Thursday, 27 March 2025
ECONBIZ NEWS

กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 36.72 สตางค์/หน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 68 อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 12/2568 (ครั้งที่ 954) วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 คงเดิมที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอมา เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 - 24 มีนาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 33 ความเห็น แบ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อค่าเอฟทีตามกรณีศึกษาที่ กกพ. เสนอรวมทั้งสิ้น 29 ความเห็น แสดงความเห็นโดยเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีศึกษารวม 3 ความเห็น และความเห็นในลักษณะข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟทีจำนวน 1 ความเห็น 

โดยสามารถสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเป็นสัดส่วนร้อยละได้ ดังนี้
สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. 
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 1 (ค่าเอฟที 137.39 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 21%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 2 (ค่าเอฟที 116.37 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 18%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 3 (ค่าเอฟที 36.72 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 49%
- ข้อเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือกรณีศึกษา จำนวน 9%
- ข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟที จำนวน 3%
รวมทั้งสิ้น (33 ความเห็น) เป็น 100%

ในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นสุด กลางเดือนพฤษภาคม สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิก ใช้งาน ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย

‘เอ็กซอนโมบิล’ ขายกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกในไทย หลังขายโรงกลั่น - คลังน้ำมัน - ปั๊มน้ำมันให้ ‘บางจาก’ ไปแล้วก่อนหน้านี้

(26 มี.ค.68) เอ็กซอนโมบิล ลงนามขายกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกในประเทศไทย ทั้งหุ้นในแหล่งสินภูฮ่อมและการดำเนินการในแหล่งน้ำพอง ให้ฮอไรซอน ออยล์และมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ หลังขายกิจการโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน และเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันให้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไปทั้งหมดในปี 2566 โดยฮอไรซอน ออยล์และมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่เตรียมเข้าดำเนินการแหล่งน้ำพองในนามของกลุ่มบริษัทร่วม

บริษัท มาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ (Matahio Energy) ประกาศว่าได้ร่วมมือกับบริษัท ฮอไรซอน ออยล์ ลิมิเต็ด (Horizon Oil Limited) ลงนามในข้อตกลงกับบริษัท เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น (Exxon Mobil Corporation) เพื่อเข้าซื้อผลประโยชน์ 100% ในบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ (ExxonMobil Exploration and Production Khorat Inc. หรือ EMEPKI) โดยสินทรัพย์ดังกล่าวรวมถึงหุ้นในแหล่งก๊าซธรรมชาติสินภูฮ่อม (Sinphuhorm) (ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการโดยตรง) และแหล่งน้ำพอง (Nam Phong) (เป็นผู้ดำเนินการโดยตรง) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบนบกในประเทศไทย ทั้งสองแหล่งมีการจัดการที่ดีและมีรากฐานที่แข็งแกร่ง

ฮอไรซอน ออยล์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย (ASX) และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซิดนีย์ ส่งหนังสือแจ้งต่อ ASX ว่าฮอไรซอน ออยล์ จะเข้าซื้อหุ้น 75% ใน EMEPKI โดยมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ (ดำเนินกิจการในมาเลเซีย สิงคโปปร์ นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์) จะเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ 25% และตกลงที่จะจัดการพนักงานของ EMEPKI และการดำเนินการแหล่งน้ำพองในนามของกลุ่มบริษัทร่วม โดยฮอไรซอน ออยล์ ระบุว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากต้องการเงินทุนขั้นต่ำในการเข้าถึงสินทรัพย์ผลิตก๊าซที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่ดึงดูดใจและการคืนทุนอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโต

ด้านมาตาฮิโอ เอนเนอร์ยี่ ระบุว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์จากเอ็กซอนโมบิลครั้งนี้เป็นการปูทางให้บริษัทเข้าสู่ภูมิศาสตร์ที่สาม นอกเหนือจากนิวซีแลนด์และฟิลิปปินส์ และเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตและการกระจายความเสี่ยงของบริษัท อีกทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในการดำเนินกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทีมงานของมาตาฮิโอและฮอไรซอนมุ่งมั่นที่จะทำให้การถ่ายโอนการดำเนินการแหล่งน้ำพองเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ และ กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมลงนามในสัญญาขยายสัมปทานการดำเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติ ในเขตอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) หรือ แหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพอง โดยต่อระยะเวลาสัมปทานให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ออกไปอีก 10 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2564 – 2574 ซึ่งก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในปริมาณ 8  ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน จะจัดจำหน่ายให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งต่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

