Saturday, 9 December 2023
ECONBIZ NEWS

‘ททท.’ ผนึก ‘Fliggy’ แอปฯ ท่องเที่ยวยอดฮิตของ ‘จีน’ หวังเรียกความเชื่อมั่น นทท.จีน-เสริมภาพลักษณ์เมืองไทย

(23 พ.ย. 66) นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (แอลโอไอ) กับ Mr.Tyrion Tong รองประธานบริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology ผู้ผลิตแอปพลิเคชัน ‘Fliggy’ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยมในตลาดจีน บริษัทในเครือ Alibaba กรุ๊ป เพื่อร่วมกันส่งเสริมการขายกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ Mr.Zhuoran Zhuang รองประธานบริหารอาลีบาบา กรุ๊ป และประธานบริหาร บริษัท Zhejiang Fliggy Network Technology เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามดังกล่าว

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการฟรีวีซ่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนอาจยังเดินทางมาไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่การใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังไว้ และการร่วมมือครั้งนี้การเป็นการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ในจีน ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงเป็นหลัก ส่วนประเด็นการเข้ามาของชาวจีนที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว และเข้ามาหาผลประโยชน์ในไทย อาทิ การเข้ามาขอทานนั้น มองว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงยังไม่อยากให้รีบสรุปไปว่าเป็นผลจากการไม่มีวีซ่า ทำให้คนเหล่านี้เข้ามาในไทย โดยมองว่าการตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย ของกลุ่มคนที่เข้ามาหาผลประโยชน์ในไทยแบบผิดกฎหมาย จะไม่กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแน่นอน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากเดิม โดยนักท่องเที่ยว 86% เดินทางมาเที่ยวด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่มีกำลังซื้อ มีระยะเวลาพำนักเฉลี่ย 7.88 คืน ยาวนานกว่ากลุ่มทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คิดเป็นจำนวน 56,000 บาทต่อทริป ขณะที่ข้อมูลจาก Alipay ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาลีบาบากรุ๊ป พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่ใช้บริการผ่าน Alipay มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว โดยยังไม่รวมค่าที่พักสูงถึง 20,000 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งเพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยจากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 22 พฤศจิกายน 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วประมาณ 3 ล้านคน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท. จะร่วมมือกันนำสมาร์ตเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการท่องเที่ยว นำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวไทยบนแพลตฟอร์ม Fliggy การส่งเสริมและนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพแก่นักท่องเที่ยวจีน การร่วมผลิตและเผยแพร่เนื้อหาประชาสัมพันธ์สำหรับตลาดจีน จัดแคมเปญส่งเสริมตลาดสำหรับอีเวนต์ รวมถึง Fliggy จะจัดทีมบริการให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวจีนตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งในรูปแบบออนไลน์และศูนย์ให้บริการข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ที่กำหนด โดย ททท. จะสนับสนุนการจัดอบรมและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่เจ้าหน้าที่ของ Fliggy ด้วย

“การลงนามร่วมกันครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสในการนำเสนอสินค้า และบริการคุณภาพของประเทศไทยในตลาดจีน ผ่านแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวไทยในตลาดจีน และเร่งกระตุ้นรายได้ทางการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพของจีน เนื่องจากแพลตฟอร์มบริการด้านท่องเที่ยวออนไลน์ยอดนิยมของจีน ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้มากกว่า 500 ล้านบัญชี และมีบริการที่ครบวงจร (One Stop Service) ครอบคลุมตั้งแต่การสำรองบัตรโดยสารเครื่องบิน ที่พัก ทัวร์ส่วนตัว” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

‘พิมพ์ภัทรา’ เข้ม!! คุมมาตรฐาน ‘บันไดเลื่อน-ลิฟต์’ สั่ง ‘สมอ.’ เร่งทำมาตรฐาน-บังคับเป็นสินค้าควบคุม

