Thursday, 22 May 2025
TheStatesTimes

‘ไทยคม’ ประกาศความสำเร็จแพลตฟอร์ม 'CarbonWatch' ได้รับการรับรองเป็น 'เครื่องมือวัดคาร์บอนเครดิต' รายแรกในไทย

(11 ก.ค. 67) บริษัท บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม 'CarbonWatch' ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ภายใต้โครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี AI และการสำรวจระยะไกล เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมทั้งเตรียมให้บริการคาร์บอนเครดิตและขยายความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กล่าวว่า อบก.ได้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต ภายใต้ชื่อ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน ไทยคมได้รับการรับรองเครื่องมือประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าไม้ด้วยเทคโนโลยี AI และการสำรวจระยะไกลจาก อบก. ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถใช้ประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือและกลาง เครื่องมือนี้เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการปลูกฟื้นฟูป่าจากภาคธุรกิจเอกชน สร้างแรงจูงใจในการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซ มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 โครงการนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมอย่างมีผลบังคับใช้และยั่งยืน

นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า ไทยคมยินดีที่แพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าไม้ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมและ AI ได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จในการนำความเชี่ยวชาญด้านดาวเทียมมาสู่ธุรกิจเทคโนโลยีอวกาศ ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจโลก ร่วมกับเทคโนโลยี AI และ ML เพื่อประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตรวจสอบได้ แพลตฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริการ Earth Insights ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ได้รับรางวัล Sustainability Award 2023 และระดับ AAA จาก SET ESG Rating แพลตฟอร์มนี้จะถูกนำไปใช้ในพื้นที่ป่าชุมชนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และเดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศชาติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

"ไทยคม ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากผู้นำด้านดาวเทียมสู่ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศ เน้นความสำคัญของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับโลก โดยใช้เทคโนโลยีสเปซเทคตอบสนองความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการคาร์บอน ไทยคมได้ร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง นำความรู้เรื่องดาวเทียมมาสร้างแพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งได้รับการรับรองจาก อบก. ช่วยให้การประเมินการกักเก็บคาร์บอนเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ คุ้มค่า และเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในราคาเริ่มต้นที่ 100-300 บาทต่อไร่ นอกจากนี้ ยังสามารถขยายความสามารถนี้ไปยังต่างประเทศได้ การใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำเท่านั้น แต่ยังเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ สนับสนุนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยอย่างยั่งยืน" นายปฐมภพ กล่าว

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เริ่มโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าชุมชน 290,000 ไร่ตั้งแต่ปี 2563 และมีแผนขยายไปทั่วประเทศ การประเมินการกักเก็บคาร์บอนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายโครงการนี้ เพื่อสนับสนุนชุมชนต่างๆ มูลนิธิฯ ได้ผนวกความเชี่ยวชาญในภาคสนามกับเทคโนโลยีของไทยคม สร้างเครื่องมือที่ได้รับการรับรองซึ่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำ มีความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือนี้จะช่วยประเมินการกักเก็บคาร์บอนได้มีประสิทธิภาพและเร่งพัฒนาโมเดลการประเมินมวลชีวภาพในพื้นที่ป่าอื่น ๆ ด้วย ร่วมกันรับมือกับภาวะโลกร้อนและส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้รุ่นหลัง

"โครงการคาร์บอนเครดิตเริ่มต้นจากประสบการณ์การจัดการป่านานกว่า 30 ปี ซึ่งได้พัฒนากระบวนการปลูกและดูแลป่าอย่างยั่งยืน เทคโนโลยีดาวเทียมและ AI ที่นำมาใช้ได้ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการประเมินคาร์บอนให้ถึง 90% ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทั้งยังสร้างรายได้และความยั่งยืนให้ชุมชนท้องถิ่น โดยการใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ และเปิดโอกาสให้ไทยเป็นผู้นำในการจัดการคาร์บอนในอาเซียน การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการดูแลป่าเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิภาค และเป็นโมเดลที่สามารถขยายผลไปยังประเทศอื่นในอนาคตได้" ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ รับลูก!! ‘นายกฯ’ เดินหน้ายกระดับไทยสู่ ‘ศูนย์กลางฮาลาล’ ล็อกเป้าระยะแรก ‘อาหาร-ยา-แฟชั่น-เครื่องสำอาง-โกโก้-ท่องเที่ยว’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) เป็นประธานการประชุม กอฮช. ครั้งที่ 1/2567 โดยมีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาลเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง  