PEA แจง งดจ่ายกระแสไฟฟ้าในเมียนมา ไม่ได้ล่าช้า!! ยัน ตัดกระแสไฟฟ้าทันทีหลัง สมช. มีมติ

(25 มี.ค.68) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ชี้แจงกรณีที่มีการอภิปรายพาดพิงถึงการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประเด็นปัญหากระบวนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นไปด้วยความล่าช้ามีการเกี่ยงกันดำเนินงาน 

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคชี้แจงว่ากระบวนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่ได้เป็นไปด้วยความล่าช้า แต่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยหลังจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้งดจ่ายกระแสไฟฟ้าจากการประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็งดจ่ายกระแสไฟฟ้าทันที เมื่อเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ในพื้นที่ 5 จุดซื้อขาย ประกอบด้วย อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 1 จุด อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 2 จุด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 2 จุด เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ ในช่วงปี 2566 - 2567 PEA ระงับการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเมียนมาแล้ว 3 จุด   

ทั้งนี้ การจำหน่ายไฟฟ้าของ PEA ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2539 โดยมีวัตถุประสงค์ด้านสิทธิมนุษยชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งการจะดำเนินการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือยกเลิกสัญญา สามารถดำเนินการได้ใน 2 กรณี คือ 

1. คู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา 
2. กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 

กระทรวงมหาดไทยเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงภายในประเทศ ดังนั้น ในกรณีที่เป็นเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศ จึงต้องสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบและให้เป็นไปตามสัญญา โดยหลังจากที่หน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีมติให้งดจำหน่ายไฟฟ้า กระทรวงมหาดไทยก็ดำเนินการทันที

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ตรวจเครือข่ายลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงกว่า 10,000 ตัน สั่ง! ตั้งกรรมการสอบ หลังพบปลอมแปลงเอกสารราชการเปิดทางนำเข้า

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ตรวจสอบเครือข่ายลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงกว่า 10,000 ตัน อึ้ง! พบปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อเปิดทางนำเข้า คาดทำเป็นขบวนการ สั่ง! ตั้งกรรมการสอบ ลงโทษขั้นเด็ดขาด

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่า พบการปลอมแปลงเอกสารของทางราชการเพื่อใช้เป็นใบเปิดทางในการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ “ทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม” นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบ 

จากการตรวจสอบบริษัท เคเอ็มซี 1953 จำกัด พบว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำเข้าและยอมรับว่ามีการนำเข้าฝุ่นแดงจริง พร้อมแสดงข้อมูลใบขนสินค้าระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึง มกราคม 2568 จำนวนการนำเข้า 33 ใบขน โดยสำแดงเป็นฝุ่นสังกะสี (Zinc dust) และผงสังกะสี (Zinc concentrate) จำนวน 10,262 ตัน จากประเทศอินโดนีเซีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ โรมาเนีย โมร็อคโก และตุรกี โดยจากการตรวจสอบพบว่าสินค้าที่สำแดงว่าเป็นฝุ่นและผงสังกะสีนั้นคือ 'ฝุ่นแดง' เป็นกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการหลอมเหล็ก มีการปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่เป็นของเสียเคมีวัตถุตามบัญชี 5.2 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 รวมทั้งเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล การนำเข้ามาในประเทศไทยต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่มีการขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าฝุ่นแดงดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ กลับพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ด้วยการแก้ไขและดัดแปลงข้อความว่า สินค้าที่นำเข้านั้นไม่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 และไม่เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล โดยการนำหนังสือที่ปลอมแปลงนั้นไปแสดงเพื่อใช้เป็นใบเปิดทางในการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยโดยไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งผิดกฎหมาย คาดว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวมีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการ โดยอาจมีเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวด้วย

ทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า หนังสือราชการที่ออกโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ตอบข้อหารือของกรมศุลกากร ในประเด็นสินค้าที่จะนำเข้า เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายหรือของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลหรือไม่ มีความผิดปกติในหลายประเด็น อาจส่งผลให้มีการนำเข้าขยะและของเสียอันตรายเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจึงสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้รายงานผลการตรวจสอบภายใน 15 วัน หากพบว่า เจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดให้ดำเนินการลงโทษขั้นเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งการให้ขยายผลขบวนการปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อใช้ในการลักลอบนำเข้าของเสียอันตรายโดยไม่ถูกต้อง หากเชื่อมโยงถึงผู้ใดให้ดำเนินคดีทั้งหมด

