Sunday, 6 July 2025
ECONBIZ NEWS

'พงศ์กวิน' รมว.แรงงานใหม่ มอบ 5 นโยบาย ลั่น จะพยายามเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้ถึง 650 บาท

'พงศ์กวิน' รมว.แรงงานป้ายแดง เข้าทำงานวันแรก มอบ 5 นโยบาย ส่วนเรื่องเพิ่มค่าแรง ลั่นจะพยายามให้ถึง 650 บาท พร้อมเดินหน้าเพิ่มทักษะยกระดับสู่แรงงานมีฝีมือ

(4 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 08.19 น. ที่กระทรวงแรงงาน นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงานคนใหม่ เดินทางเข้ามาทำงานที่กระทรวงเป็นวันแรก เดินทางเข้าห้องทำงานบริเวณชั้น 6 โดยมีพระภิกษุสงฆ์ 2 รูปทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ในเวลา 09.19 น. ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ ศาลพ่อปู่ชินพรหมมา และสักการะพระพุทธรูปประจำห้องปฏิบัติราชการ

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางมายังกระทรวงแรงงานเพื่อมอบกระเช้าดอกไม้ให้กำลังใจนายพงศ์กวิน พร้อมให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า มาให้กำลังใจ รมว.แรงงาน เนื่องจากตนเป็นรองนายกที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงานด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจรวมถึงการช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน ให้มีสภาพการทำงานที่ดี มีค่าแรงที่ดี กระตุ้นเศรษฐกิจได้

ถามถึงนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570  นายสุริยะ กล่าวว่า ต้องมีการดูรายละเอียดและพิจารณาอีกครั้ง ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงและภาคส่วนต่าง ๆ จากที่ได้มีการหาเสียงเพิ่มค่าแรง จะสามารถเพิ่มได้อย่างไร แค่ไหน เพิ่มแล้วต้องไม่กระทบกับผู้ประกอบการมากเกินไป ถ้าสามารถเพิ่มได้ก็จะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยแล้วจะทำให้ผู้ประกอบการขายของได้ ธุรกิจก็เติบโต ต้องดูในภาพรวม ต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน

ฝึกอบรมทักษะAI ลดหย่อนภาษี
จากนั้นเวลา 11.00 น. นายพงศ์กวิน ได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานภายใต้แนวคิด กระทรวงแรงงาน เพื่อโอกาส แรงงานไทยว่า  ฝากนโยบาย 5 ข้อ

คือ 1. พัฒนาศักยภาพ AI เพื่อยกระดับแรงงานไทย ต้องเร่งพัฒนาหลักสูตรใช้งาน AI ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและการบริการในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตและต้องดำเนินการเชิงรุกให้แรงงานเข้าสู่กระบวนการพัฒนาฝีมือด้าน AI

ซึ่งหลักสูตรการอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดำเนินการเองยังไม่เพียงพอต่อการยกระดับฝีมือแรงงานด้าน AI รวมถึงด้านอื่น ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีเครื่องมือสำคัญคือพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานพ.ศ. 2545 ที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนพัฒนาฝีมือแรงงานของตัวเอง โดยให้นำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ หากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานปรับปรุงแนวทางการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อผลักดันให้เอกชนพัฒนาทักษะที่มือด้าน AI เพิ่มมากขึ้นน่าจะเป็นช่องทางทำให้ยกระดับแรงงานฝีมือด้าน AI ให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ

2. การคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม ครอบคลุมแรงงานนอกระบบจำนวนกว่า 21 ล้านคน จึงขอให้มีการเร่งผลักดันกฎหมายแรงงานยุคใหม่ให้ครอบคลุมแรงงานนอกและขอให้มีการศึกษาวิจัยรูปแบบการทำงานในปัจจุบัน แนวโน้มความต้องการประกอบอาชีพและลักษณะงานที่คนรุ่นใหม่และเยาวชนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงหรือบัญญัติกฎหมายแรงงานเพิ่มเติมให้มีความทันสมัยรับรองแรงงานที่มีรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างเหมาะสม

ยกระดับ 1.8 ล้านคน รับค่าแรงเกิน 400 บาท 
3. “Learn to Earn” สนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ทำงานได้ สามารถทำงานที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและสภาพจิตใจ และต้องไม่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเยาวชน เรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงเด็กเยาวชนที่มีฐานะยากจน จึงควรช่วยกันปรับเจตคติของสังคมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ทำไมเราต้องส่งเสริมการทำงานของคนรุ่นใหม่  

4. สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับรายได้ให้แก่แรงงานไทย  ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมประมาณ 24 ล้านคน แม้ในช่วงนี้ได้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำแล้วถึง 2 รอบ ทำให้แรงงานในพื้นที่และบางสาขาอาชีพได้รับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาทแต่ยังมีผู้ประกันตนอีก 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นแรงงานไทย 1.8 ล้านคนที่ได้รับค่าจ้างยังไม่ถึงวันละ 400 บาท สะท้อนให้เห็นว่าแรงงาน 90% มีรายได้เกินรายได้เกิน 400 บาทต่อวันแล้ว

สำหรับกลุ่มที่เหลือจำเป็นจะต้องเร่งยกระดับรายได้ของแรงงานกลุ่มนี้โดยด่วน ไม่ว่าจะเป็นการอัปสกิล รีสกิล เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้มีทักษะฝีมือแรงงาน ที่จะเข้าสู่ระบบค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ทำให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินกว่าวันละ 400 บาท

และ 5. การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เกิดปัญหาแย่งอาชีพคนไทย ปัญหาอาชญากรรม  

พยายามเพิ่มค่าแรงให้ถึง 650 บาท
ก่อนเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามถึงเรื่องนโยบายเรือธงของรัฐบาล เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ นายพงศ์กวิน กล่าวว่า  กระทรวงแรงงานได้มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน ด้วยการอัปสกิล รีสกิล โดยส่วนใหญ่ก็จะมีรายได้ที่สูงกว่า 400 บาทต่อวัน ซึ่งเหลือกลุ่มเป้าหมายตอนนี้ประมาณ 2.3 แสนคนที่จำเป็นที่จะต้องอัปสกิล รีสกิล เพื่อให้มีรายได้ที่สูงกว่า 400 บาทขึ้นไป ซึ่งเท่าที่ทราบข้อมูลมามีผู้ประกันตนราว 24 ล้านคน ในจำนวนนี้มีอยู่ 2.3 ล้านที่ได้รับต่ำกว่า 400 บาท  ขณะที่ค่าแรงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 618 บาทต่อวันต่อคน ถือว่าค่อนข้างสูง

“สิ่งที่จะทำคือยกระดับค่าแรงขึ้นไปอีก จะพยายามทำให้ได้ถึงประมาณ 650 บาทต่อวัน แต่ไม่ใช่การยกระดับด้วยอัตราการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะต้องพัฒนาฝีมือของแรงงาน ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่เขาจะได้รับนะครับ ถ้าเกิดสมมติว่าเขามีทักษะที่มากขึ้น รับประกันได้ว่าไม่มีนายจ้างคนไหนที่จะปฏิเสธเรื่องการให้ค่าแรงที่สูงขึ้น” นายพงศ์กวินกล่าว 

เมื่อถามกรณีแรงงานกัมพูชา  นายพงศ์กวิน กล่าวว่า ภาพที่เห็นรายงานเดินทางออกนอกประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่เป็น One Day Passport หรือไปเช้าเย็นกลับ ทำให้ดูเหมือนมีคนออกนอกประเทศไทย  แต่ตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่กลับออกไปจริงมีประมาณ 20,000 คน จากจำนวนแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยกว่า 500,000 คน เพราะฉะนั้นส่วนที่กลับไปถือว่าไม่มาก ก็ต้องมีการหาแรงงานสัญชาติอื่นเข้ามาทดแทน

การันตีตัวเองมีความสามารถเพียงพอ
เมื่อถามว่ารู้สึกกดดันหรือไม่ในฐานะรัฐมนตรีหน้าใหม่ อีกทั้งยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ นายพงศ์กวิน กล่าวว่า ตนเคยบริหารงานในบริษัทของคุณพ่อ และบริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มาแล้ว รวมถึง เป็นสส. ในสมัยปี 2562 อยู่ 4 ปี ได้เห็นและเรียนรู้งานทางด้านนิติบัญญัติ หลังจากนั้นก็ได้มาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อยู่ 2 ปี  

“ผมมีความรู้ ทั้งทางด้านนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาว่าจะทำงานได้ไหม ผมสามารถการันตีตัวเองได้ว่า ผมมีความสามารถมากพอ" นายพงศ์กวินกล่าว

เมื่อถามถึงการสานต่อหรือรื้องานของรมว.แรงงานคนเก่าที่มาจากพรรคภูมิใจไทย(ภท.) หรือไม่อย่างไร นายพงศ์กวิน กล่าวว่า แต่ละพรรคการเมืองต่างก็มีนโยบายของตนเอง แต่นโยบายไหนที่ทำไว้ดีก็สานต่อแน่นอน ส่วนที่คิดว่าสามารถทำให้ดีขึ้น ก็พร้อมที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น

‘กรณ์’ ชี้ ดีลสหรัฐฯ – เวียดนาม ไม่เป็นผลดีกับไทย ส่อเสียเปรียบด้านการแข่งขันแม้เก็บภาษีเท่ากันหรือใกล้เคียง

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ไทยส่อเสียเปรียบด้านการแข่งขัน หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าไทย 20% เท่ากันหรือใกล้เคียงเวียดนาม 

(3 ก.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุว่า ทรัมป์ตกลงดีลกับเวียดนาม มีผลอย่างไรกับไทย? 