นายเศรษฐา ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 โดยได้มอบหมายให้ ดร.นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย รับผิดชอบภารกิจที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล และ รมว.อุตสาหกรรม เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเลขานุการ พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่มีบทบาทสําคัญในแวดวงฮาลาลไทย อีก 21 เพื่อทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาสินค้าฮาลาล โดยเชื่อมโยงเอกลักษณ์ Soft Power ของไทย รวมถึงบูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงานด้านการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ ให้เกิดการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นําด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าฮาลาลในภูมิภาค

“ผมอยากเห็นการจัดตั้งหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจในการเป็นหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศอย่างครบวงจร โดยมีภารกิจขับเคลื่อนนโยบายและแผนการพัฒนา อุตสาหกรรมฮาลาลไทยให้บรรลุตามเป้าหมาย ติดตามและประเมินผลการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ขยายตลาดและส่งเสริมการค้าสินค้าและบริการฮาลาลระหว่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสินค้าฮาลาล พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจสินค้าและบริการฮาลาล รวมถึงอยากเห็นศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทยที่ได้ทราบว่ามีการจัดตั้งแล้ว มีโครงสร้างการบริหาร กําลังคน รวมถึง งบประมาณที่ชัดเจน ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม” นายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ประเด็นสําคัญที่อยากฝากทุกท่านให้ความสําคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ โดยผลักดันการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยจะสนับสนุนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การสร้างอาชีพ การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริการในพื้นที่ภาคใต้ และผลักดันให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อมุ่งสู่การสร้างความผาสุก ความกินดีอยู่ดีรวมถึงการพัฒนาที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ สินค้าปศุสัตว์ จะเป็นกลุ่มที่จะได้รับความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนา

ด้านนางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมฮาลาล เป็นหนี่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพ และมีมาตรฐานในการผลิต สามารถกระจายรายได้ กระจายโอกาส สร้างเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย สร้างความั่นคงให้แก่ประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามแนวทางที่ กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในการเร่งผลักดันให้เกิดศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ 

ขั้นตอนต่อไปจะนำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อให้ความเห็นชอบ โดยแผนปฏิบัติการฯ ได้กำหนดผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลเป้าหมาย (ระยะแรก) ไว้ 5 กลุ่ม ได้แก่

1. อาหารฮาลาล เช่น เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป อาหารทะเล อาหารพร้อมรับประทาน อาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ และอาหารมุสลิมรุ่นใหม่ 
2. แฟชั่นฮาลาล ประกอบด้วย สิ่งทอ อัญมณี เครื่องหนัง 
3. ยา สมุนไพร เครื่องสำอางฮาลาล 
4. โกโก้และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง 
5. บริการและการท่องเที่ยวฮาลาล

ทั้งนี้ ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ปี 2567-2570 ได้วางกรอบใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,230 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 มาตรการ คือ 

1.การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตฮาลาลไทย 
2. การพัฒนาการผลิตได้มาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลไทย 
3. การยกระดับปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมฮาลาลไทย 

โดยมีโครงการที่เป็น Quick Win (พ.ศ. 2567 - 2568) ใช้งบประมาณ 95 ล้านบาท ในการดำเนินงาน ได้แก่ สร้างการรับรู้ศักยภาพสินค้าและบริการอาหารฮาลาลไทย การขยายตลาดสินค้าและบริการอาหารฮาลาลไทยในประเทศและต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย และการจัดทำระบบ Halal IU ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลรายงานเชิงลึกและวิเคราะห์ตลาด เป็นต้น 

"มูลค่าของตลาดการค้าอาหารฮาลาลโลกในปี 2567 อยู่ที่ 2.60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5.28 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้น 12.5% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรมุสลิมโลกและการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศมุสลิม นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยต้องเข้าไปมีส่วนร่วม และเป็นการปักหมุดประเทศไทย ให้โลกได้รู้ว่าเรามีศักยภาพในการผลิตสินค้าฮาลาล" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ผู้ช่วย ผบ.ตร.เร่งรัดดำเนินคดีขบวนการที่เกี่ยวข้องกับโรงงานเก็บกักสารเคมีไม่ได้มาตรฐานจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ใน 2 จังหวัด ล่าสุดจับกุมหลานนายโอภาสฯ ได้อีกราย เจ้าตัวยอมรับจัดการนำวัตถุอันตรายไปเก็บไว้ในโกดังที่ อ.ภาชี