กบน.ประกาศ ลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร มอบเป็นของขวัญให้ประชาชนช่วงสงกรานต์

กบน. มีมติปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ลง 1 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ รองรับกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เผยสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ทิศทางอ่อนตัว ส่งผลดีต่อ  ฐานะกองทุนฯ ภาระหนี้ลดลง 

(24 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบน. ได้ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้สอดรับกับสถานการณ์ และความเหมาะสม โดยพิจารณาจากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีรายรับเพิ่มขึ้น ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงสำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวม 1 บาทต่อลิตร ซึ่งการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์ต่อลิตร ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน 

“การปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ครั้งนี้ เพื่อเป็นของขวัญให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มดีเซล คิดเป็น 2 ใน 3 ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งหมด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัว กระตุ้นการเดินทาง เพื่อการท่องเที่ยวในประเทศช่วงเทศกาลสงกรานต์”

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานถึงสถานการณ์ และฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงต้นปี (มกราคม 2568 - วันที่ 23 มีนาคม 2568) พบว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเฉลี่ยกว่า 8,000 ล้านบาท/เดือน ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จากเดิมเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 กองทุนฯ ติดลบอยู่ที่ 75,945 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 47,597 ล้านบาท) ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เหลือติดลบ 60,052 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 14,063 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,989 ล้านบาท

“กบน.ยืนยันความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้กับประชาชน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงทำหน้าที่ดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้หลักการ “เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้” เพื่อประโยชน์ของประชาชน และทุกภาคส่วน” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าว

OR เปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในกัมพูชา ปักหมุดขยายธุรกิจนอนออยล์ในต่างประเทศ

(24 มี.ค. 68) OR เปิด Café Amazon Concept Store แห่งแรกในประเทศกัมพูชา ณ ย่านตวลโก๊ก (Toul Kork) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจในกรุงพนมเปญ นำเสนอประสบการณ์ด้วยรูปแบบร้านที่โดดเด่น พร้อมเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่รังสรรค์มาเป็นพิเศษให้แก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา อีกทั้งยังได้เปิดสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (พีทีที สเตชั่น เนียกกะวอน) ซึ่งเป็นสถานีบริการในรูปแบบ Flagship ครบวงจร ใจกลางกรุงพนมเปญ ต่อยอดการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาด้วยแนวคิด “They Grow – We Grow”

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ร่วมพิธีเปิดร้าน Café Amazon Concept Store สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) ซึ่งถือเป็น Café Amazon ในรูปแบบ Concept Store แห่งแรกในประเทศกัมพูชา พร้อมก้าวสู่การเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ คณะผู้บริหาร OR ยังได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) หนึ่งในสาขาสถานีบริการ Flagship ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองพนมเปญอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายเฉียบ ซาว (Cheap Sour) ผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกัมพูชา ร่วมงานด้วย

หม่อมหลวงปีกทอง เปิดเผยว่า OR เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศกัมพูชา ทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจ OR จึงวางกลยุทธ์ให้ประเทศกัมพูชาเป็น “บ้านหลังที่สอง” (Second Homebase) ด้วยการนำธุรกิจของ OR จากประเทศไทยสู่ตลาดกัมพูชา โดยดำเนินธุรกิจที่ประเทศกัมพูชาภายใต้บริษัท PTT Cambodia Limited (PTTCL) พร้อมเสริมสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนร่วมกับประเทศกัมพูชาตามแนวคิด "They Grow - We Grow" ซึ่งเป็นแนวทางที่ OR ยึดถือในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ สำหรับ Café Amazon Concept Store สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) เป็นร้านรูปแบบ Concept Store ร้านแรกในประเทศกัมพูชา โดยใช้แนวคิด People Concept ที่ต้องการให้ Café Amazon ที่ตั้งอยู่ในท้องถิ่นตามพื้นที่ต่างๆ สามารถเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราว โดยได้นำไอเดียและความหลากหลายทาง Lifestyle ของคนแต่ละวัย รวมถึงที่ตั้งของร้านมาผสานกับการดำเนินธุรกิจ และออกแบบพื้นที่นั่งหลากหลายรูปแบบเพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงครอบครัว

ทั้งนี้ Café Amazon Concept Store จะมีเมนูพิเศษประจำร้านที่แตกต่างกันออกไป โดยจะเป็นเครื่องดื่มแนวผสมผสาน (Fusion) ที่หยิบยกวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้นมาเป็นจุดเด่น มีเครื่องดื่มสูตรพิเศษ (Signature Menu) ที่นำเอาวัตถุดิบจากชุมชนที่ตั้งของร้านมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะสาขานั้นๆ  โดย Café Amazon สาขา ตวลโก๊ก (Toul Kork) ได้หยิบเอาวัตถุดิบจากชุมชนที่ตั้งของร้านมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษที่จำหน่ายเฉพาะสาขานี้เท่านั้น ได้แก่ "Komlos Srok Yerng" (กัมเลาะ สรก เยิง) เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากข้าวต้มมัดกล้วยซึ่งเป็นขนมประจำงานมงคลของกัมพูชา โดยใช้กาแฟ Amazon House Blend ผสมผสานกับไซรัปกล้วย และท็อปปิ้งด้วยข้าวต้มมัดกล้วย และ "Nary Smai Thmey" (นารี สมัย ทไม) เมนูปั่นที่ใช้ฝรั่งชมพูซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของกัมพูชาเป็นส่วนประกอบ โรยด้วยผงบ๊วย ทานแล้วได้ความเปรี้ยวหวานและสดชื่น ที่นี่ยังมี Concept Bar ให้บริการกาแฟจากเมล็ดคัดพิเศษและเมล็ดกาแฟเฉพาะฤดูกาล ซึ่งจะให้บริการเฉพาะร้านรูปแบบ Concept Store เท่านั้น นอกจากเมนูเครื่องดื่มแล้ว Café Amazon สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) ยังมีบริการอาหารหลากหลาย ตอบโจทย์ต่อผู้ทำงานย่าน Toul Kork ทั้งอาหารพื้นเมือง เช่น Lok Lak (ลกลัก) เนื้อ Bay Sach Chrok (เบ แซค ชุก) อาหารไทย เช่น ผัดไทย ผัดกระเพรา รวมทั้ง Light Meal และเบเกอรี นอกจากนี้ สาขานี้ยังเป็นสาขาแรกในกัมพูชาที่มีไอศกรีม Soft Serve อีกด้วย ส่วนการตกแต่งร้าน เน้นความร่มรื่นแบบ Lifestyle Oasis ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของธรรมชาติ ที่สำคัญคือ เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งภายในร้านเป็นวัสดุ ใช้วัสดุ Upcycling ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งคาเฟ่ อเมซอนใส่ใจเสมอ ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน “เพื่อโลกที่ดีกว่าเดิม” สะท้อนความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจทั้งสิ่งแวดล้อม 

ปัจจุบัน Café Amazon มีสาขารวมกว่า 4,879 สาขาใน 11 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศกัมพูชามีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 1 มีจำนวนสาขารวม 254 สาขา และสาขานี้ถือเป็นลำดับที่ 254 การเปิด Concept Store แห่งแรกในกัมพูชานี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OR ในการนำพาแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล มุ่งสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

สำหรับสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) เป็นสถานีบริการในรูปแบบ Flagship ครบวงจร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ที่นอกเหนือจากการให้บริการน้ำมันคุณภาพสูงตามมาตรฐาน Euro 5 แล้ว ยังได้รวมธุรกิจที่หลากหลายไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ร้านสะดวกซัก Otteri และร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อให้บริการที่ครบครันแก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา โดยปัจจุบันมีสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชาทั้งสิ้น 186  สาขา

‘หอการค้าไทย’ ประกาศ!! สนับสนุนผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร–ระนอง ชี้!! ไม่เพียงท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ แต่ยังส่งผลดีต่อ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

(23 มี.ค. 68) ที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ได้ให้การต้อนรับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ และคณะผู้บริหารระดับสูงหอการค้าไทย เพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการหอการค้าไทย คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดชุมพร และ YEC หอการค้าจังหวัดชุมพร ณ ห้องเกาะเสม็ด ศาลากลางจังหวัดชุมพร ชั้น 4

ช่วงบ่าย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร นายไพบูลย์ ลิ้มเลิศวาที ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดชุมพร และคณะกรรมการหอการค้าไทย เดินทางไปหาดแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อลงพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชุมพร(แหลมริ่ว)ในโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อรับฟังข้อมูลในการดำเนินงานของโครงการจากทาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข) และผู้แทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตลอดจนข้อมูล