เมื่อคืนมีการประกาศข้อตกลงระหว่างอเมริกาและเวียดนาม กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนาม 20% ภาษีนำเข้าสินค้าประเทศอื่นที่ผ่านเวียดนาม 40%

ส่วนภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกา 0% และเปิดตลาดทุกประเภทสินค้า (ตามข่าว)
ถ้าของเราเป็นแบบนี้ จะมีสามคำถามสำคัญ

1. หากอัตราภาษีสูงแต่สูงเท่ากัน ในแง่การแข่งขันกับประเทศอื่น ถือว่าไม่ได้เปรียบ/เสียเปรียบหรือไม่?
2. ราคาสินค้าที่อเมริกาจะสูงขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าจากเราน้อยลงหรือไม่?
3. โดยสรุปจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยแค่ไหนอย่างไร?

ในความเห็นผม 

1. อัตราภาษีที่เท่ากัน ทำให้มีผลต่อการแข่งขันระหว่างประเทศต่างๆที่แข่งกันส่งสินค้าเข้าอเมริกาน้อยลง แต่ไม่ 100% ประเทศที่ราคาสินค้าแพงกว่าเป็นทุนเดิม หรือส่วนกำไรของผู้ผลิตน้อยกว่า จะเสียเปรียบมากกว่า ยกตัวอย่าง หาก margin บริษัทเวียดนาม 10% แต่ของไทย 5% เขาสามารถลดราคา 5% แล้วยังมีกำไร ในขณะที่เราทำไม่ได้ นอกจากนั้น แนวโน้มความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนจะมีผลด้วย ยกตัวอย่าง ช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา เงินบาทเราเทียบกับสกุลเงินเวียดนามนั้นแข็งค่าขึ้น 20%+ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

2. สองเดือนที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นผลจาก tariff ต่อราคาสินค้าในอเมริกา สาเหตุเพราะผู้นำเข้าได้มีการตุนสินค้าไว้เยอะก่อนเพิ่มภาษี และเพราะอัตราภาษีชั่วคราวตํ่าพอที่ผู้ส่งออกแบกรับได้โดยยังไม่ส่งต่อ แต่จากนี้ไปผลของภาษีต่อราคาสินค้าจะมากขึ้น ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อผู้บริโภคอเมริกันแน่นอน

3. ผมเคยประเมินแต่แรกว่าหากอเมริกานำเข้าสินค้าจากเราลดลง 10% จะทำให้ GDP ลดลงประมาณ 1% และจะมีผลต่อรายได้ของผู้ส่งออกเราที่ margin ลดลง เป็นตัวฉุดเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนั้นผลข้างเคียงที่เราเห็นแล้วคือการระบายสินค้าจากจีนมาที่ตลาดเรา นอกจากเพิ่มการนำเข้าให้ไทย (ฉุด GDP ลง) จะทำให้ผู้ประกอบการไทยเดือดร้อนอีกด้วย สุดท้ายคือผลกับการลงทุนประเภท FDI จะลดลง คือการลงทุนแนว re-shoring หรือ friend-shoring จะน้อยลง เพราะทรัมป์สกัดกั้นด้วยภาษี transhipment ที่สูงมาก

โดยรวม ๆ ข่าวจากเวียดนาม (ที่ยอมทรัมป์แล้วทุกอย่าง)ไม่สู้ดีกับไทย เวียดนามเขารู้ตัวมาก่อน มีการประกาศแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจมากมาย เช่นลดขนาดภาคราชการ ลดจำนวนกระทรวงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หันมาเน้นเศรษฐกิจที่อิงกับการพึ่งพากลไกตลาดเสรีมากขึ้น และยกระดับการศึกษาต่อเนื่อง 
ส่วนของเรา…

‘ดร.กอบศักดิ์’ วิเคราะห์นัยยะอัตราภาษี “สหรัฐฯ-เวียดนาม” ชี้ เป็นจุดเปรียบเทียบที่ไทยต้องพยายามทำให้ได้ไม่น้อยหน้า