วันนี้ (11 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.ระยอง ได้สั่งการให้เร่งขยายผลดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง หลังตรวจสอบทั้ง 4 แห่งของ 2 จังหวัดแล้ว พบสารที่เป็นอันตรายอยู่ในโกดังทั้ง 4 แห่ง และพบความเชื่อมโยงกับอีกหลายพื้นที่ ลักษณะการทำงานเป็นขบวนการ โดยรับกากของเสียมาแล้วไม่ได้นำไปกำจัด ไม่มีใบอนุญาต นำมาครอบครองแล้วนำไปทิ้งในพื้นที่ป่าสงวน ตามไร่นา และพื้นที่ของประชาชนทั่วไป รวมทั้งมาเก็บแล้วปล่อยให้น้ำซึมลงไปในดิน สร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.2 บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส ได้สืบสวนและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำวัตถุอันตรายมาทิ้งไว้ที่โกดังดังกล่าว ได้มีการขออนุมัติศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกหมายจับ นายจตุวุฒิฯ กรรมการบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในข้อหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต , ดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ โดยไม่ได้รับอนุญาต , ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยไม่ได้รับอนุญาต , ปล่อยน้ำซึ่งทำให้เกิดเป็นพิษแก่น้ำตามธรรมชาติหรือสารเคมีเป็นพิษลงในทางน้ำชลประทาน จนอาจทำให้ทางน้ำชลประทานเป็นอันตรายแก่เกษตรกรรม การบริโภค อุปโภค หรือสุขภาพอนามัย” เนื่องจากหลบหนีไม่มารับทราบข้อกล่าวหา และเชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่รู้เห็นกับเหตุลักลอบทิ้งวัตถุอันตรายฯ ไว้ภายในโกดังดังกล่าว

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปทส. สืบสวนพบว่า นายจตุวุฒิฯ ได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่กับญาติพื้นที่หมู่ 7 ต.เขื่องคำ อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ จนพบแหล่งกบดาน จึงได้วางแผนเข้าจับกุม นายจตุวุฒิฯ ได้สำเร็จ นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการนำวัตถุอันตรายฯ ไปเก็บไว้ในโกดังที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา จริง โดยมีนายโอภาสฯ กรรมการบริษัทวิน โพรเสส จำกัด ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีไปก่อนหน้า ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา คอยสั่งการ ในส่วนของเหตุเพลิงไหม้ นายจตุวุฒิฯ ให้การว่า ไม่ทราบและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินการกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ ได้กำชับให้เร่งรัดรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งคดีเพลิงไหม้ ต้องให้ความชัดเจนในเรื่อง สารเคมีซึ่งเป็นพยานหลักฐาน และสำนวนการสืบสวนสอบสวนในความผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ในทุกมิติ ต้องรอบคอบ ชัดเจน และรวดเร็ว

(สุรินทร์) มณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมกับ ศาลเยาวชนและครอบครัว 4 จังหวัด จัดกิจกรรม “ครอบครัวอุ่นใจ ได้ลูกหลานคืน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567

วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบหมายให้ พันเอก ก้องภพศ์  ศิริเมฆ  หัวหน้ากองกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 25 รักษาราชการแทน หัวหน้ากองกิจการพลเรือน มณฑลทหารบกที่ 25 ร่วม โครงการสนับสนุนการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัว ภายใต้ชื่อกิจกรรม “ครอบครัวอุ่นใจ ได้ลูกหลานคืน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567  โดย นาย รุ่งสง่า นวลนุกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดชลบุรี ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานพิธีเปิด มี นายศุภกร อาภาธีรวัตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ กล่าวรายงาน ตามแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรมฉบับ 2565-2568 กำหนดให้ศาลเยาวชน และครอบครัวเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู คุ้มครองเด็ก เยาวชนและครอบครัว โดยกฎหมายเปิดโอกาสให้ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจใช้มาตรการ พิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา และมาตรการแทนการพิพากษาคดีอาญา ให้ศาลมีคำสั่งให้เด็กหรือเยาวชนที่มอบตัวให้ผู้ปกครองไปดูแล หรือได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เข้ารับการบำบัดรักษา เข้ารับคำปรึกษาแนะนำ หรือเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไม่ให้หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ จึงจำเป็นต้อง มีกิจกรรมเพื่อการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ตลอดจนกระบวนการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิด ดังนั้นศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดชัยภูมิ ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดบุรีรัมย์ จึงได้ร่วมกับมณฑลทหารบกที่ 25 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน จัดทำโครงการนี้ขึ้น เพื่อให้โอกาสเด็กและเยาวชนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติด้วยการฝึกระเบียบวินัย เสริมสร้างความเข็มแข็งทางจิตใจ ตระหนักในคุณค่าของตนรวมถึงเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม สามารถนำทักษะที่ได้รับจากโครงการฯ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข ไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคตการจัดโครงการในครั้งนี้ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ให้การสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ โดยมอบหมายให้ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดกิจกรรม รวมถึงได้ความร่วมมือจากมณฑลทหารบกที่ 25 ให้การสนับสนุนสถานที่ ชุดครูฝึกอบรมและอำนวยการฝึก โดยมีเยาวชนเข้ารับการ ฝึกอบรมจำนวน 45 คน พร้อมด้วย ชุดครูฝึกทหาร ที่ปรึกษาและคณะทำงาน เจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ

ปุรุศักดิ์ แสนกล้า ข่าว/ภาพ

ลุ้น 'พีระพันธุ์’ ตรึงค่าไฟ 'ก.ย.-ธ.ค.' คงไว้ 4.18 บาทต่อหน่วย คาด!! อาจต้องของบประมาณจากรัฐบาลมาช่วยหนุน

ไม่นานมานี้ ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้พิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที งวดปลายปี (กันยายน-ธันวาคม 2567) พบว่าต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 20-40 สตางค์ จากค่าไฟงวดปัจจุบันหน่วยละ 4.18 บาท และจะมีการแถลงข่าว 3 ทางเลือกค่าไฟวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ เพื่อให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ทำการเลือกและแสดงความเห็น ก่อนจะประกาศใช้ทางการวันที่ 1 สิงหาคมนี้ 

สำหรับปัจจัยการขึ้นค่าไฟมาจากต้นทุนเชื้อเพลิง ปริมาณการใช้ไฟฟ้า และหนี้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินประมาณ 98,000 ล้านบาท ดังนั้น ตัวเลขการปรับขึ้นจะอยู่ใน 3 ทางเลือก คือ 1.ขึ้นไม่มาก รวมการคืนหนี้ กฟผ.เล็กน้อย 2.ขึ้นบางส่วนรวมคืนหนี้ กฟผ.บางส่วน และขึ้นสูงสุด หมายถึงการคืนหนี้ให้ กฟผ. วงเงินประมาณ 98,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เมื่อรับฟังความเห็นแล้ว จะเลือกการปรับขึ้นน้อยที่สุด

“ส่วนแนวทางไม่ขึ้นเลย ตรึงระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ต้องขึ้นกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พิจารณา โดยอาจของบประมาณจากรัฐบาลมาสนับสนุน” รายงานข่าวระบุ

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งด้วยว่า ความคืบหน้าการกำหนดราคาดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป ภายหลังครบกำหนดกรอบราคาไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดตรึงราคาตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2567 และครบกำหนด 31 กรกฎาคม 2567 นั้น เบื้องต้นมีแนวโน้มว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายพีระพันธุ์เป็นประธาน จะพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นราคาดีเซลแบบทยอยขึ้นกรอบ 1 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาปลายทางระดับไม่เกิน 34 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันฐานะ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2567 ติดลบ 111,595 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 63,944 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจี ติดลบ 47,651 ล้านบาท

รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนสูง ช่วงเดือนที่ผ่านมาแนวโน้มลดลงบ้างจนกองทุนน้ำมันฯลดอุดหนุนระดับ 4 บาทต่อลิตร จนสามารถเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯสำเร็จ แต่ขณะนี้แนวโน้มกลับมาขึ้นอีกครั้ง ทำให้กองทุนน้ำมันฯต้องอุดหนุนกว่า 2 บาทต่อลิตร สถานการณ์ดังกล่าวหากไม่ปรับราคาหลังวันที่ 31 กรกฎาคม อาจทำให้กองทุนน้ำมันฯสถานการณ์ยิ่งแย่

รายงานข่าวระบุอีกว่า ก่อนจะพิจารณาแนวทางปรับราคา ตลอดจนเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบัน ได้พยายามดำเนินการอีก 2 แนวทางเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาขายปลีก แต่ด้วยสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ พบว่าไม่น่าจะดำเนินการได้ ประกอบด้วย...

