Thursday, 3 July 2025
ECONBIZ NEWS

เศรษฐกิจไทย 66 เติบโตไม่เป็นไปตามคาดการณ์  สะท้อนจากผลงานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ย้อนกลับไปในปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อปี ซึ่งในช่วงต้นปี 2566 หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแล กำกับเศรษฐกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสถาบันการเงินต่างๆ คาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ต่อปี ซึ่งแนวโน้มจากบทวิเคราะห์ต่างๆ ล้วนเป็นทิศทางเดียวกันว่า ปี 2566 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแล้ว

แต่ในปัจจุบัน ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ออกมาอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ภาพจริงเริ่มสะท้อนว่าเศรษฐกิจชักไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

เมื่อผ่านพ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 เศรษฐกิจไทย ขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี รวม 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 1.9 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้จากเมื่อต้นปีมากพอสมควร

กลับกลายเป็นว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจคงเหลือไม่เกินร้อยละ 3.0 ต่อปี กลายเป็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เผชิญความไม่แน่นอนสูง ถึงแม้ปัจจัยสำคัญที่ทุกคนมองกันในช่วงต้นปี 2566 คือ ผ่านพ้นช่วงวิกฤติ Covid-19 และมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ เครื่องมือที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่หาเสียงไว้ น่าจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทย สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย

อาจมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลกเอง ที่ยังไม่ฟื้นตัว ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ลากยาว จนมาถึงสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่ทำให้เศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ มีแต่ 'ทรง' กับ 'ทรุด' และเมื่อเศรษฐกิจโลก ไม่สามารถที่จะฟื้นตัวได้ ก็ส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทย ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ตัวเลข 'การส่งออก'

ไตรมาสที่ 1 ตัวเลขมูลค่าการส่งออกสินค้า -4.5, ไตรมาสที่ 2 หนักกว่าเดิม -5.6 และไตรมาสที่ 3 ตัวเลขที่ออกมา -2.0 ซึ่งข้อมูลจาก สภาพัฒน์ ระบุว่า ประมาณการภาพรวมตัวเลขมูลค่าส่งออกสินค้า ในปีนี้ -2.0 (ร้อยละต่อปี) ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการตัวเลขไว้ที่ -1.7 ซึ่งในไตรมาส ที่ 2 ธปท.เคยประมาณการเดิมไว้ ร้อยละ -0.1 ต่อปี ซึ่งเป็นการประมาณการตัวเลขติดลบมากกว่าเดิม

ในปี 2567 ทุกหน่วยงานได้คาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีแนวโน้มอยู่ระหว่าง 4.4 - 4.6 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูง ส่วนหนึ่งอาจมาจากที่ในปีนี้ ตัวเลขการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด แถมตัวเลขปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ติดลบไปมากพอสมควร ซึ่งความเห็นของผู้เขียน มองว่า 3 ปัจจัยหลัก ที่จะเกื้อหนุนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ ได้แก่ การขยายตัวของการส่งออก, การลงทุนของภาคเอกชน และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ 

แน่นอนว่ามาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน ส่งเสริมการบริโภคอุปโภค และสานสัมพันธ์การค้ากับต่างประเทศ จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ปีหน้า คงจะเห็นภาพที่ชัดเจน ถึงฝีมือในด้านการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และอาจเห็นภาพการปรับเปลี่ยนบางอย่างสำหรับทีมเศรษฐกิจ ก็เป็นได้

กลุ่ม KTIS เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้สายธุรกิจชีวภาพ ชู!! บรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% เชื่อ!! เติบโตตามเทรนด์โลก

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ถึงแนวโน้มธุรกิจในสายชีวภาพ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% ว่ามีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะอยู่ในกระแสหลักของโลก โดยมีเนื้อหาดังนี้...

หากจะพูดถึงกลุ่ม KTIS เราดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เน้นการเพิ่มมูลค่า ลดความสูญเสีย และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยวัตถุดิบตั้งต้นในห่วงโซ่การผลิตเป็นไบโอ (B) คืออ้อย และนำมาต่อยอดในสายธุรกิจชีวภาพ โดยใช้ผลพลอยได้ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกากอ้อย (ชานอ้อย) กากน้ำตาล (โมลาส) หรือแม้กระทั่งใบอ้อย จนแทบจะไม่มีความสูญเสียระหว่างทาง หรือที่เรียกว่า Zero Waste 

