Friday, 17 May 2024
ECONBIZ NEWS

'อลงกรณ์' ชี้แม้ไทยส่งออกยางธรรมชาติทะลุ 2 แสนล้านเพิ่มขึ้นกว่า 20%แต่ราคายังผันผวนจากผลกระทบของโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน มอบ 'กยท.' เร่งเดินหน้าขยายมาตรการชะลอขายยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง เปิดเผยวันนี้(1 ธ.ค)ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5/2565ว่าที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญจากทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สำนักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สำนักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สำนักงานกรุงจาการ์ต้า) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ทั้งจากรายงานสถานการณ์ปัญหาสงครามรัสเซียยูเครน ยังคงส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทย

โดยสถานการณ์การส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทยไปยังรัสเซียยังคงหดตัว อีกทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหนักอยู่ในระยะ wait and see mode และสต๊อคยางในรัสเซียยังล้นตลาดถึง 43 % ในสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง และสถานการณ์โควิดในประเทศจีนรุนแรง หลายพื้นที่ล็อคดาวน์ยังพบผู้ติดเชื้อสูงโดยในเดือนพฤศจิกายน จีนพบผู้ติดเชื้อกว่า 49,479 ราย ไม่แสดงอาการ 448,350 ราย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าในจีน ซึ่งจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่อราคาและการส่งออกยางพาราของไทย

ที่ประชุมยังรับทราบรายงานสถานการณ์ยางพารา เดือนพฤศจิกายน 2565 และคาดการณ์เดือนธันวาคม 2565 โดยฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.754 ล้านตัน ในช่วงไตรมาส 4/65 มีปริมาณผลผลิตยางพาราสูงกว่าทุกไตรมาส มีปริมาณ 1.432 ล้านตัน การส่งออกในไตรมาสที่ 3/65 ไทยส่งออกรวม 1.150 ล้านตัน ยังอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน สำหรับช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2565 คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติของไทย ปี 2565 (ม.ค.-ก.ย. 2565) มีมูลค่า 216,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.99 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด มีมูลค่า 107,352 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ มาเลเชีย มูลค่า 19,153 ล้านบาท สหรัฐอเมริกามูลค่า 15,414 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 11,905 ล้านบาท เกาหลีใต้ มูลค่า 9,891 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ มูลค่า 52,813 ล้านบาท 

นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบรายงานเรื่องแพลตฟอร์มเพื่อการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรม (Field for Knowledge Integration and Innovation (FKII)) และรายงานความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งพื้นที่บริหารจัดการยางพารา (Rubber Valley) 

Tesla Model Y เตรียมเปิดตัวในไทย 7 ธ.ค. นี้ คาดราคา 3 รุ่นย่อย อยู่ที่ 1.8xx – 3.4xx ลบ.

ราคาประมาณการ Tesla Model Y เวอร์ชั่นไทย 1,8XX,000 – 3,4XX,000 บาท เตรียมเปิดตัว 7 ธันวาคม 2022 นี้ !

รายงานข่าวจาก Headlightmag.com ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือหนาหูออกมามากมายเกี่ยวกับการเข้ามาลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ในประเทศไทยด้วยตนเอง ของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหม่ทางฝั่งอเมริกาอย่าง Tesla นอกจากภาพถ่ายของ Tesla Model Y ขณะกำลังวิ่งทดสอบในประเทศไทย ตลอดจนข้อความ “สวัสดีประเทศไทย” ที่ถูกเผยแพร่ออกมาจาก Line Official ของ Tesla Thailand ในช่วงที่ผ่านมา

ล่าสุด ข่าววงในของทาง Headlightmag.com ได้ให้ข้อมูลว่า Tesla (Thailand) เตรียมเปิดตัว Tesla Model Y ในประเทศไทย วันที่ 7 ธันวาคม 2022 ที่กำลังจะถึงนี้ ณ ห้างสรรพสินค้าสยาม พารากอน ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่จะนำเข้ามาประเดิมทำตลาดในประเทศไทยที่มีทิศทางการเติบโตของรถยนต์ EV สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการนำเข้ามาทั้งคัน (CBU) จากประเทศจีน