ของประชาชนในพื้นที่ นำโดย นายจีรศักดิ์ แสงหอย นายอำเภอหลังสวน นายสุชาติ ตังสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมให้มีความสอดคล้องกัน อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า ได้รับฟังปัญหาในหลายๆด้าน โดยทางหอการค้าไทยให้การสนับสนุนการสร้างโครงการ แลนด์บริดจ์ ชุมพร –ระนอง ซึ่งคิดว่าถ้าโครงการออกมาแล้วจะสร้างประโยชน์ไม่เพียงแต่ให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่โครงการโดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ประโยชน์ เรายินดีที่จะสนับสนุนเต็มที่

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติม เป็นโครงการสมัยท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งหอการค้าเราก็ได้ให้การสนับสนุนและเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะให้มีโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นอย่างสมบูรณ์โดยควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเป็นโครงการระหว่างจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ทั้งสองจังหวัดจะต้องพร้อมโครงการก็จะดำเนินเดินหน้าไปได้หากจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไม่พร้อมโครงการก็อาจจะเกิดการสะดุดได้จึงลงมาดูพื้นที่และแก้ไขปัญหาให้กับจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนองเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป 

นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากส่วนท่าเรือน้ำลึกแล้ว ส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้เกิดgame changer คือ พื้นที่หลังท่าเรือชุมพร ที่มีจำนวนมากหลายหมื่นไร่ ที่จะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขนาดใหญ่ คำนึงถึงพลังงานสะอาดและสิ่งเเวดล้อม จะเปลี่ยนทิศทางsupply chain ประเทศไทยจากผู้ซื้อเป็นผู้ผลิตได้เลย เช่น ด้านเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร โดยเฉพาะชุมพรและภาคใต้เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรและประมงมหาศาลพร้อมแปรรูป หรือด้านอาหารฮาลาล หรือ ด้านอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านอื่นๆที่สามารถขนส่งผ่านทางรางจากเหนือลงใต้(รถไฟรางคู่ปัจจุบันถึงชุมพรแล้ว)และทางหลวงแผ่นดิน(อนาคตจะขยายเป็น8เลน) จะทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพสูงในการหาวัตถุดิบป้อนแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หากมีการพัฒนาจัดสรรใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างเต็มที่ เช่น โครงการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ นิคมอุตสาหกรรมของเอกชนขนาดใหญ่ สินค้าที่สำเร็จรูปผลิตแล้วจัดส่งที่ท่าเรือน้ำลึกชุมพรหรือระนองเพื่อส่งตลาดโลกได้ทันที ทำให้มีการใช้ประโยชน์ท่าเรืออย่างคุ้มค่า ไม่ต้องหวังลูกค้าจากสายเรืออย่างเดียว อีกส่วนที่สำคัญ คือ เส้นทางวางท่อส่งน้ำมัน หากพิจารณาให้ดีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประเทศ ดังนั้น หากจะมองความคุ้มค่าของโครงการ อย่ามองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดจะทำให้หลงทาง บางส่วนอาจขาดทุนก่อน บางส่วนอาจกำไรเร็วกว่า บางส่วนไม่หวังกำไรแต่ต้องมี ต้องถอยมามองภาพใหญ่ให้ครอบคลุมทุกมิติแล้วจะเห็นทั้งหมด หากโครงการแลนด์บริดจ์เสร็จสมบูรณ์ในทุกส่วนแล้ว ยามที่เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแรงแทบทุกตัวแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นหัวรถจักรตัวใหม่ที่จะฉุดเศรษฐกิจของไทยให้กลับทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวไทยได้ครั้งใหญ่อีกครั้ง 

อนึ่ง วันนี้จึงนับเป็นข่าวดีมากสำหรับชาวไทย ที่ทางหอการค้าไทยได้ประกาศชัดเจน เดินหน้าสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์อย่างเต็มที่ ตามนโยบายรัฐบาล

‘กฟผ.’ ชวนอัพเดท!! เทรนด์เทคโนโลยี โอกาสทางธุรกิจ ‘สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า’