(23 พ.ย. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีอุบัติเหตุบันไดเลื่อน หรือ ทางลาดเลื่อนในห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่าง ๆ หนีบขาประชาชนอยู่บ่อยครั้ง ตนจึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานบันไดเลื่อน ทางเดินอัตโนมัติ และ ลิฟต์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า 

โดยบอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ให้จัดทำมาตรฐานดังกล่าวเพิ่มเติมเป็นการด่วนจากแผนการกำหนดมาตรฐานในปีงบประมาณ 2567 ที่กำหนดไว้จำนวน 600 เรื่อง นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ ‘คาร์ซีท’ หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเป็นสินค้าควบคุม โดยเร่งรัด สมอ. ประกาศใช้มาตรฐานโดยเร็ว เพื่อให้เด็กเล็กที่ใช้คาร์ซีทได้รับความปลอดภัยในการโดยสารรถยนต์ 

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สมอ. ครั้งนี้ ได้เห็นชอบร่างมาตรฐานและวิธีทดสอบอื่น ๆ อีก จำนวน 43 เรื่อง เช่น  มาตรฐานหลอดฟลูออเรสเซนส์สำหรับเปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน มาตรฐานวิธีทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า และมาตรฐานระบบอัตโนมัติในกระบวนการอุตสาหกรรม เป็นต้น 

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้จัดทำมาตรฐานเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 3 เรื่อง โดยเพิ่มเติมจากแผนการกำหนดมาตรฐานเดิมที่ สมอ. ตั้งเป้าไว้ 600 เรื่อง ได้แก่  

1) มาตรฐานบันไดเลื่อน ทางลาดเลื่อน คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น 
2) มาตรฐานบันไดเลื่อน ทางลาดเลื่อน พารามิเตอร์ตามคุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น 
และ 3) ฟิล์มติดกระจกรถยนต์ 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า บันไดเลื่อน เป็นสิ่งประชาชนได้พบเจอและใช้บ่อยมากในที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สนามบิน อาคารสำนักงาน ซึ่งที่ผ่านมา จะได้ยินข่าว บันไดเลื่อนไม่ได้มาตรฐาน หนีบขาคน หรือบางครั้ง ถึงขั้นตัดขาคนขาด ท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา จึงได้มีปรารภว่าจะปล่อยให้ประชาชนมารับเคราะห์กรรมจากการใช้บันไดเลื่อนไม่ได้มาตรฐาน แบบนี้ไม่ได้ สมอ. จึงได้เตรียมออกประกาศมาตรฐาน ‘บันไดเลื่อน ทางเลื่อน และลิฟต์’ เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยและระบบไฟฟ้า โดยอ้างอิงตามมาตรฐานระหว่างประเทศ (มาตรฐาน ISO) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และทั่วโลกได้นำไปใช้ โดยจะเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ ส่วนประกอบ การติดตั้ง ความสูง ความเร็ว น้ำหนักบรรทุก รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและการลดความเสี่ยงจากการใช้งาน ซึ่งจะช่วยป้องกันอันตรายให้แก่ผู้ใช้งาน ทั้งนี้ คาดว่าจะประกาศใช้มาตรฐานดังกล่าวได้ภายในเดือนมีนาคม 2567  

‘ปตท.’ ได้รับยกย่อง ‘หุ้นยั่งยืน’ ระดับสูงสุด AAA พร้อมคว้า 3 รางวัลเกียรติยศจาก ‘SET Awards 2023’

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2023 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ วารสารการเงินธนาคาร รวม 3 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม (Innovative Company Awards of Honor) และรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น (Outstanding Investor Relations Awards) สะท้อนความมุ่งมั่นของ ปตท. ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานอย่างยั่งยืน ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล

รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Awards of Honor นับเป็นปีที่ 3 ที่ ปตท. คว้ารางวัลสุดยิ่งใหญ่นี้ซึ่งเป็นผลจากการรักษาความยอดเยี่ยมจนได้รับ Best Sustainability Awards ติดต่อกันมาอย่างยาวนาน รวมถึงได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับสูงสุด AAA แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของ ปตท. ในการก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่าง ๆ พร้อมเป็นผู้นำสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2050 ตามแนวทางการดำเนินงาน 3P (Pursuit of Lower Emissions, Portfolio Transformation และ Partnership with Nature and Society) โดยในปีที่ผ่านมา ปตท. ได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทั้งการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้นักลงทุนมาลงทุนใน ปตท. 