สำหรับ ราคาประมาณการของ Teslea Model Y เวอร์ชั่นไทย คาดการณ์โดย Headlightmag.com ทั้ง 3 รุ่นย่อย มีดังต่อไปนี้

Tesla Model Y Rear-wheel Drive : 1,8xx,000 บาท
Tesla Model Y Long Range AWD : 2,7xxx,000 บาท
Tesla Motor Y Performance :  3,4xx,000 บาท

ข้อมูลของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของ Tesla Model Y  มีดังต่อไปนี้

รุ่น Single Model RWD
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัวที่ล้อคู่หลัง (Rear-wheel Drive) กำลังสูงสุด 347 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion Phosphate (LFP) ความจุ 57.5 kWh รองรับการชาร์จด้วย DC Fast Charge สูงสุด 170 kW

มอเตอร์เวย์ M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน มูลค่ากว่า 6.4 หมื่นลบ.

มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท

เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' โพสต์ความคืบหน้าการแก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ระบุว่า...

คณะกรรมการ PPP อนุมัติ มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก (M9) บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมลงทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตก กรุงเทพ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท!!!

วันนี้เอาข่าว update มอเตอร์เวย์วงแหวนกาญนาภิเษก ด้านตะวันตก หรือ M9 ซึ่งเป็นการเพิ่มโครงข่ายการเดินทางทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ ให้เต็มโครงข่าย 

จากแต่เดิม ฝั่งตะวันตกเป็นถนนระบบเปิด ซึ่งผ่านมา 230 กว่าปี การพัฒนาถนนระบบเปิดก็ทำให้เมืองโตแบบไม่มืการควบคุม ทำให้จราจรเพิ่มขึ้นมาก!!! จึงต้องมีการยกระดับ เพื่อให้วงแหวนกาญนาภิเษก ทั้งหมดเป็นระบบปิด 

มาทำความเข้าใจ โครงการมอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียนกันก่อน

โครงการนี้เป็นโครงการในการทำมอเตอร์เวย์ระบบปิด รอบกรุงเทพ ซึ่งช่วงนี้จะทำยกระดับบนวงแหวนกาญจนาภิเษก ฝั่งตะวันตก 

***รายละเอียดช่วงบางบัวทอง-บางขุนเทียน...

- ระยะทางรวม 38 กิโลเมตร
- รูปแบบทางวิ่งเป็น ทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ข้างละ 3 ช่องจราจร
- ทางแยกต่างระดับ 4 แห่ง ได้แก่ บางใหญ่, ศรีรัช, บรมราชชนนี และ บางขุนเทียน
- ทางขึ้น-ลง 7 จุด ได้แก่ บางบัวทอง 1, บางใหญ่, นครอินทร์, บรมราชชนนี, พรานนก-พุทธมณฑล, เพชรเกษม และพระราม 2 
- และทางขึ้น อย่างเดียว 2 จุด ได้แก่กัลปพฤกษ์ และเอกชัย

ซึ่งในแบบของ ทางขึ้น-ลง มอเตอร์เวย์ทุกจุด มีจุดกลับรถเพื่อรองรับ และบริการรถด้านล่าง (คล้ายกับทางด่วนบูรพาวิถี ด่านกิ่งแก้ว)

***รายละเอียดเส้นทาง มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียน 

จะเริ่มจาก จุดสิ้นสุดของ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ บนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก สาย 9 ฝั่งตะวันตก สิ้นสุด ก่อนถึงต่างระดับบางบัวทอง จุดตัดกับถนน 345

โดยในโครงการช่วงนี้จะเป็นการปรับปรุงถนนเดิมให้เป็น มอเตอร์เวย์ และทำเป็นระบบปิดสมบูรณ์ โดย ทำคู่ขนานเพื่อให้บริการกับผู้ใช้ถนนท้องถิ่น และทดแทนถนนเดิม (กำลังสร้างอยู่)