(23 มี.ค. 68) นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดงาน EGAT EV : Charge Up Your Business งานสัมมนาสำหรับผู้สนใจในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจ แนวคิด เทคโนโลยี และโอกาสความร่วมมือที่จะสามารถต่อยอดให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่การให้บริการในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การขายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้ง ดูแล บำรุงรักษา ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ กฟผ. เผยว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ได้ร่วมขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT การให้บริการแอปพลิเคชัน EleXA เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า BackEN EV เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศ ผ่านการนำเสนอข้อมูล แนวคิด เทคโนโลยี และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงสนับสนุนภาคธุรกิจที่มองหาโอกาสในการลงทุนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้านนางณิศรา ธัมมะปาละ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน กฟผ. เสริมว่า กฟผ. มีความตั้งใจที่จะส่งมอบความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์ รวมถึงขยายผลนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการ EGAT EV Business Solutions โดยเฉพาะระบบ BackEN EV ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีและใช้ผ่านแอปพลิเคชัน EleXA เจ้าของสถานีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์ รองรับเครื่องชาร์จได้หลากหลายยี่ห้อและการใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมาก ชาญฉลาดด้วยระบบแสดงผลและวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมรายงานข้อมูลการใช้งานและรายงานทางบัญชี ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง สร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบกิจการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้ามาใช้บริการ BackEN EV มากกว่า 110 ราย และตั้งเป้ารุกขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัท องค์กร ผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์เซลล์ สถานีบริการน้ำมัน และบริษัทที่ติดตั้งระบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมเปิดตัวโครงการ EGAT Academy เพิ่มขีดความสามารถบุคลากรในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพบริการยานยนต์ สาขายานยนต์ไฟฟ้า อาชีพช่างเทคนิคติดตั้งและซ่อมบำรุงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงเชื่อถือได้ให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับผู้สนใจธุรกิจในการประกอบธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในด้านต่าง ๆ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ EGAT EV Business Solutions กฟผ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page: EGAT EV เว็บไซต์ egatev.egat.co.th และ Line OA: @BackenEV

‘สรรพากร’ เตือน!! อินฟลูฯ – ค้าออนไลน์ ยื่นแบบภาษี หลีกเลี่ยง!! โดนค่าปรับ อ่วม!

(22 มี.ค. 68) การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีรายได้ปี 2567 กรมสรรพากร ได้กำหนดให้ผู้มีเงินได้ทุกอาชีพยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด. 90/91 ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2568 หากยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing สามารถยื่นได้ถึง 8 เมษายน 2568

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือว่าเป็นรายได้อันดับ 3 ของกรมฯ โดยจัดเก็บอยู่ประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท โดยในปีนี้หลังจากมีการเปิดให้ยื่นแบบภาษีแล้วประมาณ 3 เดือน

ปัจจุบันข้อมูลถึงวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมามีการยื่นแบบเข้ามาประมาณ 7.4 ล้านแบบสูงกว่าปีก่อน 13% มีการขอคืนประมาณ 3.5 ล้านแบบ หรือประมาณ 46.9% โดยกรมมีการคืนภาษีไปแล้วประมาณ 82% ส่วนที่เหลืออีก 18% ยังติดเกณฑ์ตรวจของกรมสรรพากรอาจเป็นเรื่องของเอกสาร หรือขั้นตอนที่กรมฯตรวจสอบพบว่ามีรายได้อื่น ๆ ส่วนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมนั้นคาดว่าส่วนใหญ่จะทยอยยื่นเข้ามาเพิ่มขึ้นหลังจากนี้

อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า ในภาพรวมคนที่ยื่นแบบภาษีอยู่แล้วแบบที่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่น่าห่วงเท่ากับกลุ่มที่ไม่ยื่นภาษี คือมีเงินได้แต่ไม่เคยยื่นแบบภาษีเลย โดยจากข้อมูลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มที่ไม่ยื่นภาษีคือกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือเพิ่งเริ่มประกอบอาชีพ โดยเป็นกลุ่มอาชีพที่สอดคล้องกับกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับดิจิทัล เช่น การขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า ซึ่งกรมฯก็มีการหารือกันว่าต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้ก็เหลือเวลาประมาณ 10 กว่าวันในการยื่นแบบภาษีขอให้ยื่นแบบภาษี ส่วนยื่นผิดถูกนั้นยังสามารถคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ได้ยื่นเลยอีก 2-3 ปี กรมฯตรวจเจอแน่เพราะในเรื่องของธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว ขณะที่กรมฯเองในโครงสร้างก็มีหน่วยงานที่ตามเรื่องนี้โดยตรง

กลุ่มที่เป็นห่วงคือการขายของออนไลน์ การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อินฟลูเอนเซอร์ รับรีวิวสินค้า เพราะดูข้อมูลแล้วไม่ยื่นกันเลย เราอยากให้มีการยื่นภาษีให้ถูกต้องและให้ความสำคัญมากเพราะการมาเรียกปรับทีหลังไม่มีประโยชน์ต่อทั้งกรมฯและผู้เสียภาษี

กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ขายของออนไลน์ และรับรีวิวสินค้า ในการยื่นภาษีต้องดูว่าประเภทของรายได้เป็นอย่างไร ดังนี้