สำหรับ รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านนวัตกรรม หรือ Innovative Company Awards of Honor ที่ ปตท. ได้รับในครั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับ Best Innovative Company Awards ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน จากผลงานการพัฒนานวัตกรรม ‘ตัวเร่งปฏิกิริยา PTT SCR’ (Selective Catalytic Reduction) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการกำจัดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen oxide, NOX) ในไอเสียจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นก๊าซพิษที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมทั้งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดฝนกรดและ PM2.5 ซึ่งนวัตกรรมนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตรถึง 3 รายการ มีประสิทธิภาพการใช้งานได้นาน 10 ปี สามารถใช้ได้ที่อุณหภูมิต่ำ และความร้อนที่เหลือไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้  ช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจด้านตัวเร่งปฏิกิริยา ปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้งานที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ปตท. มากกว่า 2 ปี และอยู่ระหว่างต่อยอดเชิงพาณิชย์ขยายผลการใช้งานไปยังกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในและนอกกลุ่ม ปตท.

นอกจากนี้ ปตท. ได้คว้ารางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น หรือ Outstanding Investor Relations Awards กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 1 แสนล้านบาท ถือเป็นความสำเร็จในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทยที่ได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนในประเทศอีกด้วย

“ปตท. ขอขอบคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท. ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่าในครั้งนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจ ในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท. พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม รุกสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอนาคต เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมใหม่และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมไปด้วยกัน” นายอรรถพล กล่าว

‘TVDH’ ประกาศพร้อมบุกตลาด ทั้ง TV และ Online หลังเคลียร์หลังบ้าน - ปรับโครงสร้างธุรกิจเรียบร้อย

ทีวีดี โฮลดิ้งส์ (TVDH) เผย แผนปรับโครงสร้างองค์กรคืบหน้าอย่างมาก เตรียมกลับมาบุกตลาด ทั้ง TV และ Online หวังสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง คาดผลงานจะชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4/66 หลังบอร์ดชุดใหม่เคลียร์หลังบ้าน - วางโครงสร้างธุรกิจ พร้อมระบุ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ ผู้บริหารชุดเก่า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVDH) เปิดเผยในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่2/2566 เมื่อวันที่31 ตุลาคม 2566 ว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร และโครงสร้างธุรกิจ มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 โดยมีเป้าหมายจะนำบริษัทฯ กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง และทิศทางการดำเนินธุรกิจจะเริ่มชัดเจนขึ้นภายหลังจากนี้ ภายใต้การบริหารงานของ นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์และมีความพร้อมที่จะนำพาธุรกิจของ TVDH ไปสู่ความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ และมีผลตอบแทนที่ดีที่สุดต่อไป

ด้านนายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVDH กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง เป็นช่วงการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับโลกธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อสร้างธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการผ่าตัดองค์กรในหลายๆ ด้านมีความสำเร็จตามลำดับ

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินงานที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา มี 2 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1. ตรวจสอบการทำงานของทุกแผนก และทำการปรับระบบการดำเนินงานใหม่ ให้ทุกอย่างมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งได้ระบุหาสาเหตุและทำการแก้ปัญหาได้หมดแล้ว รวมทั้งมีการส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินคดีฟ้องร้องผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้บริษัทฯได้รับความเสียหายเรียบร้อยแล้ว โดยในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ จะรายงานความคืบหน้าให้ผู้ถือหุ้นให้รับทราบต่อไป

2. วิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจทั้งภายใน และภายนอก ด้วยข้อมูลทางการตลาดที่ได้ประมวลผลใหม่
ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ธุรกิจของทีวี ไดเร็ค ที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ เพื่อให้บริษัทสามารถเข้าแข่งขันกับธุรกิจที่เกิดขึ้น ทั้งช่องทาง TV และ Online ได้อย่างแข็งแกร่ง

นายวรสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับทุกภาคที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นสิ่งที่ TVDH ต้องการ และศักยภาพที่บริษัทมี รวมถึงโอกาสที่จะทำธุรกิจร่วมกัน และสิ่งที่จะสร้าง Win-Win ทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้บริโภค คู่ค้า และ สถานี โดยการปรับกลยุทธ์เป็นแบบ Quick Win ประกอบด้วย 

-การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สามารทำให้เป็นผู้นำในตลาดได้
-การบริหารจัดการคลังสินค้า โดยการลดพื้นที่เช่าให้เหมาะสม หาโซลูชั่นใหม่ๆ ทำาให้ระบบการทำงานมีความคล่องตัว และประหยัดต้นทุน
-ปรับลดสาขาที่อยู่ในต่างจังหวัด เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดยอดขายและผลกำไร หลังจากปรับกลยุทธ์ในเรื่องดังกล่าวแล้ว ทำให้สามารถลดรายจ่ายได้เกินครึ่งและ มีแนวโน้มยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้

“กลยุทธ์หลักของ TVDH หลังจากนี้ จะจะไม่เพียงแค่การฝากขายเท่านั้น แต่มุ่งการเป็น Strategic Partner การวางกลยุทธ์กับคู่ค้า ที่จะมีส่วนร่วมตั้งแต่ข้อมูลที่มีบรูณาการร่วมกัน และร่วมพัฒนาสินค้าที่เหมาะสมกับทุกช่องทางขาย พร้อมกับสร้างศักยภาพใหม่ จากจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละราย และจากเครือข่าย ที่บริษัทฯ มี เป็นสัญญาณของความร่วมมือ ในไตรมาสที่ 3 - 4 นี้ แม้ว่าอาจจะยังไม่สามารถสร้างผลออกมาได้ชัดเจน แต่จากความตั้งใจของทีมงาน ผู้บริหารชุดใหม่ และระบบการทำงาน เชื่อมั่นว่าจะเป็นภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน” นายนายวรสิทธิ์ กล่าว

‘นายกฯ’ รับ!! ไทย ‘เสียโอกาส-ตัวตน’ บนเวทีโลกกว่าทศวรรษ เชื่อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จำเป็น!! ต่อการฟื้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

(23 พ.ย. 66) ที่เพลนารีฮอลล์ 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM หัวข้อ ‘FUTURE READY THAILAND เศรษฐกิจไทยในอนาคตแห่งความเปลี่ยนแปลง’ โดยก่อนปาฐกถานายกรัฐมนตรีได้พูดคุยและหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมากว่าทศวรรษไทยสูญเสียโอกาส และตัวตนในเวทีโลกในการออกไปค้าขายเพื่อให้ต่างชาติรู้จักประเทศไทย ด้วยปัญหาภายในประเทศ วันนี้รัฐบาลนี้ต้องการเอาศักดิ์ศรีของประเทศไทยกลับสู่เวทีโลกให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ ว่าไทยสามารถยืนยันบนเวทีโลกและต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน ในการดึงนักลงทุน และในแง่ของการทูตเชิงรุกได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีนายกรัฐมนตรีมาจากพลเรือนและให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน มีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีที่ดีเพื่อเชิญชวนมาลงทุน ต่อยอดการแข่งขันและการลงทุน ซึ่ง 2 เดือนที่ผ่านมาไทยได้เซ็น MOU ไปหลายฉบับ ขณะที่ทูตพาณิชย์ต้องรู้จุดขาย ออกไป เป็น KPI ใหม่ที่ทูตต้องทำงานร่วมกับองค์กรรัฐ เพื่อเป็นการขยายการทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่วนเศรษฐกิจจะวิกฤตหรือไม่วิกฤติเป็นเรื่องที่ตนกำลังถกเถียงกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวในเรื่องของมาตรการการท่องเที่ยว และแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำที่อาจหมดกำลังใจในการใช้หนี้นอกระบบ ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ซึ่งรัฐบาลจะมีการแถลงข่าวใหญ่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ เช่นเดียวกับหนี้ในระบบที่จะมีการแถลงในวันที่ 12 ธันวาคมนี้

“เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่าภายใน 4 ปี วันนี้ยืนตรงนี้ไม่อยากให้เป็นวาทกรรมเฉยๆ ว่าเราอยากจะเพิ่มรายได้เกษตรกร แต่อยากจะมีขั้นตอนในทุกภาคส่วนในหลายพืชผล ที่เราสามารถทำได้จริง หลังจากวาระของรัฐบาลชุดนี้จบลง เริ่มจากน้ำไม่ท่วมไม่แล้ง และเปิดตลาดใหม่ให้มีการค้าขายได้ ผมหวังว่ากลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราจะมีการแถลงใหญ่และมีขั้นตอนที่ชัดเจน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาตั้งในไทยต้องการใช้น้ำอย่างมหาศาล หากเราไม่บริหารจัดการให้เพียงพอจะเป็นปัญหาได้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร เช่น ข้าว นอกจากนี้ยังมีปัญหา ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ ยางที่มีปัญหาจากสภาพดิน รัฐบาลนี้พยายามปรับพืชผลเพิ่มผลผลิตให้สินค้าเกษตร เชื่อว่ามีเกษตรกรไทย10 ล้านคนที่สามารถทำงานได้อีก

นายเศรษฐา กล่าวยืนยันว่า เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะทำอย่างไรให้มีความโปร่งใสมีความชอบธรรมถูกต้องตามหลักนิติรัฐและมีที่มาที่ไป ซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลนี้ในการออก พ.ร.บ.เงินกู้

“ถ้าครม.เห็นด้วย คือตัวแทนของสส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน แสดงว่าพี่น้องประชาชนเห็นด้วย ถ้ากฤษฎีกาเห็นชอบก็ถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ต้องผ่านสภาก็เป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องลงรายละเอียด ให้รัฐบาลตอบรายละเอียดทุกข้อให้ได้ ถ้ารัฐสภาผ่านความเห็นชอบ ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่มีความชอบธรรม ผ่านการตรวจสอบของทุกภาคส่วน ผมไม่อยากจะพูดต่อว่าดิจิทัลวอลเล็ตได้ประโยชน์อย่างไรบ้างเพราะพูดไปหลายเวทีแล้ว ขอให้ขั้นตอนดำเนินไปอาจจะช้าบ้าง แต่ถือว่าเป็นขั้นตอนที่มีความชอบธรรมโปร่งใส ตรวจสอบได้จากทุกภาคส่วน” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เป็นหน้าที่ของเรารัฐบาลที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชนให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยืนยันว่าประเทศไทยเปิดแล้วพร้อมแล้วในการที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศมีภาคเอกชนที่แข็งแรงและพร้อมให้นักลงทุนมาลงทุนในประเทศ ผ่านนโยบายต่างๆ และเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของรัฐบาลที่จะช่วยยกระดับพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลยินดีรับคำแนะนำ ติชมจากทุกคน พยายามทำให้ถูกต้องและนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก

‘เอ็นอาร์พีที’ ลุยตลาดสุขภาพ เปิดโรงงาน Plant & Bean ผลิตอาหารโปรตีนจากพืช ขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน

เมื่อไม่นานมานี้ ‘เอ็นอาร์พีที’ (NRPT) บริษัทร่วมทุน อินโนบิก-เอ็นอาร์เอฟ ลุยตลาดโภชนาการเพื่อสุขภาพ เปิดโรงงานแพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) ผลิตอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based food) ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงจากประเทศอังกฤษ ขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กำลังผลิตสูงสุด 2.5 หมื่นตัน พร้อมดันไทยเป็นฐานการผลิตอาหารแห่งอนาคตของโลก