จากจุดเชื่อมต่อ จะทำเป็นทางยกระดับ มุ่งหน้า บนถนนวงแหวนตะวันตก ข้ามต่างระดับบางบัวทอง  มาทางใต้ ผ่าน จุดตัดถนนบางกรวย-ไทรน้อย พร้อมกับทำทางขึ้น-ลง บางบัวทอง 1 มุ่งหน้าทางทิศใต้

จากนั้น จะมุ่งหน้ามาต่อ โดยช่วงนี้พอมาเจอกับโครงสร้างของโครรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริเวณหน้าศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ 

ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทางยกระดับมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟที่อยู่บริเวณเกาะกลางถนน ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการวางเสาทางยกระดับมอเตอร์เวย์ 

ทางยกระดับมอเตอร์เวย์ จะเบนออกไปทางด้านตะวันตกของรถไฟฟ้าสายสีม่วง  เลียบคู่กับ โครงสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงไปจนถึงต่างระดับบางใหญ่ 

ตรงนี้จึงจำเป็นต้องมีการเวนคืนด้านข้างฝั่งตะวันตกของทางวิ่งรถไฟฟ้า ตลอดช่วงทับซ้อน ประมาณ 5-20  เมตร ตามความจำเป็นของพื้นที่

บริเวณต่างระดับบางใหญ่ จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญมากของโครงการ ซึ่งจะพัฒนาจากต่างระดับเดิม ระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์ และวงแหวนตะวันตก เข้ากับ มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี และมีมอเตอร์เวย์ M9 นี้วิ่งมาบนแนว ถนนวงแหวนอีกที 

โดยจุดนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง มอเตอร์เวย์ สายอีสาน (M6) และ ใต้ (M81) ได้เลย

หลังจากนั้น มุ่งหน้าต่อบนถนนวงแหวนตะวันตก จะมีทางขึ้น-ลง บางใหญ่ มุ่งหลังทางทิศใต้ เพื่อรองรับรถที่มาจากทางถนนรัตนาธิเบศร์ และ ต่อมาอีกช่วงหนึ่ง จะเป็นทางขึ้น-ลง นครอินทร์ มุ่งหน้าทางทิศเหนือ เพื่อรองรับรถจากถนนนครอินทร์ (สะพานพระราม 5)

แล้วต่อมาจะเข้าสู่ต่างระดับศรีรัช ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับทางด่วน ศรีรัช-วงแหวน และถัดมาอีกหน่อยนึง ก็จะเข้าต่างระดับบรมราชชนนี (คู่ขนานลอยฟ้า) 

แล้วมุ่งหน้าลงใต้ต่อ จะเจอ ทางขึ้น-ลง บรมราชชนนี มุ่งหน้าทิศใต้ ,ทางขึ้น-ลง พรานนก-พุทธมณฑล มุ่งหน้าขึ้นเหนือ (รับรถจากถนนเพชรเกษม), ทางขึ้น-ลง เพชรเกษม มุ่งหน้าลงใต้, ทางขึ้น กัลปพฤกษ์, ทางขึ้นเอกชัย, ทางขึ้น-ลงพระราม 2 เชื่อมต่อระดับดินกับถนนพระราม 2 

แล้วสุดท้าย มุ่งหน้าเข้าต่างระดับ บางขุนเทียน ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกต่างระดับที่สำคัญของโครงการ 

โดยจะสามารถเชื่อมต่อกับโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่คือ มอเตอร์เวย์ M9 วงแหวนใต้ (บางขุนเทียน-บางนา), ทางด่วนบนถนนพระราม 2 (พระราม 3-บางขุนเทียน), มอเตอร์เวย์ M82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว)

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของโครงการนี้ คือระบบเก็บค่าผ่านทางแบบใหม่ ซึ่งเป็นแบบใช้กล้องตรวจสอบ และเก็บเงินตามภายหลัง (Open Road Tolling: ORT) หรือทางกรมทางหลวง เรียกว่า M-Flow