1. การส่งหนังสือถึงสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบกลางปี 2567 วงเงิน 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็น ดีเซล 6,000 ล้านบาท และแอลพีจี 500 ล้านบาท เป็นตามที่ ครม.อนุมัติไว้ภายใต้เงื่อนไขให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯดูแลราคาน้ำมันและแอลพีจีก่อน แต่เบื้องต้นได้รับการประสานอย่างไม่เป็นทางการว่างบกลางฯมีจำกัด อาจไม่สามารถนำมาดูแลราคาดีเซลและแอลพีจีได้ 

2. การเสนอกระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลลงในอัตราที่เหมาะสม เบื้องต้นจากท่าทีของกระทรวงการคลังไม่ตอบรับการลดภาษีดังกล่าว เพราะจำเป็นต้องจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด นอกจากฐานะกองทุนน้ำมันฯที่ติดลบทะลุแสนล้าน กองทุนน้ำมันฯยังมีภาระหนี้จากการกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องประมาณ 110,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯมีภาระต้องจ่ายคืนเงินต้นกู้จากสถาบันการเงินก้อนแรก 30,000 ล้านบาท เดือนพฤศจิกายนนี้ 

ดังนั้น จึงต้องพยายามดูแลสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ และวางแผนการชำระหนี้ดังกล่าว เดือนกรกฎาคมนี้จะทำแผนการบริหารหนี้ภาพรวมเสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่า สบน.จะทำแผนบริหารหนี้ปีงบประมาณ 2568 ภายในเดือนสิงหาคม 2567

ด้านนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามกระแสข่าวคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีแนวโน้มจะปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1 บาท จาก 33 บาท ไป 34 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นเรื่องจริงนั้น ทางสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย จะรับมือเบื้องต้นในการขึ้นราคาค่าขนส่งเพิ่ม รวมถึงเดินหน้าสานต่อการเคลื่อนม็อบรถบรรทุกทันที หลังจากเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา

‘ขวัญ อุษามณี’ เปิดใจย้อนอดีต ปมเกาเหลาดารารุ่นพี่ ขอบคุณทุกคนที่ขอโทษ หลังโดนเข้าใจผิดเป็นสิบปี

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันบันเทิง - oneบันเทิง’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

‘ขวัญ อุษามณี’ เปิดใจกลางรายการแฉ ถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ที่เคยมีข่าวเกาเหลากับดารารุ่นพี่ ‘ปู มัณฑนา’ และมีคลิปฉากดึงผมในตำนานออกมาว่อนเน็ตเป็นกระแสอีกครั้งหนึ่ง 

📌มีพี่ที่ส่งคลิปมาให้ขวัญ แล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะ ทุกคนเข้าใจขวัญแล้ว ที่ผ่านมาขวัญพูดอะไรไม่ได้ และคนเข้าใจเราผิดมาเป็นสิบ ๆ ปี

📌ตอนนั้นคนเข้าใจขวัญผิด คิดว่าขวัญร้าย คนไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขวัญเป็นเด็ก เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรพูดไปว่าโดนกระทำอะไร สมัยก่อนไม่มีคลิปอะไรออกมาเหมือนทุกวันนี้

📌ส่วนตัวไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับใคร ตอนนั้นถ่ายละครและเรียนไปด้วย ขวัญเป็นคนชอบคุยกับคนในกอง พอคนไหนที่เขาไม่คุยกับเรา เราก็ไปคุยกับคนอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกว่าใครไม่ถูกกับเรา จนกระทั่งเป็นข่าว ก็รู้แล้วว่าจะอยู่กับใครที่เรารู้สึกปลอดภัย

📌เรื่องตอนนั้นที่เป็นเรื่อง SMS ขวัญเป็นฝ่ายโดนกระทำ เป็นฝั่งขวัญที่เสียหาย มีคนส่ง SMS มาป่วน มันเป็นเรื่องของแฟนขวัญ ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเลย ไม่เคยไปปั่นป่วน

📌ไม่ต้องไปสืบว่าเป็นใคร เพราะต่างคนต่างมีครอบครัวแล้ว และไม่อยากเอามารื้อฟื้นอะไรอีก แต่ ณ เวลานี้ต้องขอบคุณทุกคนที่ขอโทษขวัญ ขวัญรับรู้ที่ทุกคนขอโทษจริง ๆ ที่ผ่านมาก็โดนเยอะ

📌ขอบคุณพ่อกับแม่ ป้าแดง (คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์) และพี่ทีมงานที่อัดคลิปไว้ แล้วทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจ และทำให้ขวัญยังไม่ตกงาน ถ้าขวัญนิสัยแย่แบบในข่าว ไม่มีใครใช้งานขวัญหรอก

📌ตอนนั้นเป็นเด็ก พอมีเรื่องอะไรก็ไม่อยากทำงาน จะกลับบ้านแล้ว แต่พ่อก็จะบอกว่า ขวัญกลับไม่ได้ ขวัญจะสบายใจแค่คนเดียว แล้วให้ทีมงานคนอื่นมาเดือดร้อนเพราะขวัญเหรอ ทุกวันนี้ที่อยู่ได้ เพราะผู้ใหญ่และพ่อกับแม่จริง ๆ