1.กรณีรับเป็นค่าจ้างก็เหมือนการยื่นแบบรายได้ปกติ 

2.กรณีมีต้นทุนในการรีวิวสินค้าก็หักค่าใช้จ่ายและยื่นรายได้ตามจริง 

3.กรณีเป็นผู้มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษี VAT ที่ต้องนำภาษีส่งให้รัฐ 

4.กรณีรายได้ที่รับในรูปแบบสินค้า เช่น ที่พัก อาหารในโรงแรม ต้องคิดเสมือนเป็นเงินได้ และประเมินเป็นรายได้ที่นำส่งรายได้และต้องยื่นแบบให้ถูกต้องเช่นกัน

ทั้งนี้ อาชีพอินฟลูฯ ต้องยื่นรายได้กลางปีด้วยไม่ใช่แค่ยื่นภาษีต้นปีแล้วจบ รวมทั้งค่าลดหย่อนภาษีมีเช่นเดียวผู้มีเงินได้อื่น โดยขอลดหย่อนภาษีได้กว่า 20 รายการ คิดเป็นค่าลดหย่อนเต็มจำนวนสูงสุดมากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องบริหารจัดการการลดหย่อนภาษี โดยปรึกษาได้ที่กรมสรรพากรทั้งในสำนักงานสรรพากรพื้นที่และช่องทางออนไลน์

ในส่วนของการลงโทษคนที่ไม่เสียภาษีเงินได้ อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่า จะมีทั้งโทษแพ่งและอาญาซึ่งในปัจจุบันมักจะใช้โทษทางแพ่งโดยมีทั้งส่วนของเบี้ยปรับและเงินเพิ่มโดยค่าปรับนั้นมีตั้งแต่ 0 – 2 เท่าของภาษีที่ต้องจ่าย นอกจากนั้นยังมีส่วนเงินเพิ่มคิดที่อัตรา 1.5% ต่อเดือน ซึ่งหากปรับกันเต็มที่นั้นอาจเกินกว่ามูลค่าภาษีที่ต้องเสียจริงกว่า 4 เท่า  ตรงนี้เชื่อว่าไม่มีใครอยากจ่าย ส่วนโทษทางอาญากรมฯก็ไม่อยากจะใช้โทษทางอาญายกเว้นว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดร้ายแรงมาก

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (20) : ‘รองพีร์’ กับการแก้ปัญหา ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ #3 เดินหน้าฝ่าทุกอุปสรรคหวังกำหนดค่าไฟฟ้าที่ถูกต้องเป็นธรรมมาก

เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ประกาศว่า การลดค่าไฟฟ้าลง 40 สตางค์นั้นสามารถทำได้ แต่ต้องมีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้ดีก่อน ด้วยการปรับพอร์ต Pool Gas ให้เป็นสัดส่วนที่มีความชัดเจนระหว่างการนำก๊าซธรรมชาติไปใช้ผลิตไฟฟ้าและใช้ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากทั้งประชาชน และผู้ปฏิบัติงาน โดยที่ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ระบุว่า สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์ จากมติการที่ประชุม กกพ. ซึ่งให้สำนักงาน กกพ. นำเสนอทางเลือกให้ภาคนโยบายทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนทั้งในรูปแบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) รวมถึง Feed in Tariff (FiT) หรืออัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการผ่านการอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เพื่อให้การอุดหนุน Adder และ Feed in Tariff (FiT) สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 

ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะทำให้สามารถปรับลดค่าไฟฟ้าลงได้ทันทีประมาณหน่วยละ 17 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ลดลงเหลือหน่วยละ 3.98 บาท ทั้งนี้ ในช่วงวิกฤตการณ์ราคาพลังงาน 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้ามีราคาที่สูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ กกพ. ได้รับมอบหมายจากภาคนโยบายให้ทำการศึกษาทบทวนมาตรการบรรเทาผลกระทบค่าไฟฟ้าเพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชน ประกอบด้วยมาตรการหลาย ๆ ทางเลือกเพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า และมาตรการทางเลือกหนึ่งก็คือ การทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า SPP และ VSPP พลังงานหมุนเวียน เพราะที่ผ่านมาเมื่อครบกำหนดอายุสัญญารับซื้อจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าดังกล่าวก็ได้รับการต่อสัญญาในเงื่อนไขเดิมและทำให้ได้รับการอุดหนุนราคารับซื้อมาอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายเดิมที่ต้องการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และรองรับปริมาณความต้องการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าสะอาดเข้ามาในระบบให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมจนสามารถรับมือกับการแข่งขันในธุรกิจไฟฟ้าได้ดีแล้ว ท่ามกลางการแข่งขันและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่ทำให้เกิดการลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลงอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสนอให้ทบทวนเงื่อนไขการรับซื้อดังกล่าว