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวว่า จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นความท้าทายและเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวของตลาดอาหารแห่งอนาคต กลุ่มผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของการพัฒนา โดยโรงงาน แพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) จะเป็นฐานการผลิตให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยมาตรฐานฮาลาลและมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสากลจากสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (The British Retail Consortium : BRC) ซึ่งอยู่ระหว่างการรับรอง และโรงงานแห่งนี้ เป็นโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืช 100% แห่งแรกในประเทศไทย และมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 25,000 ตัน โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการในระยะแรกที่กำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี 

“โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กลุ่มอาหารพร้อมปรุง (Ready to cook) เช่น เนื้อสับ มีทบอล และกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to eat) เช่น ไส้กรอก นักเก็ต และเกี๊ยวซ่า ซึ่งนอกจากจุดแข็งด้านประสิทธิภาพการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีระดับโลก ให้ผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัส รสชาติ และรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง อร่อย ทานง่ายแล้ว ผลิตภัณฑ์ยังมาจากพืชที่ไม่ได้รับการตัดต่อสารพันธุกรรม (Non-GMO) และมีโปรตีนสูง 

ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนานวัตกรรมอาหารให้เหมาะแก่การดูแลสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารโปรตีนจากพืชมากขึ้น ขณะเดียวกันโรงงานดังกล่าวใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตเป็นไฟฟ้าใช้ในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และลดการปล่อยก๊าซ CO2 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และ NRPT ยังได้มีความร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคตของไทย ในการพัฒนานวัตกรรมอาหาร อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการเป็นตัวสร้างความต้องการให้เกิดปริมาณการผลิตจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการดึงเอาวัตถุดิบในประเทศมาต่อยอดการผลิตในอนาคต เพิ่มศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารอนาคต เพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพของคนไทย” ดร. บุรณิน กล่าว

‘ก.พลังงาน’ เอาจริง!! ขู่ ‘ผู้ค้าน้ำมัน’ คุมค่าการตลาด ‘เบนซิน’ หากไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมผนึก ‘ก.พาณิชย์’ ใช้กฎหมายบังคับ

(22 พ.ย. 66) นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า หลังจากที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าการตลาดน้ำมันเบนซินของผู้ค้า ที่สูงกว่าที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ให้ปรับลดราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และได้มีการศึกษามาแล้วว่า ถึงแม้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจาก ค่าแรง ค่าเช่า อัตราภาษีที่ดิน ตลอดจนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ผู้ค้ายังควรต้องรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และเป็นธรรมกับผู้บริโภค

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์การปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางช่วงก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 บาท แต่ในบางช่วงก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า 2 บาท พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน มีค่าสูงเกินค่าที่เหมาะมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด 4.8 บาทต่อลิตร และกระทรวงพลังงานได้ขอให้ผู้ค้าให้ความร่วมมือ ไม่ให้ค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินในภาพรวมสูงเกินกว่า 2 บาทเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันให้แก่ประชาชน ซึ่งหากมีความจำเป็น กระทรวงพลังงานจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ใช้มาตรการด้านกฎหมายในการเข้ากำกับดูแล

ทั้งนี้ ค่าการตลาด คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน

“ผมได้ขอให้ผู้ค้าน้ำมันทุกราย ควบคุมค่าการตลาดน้ำมันเบนซินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทั้งผู้ค้าน้ำมันและประชาชนผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันจะมีการปรับขึ้น-ลงค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยทุกชนิด ซึ่งบางช่วงก็ต่ำกว่า 2 บาท และบางช่วงก็สูงกว่า 2 บาท แต่ในช่วงนี้ ค่าการตลาดสูงเกินไป ถึงแม้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน แต่อยากให้ผู้ค้าน้ำมันคำนึงถึงประชาชน ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันในช่วงนี้”