(3 ก.ค. 68) ‘ดร.กอบศักดิ์’ วิเคราะห์นัยยะอัตราภาษี หลัง “สหรัฐฯ-เวียดนาม” บรรลุการเจรจา ชี้เป็นจุดเปรียบเทียบไทยต้องพยายามให้ได้ไม่น้อยหน้า พร้อมให้กำลังใจทีมไทยแลนด์เจรจาให้ได้รับผลที่ดี

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กว่า นัยยะจากผลการเจรจาของสหรัฐกับเวียดนาม ข้อสรุปล่าสุดสำหรับเวียดนามที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศออกมาเมื่อคืน จะเป็น 1.จุดเปรียบเทียบที่ไทย ต้องพยายามให้ได้ ไม่น้อยหน้า 2.ต้นแบบและบรรทัดฐานให้กับทุกประเทศที่เหลือ โดยข้อตกลงดังกล่าวมีตัวเลขสำคัญ 3 ตัวเลข 0% 20% และ 40%

โดย 0% สำหรับสินค้าสหรัฐที่จะส่งมาที่เวียดนาม ที่ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าไหนก็ตามที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา จะสามารถส่งมาที่เวียดนามโดยไม่โดนภาษีศุลกากร

“เรื่องนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการพูดถึงชัด ๆ แต่คำว่า Total Access คงหมายรวมไปถึงว่า จะต้องไม่มี Non-tariff Barriers ต่าง ๆ ที่เวียดนามจะแอบทำด้วย ซึ่งสหรัฐคงจะแจ้งไทย (และคู่เจรจาคนอื่น ๆ) เช่นกันว่า เขาต้องการ 0% และ Total Access ที่ไม่มีการกีดกันอื่น ๆ สำหรับสินค้าสหรัฐ”

ขณะที่คิด 20% สำหรับสินค้าเวียดนามทุกอย่างที่ส่งออกมาที่สหรัฐ ตัวเลขนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะต่อไปจะเป็นต้นแบบให้กับประเทศต่าง ๆ ที่สหรัฐขาดดุลด้วย และเป็นจุดเปรียบเทียบสำคัญที่ไทย (และประเทศอื่นในเอเชีย) ต้องทำให้ได้ ให้ดีกว่าเวียดนาม หรืออย่างน้อย ไม่น้อยหน้าเวียดนาม

“หากจะจบสูงกว่าตัวเลขนี้ ก็ต้องให้ได้ไม่เกิน 25% ไม่เช่นนั้น บริษัทส่งออกในไทยก็จะเสียเปรียบคู่แข่งคนสำคัญของเรา บริษัทที่กำลังคิดว่าจะย้ายฐานมาที่ไทย ก็จะคิดหนักขึ้น ว่าไปเวียดนามดีกว่าไหม”

ส่วน 40% สำหรับสินค้าจีน (หรือประเทศอื่น ๆ) ที่จะแอบส่งมาให้เวียดนาม แล้วส่งต่อไปที่สหรัฐ โดยอัตรานี้จะเป็นข้อเรียกร้องที่สหรัฐทำกับทุกประเทศที่เจรจาด้วย โดยเฉพาะประเทศในเอเชียที่เป็นจุดส่งผ่านสำคัญ รวมถึงกับไทยด้วย

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักไก่ ไม่ให้มีช่องที่จะเอาสินค้าจีนเข้ามา แล้วส่งต่อไปสหรัฐแบบ Transshipment เพื่อรับสิทธิภาษี 20% ของเวียดนาม

ซึ่งการเตรียมการลักษณะนี้ มีนัยยะต่อไปว่า ภาษีกับจีน ที่สหรัฐมีอยู่ในใจ และจะคิดในท้ายที่สุด คงใกล้ ๆ กับตัวเลขนี้

ทั้งนี้ หากลองกลับไปเปรียบเทียบกับกรณีอังกฤษ ที่ได้เจรจาเบื้องต้นไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ก็จะทำให้เห็นภาพชัดเจน โดยอังกฤษยอมให้สหรัฐ 0% สำหรับสินค้าต่างๆ ที่สหรัฐส่งมา หมายความว่า สหรัฐคงมีอยู่ในใจ ที่จะใช้อำนาจต่อรองจากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ของตนเอง ในการเปิดประตูการค้าให้กับสหรัฐเอง เพื่อนำไปสู่ Free Trade / Free Access สำหรับสินค้าสหรัฐในทุกประเทศทั่วโลก

จะได้บอกบริษัทที่มาลงทุนที่สหรัฐว่า สินค้าที่ผลิตในสหรัฐ (อย่างน้อยเมื่อเทียบกับยุโรป หรือประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ) จะสามารถส่งไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างเสรี ไม่มีข้อจำกัด