📌ขอบคุณพี่ ๆ ในเน็ต ซาบซึ้งทุกคน ไม่ต้องขอโทษขวัญก็ได้ ที่ขวัญโตขึ้นและแข็งแกร่งได้เพราะทุกคน ทำให้เป็นขวัญอุษามณี ได้อย่างทุกวันนี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรในอนาคตก็ขอให้เชื่อขวัญหน่อย ที่อยู่วงการนี้ไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว มันต้องดีด้วย

📌ขวัญต้องมีอะไรดีมากพอที่ผู้ใหญ่พร้อมจะปกป้องขวัญ ไม่ใช่เชื่อแค่คำพูดคนแค่คนเดียวและมาทำร้ายขวัญขนาดนี้ เพราะว่าขวัญไม่เคยทำร้ายใคร ไม่ว่าใครจะมายังไง อยากให้ทุกคนปกป้องขวัญหน่อย เรื่องที่ผ่านมาในอดีตช่างมัน

'รัฐ' ปลื้ม!! '30 บาทรักษาทุกที่-ร้านยาชุมชนอบอุ่น' ช่วยคนเจ็บป่วยนับล้าน เข้าถึง 'สิทธิ-บริการ' ได้จริง

(12 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า 'นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่' บริการที่ 'ร้านยาคุณภาพ' ในการร่วมดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ภายใต้โครงการ 'ร้านยาดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ' (common illnesses) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 'หน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุข' ที่ผ่านมาจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขับเคลื่อนร่วมกับสภาเภสัชกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมากในพื้นที่ 45 จังหวัดที่เริ่มนโยบายนี้ 

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลในระบบ AMED ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้เป็นระบบปฏิบัติการในการเบิกจ่าย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 พบว่า ขณะนี้มีร้านยาชุมชนอบอุ่นในระบบ จำนวน 2,151แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 1,125,253 คน เป็นการรับบริการจำนวน 2,849,528 ครั้ง โดยช่วงอายุ 45-64 ปี เป็นกลุ่มประชากรที่เข้ารับบริการมากที่สุดจำนวน 429,907 คน สำหรับกลุ่มอาการในการเข้ารับบริการ พบว่า ไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นกลุ่มอาการที่มีการเข้ารับบริการมากที่สุด จำนวน 1,191,643 ครั้ง หรือร้อยละ 47 ของการเข้ารับบริการ กลุ่มอาการรองลงมาได้แก่ ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ จำนวน 597,737 ครั้ง อาการทางผิวหนัง ผื่น คัน จำนวน 339,846 ครั้ง ปวดท้อง จำนวน 239,967 ครั้ง ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา จำนวน 145,591 ครั้ง ปวดหัว จำนวน 117,091 ครั้ง และบาดแผล จำนวน 114,809 ครั้ง เป็นต้น

“จากข้อมูลที่ปรากฏนี้สะท้อนให้เห็นว่า 30 บาทรักษาทุกที่ รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น ได้ช่วยดูแลประชาชนที่มีภาวะเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งอยู่ใน 16 กลุ่มอาการ ได้เข้าถึงการรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ การบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นนี้ เป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากเภสัชกรที่เป็นหนึ่งในวิชาชีพระบบสุขภาพ และให้คำปรึกษาหรือแนะนำการกินยา สำหรับการเข้ารับบริการขอให้ประชาชนสังเกตสติกเกอร์ 'ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย' โดยมีวิธีรับบริการ 2 รูปแบบ ไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ 1. โทร.สายด่วน สปสช. 1330 จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นใกล้บ้าน หรือ 2. ดูรายชื่อร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/List_of_retail_pharmacies หรือสังเกตสติกเกอร์ติดหน้าร้านยา ภายใต้ชื่อ ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” นายคารม กล่าว

‘ลิซ่า’ พา 'Rockstar' ทะลุ!! 100 ล้านวิว หลังปล่อยมาเพียงแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น

(12 ก.ค. 67) เป็นอีกหนึ่งสาวที่มาแรงหยุดไม่อยู่ สำหรับ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ที่หลังจากที่ปล่อยเพลง 'Rockstar' ออกมาสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลงระดับโลก พร้อมพุ่งทะยานสู่อันดับที่ 1 บนชาร์ต Billboard ไปหมาด ๆ ล่าสุดเพลงดังกล่าวก็ทำยอดวิวทะลุ 100 ล้านวิวแล้วเรียบร้อย หลังจากเผยแพร่ออกมาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น นับเป็นความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวและต้นสังกัดอย่าง LLOUD และ RCA records ไม่เพียงเท่านั้นยังติดเทรนด์ฮิตในยูทูบเป็น อันดับ 1 ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และยังขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ของชาร์ตบน Apple Music ของสหรัฐอเมริกา ในหมวดเพลง K-POP อีกด้วย