ดังนั้น หากยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมัน อาจจำเป็นต้องประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการใช้มาตรการด้านกฎหมายเข้ากำกับดูแล

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะสร้างสมดุลด้านราคา โดยเฉพาะค่าการตลาด ระหว่างผู้ค้าน้ำมันกับผู้บริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ

'พีระพันธุ์' แง้มไอเดีย!! เข้าถึงน้ำมันเสรี ลดต้นทุน ช่วยผู้ประกอบการสถานีน้ำมันให้มีทางเลือกที่ดีกว่า

จากรายการ 'ทัวร์มาลง' ทางช่อง MONO29 เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยสามพิธีกรตัวตึง พชร์ อานนท์, เป็กกี้-ศรีธัญญา และ อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม ได้พูดคุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่มาเคลียร์ทุกคำถามเกี่ยวกับการแก้ปัญหาพลังงานค่าไฟแพง น้ำมันขึ้น โดยประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจถูกโฟกัสไปที่ ‘น้ำมันเสรี’

ทั้งนี้นายพีระพันธุ์ ได้เน้นย้ำว่ารูปแบบโครงสร้างที่เป็นอยู่เป็นมา 20-30 ปี ไม่เป็นที่น่าพอใจของตน 

“ถ้าปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปผมจะเสียความรู้สึกเอง ผมจะพยายามทำให้คล้ายกับประเทศมาเลเซีย ไม่ได้ลอกเขามานะ แต่ทำยังไงให้รัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือเข้าไปกำกับดูแลกำหนดราคาน้ำมันได้” 

พร้อมยันต่อว่า ให้ใช้เวลานานหรือไม่นานก็ต้องทำ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จะเร็วจะช้าไม่สำคัญ ขอลงหลักปักฐานให้ตั้งแต่วันนี้ ถามว่าเป็นไปได้ไหม…เป็นไปได้ 

“เชื่อมั้ยหลาย ๆ อย่างที่ทำมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องไฟฟ้าเรื่องน้ำมัน ภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบันอำนาจรัฐมนตรี อำนาจรัฐบาลแทบไม่มีเลยนะ อยู่กับผู้ประกอบการอยู่กับอธิบดีทางนั้นหมด เพราะกฎหมายเป็นแบบนี้ไง ผมจะแก้หมดทั้งระบบเลย ให้เวลาผมนิดนึงผมจะทำให้ดูครับ” 

เมื่อถามถึงประเด็นเปิดไอเดียเสรีน้ำมัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า…จริง ๆ ต้องพูดเต็ม ๆ ว่า ‘เสรีภาพ’ ยกตัวอย่างทุกวันนี้ หากต้องการซื้อน้ำมัน เราก็ต้องไปปั๊ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเล็กใหญ่แค่ไหน ก็ต้องเข้าปั๊ม แต่หากว่าคุณสามารถหาน้ำมันมาใช้เองได้ ซึ่งหาจากต่างประเทศและพอคำนวณราคาใช้จ่ายแล้ว มันถูกกว่าที่ซื้อจากในประเทศ …แบบนี้จะไปห้ามเขาทำไมล่ะ?

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า อย่างเรื่องรถบรรทุก ต้นทุนของเขาคือน้ำมัน หากเขาหาน้ำมันที่ราคาถูกกว่าในเมืองไทยได้ เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไร ผมไม่บังคับให้ซื้อของแพงมาใช้ ยิ่งเขาหาน้ำมันถูกมาใช้ได้ ต้นทุนเขาก็จะยิ่งลด แบบนี้คือการเปิดเสรีภาพให้เข้าถึงน้ำมัน 

มีคนแย้งว่า ปกติก็เสรีอยู่แล้ว ตามมาตรา 7 หรือ 10 อะไรก็ว่าไป แต่นั่นคือกฎหมายเรื่องการค้าขาย แต่ที่จะเปิดเสรีนี้คือให้ซื้อมาใช้เอง ไม่ได้ให้นำเข้ามาขาย เรื่องประสิทธิภาพก็ต้องดูและรับผิดชอบเอง