ขณะเดียวกัน อังกฤษยอมให้สหรัฐคิดภาษีนำเข้า 10% ซึ่งตัวเลข 10% นี้ คงเป็นตัวเลขที่สหรัฐมีในใจ สำหรับประเทศที่สหรัฐเกินดุลด้วย

10% สำหรับประเทศเกินดุล และประมาณ 20% สำหรับประเทศที่สหรัฐขาดดุลด้วย คงจะกลายเป็น Benchmark ที่เป็นกรอบในการเจรจาของทีมสหรัฐ

เพราะตัวเลขนี้ จะช่วยสร้างรายได้ให้สหรัฐจากภาษีศุลกากรไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ในเดือนพฤษภาคม เก็บได้ประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์) ช่วยลดการขาดดุลการคลัง ช่วยในการลดภาษีของ One Big Beautiful Bill ที่กำลังจะออกมา ช่วยปรับสมดุลทางการค้าของสหรัฐ นอกจากนี้ ช่วยสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติมให้กับบริษัทขยายการลงทุนในสหรัฐ เพื่อช่วยสร้างงานในประเทศ

ส่วนจีน (คู่ต่อสู้สำคัญของสหรัฐ ที่กำลังทาบรัศมี) ก็คงจะต้องจ่ายมากกว่าคนอื่นๆ 10% จาก Reciprocal Tariffs 20% จากกรณีของ Fentanyl และ 25% เดิม รวมแล้วอย่างน้อย 55% ทั้งนี้ สินค้าจีนที่แอบส่งมาผ่านประเทศที่ 3 ก็จะโดนตรวจเข้มและโดนภาษีอย่างน้อย 40% ซึ่งในจุดนี้ คงต้องปรับต่อไป เพราะว่าสินค้าขนาดเล็กของจีน (ราคาต่ำกว่า 800$) ที่ส่งไปสหรัฐ ขณะนี้โดนภาษี 54% ยังสูงกว่าการหลีกเลี่ยงผ่านประเทศที่ 3 ที่ตกลงกับเวียดนามล่าสุด

“ทั้งหมด จะเป็นข้อสรุปในรอบแรกของสงครามการค้าโลก ที่จะนำไปสู่กรอบใหม่และสมดุลใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ ขอเป็นกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ สามารถเจรจาให้ได้ผลที่ดี”

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าจัดการ ‘ซิน เคอ หยวน’ ต่อ แม้ผลสอบตึก สตง.ถล่ม ระบุไม่เกี่ยวกับเหล็ก

วันนี้ (30 มิ.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กถึงกรณีผลตรวจตึก สตง.ของกรมโยธาธิการและผังเมืองว่า ไม่ว่า ‘เหล็กตํ่ามาตรฐาน’ จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตึกถล่มลงมาหรือไม่ก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของประชาชนคนไทย

ซึ่งผมได้ดำเนินการตรวจสอบ จัดการกับผู้ผลิตเหล็กที่ตัวโรงงานและผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานมาตั้งแต่ ธ.ค. 2567 เริ่มต้นตั้งแต่การเข้าตรวจและปิด บริษัท BNSS สตีล กรุ๊ป ต่อด้วย บริษัท ซิน เคอ หยวน และบริษัทอื่นๆตามมาอีกรวม 10 บริษัท

กรณี บริษัท ซิน เคอ หยวน ที่ผลิตเหล็กไปใช้ในตึกสตง.นั้น จนถึงปัจจุบันโรงงานก็ยังปิด การผลิตเหล็กที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานถูกส่งให้ DSI ดำเนินคดี

ต่อจากนั้น ซิน เคอ หยวน ก็ถูกเพิกถอน BOI และ ดำเนินคดีในเรื่องอื่นๆที่สำคัญไม่น้อยกว่าตัวเหล็ก เช่น เรื่องฝุ่น ที่มีครอบครองเกือบ 60,000 ตัน โดยที่ไม่ได้มีการแจ้ง มีการขนย้ายที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดตั้งข้อหากับ ซิน เคอ หยวน และบริษัทที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งให้ DSI ดำเนินคดี ทั้งหมด 1,016 ข้อหา 

ผมและทีม #สุดซอย ไม่หวั่นไหว ยึดหลักการบังคับใช้กฎหมายไทย เพื่อรักษามาตรฐาน ผดุงความเชื่อมั่น เซฟอุตสาหกรรมเหล็ก และชีวิตประชาชนให้ปลอดภัยเป็นสำคัญ

‘วัน แชมเปียนชิพ’ ย้ายศูนย์กลางการผลิตสู่กรุงเทพฯ หลังสร้างมูลค่าทางศก.ในไทยกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