ยกตัวอย่าง เช่น การหีบอ้อยได้น้ำอ้อยไปทำน้ำตาลทราย ส่วนชานอ้อยก็นำไปทำเยื่อกระดาษชานอ้อย รวมถึงต่อยอดไปเป็นภาชนะและบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยและหลอดชานอ้อย 100% ส่วนชานอ้อยอีกส่วนหนึ่งยังนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนโมลาสหรือกากน้ำตาล ก็นำไปผลิตเอทานอล ซึ่งการลงทุนในสายธุรกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่องครบวงจรนี้ ก็คือตัว C หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโมเดล BCG นั่นเอง

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในด้านของเศรษฐกิจสีเขียว หรือ G นั้น ทางกลุ่ม KTIS ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ก่อก๊าซเรือนกระจก เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล เยื่อกระดาษจากชานอ้อย หรือไบโอเอทานอล ทำให้บริษัทในกลุ่ม KTIS ได้รับการรับรองด้านการจัดการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น iso14001 และยังรวมไปถึงการได้รับการรับรองทั้งกระบวนการใน supply chain ตั้งแต่ในไร่อ้อย เช่น มาตรฐาน Bonsucro และ VIVE program ซึ่งยืนยันในเรื่องการทำไร่อ้อยอย่างยั่งยืน

เมื่อถามถึงโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย? นายสมชาย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน, ชาม, กล่อง, ถาดหลุมนั้น มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหารไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค ยังได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV อีกด้วย 

นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ (Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในสายชีวภาพ นายสมชาย เชื่อว่า จะทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจน้ำตาลทราย และจะช่วยทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความผันผวนน้อยลง เนื่องจากรายได้และกำไรของสายธุรกิจน้ำตาลนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ผลิตได้ในแต่ละปีแล้ว ยังอิงกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก

‘พีระพันธุ์’ เอาจริง!! คุมค่าไฟฟ้า-ตรึงราคาน้ำมัน 10 วัน พร้อมลดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 กับทุกห้างที่ร่วม

(22 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน หลังจากที่ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว โดยมีทั้งราคาค่าไฟงวดใหม่ (ม.ค. - เม.ย.67) สำหรับกลุ่มเปราะบางหรือครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ไว้ที่ 3.99 บาท/หน่วย และครัวเรือนทั่วไป ไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย, การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร และตรึงราคาก๊าซหุงต้มไม่เกิน 423 บาท/ถัง 15 กก.

นอกจากนี้ ในช่วงของการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยว บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด ตลอด 10 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.66 - 3 ม.ค.67 หากราคาตลาดโลกลดลง จะปรับราคาในประเทศลงด้วย

ขณะเดียวกันประชาชนสามารถนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก่อนการเดินทางในช่วงปีใหม่ที่สถานีบริการ FIT Auto จำนวน 35 รายการ พร้อมให้บริการเติมลมยางไนโตรเจนและปะยางฟรี อีกทั้งยังจัดส่วนลดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าติดฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ได้ส่วนลด 200 - 1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า) รวม 15,000 สิทธิ ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

“เป็นความตั้งใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยากจะมีของขวัญปีใหม่ให้มากที่สุด เพื่อมอบให้กับประชาชน เพื่อเป็นการลดรายจ่าย และซื้อสินค้าได้ในราคาถูกและเป็นสินค้าคุณภาพ” รัดเกล้า กล่าว

‘ททท.’ ชู!! บิ๊กอีเวนต์ ‘เคาต์ดาวน์’ กระตุ้นท่องเที่ยว-ศก.ส่งท้ายปี 66 มุ่งดัน ‘ไทย’ สู่แลนด์มาร์กเคาต์ดาวน์โลก คาดเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นลบ.

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การจัดงาน ‘Amazing Thailand Countdown 2024’ ประเทศไทย ถือเป็นบิ๊กอีเวนต์สำคัญภายใต้โครงการ ‘Thailand Winter Festivals’ ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มแรงส่งกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2566

ทั้งสอดคล้องกับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กรุงเทพมหานคร เป็นแลนด์มาร์กและ ‘Global Countdown Destination’ จุดเคาต์ดาวน์ระดับโลกที่นักท่องเที่ยวต้องนึกถึงและมาเยือนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า การจัดงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จะสร้างรายได้หมุนเวียนรวม 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565

“ททท.เชื่อมั่นว่า การจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว ช่วยขยายเวลาการท่องเที่ยวในช่วงกลางคืน และเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในพื้นที่ของการจัดกิจกรรม เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการล่องเรือรับประทานอาหาร” นายอภิชัย กล่าว