เมื่อถามถึงประเด็นการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน หากมีการเปิดเสรี นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ปัจจุบันนี้มีหรือไม่ มันมีมาตลอดอยู่แล้ว สาเหตุก็เพราะน้ำมันในประเทศแพง จึงต้องนำน้ำมันเถื่อนเข้ามา เพราะมีราคาถูก ซึ่งคนละเรื่องกับของเถื่อนนะ แต่ถ้าเปิดเสรีน้ำมัน คนหาน้ำมันราคาถูกมาใช้ได้เอง น้ำมันเถื่อนก็ขายไม่ได้ เพราะไม่มีคนซื้อ

‘รัฐบาล’ ชวนประชาชนเที่ยวงาน ‘OTOP City 2023’ กระตุ้นเศรษฐกิจ ชม-ชิม-ชอป สินค้าฝีมือคนไทย 16-24 ธค.นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

(22 พ.ย. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมการพัฒนาขุมชน กระทรวงมหาดไทย กำหนดจัดงาน OTOP City 2023 เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงเพื่อประชาสัมพันธ์การดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ตลอดจนเพื่อสร้างการเรียนรู้แนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

นายคารม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย กำหนดเป้าหมายในการจัดงาน คือ ผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP พี่ผ่านการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ปีพ.ศ 2565 ระดับ 3-5 ดาวจาก 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร และผู้ประกอบการ OTOP ชวนชิม เข้าร่วมจำหน่ายไม่น้อยกว่า 2,000 กลุ่ม/ราย และสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท สำหรับรูปแบบการจัดงานในครั้งนี้ จะมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ระดับ 3-5 ดาว และอาหารชวนชิม กิจกรรมส่งเสริมการขายและการบริการ กิจกรรม Highlight ได้แก่ ศิลปิน OTOP นำเสนอผลงานที่มีอัตลักษณ์บ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า ผ้าไทยใส่ให้สนุก ตลาดกลางเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี OTOP Trader และหมู่บ้านคนรักษ์ช้าง

นายคารม กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ชม ชิม ช้อป และร่วมภาคภูมิใจไปกับสุดยอดสินค้า OTOP ทั่วไทย ที่สุดแห่งภูมิปัญญา ตั้งแต่ระหว่างวันที่ 16 - 24 ธันวาคม 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างโอกาส สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

 

‘JETRO’ ชื่นชม ‘ไทย’ ให้ความสำคัญด้านความร่วมมือทาง ศก. พร้อมยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรม ‘EV ไทย-ญี่ปุ่น’ อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย เผยผลหารือกับ นายคุโรดะ จุน (Mr.KURODA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ณ กรุงเทพฯ (Japan External Trade Organization : JETRO Bangkok) ว่า ประธานเจโทรชื่นชมนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการยกระดับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ

พร้อมกันนี้ ได้ขอบคุณในความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน ทั้งบริษัทข้ามชาติและบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับการต่อยอดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอื่นๆ โดยประธานเจโทรได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายการสนับสนุนการลงทุนของไทยเพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่บริษัท Startup และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

นางนฤมล กล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญกับญี่ปุ่นในฐานะมิตรประเทศสำคัญขนาดใหญ่ร่วมกับจีนและสหรัฐอเมริกา และเป็นประเทศที่มีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกับไทยมาอย่างยาวนาน โดยหวังว่าจะสามารถกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

โดยได้ชี้แจงถึงนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN EV hub) กองทุนสีเขียว (Green Fund)

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลไทยได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับ OECD โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีมีการดำเนินโครงการ Country PRogramme ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2568) ร่วมกับ OECD ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพ และการพัฒนาขัดความสามารถด้านการแข่งขันของไทย พร้อมทั้งสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส และการปฏิรูปกฎระเบียบภายในประเทศให้ดียิ่งขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top