วัน แชมเปียนชิพ™ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศย้ายศูนย์กลางการผลิตจากสิงคโปร์มายังกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมศูนย์การผลิต และสนับสนุนการดำเนินงานด้านคอนเทนต์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานของ ONE เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดรายการ ONE ลุมพินี ณ สนามมวยเวทีลุมพินีทุกสัปดาห์ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึง 195 ประเทศ ในช่วงไพรม์ไทม์ของเอเชีย ด้วยขนาดและความสม่ำเสมอของอีเวนต์นี้ การรวมฐานการผลิตทั้งหมดไว้ที่ประเทศไทยจึงถือเป็นก้าวสำคัญและมีความเหมาะสมในเชิงปฏิบัติการ

นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการนำเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้กับระบบการผลิตคอนเทนต์ระดับโลกในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ พร้อมกับทำให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

นายชาตรี ศิษย์ยอดธง ประธานและซีอีโอของ ONE กล่าวว่า “ตลอดสองปีครึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตคอนเทนต์ระดับโลกของเรา เมื่อเราขยายการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถรวมศูนย์การผลิตและพัฒนาการประสานงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถด้านการผลิตอีเวนต์และคอนเทนต์ของเราต่อไป”

ผลการศึกษาล่าสุดจาก Nielsen รายงานว่า ONE มีส่วนสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งตอกย้ำถึงคุณค่ามหาศาลในภาพรวมของอีเวนต์ ที่มีต่อภาคกีฬาและการท่องเที่ยวของประเทศ

ทั้งนี้ สิงคโปร์จะยังคงเป็นสำนักงานใหญ่ของ ONE ตามเดิม ในฐานะที่ตั้งของฝ่ายบริหารระดับสูง, ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ และฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีสถานะทางนิติบุคคลในหมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นสถานที่ที่บริษัทย้ายที่จดทะเบียนไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนด้านเงินทุนระยะยาว และการจัดโครงสร้างองค์กรโดยรวม

“นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาในฐานะองค์กรสื่อกีฬาชั้นนำระดับโลก เรายังคงยึดถือในความมุ่งมั่นที่มีต่อสิงคโปร์ ไปพร้อม ๆ กับการจัดสรรทรัพยากรไปยังสถานที่ที่มีความเหมาะสมกับการดำเนินงานมากที่สุด”

ONE ยังคงมุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มสื่อกีฬาระดับโลก โดยมีกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการส่งมอบคอนเทนต์สู่ผู้ชมทั่วโลกนับจากนี้

‘บีโอไอ’ เคาะ!! มาตรการหนุน Local Content ประเดิม!! กลุ่มอุตสาหกรรม EV และเครื่องใช้ไฟฟ้า

(28 มิ.ย. 68) บอร์ดบีโอไอ หนุนผู้ประกอบการไทย เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) จับมือ ส.อ.ท. สนับสนุนสินค้า Made in Thailand กำหนดสัดส่วนร้อยละ 40 สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและ BEV ร้อยละ 45 สำหรับ PHEV และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 ได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมเดินหน้าตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เร่งตรวจกลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยง พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าซื้อวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก โดยมาตรการนี้ ถือเป็นหนึ่งในชุดมาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับการปกป้องอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง รักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม พร้อมลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยในการประชุมบอร์ดบีโอไอครั้งก่อน ได้ออกมาตรการต่างๆ แล้ว ดังนี้

1. มาตรการส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

2. การงดส่งเสริมกิจการที่มีภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) เช่น เหล็กทรงยาว เหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็ก และกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ เช่น การผลิตแผงโซลาร์

3. การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่จะขอรับการส่งเสริม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและให้มีมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น

4. การกำหนดสัดส่วนการจ้างงานบุคลากรไทยมากกว่าร้อยละ 70 ในกิจการผลิต และกำหนดเงื่อนไขเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000-150,000 บาท สำหรับบุคลากรต่างชาติ เพื่อคัดกรองเฉพาะต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญสูง  

หนุนใช้วัตถุดิบในประเทศ MiT สำหรับ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย” (Local Content) ที่บอร์ดบีโอไอ ได้เห็นชอบเพิ่มเติมในครั้งนี้ จะใช้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า BEV, PHEV, ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยกำหนดสัดส่วน ดังนี้ หากโครงการยานยนต์ไฟฟ้า BEV และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 40, PHEV ที่มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 45 และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand: MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี 