ซึ่งการเก็บค่าผ่านทางแบบนี้จะเป็นการเก็บค่าผ่านทางตามการใช้งานภายหลัง โดยการใช้กล้องตรวจจับที่ป้ายทะเบียนรถ คล้ายกับการเก็บค่าใบสั่ง 

มีหลายประเภทใช้แบบนี้เช่น จีน, สิงคโปร์ และสวีเดน ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปในการใช้คิดค่าใช้จ่ายในการเข้าออกพื้นที่ชั้นในของเมืองได้ด้วย

แต่ในการทำแบบนี้ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้ผู้ขับรถเลี่ยงจ่ายค่าผ่านทาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงขนาดไหน และจะมีปัญหาการหลุดรอดของรถที่สวมทะเบียนปลอมรึเปล่า

แต่การทำด่านแบบ Open Road Tolling จะสามารถลดพื้นที่การก่อสร้างด่านได้มาก และลดปัญหาจราจรติดขัดหน้าด่านได้มหาศาลด้วยเช่นกัน

โครงการนี้วางแผนการลงทุนเป็นรูปแบบ ร่วมทุน (PPP) เพื่อลดการลงทุนของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ

ซึ่งในโครงการนี้จะลงทุนทั้งหมด 65,484 ล้านบาท แบ่งเป็น 

- ค่าการลงทุน 51,601 ล้านบาท
- ค่าซ่อมบำรุง และดำเนินงาน 13,247 ล้านบาท

จากการคาดการณ์ จะมีรถใช้บริการในปีแรก 184,736 คัน/วัน และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 273,631 คัน/วัน

***โดยจะมีค่าผ่านทาง...

รถ 4 ล้อ ค่าแรกเข้า 10 บาท และคิดตามระยะทาง 1.5 บาท/กิโลเมตร

จะสามารถจัดเก็บค่าผ่านทางได้ในปีแรก 1,716 ล้านบาท/ปี และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 5,206 ล้านบาท/ปี

ซึ่งทั้งหมดพัฒนาตามตามแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ปี 2558 ตามลิ้งค์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/779639645807850/?extid=0&d=n

โดยจะเชื่อมต่อกับ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ใครสนใจลองดูได้จากในลิ้งค์นี้ครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/574731009632049/?extid=0&d=n

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/579896119115538/?extid=0&d=n

ซึ่งถ้าช่วงนี้เสร็จจะเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ถึง 3 สายคือ...

'จุรินทร์' ตีปีกการค้าชายแดน 10 เดือนปี 65 โต 4.50% ชี้!! ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งไทยแซงหน้ามาเลเซีย

การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% อานิสงส์เงินบาทสามารถแข่งขันได้ราคาดี ด่านชายแดนเปิดมากขึ้น ล่าสุดเปิดแล้ว 97 แห่ง ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยแซงหน้ามาเลเซียที่ติดลบ 21%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การส่งออกชายแดนยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คิดเป็นมูลค่า 54,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.50% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การส่งออกผ่านแดนปรับตัวลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกหันกลับไปขนส่งสินค้าทางเรือและทางอากาศเพิ่มขึ้นจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องดังนั้นการค้าผ่านแดนและการค้าชายแดนมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,450,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1.74% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 855,839 ล้านบาท ลดลง 0.66% และการนำเข้ามูลค่า 594,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% โดยไทยได้ดุลการค้าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งสิ้น 261,368 ล้านบาท

ส่วนการค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 144,477ล้านบาท ลดลง 2.92% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 81,937 ล้านบาท ลดลง 0.17% และการนำเข้ามูลค่า 62,540 ล้านบาท ลดลง 6.31% โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนตุลาคม 2565 ทั้งสิ้น 19,397 ล้านบาท

ทั้งนี้ไทยการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ (มาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา และสปป.ลาว) ซึ่งเดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่าการค้ารวม 87,297 ล้านบาทนั้น เพิ่มขึ้น 3.59% โดยการส่งออกไป กัมพูชา และ สปป.ลาว ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา และการส่งออกไปเมียนมากลับมาขยายตัวอีกครั้ง ดังนี้...