นายอภิชัย กล่าวว่า ททท.ได้ร่วมจัดกิจกรรมใน จ.นครราชสีมา และสนับสนุนงาน ‘Amazing Thailand Countdown 2024’ ประเทศไทย กิจกรรมเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 ที่ ททท.ดำเนินการจัดกิจกรรมและร่วมจัดกิจกรรม แต่ละพื้นที่มีเอกลักษณ์และกิจกรรมในการจัดงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1.) งาน ‘Amazing Thailand Countdown 2024 วิจิตร อรุณ’ จัดงานวันที่ 31 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 พื้นที่จัดงาน สวนนาคราภิรมย์ กรุงเทพมหานคร ถือเป็นไฮไลต์ของกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในเดือนธันวาคม 2566 ต่อเนื่องจากงาน VIJIT CHAO PHRAYA 2023

และ 2.) งาน ‘Korat Winter Festival & Countdown 2024’ จัดงานวันที่ 22 ธันวาคม 2566-2 มกราคม 2567 พื้นที่จัดงาน บริเวณสนามหน้าศาลากลาง จ.นครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี ในรูปแบบ ‘งานมหกรรมสวนสนุกนานาชาติ’ ภายในงานพบกับสวนสนุกขนาดใหญ่ เสิร์ฟความสุขต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2566-14 มกราคม 2567

'สุริยะ' ขอโทษ ปชช.ปมขึ้นภาษีน้ำมัน 'กทม.-ปริมณฑล' จูงใจใช้รถไฟฟ้า ชี้!! แค่ยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศ ยังไม่มีแนวคิดจะทำแต่อย่างใด

‘สุริยะ’ ขอโทษพี่น้องประชาชน สื่อสารคลาดเคลื่อนปมจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินเพิ่ม 50 สตางค์ต่อลิตรในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล นำเงินเข้ากองทุนหนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ระบุไม่มีแนวคิด-นโยบายที่ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยเด็ดขาด 

จากกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวในประเด็นกระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะจัดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เฉพาะสถานีน้ำมันในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น และนำเงินจากภาษีดังกล่าวเข้ากองทุนฯ เพื่อนำสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่อาจจะสื่อสารและทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งในการกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นเพียงการหยิบยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศเท่านั้น รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นถึงกรณีศึกษา และการเปรียบเทียบถึงข้อดีและข้อเสีย โดยไม่ได้มีแนวคิดจะนำมาดำเนินการแต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

ส่วนมาตรการค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท นั้น กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายใน 2 ปี โดยจะไม่มีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน

‘พีระพันธุ์’ แจ้งข่าวดี!! ‘OR’ ร่วมมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ตรึงราคาน้ำมัน-เช็กสภาพรถฟรี เริ่ม 24 ธ.ค.66 - 3 ม.ค.67

(21 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในช่วงปีใหม่ เป็นเทศกาลแห่งความสุข ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน

ส่วนปีหน้าก็มีแผนการดำเนินงานด้านพลังงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจฐานรากไปจนถึงเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ รวมทั้งจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เกิดความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2567

โดยในส่วนของการเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยว บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด ตลอด 10 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 (หากราคาตลาดโลกลดลง ก็จะปรับราคาในประเทศลงด้วย) นอกจากนั้น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน สามารถนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ก่อนการเดินทางในช่วงปีใหม่ที่สถานีบริการ FIT Auto จำนวน 35 รายการ พร้อมให้บริการเติมลมยางไนโตรเจนและปะยางฟรี อีกทั้งยังจัดส่วนลดสินค้าเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน รวมถึงช่วยป้องกันและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567

ในส่วนของการจับจ่ายใช้สอย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. จัดแคมเปญฉลากเบอร์ 5 โฉมใหม่ ลุ้นโชคใหญ่ โดยการมอบสิทธิส่วนลด ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ได้ส่วนลด 200-1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า) รวม 15,000 สิทธิ ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

ดังนี้ HomePro, MEGA HOME, The Mall, ไทวัสดุ, Power Buy, Power Mall, Paragon, Emporium รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด นอกจากนั้น ทุกใบเสร็จยังได้สิทธิลุ้นของรางวัลรวมกว่า 1,500,000 บาท

นอกจากนั้น กรมธุรกิจพลังงาน ได้ประกาศให้โรงกลั่นน้ำมันทั่วประเทศ ปรับคุณภาพน้ำมันให้เป็นยูโร 5 ซึ่งสามารถช่วยลดฝุ่น PM 2.5 เป็นของขวัญให้แก่สุขภาพคนไทย และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี จะมีการขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ประจำปี 2567 เป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ จึงขยายเวลาให้บริการในช่วง 16.30-18.30 น. ตั้งแต่วันที่ 25 ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2566