“ที่ผ่านมา บีโอไอได้สนับสนุนให้บริษัทที่เข้ามาลงทุนใช้ชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการในประเทศผ่านการจัดกิจกรรม Subcon Thailand และ Sourcing Day อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันผู้ผลิตจากต่างประเทศเริ่มมีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น แต่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการใช้ Local Content สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า บีโอไอจึงได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ สถาบันยานยนต์ และสถาบันไฟฟ้าฯ เพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content ที่จะช่วยกระตุ้นให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศตามที่บอร์ดบีโอไอกำหนด จึงจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน การส่งออก การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนในประเทศ โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า มีจำนวน 68 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,800 ล้านบาท

คุมเข้มกิจการเสี่ยง - ตรวจสอบเข้มข้น ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาปรับปรุงประเภทกิจการเพิ่มเติม เพื่อปรับสมดุลการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการต่างชาติและไทย และลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน การผลิตกระเป๋า และการผลิตสิ่งพิมพ์ ต้องมีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ยกเว้นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ทั้งนี้ กิจการที่อาจมีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน เช่น กิจการรีด ดึง หล่อ หรือทุบโลหะ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมและชิ้นส่วน มีการปรับปรุงเงื่อนไข โดยจะงดให้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบการ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ต้องตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและได้รับการกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น โดยให้มีผลสำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บีโอไอได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม โดยจัดตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เพื่อติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมที่มีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติผิดเงื่อนไขของบัตรส่งเสริม หรือมีการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามข้อกำหนด โดยอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ การผลิตยางล้อ เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ 

“บีโอไอจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อสนับสนุนการติดตามและตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ทั้งระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ Traffy Fondue และระบบ Social Listening รวมถึงการนำระบบ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน และการประเมินความเสี่ยงในการทำผิดเงื่อนไข เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงาน และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการตรวจสอบข้อสงสัยและข้อร้องเรียนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที” นายนฤตม์ กล่าว

อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 2.8 หมื่นล้าน

ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการใหญ่ รวมมูลค่า 28,644 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Data Center ของบริษัท สตราตัส เทคโนโลยี จำกัด มูลค่าลงทุน 23,688 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง ให้บริการ Data Center ระดับ Tier 3 รองรับกำลังผลิตไฟฟ้า 203 เมกะวัตต์ 

อีกโครงการเป็นกิจการขนส่งทางอากาศ ของบริษัท ไทย เวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด มูลค่าลงทุน 4,956 ล้านบาท ให้บริการขนส่งทางอากาศสำหรับเส้นทางทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เครื่องบินโดยสารใหม่ จำนวน 6 ลำ ขนาดบริการรวม 1,134 ที่นั่ง ทั้งนี้ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่ง และบริการต่าง ๆ ที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต

‘พีระพันธุ์’ เคาะมติ กบง. ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาท/ถัง 15 กก. ถึง 30 ก.ย. 68

เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยประชุมได้มีมติเห็นชอบให้คงราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับ ถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ประมาณ 423 บาท โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2568 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารจัดการเงินกองทุนให้สอดคล้องกับแนวทางการดูแลราคาก๊าซ LPG ต่อไป

ทั้งนี้  นับตั้งแต่ที่นายพีระพันธุ์เข้ามารับหน้าที่กำกับดูแลกระทรวงพลังงาน ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศยังคงตรึงราคาเดิมมาตลอดเพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นของประชาชน

ปตท. แข็งแกร่งครองบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ในไทย พร้อมอันดับ 2 ในอาเซียนจาก Fortune 2 ปีซ้อน

(27 มิ.ย.68) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในไทยและอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก Fortune Southeast Asia 500 ซึ่งสะท้อนการดำเนินงานของ ปตท. บนหลัก “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” โดยมีพันธกิจในการ “สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า แม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจว่า ปตท. เดินกลยุทธ์ถูกทิศทาง สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายได้เป็นอย่างดี รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ในประเทศ และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก Fortune Southeast Asia 500

ดร.คงกระพัน ย้ำว่า ปตท. มีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ การแสวงหาแหล่งพลังงานในกับประเทศผ่านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งมีการเติบโตที่ดีในต่างประเทศด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็ง และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งกลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. ศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. และอุตสาหกรรมในประเทศ 

รวมถึงโอกาสขยายผลสู่ระดับภูมิภาคในอนาคตต่อไป พร้อมแสวงหาโอกาสในธุรกิจไฮโดรเจนสำหรับภาคอุตสาหกรรม จัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีแผนงานและเป้าหมายเป็นรูปธรรม 