'ไบเดน' ออกอาการเบลอ สับสนระหว่าง ‘มิตร-ศัตรู’ เรียก ‘เซเลนสกีแห่งยูเครน’ สลับเป็น ‘ปธน.ปูตินแห่งรัสเซีย’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกอาการเบลออีกครั้ง คราวนี้พูดผิดระหว่างแนะนำตัวประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ต่อเวทีประชุมซัมมิตนาโต โดยเรียกเป็นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย คู่อริของเซเลนสกีแทน ความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการแถลงข่าวครั้งสำคัญ ที่อาจเป็นตัวตัดสินชะตากรรมการเสนอตัวชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัยของเขาเลยทีเดียว

ผู้นำวัย 81 ปีของสหรัฐฯ รีบแก้คำผิดด้วยตนเอง ส่วน เซเลนสกี พูดติดตลกว่าเขาดีกว่าปูติน 

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดของไบเดนในครั้งนี้ได้โหมกระพือความกังวลหนักหน่วงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอายุอานามของเขาและความเฉียบแหลมทางปัญญา ตามหลังผลงานหายนะในศึกประชันวิสัยทัศน์กับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

"ตอนนี้ผมขอส่งมอบเวทีนี้ให้แก่ประธานาธิบดียูเครน ผู้ซึ่งมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่น คุณสุภาพสตรีและคุณสุภาพบุรุษ ขอต้อนรับ ประธานาธิบดีปูติน" เขากล่าวระหว่างแถลงต่อที่ประชุมซัมมิตนาโตในวอชิงตัน

ไบเดน หันหลังออกจากโพเดียม ก่อนย้อนกลับไปและเปล่งเสียงออกมาว่า "ประธานาธิบดีปูติน! เขากำลังเอาชนะประธานาธิบดีปูติน นั่นคือประธานาธิบดีเซเลนสกี" กระตุ้นให้ เซเลนสกี ดาวตลกทางทีวี ที่กลายมาเป็นผู้นำยามศึกสงครามของยูเครน รับมือกับการรุกรานของรัสเซีย ตอบกลับว่า "ผมดีกว่าเขา"

พวกรีพับลิกันคู่แข่งของไบเดน รุดแพร่กระจายคลิปดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่นาที

การพูดผิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับไบเดน เนื่องจากหลังจากนี้เขามีกำหนดแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) ในรูปแบบที่โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง ปิแอร์ เรียกว่าเป็นการแถลงแบบ ‘บิ๊กบอย’ หรือที่แปลว่า คนที่โตแล้ว ซึ่งถือเป็นการแถลงข่าวครั้งสำคัญของเขาครั้งแรกนับตั้งแต่ศึกดีเบต

การแถลงข่าวนี้จะเป็นการดวลไมค์แบบไม่เตรียมบทระหว่างไบเดนกับสื่อมวลชน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้นำสูงสุดวัย 81 ปี ที่กำลังเผชิญกับข้อเคลือบแคลงด้านความพร้อมในทางร่างกายและความเฉียบแหลมของไหวพริบ ในการลงสนามการเมืองในศึกเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังระงมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพรรคเดโมแครตของเขาเองให้เขาถอนตัว

ทั้งนี้ การแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มขึ้นตอนเวลา 18.30 น.(ตรงกับเมืองไทย 05.30 น.) แต่คาดหมายว่าอาจล่าช้าราว 1 ชั่วโมง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่มีสมาชิกพรรคเดโมแครตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024

มีสมาชิกเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ 14 คน ที่เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ชายที่เอาชนะ ทรัมป์ เมื่อ 4 ปีก่อน ถอนตัวออกมา เช่นเดียวกับวุฒิสมาชิกจากเดโมแครต 1 ราย

ผลโพลหนึ่งที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) พบว่ามีชาวเดโมแครตมากกว่าครึ่ง บอกว่า ไบเดน ควรยุติการเสนอตัวชิงเก้าประธานาธิบดีสมัย 2 และ 2 ใน 3 ของชาวสหรัฐฯ เชื่อว่าเขาควรถอนตัวจากการชิงชัย

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าบรรดาผู้ช่วยเก่าแก่ของประธานาธิบดีบางส่วนกำลังหารือกันในการหาทางโน้มน้าวให้ไบเดนถอนตัวออกมา อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวรุดออกมาตอบโต้ในเวลาต่อมา ระบุรายงานข่าวนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ไบเดน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนช่างพูด กลับกลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่แถลงข่าวน้อยกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ และครั้งหลัง ๆ มักเป็นการแถลงข่าวร่วมกับพวกผู้นำต่างชาติเท่านั้น แถมแต่ละครั้งยังจำกัดให้ถามได้เพียงแค่ 2 คำถาม