- สปป.ลาว มูลค่าส่งออก 15,168 ล้านบาท (+43.67%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป, น้ำมันดีเซล และน้ำตาลทราย

- มาเลเซีย มูลค่าส่งออก 14,713 ล้านบาท (-21.72%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, รถยนต์และส่วนประกอบและยางพารา

- เมียนมา มูลค่าส่งออก 11,200 ล้านบาท (+6.16%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล, น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ และเครื่องสำอาง, เครื่องหอมและสบู่

- กัมพูชา มูลค่าส่งออก 13,563 ล้านบาท (+9.49%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ

โดยสรุปแล้ว การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% และมี สปป.ลาว เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย

ส่วนการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม (จีน, เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ) เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวม 57,180 ล้านบาท ลดลง 11.42% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 27,293 ล้านบาท ลดลง 8.36% และการนำเข้ามูลค่า 29,887 ล้านบาท ลดลง 14.04% โดยการส่งออกผ่านแดนไปเวียดนามยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้...

'เสี่ยเฮ้ง' ส่งแรงงานไปแดนกิมจิเพิ่ม 3 กลุ่ม 15,000 คน ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มโอกาสตลาดงานไทยในต่างแดน

(1 ธ.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงผลการหารือระหว่างนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับนาย มุน ซึง ฮย็อน (Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยได้โควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีเพิ่ม

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่าในส่วนของประเด็นแรงงานไทย ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ หากไทยจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศจะเป็นโอกาสยกระดับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน ทำให้คนไทยมีงานทำ นำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ตลาดแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี นับว่าเป็นตลาดแรงงานที่มีศักยภาพและเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากแรงงานต่างชาติได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเทียบเท่าคนในชาติ รวมทั้งอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างสูง ทำให้มีแรงงานไทยจำนวนมาก เดินทางไปทำงาน ซึ่งจากข้อมูลในเดือนกรกฎาคม ปี 2565 มีจำนวนแรงงานไทยสะสมอยู่ในเกาหลีเป็นจำนวนถึง 12,950 คน

‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ผู้ช่วยฯ เปิดประชุมวิชาการประกันสังคม เร่งขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานทุกมิติ ‘ฟื้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว’ ภาคเหนือ

วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการจัดงานประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ประจำปี 2565 (ภาคเหนือ) Modernizing SSO 2022 : ก้าวสู่ระบบประกันสังคมที่ทันสมัย พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘นโยบายการพัฒนา และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน’ โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม คุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานช่วยดูแลพี่น้องแรงงาน ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 รวมทั้งนายจ้าง ผู้ประกอบการให้เหมือนคนในครอบครัว พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือนายจ้าง และผู้ประกันตน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ โครงการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โครงการ Factory Sandbox โครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตนในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด 29 จังหวัด โครงการเยียวยาผู้ประกันตนกิจการสถานบันเทิง โดยสถานการณ์ปัจจุบันโควิด-19 ได้คลี่คลายลง รัฐบาลมีนโยบายผ่อนคลายมาตรการและเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดยทิศทางของธุรกิจท่องเที่ยวและบริการร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก ในจังหวัดเชียงใหม่ และทุกจังหวัด ทางภาคเหนือได้กลับมาคึกคัก ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ส่งผลดีให้พื้นที่เศรษฐกิจและการมีงานทำของกำลังแรงงานในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น ในวันนี้ ผมได้มีโอกาสมาเป็นประธานเปิดประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ปี 2565 เป็นครั้งที่ 3 (ภาคเหนือ) จังหวัดเชียงใหม่ ผมมีความเชื่อมั่นว่าการประชุมวิชาการประกันสังคม และที่จัดต่อๆ ไปอีกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดอุดรธานี และภาคตะวันออก ที่จังหวัดชลบุรี จะเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจความสำคัญของงานประกันสังคมแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนางานประกันสังคม จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การขยายผลด้านสิทธิประโยชน์ให้มีความยั่งยืน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ประกันตน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกันตนให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อไป