สำหรับแนวทางการปรับลดค่าไฟสามารถทำได้จากการบริหารจัดการเชื้อเพลิงนั้น ‘รองพีร์’ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟจาก 3 แหล่งใหญ่คือ อ่าวไทย เมียนมา และนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่นำเข้ามาเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG  ซึ่งมีราคาแพง และอิงราคาตลาดโลกที่ผันผวนตลอดเวลา  แต่ถ้าหากสามารถปรับพอร์ต Pool Gas ให้มีความเป็นสัดส่วนระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและการนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน (เพราะต้นทุนราคาก๊าซจากทั้ง 3 แหล่งนั้นมีราคาที่แตกต่างกัน) ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้อีกถึงเกือบ 40 สตางค์ โดย ‘รองพีร์’ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันค่าไฟงวดต่อไปของปี พ.ศ. 2568 นี้ โดย ‘รองพีร์’ ระบุด้วยว่า ปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้านั้นแตกต่างกับปัญหาเรื่องน้ำมันมากและมีประเด็นที่ต้องจัดการแก้ไขเยอะมากด้วย โดยน้ำมันก็คือน้ำมัน แต่ค่าไฟฟ้าไม่ใช่แค่ค่าไฟฟ้า มีปัจจัย เงื่อนไขต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ทั้ง ค่าก๊าซ ค่าถ่านหิน ค่าขนส่ง ฯลฯ ที่ถูกบวกไว้ในสัญญา ค่าบริหารจัดการเงินกู้ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะดอกเบี้ยของหนี้ที่กฟผ. ต้องรับผิดชอบจากการตรึงราคาค่าไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ‘รองพีร์’ มองว่า ต้องทำให้ กฟผ. กลับมาแข็งแรงและเป็นหลักให้กับประชาชนในเรื่องของการผลิตไฟฟ้า แล้วกําหนดค่าไฟฟ้าที่ถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้ ด้วยกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ของ กฟผ. ทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ กฟผ. ให้ดียิ่งขึ้น ในการสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชนคนไทยต่อไป โดย ‘รองพีร์’ ย้ำว่า ในส่วนของการปรับลดค่าไฟนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางปรับลดค่าไฟมาตั้งแต่ข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายน ปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหาทางปรับลดค่าไฟฟ้าให้ได้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำได้ แต่ต้องปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างและหลักเกณฑ์หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบ Pool Gas แต่เนื่องจากต้นปี 2568 เกิดมีประเด็นเพิ่มเติมในเรื่องที่จะให้ลดค่าไฟฟ้าลงมาเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย และ กกพ. ซึ่งกำกับดูแลเรื่องค่าไฟก็บอกว่าสามารถลดได้ ซึ่ง ‘รองพีร์’ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ‘รองพีร์’ ต้องพยายามบริหารจัดการทุก ๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟฟ้าทุก 4 เดือน และสามารถตรึงค่าไฟฟ้าไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยไว้ได้ตลอดปี 

จากการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยสำนักงาน กกพ. กรณีค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) งวดเดือนมกราคม - เมษายน 2568 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Policy Expense) จากการรับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT รวมอยู่ในค่าไฟฟ้าหน่วยละ 17 สตางค์ ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรี หรือ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้กำหนดนโยบายปรับค่าไฟฟ้ารับซื้อในส่วนนี้ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ทันที 17 สตางค์ อย่างเช่น ค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่หน่วยละ 4.15 บาท ก็จะลดลงเหลือหน่วยละ 3.98 บาท และจากประมาณการใช้ไฟฟ้าของประเทศตลอดทั้งปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 195,000 ล้านหน่วย หากสามารถลดค่าไฟฟ้าได้หน่วยละ 17 สตางค์แล้ว ผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้ารวมทั้งประเทศได้ถึง 33,150 ล้านบาทเลยทีเดียว จึงขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยช่วยกันให้กำลังใจและเอาใจช่วย ‘รองพีร์’ ให้สามารถฝ่าฟันทุก ๆ อุปสรรคและปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการทำค่าไฟฟ้าให้ถูกกว่าหน่วยละ 4 บาทได้สำเร็จ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top