ขณะเดียวกัน ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งสามารถยกระดับผลกำไรได้ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล (Good Governance) ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม พัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมไทย เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ นิตยสาร Fortune เป็นนิตยสารธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเงิน ที่ได้รับความน่าเชื่อถือ และวางจำหน่ายทั่วโลก โดยได้เริ่มจัดอันดับบริษัทชั้นนำของโลก 500 อันดับ (Fortune Global 500) ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 สำหรับ Fortune Southeast Asia 500 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2567 เพื่อเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน การเติบโต แนวโน้ม และทิศทางของธุรกิจ พร้อมสร้างโอกาสในการขยายตลาดให้แก่ธุรกิจในภูมิภาคนั้น ๆ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

‘กฟภ.’ ยัน ไม่ได้งดจำหน่ายไฟฟ้าให้กัมพูชา แต่ฝั่งเขมรไม่ได้ใช้ไฟจากไทยเลยทั้ง 8 จุด

(27 มิ.ย.68) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.-PEA) ชี้แจงกรณี PEA ไม่ได้งดจำหน่ายไฟฟ้าให้กับราชอาณาจักรกัมพูชา ระบุว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงบริเวณแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าให้กับราชอาณาจักรกัมพูชาจำนวน 8 จุดซื้อขายไฟฟ้านั้น สถานะปัจจุบัน (26 มิถุนายน 2568 เวลา 20.00 น.) PEA ยังมิได้ดำเนินการงดจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งนี้จากข้อมูล

การตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าตามจุดซื้อขายทั้ง 8 จุด นั้น ราชอาณาจักรกัมพูชา มิได้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าจาก PEA โดยมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเป็น 0 ทั้ง 8 จุดซื้อขายไฟฟ้า ดังนี้

1.เทศบาลบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว → อำเภอปอยเปตจังหวัดบันเตียเมียนเจย วงจรที่ 1 และ วงจรที่ 2
2.  อำเภอกาบเชิง (ช่องจอม) จังหวัดสุรินทร์ → บ้านโอเสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย 
3.  บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด → บ้านหาดทรายยาว จังหวัดเกาะกง
4.  บ้านซับตารี อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี → อำเภอพนมปรึก จังหวัดพระตะบอง
5.  บ้านสวนส้ม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี → บ้านโอลั๊ว อำเภอกร็อมเรียง จังหวัดพระตะบอง
6.  บ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว → อำเภอสำเภาลูน จังหวัดพระตะบอง
7.  บ้านแหลม อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี → อำเภอกร็อมเรียง จังหวัดพระตะบอง
8.  บ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว → อำเภอมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย

สำหรับเงื่อนไขการงดจำหน่ายไฟฟ้าและยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PEA สามารถดำเนินการได้ดังนี้
1. คู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือตัวแทนรัฐ (สถานทูตกัมพูชา รัฐกัมพูชา) ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและงดจำหน่ายไฟฟ้า

2. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีหนังสือแจ้ง PEAให้ดำเนินการงดจำหน่ายไฟฟ้าและยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

3. ไม่ดำเนินการตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เช่น ไม่ชำระค่าไฟฟ้าภายในเวลาที่กำหนด หรือ หลักประกันการใช้ไฟฟ้าไม่ครบถ้วน เป็นต้น

บอร์ด กฟผ. เสนอชื่อ ‘นรินทร์ เผ่าวณิช’ เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 17

บอร์ด กฟผ. มีมติเสนอชื่อ นายนรินทร์ เผ่าวณิช เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 17 เตรียมเสนอกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย. 68) คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (บอร์ด กฟผ.) ในการประชุมฯ ครั้งที่ 8/2568 มีมติเห็นชอบให้ นายนรินทร์ เผ่าวณิช ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. ตามที่คณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการเสนอ สืบแทนนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 โดยขั้นตอนจากนี้ กฟผ. จะนำเสนอกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

สำหรับประวัตินายนรินทร์ ปัจจุบัน อายุ 51 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าการเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 พร้อมกับรองอีก 4 คน คือ น.ส.พนา สุภาวกุล เป็นรองผู้ว่าการบริหาร นายธวัชชัย สำราญวานิช เป็นรองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ นายณัฐวุฒิ ผลประเสริฐ เป็นรองผู้ว่าการระบบส่ง นายเมธาวัจน์ พงศ์รดาภิรมย์ เป็นรองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง

ประวัติการทำงานใน กฟผ. ที่สำคัญ
1 พ.ค. 2567 : รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง
1 ต.ค. 2565 : ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารเชื้อเพลิง
1 ต.ค. 2564 : ผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรม และก่อสร้างโรงไฟฟ้า

คุณวุฒิการศึกษา
Ph.D. Georgia Institute of Technology, U.S.A.
M.S.C.E.Georgia Institute of Technology, U.S.A.
ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top