“นอกจากการลดค่าไฟฟ้า การตรึงน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม ผมอยากหาของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ทั้ง ปตท. ที่จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลา 10 วัน รวมทั้งตรวจสภาพรถยนต์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความปลอดภัยในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและการท่องเที่ยว”

‘สุริยะ’ สั่งเข้ม!! คุมความปลอดภัยไซด์ก่อสร้าง ‘คมนาคม’ พร้อมมอบ 6 มาตรการ ป้องกันอุบัติเหตุ-ลดการสูญเสีย

(21 ธ.ค. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการกำกับตรวจสอบความปลอดภัยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม และมาตรการความปลอดภัยในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยมีคณะทำงานของกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยบริษัทเอกชนประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เข้าร่วมหารือ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคมที่อาจจะเกิดขึ้น นำไปสู่การส่งผลกระทบในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พบว่า ในรอบปี 2565 เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคานสะพานกลับรถถล่ม เหตุมวลน้ำที่ขังในผ้าใบร่วงใส่รถ และเหตุท่อนเหล็กไถลไปถูกรถ ขณะที่ในปี 2566 ได้เกิดเหตุบนถนนพระราม 2 อีก 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคาน Segment หล่น เหตุโครงแผงผ้าใบถูกกระแทกไปโดนกระจกหน้ารถประจำทางสาธารณะ และเหตุการณ์ล่าสุดเหล็กแบบหล่นทับคนงานเสียชีวิตในโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก สัญญา 1

นายสุริยะ กล่าวว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งดังกล่าว ในการประชุมครั้งนี้จึงได้มอบหมายให้เร่งจัดตั้งคณะทำงานฯ เพื่อเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ พร้อมทั้งสำรวจและติดตามด้านความปลอดภัย ก่อนที่จะนำมาพิจารณาและกำหนดแนวทางที่เข้มงวดในอนาคตต่อไป รวมถึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้าง ให้ตระหนักถึงมาตรการเชิงป้องกันและนำระบบการตรวจการณ์ความปลอดภัย Safety Audit มาใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อุบัติเหตุเกิดซ้ำขึ้นอีก

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไข กฎระเบียบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ประมาท และเข้มงวดกวดขัน ตรวจสอบ รวมถึงกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตามหลักมาตรฐานด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีปริมาณการจราจรสูง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานและผู้รับจ้างดำเนินการตาม 6 มาตรการ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินกิจกรรมก่อสร้าง เน้นความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงาน ตามนโยบาย “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” มิให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างก่อสร้าง

2. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมในพื้นที่ก่อสร้างและพื้นที่ผิวจราจรที่เปิดให้บริการประชาชน

3. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการบริหารโครงการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในช่วงการออกแบบ (Design Stage) ช่วงจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Stage) และช่วงก่อสร้าง (Construction Stage)

4. ให้ทุกหน่วยงานออกมาตรการกำกับผู้รับจ้างและกำหนดบทลงโทษหากพบว่าผู้รับจ้างละเลยการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว

5. ควรมีการสร้างเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ ความปลอดภัยในการทำงานแก่บุคลากรในโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งสองทาง (Two - ways Communication)

6.ให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัยในโครงการก่อสร้าง เช่น การตรวจสอบ Checklist ความปลอดภัย ผ่านระบบ Mobile Applications

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานและผู้รับจ้างปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงคมนาคมรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะต้องไม่เกิดอุบัติเหตุในโครงการของกระทรวงคมนาคม และในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ ประชาชนต้องสามารถเดินทางสัญจรได้โดยสะดวก และถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

‘ไทยสมายล์’ ยืดเวลาให้บริการรถเมล์ 24 ชม. พร้อมเปิดเดินเรือถึงตี 3 รับเทศกาลปีใหม่

(21 ธ.ค. 66) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถเมล์และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากจะออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อชื่มชมความงดงามของกิจกรรมงานเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 โดยเฉพาะสถานที่ไฮไลท์ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล เช่น ไอคอนสยาม ที่มีการจัดงาน Thailand Amazing Countdown

ดังนั้น บริษัทจึงได้ขยายเวลาให้บริการรถเมล์ไฟฟ้า ไทย สมายล์ บัส ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มเติม (เฉพาะคืนวันปีใหม่) จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4-1 ท่าเรือพระประแดง-บางลำพู (เลขสายเดิม 6) กับสายรถ 3-45 พระรามสาม - หมอชิต2 (เลขสายเดิม 77) ซึ่งจะมีรถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการตามแนวทางของกรมการขนส่งทางบก และนโยบาย Quick Win ‘คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน’

