Thailand” ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ร่วมกับหอการค้าเนเธอร์แลนด์ – ไทย (Netherlands – Thai Chamber of Commerce: NTCC) และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐไทย และภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ที่ประกอบธุรกิจในพื้นที่อีอีซีเข้าร่วมเป็นวิทยากร อาทิ 

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำเสนอโอกาสความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และโอกาสในการลงทุนในพื้นที่ EECi นางสาวนลินี กาญจนามัย รองผู้ว่าการ (บริหาร) กนอ. นำเสนอพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ดร. ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สกพอ. นำเสนอโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG และภาคเอกชนไทยและเนเธอร์แลนด์ร่วมนำเสนอประสบการณ์การลงทุนในพื้นที่อีอีซีและประเทศไทย โดยงานสัมมนาดังกล่าวได้รับความสนใจจากภาครัฐและภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์ เข้าร่วมงานมากกว่า 70 ราย

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'สุดซอย' บุกรง. ลอบซุกขยะพิษ 8 พันตัน ปฏิบัติการชักปลั๊กทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญ

‘เอกนัฏ’ ทลายอาณาจักรรีไซเคิลศูนย์เหรียญปราจีนบุรี พบลอบประกอบกิจการ ซุกขยะพิษ-วัตถุอันตรายกว่า 8,000 ตัน ปล่อยเช่าที่ตั้งโกดังแบบผิด กม.รัวๆ แจ้งความดำเนินคดีเด็ดขาด พร้อมชงเรื่อง 'ดีเอสไอ' รับเป็นคดีพิเศษ

(18 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัท เซ็ตเมทอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 301 หมู่ที่ 3 ตำบลกรอกสมบูรณ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะ เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง ซึ่งก่อนหน้านี้โรงงานถูกคำสั่งให้ปิดปรับปรุงชั่วคราว เนื่องจากประกอบกิจการไม่ตรงตามใบอนุญาต แต่มีรายงานว่ายังคงลักลอบประกอบกิจการ จึงให้ทีมสุดซอยเข้าตรวจสอบ 

“จากการตรวจสอบภายในบริษัท เซ็ตเมทอลฯ พบการกระทำความผิดหลายกรณี ทั้งลักลอบประกอบกิจการเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ครอบครองวัตถุที่เข้าข่ายวัตถุอันตรายถึงกว่า 8 พันตัน ทั้งยังมีพฤติกรรมตั้งตนเป็นนิคมศูนย์เหรียญ ซึ่งได้สั่งให้ปิดกิจการและดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทันที” นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า ภายในพื้นที่ บริษัท เซ็ตเมทอลฯ ที่มีนางจันจิรา สุขสถิต และนายหยู-ลี่ หยาง จดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัทฯ มีการแบ่งโกดังรวม 7 หลัง ทั้งส่วนที่มีใบอนุญาตโรงงานและส่วนที่ไม่พบใบอนุญาต ขณะเข้าตรวจสอบ พบว่ามีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟ ซึ่งถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งระงับกิจการชั่วคราว และพบเศษสายไฟ ชิ้นส่วนระบบไฟฟ้ารถยนต์ เศษโลหะปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน ถือเป็นการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีข้อมูลด้วยว่า มีรถบรรทุกขนย้ายเศษอิเล็กทรอนิกส์เข้า-ออกโรงงานเฉลี่ยเดือนละกว่า 230 คัน 

“ตามลักษณะถือเป็นนิคมศูนย์เหรียญอย่างชัดเจน มีการแบ่งพื้นที่ให้เอกชน 7 ราย ซึ่งเป็นชาวจีนและชาวไต้หวัน เช่าประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งดำเนินคดีในข้อหาประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต, การขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมให้มีการยึดอายัดของกลางทั้งหมดไว้” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

บริษัท เซ็ตเมทอลฯ มีการเช่าพื้นที่ของ บริษัท พีทีเอส โกลเด้น เมทัล จำกัด ที่ไม่ได้มีการประกอบกิจการแล้ว จัดแบ่งเป็น 2 ส่วน ให้ชาวจีน 2 บริษัทเช่าช่วงเพื่อประกอบกิจการคัดแยกเศษโลหะ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ไม่ได้รับอนุญาต ได้แก่ เศษโลหะ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า เศษสายไฟ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมกว่า 8 พันตัน สอจ.ปราจีนบุรี ได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนในส่วนขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำการยึดอายัดเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และกากของเสียไว้ทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการและครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และเนื่องจากทั้ง 2 พื้นที่มีการครอบครองวัตถุอันตรายเกิน 50 ตัน ซึ่งเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ที่จะนำส่งไปให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อพิจารณาต่อไป 

“ขณะนี้ ทีมสุดซอย ได้สรุปข้อมูลการพิจารณาทบทวนการออกใบอนุญาตโรงงานประเภทรีไซเคิลที่อาจจะมีมากเกินความจำเป็น และเพื่อเป็นการกำจัดและป้องกันการสร้างอาณาจักรศูนย์เหรียญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพกับชุมชนและประเทศไทย” นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

‘พีระพันธุ์’ หวั่นสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่านยืดเยื้อ เร่งวางแผนบริหารจัดการราคาน้ำมัน - สำรองเชื้อเพลิง

‘พีระพันธุ์’ เตรียมความพร้อม ก.พลังงาน วางแผนบริหารจัดการราคาน้ำมันและปริมาณสำรองเชื้อเพลิง รับมือสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่าน ลดผลกระทบราคาพลังงานในประเทศให้มากที่สุด

(17 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามและประเมินผลกระทบด้านพลังงานจากสถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน  และเตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์มีความยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ โดยทางกระทรวงพลังงานได้เตรียมวางแผนบริหารจัดการด้านราคาน้ำมันและด้านปริมาณสำรองพลังงานในแนวทางต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบดูไบซื้อขายที่ 72.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นเดือนมิถุนายนซึ่งอยู่ที่ระดับ 65  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จึงมีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล และใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพและพยุงราคาน้ำมันในประเทศ

สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศของไทยนั้น ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน มีน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และมีน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ เพื่อลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด

‘ดีพร้อม’ ยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น-วิสาหกิจชุมชน หนุนใช้นวัตกรรมต่อยอดสร้างรายได้ ตามนโยบาย ‘รมว.เอกนัฏ‘

เมื่อวันที่ (11 มิ.ย. 68) นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเผยแพร่ผลสำเร็จของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้กิจกรรมยกระดับผลิตภัณฑ์อาหารชุมชนประจำถิ่นโดยใช้เทคโนโลยี เครื่องจักร นวัตกรรมที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ประจำถิ่น (ภาคตะวันออก) โครงการยกระดับศุนย์นวัตกรรมอาหารชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ร่วมด้วย นางสาวศิริลักษณ์ วิศวรุ่งโรจน์ อุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี นายสุริวัฒน์ เริ่มกิจการ สภาชิกสภาเมืองพัทยา นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมี นางสาวหนึ่งหทัย ธรรมพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 เป็นผู้กล่าวรายงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ (DIPROM) ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา

การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จจากการส่งเสริมวิสาหกิจให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแปรูปวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิด Soft Power ด้านอาหาร โดยการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกจำนวน 10 ราย ผ่านการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญตลอด 12 Man/day ซึ่งจะไม่ใช่เพียงการส่งเสริมและพัฒนาในตัวของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาคนในชุมชน ผ่านการฝึกฝนและสร้างอาชีพให้เกิดการสร้างรายได้ ผ่านการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาต่อยอด เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนออกมาในผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมถึงการนำกลไก Soft Power มาใช้ในการสร้างเรื่องราว บอกต่อ และโน้มน้าวให้เกิดการเผยแพร่เข้าสู่ตลาด สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ในเกิดยอดขาย มีการกระจายรายได้ในชุมชน เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง

โดย “อธิบดีณัฏฐิญา” ได้ให้เกียรติมอบวุฒิบัตรและโล่รางวัลให้กับ 10 กิจการที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว พร้อมเยี่ยมชมสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนา ซึ่งนำมาจัดแสดงเพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จ รวมถึงเป็นการทดสอบตลาด จัดจำหน่าย และรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภค เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สอดรับตามนโยบายของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งปฏิรูปอุตสาหกรรมด้วยการเสริมแกร่งห่วงโซ่อุปทาน สร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ พัฒนาทักษะบุคลากร รวมถึงการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผู้ประกอบการไทยสู่สากล

ก.พลังงาน เกาะติดสถานการณ์อิสราเอล - อิหร่าน เตรียมมาตรการรองรับทั้งด้านราคา - ปริมาณสำรอง

กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ โดยได้ดำเนินมาตรการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมทั้งเตรียมแผนเพิ่มปริมาณสำรองภายในประเทศ หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

(17 มิ.ย. 68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากที่เกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีรายงานข่าวเมื่อคืนวันจันทร์ว่า อิหร่านพร้อมกลับมาเจรจาเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับสหรัฐหลังจากที่อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การสู้รบก็ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้หลายประเทศเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ โดยนักวิเคราะห์จากหลายหน่วยงานรายงานถึงการคาดการณ์หากการสู้รบขยายวงกว้างขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งอาจจะมีการปิดกั้นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันอย่างช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ

กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยในด้านราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 72.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นเดือนมิถุนายนที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูแลด้านราคาขายปลีกภายในประเทศเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ได้มีมติเมื่อวานนี้ ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยใช้กลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ และพยุงราคาน้ำมันในประเทศ ไม่ให้กระทบกับความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว

ส่วนในด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด

“ขอย้ำว่า กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด ได้เตรียมพร้อมในเรื่องของปริมาณสำรองพลังงาน ซึ่งมีข้อกำหนดและมาตรการในการสำรองปริมาณน้ำมันและก๊าซหุงต้มอยู่แล้ว รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคาหากการสู้รบรุนแรงขึ้นและยืดเยื้อ โดยไทยเองเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาได้ ซึ่งเมื่อวานนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการหากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอีก  จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานจะติดตามสถานการณ์และดำเนินทุกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปริมาณสำรองน้ำมัน และขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

กบน. ลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ กว่าวันละ 74 ล้านบาท ลดผลกระทบประชาชนจากสถานการณ์ตะวันออกกลาง

(16 มิ.ย. 68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรง และส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า “การประชุม กบน. วันนี้ได้มีการประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 72.50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 85.44 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 88.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล   ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ และค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง 

เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนจากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น และไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพในช่วงที่สถานการณ์วิกฤตพลังงานกำลังเกิดขึ้น กบน. จึงมีมติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยใช้กลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ และพยุงราคาน้ำมันในประเทศ ไม่ให้กระทบกับความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว” ดังนี้ (ข้อมูลในตาราง)

สำหรับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันทุกชนิด (รวมถึงน้ำมันเตา) ลดลงประมาณวันละ 74.41 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 241.64 ล้านบาท เหลือประมาณวันละ 167.23 ล้านบาท โดยปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ติดลบอยู่ที่ 36,268 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 8,244 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 44,512 ล้านบาท

นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินมาตรการครั้งนี้เป็นไปตามบทบาทของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงานของประเทศเมื่อเกิดวิกฤตด้านราคาพลังงาน ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 โดยยึดหลักการ “เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้” พร้อมยืนยันว่า กบน.จะติดตามสถานการณ์น้ำมันโลกอย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสม เพื่อดูแลและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนให้มากที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top