เมื่อประกอบกับการที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มันจึงนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเนียบขาวกำลังปกป้องผลกระทบทางอายุที่กำลังเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รายนี้

ไบเดน ยืนยันว่าเขายังคงมุ่งมั่นในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายน และด้วยที่เขาคว้าชัยในศึกหยั่งเสียงของพรรคเดโมแครต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะบีบให้เขาถอนตัว

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2567 : นับถือหลายศาสนาได้หรือไม่?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘นับถือหลายศาสนาได้หรือไม่?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🔆คำถาม: คนหนึ่งคนนับถือหลายศาสนาได้หรือไม่?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ตอบตรง ๆ เลยว่าได้ ที่เห็นทุกวันนี้ พุทธเพียว ๆ ที่ไม่ไหว้แม่กวนอิม ไม่ไหว้พระศิวะ ไม่ไหว้เทพองค์ใดเลย ไม่มีแล้วนะ ทุกวันนี้คนเราก็นับถือหลายศาสนาแล้วนะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย 

แต่คนที่จะมาตัดสินไม่ใช่เรานะ ยกตัวอย่าง นาย ก. ประกาศตนเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม ประกาศตนเลยว่านับถือ 3 ศาสนา คนอื่นที่มองมาจะคบหาด้วยหรือไม่? ทั้งผู้ร่วมงาน สามี หรือภรรยา จะคบหาหรือไม่? ฉะนั้นตัวตัดสินคือสังคม 

ศาสนาไม่ได้บัญญัติว่าให้ใครต้องนับถืออะไร แต่อยู่ที่ ‘สังคม’ เป็นตัวตัดสิน

🔆คำถาม: พบหลักคิดบางอย่างในศาสนาอื่น แล้วเราชอบมาก นำมาใช้แล้วเป็นประโยชน์

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): สำหรับประเด็นนี้ หลวงพ่อจะตอบว่าให้เรา ‘เคารพ’ ทุกศาสนา เราต้องยอมรับก่อนว่า ศาสนาคือ ‘แบรนด์เนม’ เราก็ประกาศตนเป็นหนึ่งศาสนา แต่ว่าใจของเราเปิดรับทุกศาสนา แบบนี้จะดีที่สุด

มาดูสิว่าในศาสนาอิสลาม คริสต์ ยูดาย พราหมณ์ ซิก บาไฮ มีอะไรดี ให้เอาข้อดี ๆ มาปรับใช้ ตัวอย่างเช่นศาสนาบาไฮ ศึกษามาจากหลายศาสนา หยิบเอาเรื่องดี ๆ มาสอน แล้วก็มาตั้งกฎศาสนาใหม่ เป็นศาสนาที่มีข้อดีตั้งเยอะแยะไปหมด 

หากเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ แล้วศึกษาศาสนาอื่นบ้าง ถ้าดีก็ปฏิบัติตาม ก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย เพราะศาสนาไม่ใช่ลิขสิทธิ์ ไม่ได้ห้ามใครว่าจะศึกษา หรือไม่ศึกษานะ

🔆คำถาม: บางคนไปศึกษาบางศาสนาแล้วมาบอกว่า ศาสนานี้มาจากพุทธ

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ก็นั่นคือสังคมเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าเรามาเปิดโลกยุคใหม่ หลวงพ่อคิดว่าควรจะให้ศาสนาเป็นเรื่องของจักรวาล

🔆คำถาม: หลวงพ่อกําลังจะบอกว่าคือคนรุ่นใหม่ไม่ควรจะมายึดติดแบ่งแยกเรื่องศาสนาแล้ว? 

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): อย่าเลยเถิดขนาดนั้น ต้องมีสังกัดซะหน่อย ยกตัวอย่าง นาย ก. สังกัดบริษัท 4 บริษัทเลย แบบนี้บริษัทเขาก็ไม่เอา เพราะความลับบริษัทรั่วหมด เอาเป็นว่าเลือกอยู่ 1 บริษัท แล้วตกเย็นไปขายค้าขายส่วนตัว ภรรยาขายของชํา หรือว่ามีงานอดิเรกดีกว่า

ควรมีสังกัด 1 สังกัด แล้วไปศึกษาศาสนาอื่นเพิ่ม แต่อย่าประกาศพร้อมกัน 3 ศาสนาเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top