ขณะเดียวกันทางบริษัทยังมีรถเมล์ไฟฟ้าที่คอยบริการตลอดคืนอยู่แล้วอีก 6 เส้นทาง ได้แก่ 1-3 (34) บางเขน-หัวลำโพง, 1-2E (34E) รังสิต-หัวลำโพง (ทางด่วน) ผ่านสามย่านมิตทาวน์, 1-37 (27) มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่านเดอะมอลล์บางกะปิ, 1-39 (71) สวนสยาม - คลองเตย ผ่านเอ็มควอเทียร์, 3-1 (2) ปากน้ำ-ท่าเรือสะพานพุทธ ผ่านเอ็มสเฟียร์, และ 4-36 (7) โรงเรียนศึกษานารีวิทยา 2 - หัวลำโพง ผ่านห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ซีคอนบางแคร์

ด้านบริษัท ไทย สมายล์ โบ้ท จำกัด ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ได้ขยายระยะเวลาให้บริการยาวถึงตี 3 ทั้ง เรือข้ามฟาก ไอคอนสยาม - ท่าเรือสี่พระยา - ท่าเรือแคททาวเวอร์, เรือรับส่ง Shuttle Boat บุคคโล - ไอคอนสยาม ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมกับเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าสายสีเขียว (City Line) สาทร-พระปิ่นเกล้า และเพื่อรองรับพี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านหลังงานเคาท์ดาวน์ข้ามปี เพื่อเฉลิมฉลองค่ำคืนแห่งความสุข

‘MOSHI’ ปลื้ม!! ติดโผดัชนี ‘SET100’ รอบครึ่งปีแรกของปี 67 ตอกย้ำศักยภาพ ผู้นำบิ๊กธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย

(21 ธ.ค. 66) เป็นหุ้นที่ขึ้นทำเนียบขวัญใจนักลงทุนไปเสียแล้ว สำหรับ บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ‘MOSHI’ ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ประกาศให้หุ้น MOSHI เข้าไปคำนวณอยู่ในกลุ่มดัชนี SET100 รอบครึ่งปีแรกของปี 2567 (1 มกราคม-30 มิถุนายน 2567)

แสดงให้เห็นว่า หุ้นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนรายย่อย สถาบันทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับการบริหารงานที่โดดเด่นของซีอีโอ MOSHI อย่าง ‘นายสง่า บุญสงเคราะห์’ ที่โชว์ฟอร์มทำผลงานปี 2566 อย่างเต็มกำลัง

อีกทั้งยังประกาศอัปเป้าหมายรายได้เติบโตกว่า 30% พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย

'รมว.ปุ้ย' กำชับทุกนิคมฯ 'ควบคุม-ติดตาม' ฝุ่น PM 2.5 วอน!! ต้อง 'จริงจัง-ต่อเนื่อง' เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับควบคุม/ติดตามตรวจสอบฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง-จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อยู่เคียงคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

(21 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งหามาตรการเพิ่มสำหรับ การลดฝุ่น PM 2.5 ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืนนั้น ที่ผ่านมา กนอ. มีการดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อควบคุมติดตามตรวจสอบ ในการลด PM 2.5 ตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง คือ...

1.กำหนดค่ามาตรฐานของการระบายมลพิษทางอากาศในรูปแบบ Loading โดยคำนึงถึงความสามารถหรือรูปแบบในการรองรับมลพิษทางอากาศ ตามประกาศ กนอ. ที่ 79/2549 เรื่อง กำหนดอัตราการปล่อยมลสารทางอากาศจากปล่องของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และนำค่า Emission Loading ที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของนิคมอุตสาหกรรมใช้ในการอนุมัติจัดตั้งโรงงานในอนาคต ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมายังคงเป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด 

2.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อการป้องกัน แก้ไข และลดปัญหาฝุ่นละอองรวม และฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และ 3.กำหนดให้มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตามวิธีการตรวจวัดที่เป็นไปตามหลักวิชาการในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. กำกับดูแล จำนวน 14 แห่ง และ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม โดยผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตั้งแต่ปี 2563-2565 นั้น มีค่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

"กนอ. ยังคงมุ่งมั่นในการควบคุม ดูแล และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยกำหนดมาตรการต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมทุกด้าน มั่นใจว่าสามารถช่วยให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถประกอบกิจการควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน" นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 (19 ธ.ค.66) พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในภาพรวมนั้นปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพบพื้นที่เกินค่ามาตรฐานหลายแห่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จึงควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูง และควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ภาคอื่นๆ พบว่า ภาคเหนือ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ภาคกลางและตะวันตก อยู่ในเกณฑ์ดี และ ภาคตะวันออก อยู่ในเกณฑ์ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top