JMART ปิดดีล 1,200 ลบ. ถือหุ้น 30% สุกี้ตี๋น้อย สยายปีกธุรกิจหลัก ปักหมุดธุรกิจอาหารเข้าพอร์ต

ในที่สุด บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ระบุ ก็ปิดดีลใหญ่การเข้าลงทุนและลงนามสัญญาผู้ถือหุ้น ในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ‘สุกี้ ตี๋น้อย’ จำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1,200 ล้านบาท เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนกับ BNN ครั้งนี้ ถือเป็น Strategic Partner ที่มีศักยภาพการเติบโตในระดับสูง โดยเฉพาะผู้ก่อตั้ง คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจให้เติบโต มีกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น ตอบโจทย์ผู้บริโภค พร้อมกับ เป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 2-3 ปีจากนี้

ขณะเดียวกัน BNN มีทิศทางผลประกอบการเติบโตในระดับที่ดี จากปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท ทะยานสู่ปี 2564 รายได้ 1,564 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท รวมทั้ง อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 55.80% และซึ่งภายหลังจากการลงทุน BNN จะติดอาวุธเทคโนโลยีจาก JMART Group รวมถึงการ Synergy สร้างการเติบโตแบบ J-Curve ไปด้วยกันกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท

“เรามองว่า สิ่งที่จะเข้าไปเสริมทาง BNN ได้ทันที คือ การนำหัวใจเรื่องระบบ และมาตรฐาน เตรียมความพร้อมในเรื่องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันมีสุกี้ตี๋น้อยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 42 สาขาเท่านั้น ในปี 2566 จะเริ่มขยายไปต่างจังหวัดตอบรับกระแสเรียกร้อง ตั้งเป้าปีหน้าจะขยายเพิ่มอีกมากกว่า 10 สาขาเป็นอย่างน้อย ด้วยการนำเทคโนโลยี ระบบ CRM และการบริหารจัดการภายในที่ทรงประสิทธิภาพมาใช้ ทำให้มั่นใจว่า BNN จะก้าวสู่การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับความเป็นมืออาชีพที่วันหนึ่งอาจมีมูลค่าบริษัทนับหมื่นล้านบาทได้”

‘บิ๊กตู่’ ลงพื้นที่เชียงราย ชี้ ไม่มาเพราะการเมือง แต่มายืนยันหนุนโครงการต่างๆ ให้กับรบ.ในอนาคต

วันนี้ ไม่ได้มาการเมืองนะ มาทำการบ้าน มายืนยันที่จะสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ต่อไป รวมถึงผลักดันให้ดำเนินการต่อเนื่อง กับรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย

‘บิ๊กป้อม’ เปิดงาน ‘Thailand Smart City Expo 2022’ ดันไทยก้าวสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ ที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร เปิดงาน ‘Thailand Smart City Expo 2022’ ดันไทยก้าวสู่ ‘เมืองอัจฉริยะ’ พัฒนาเมืองให้น่าอยู่ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริม ศก./ท่องเที่ยว ดึงรายได้เข้าประเทศ

เมื่อ (30 พ.ย. 65) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดงาน ‘นิทรรศการไทยแลนด์ เมืองอัจฉริยะ’ ประจำปี พ.ศ. 2565 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมได้กล่าวขอบคุณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพมหานคร และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ประชาชน สถาบันการศึกษา และพันธมิตรนานาประเทศ ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากเมืองจะได้รับการพัฒนาให้น่าอยู่อาศัย และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ ได้อีกด้วย พร้อมอวยพรขอให้การจัดงานครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top