Thursday, 22 May 2025
TheStatesTimes

'รัดเกล้า' ไม่เห็นด้วย 'สส.ก้าวไกล' เสนอกฎหมายห้ามตีบุตรหลาน ชี้!! บริบทสังคม 'ไทย-ตะวันตก' มีความต่าง แนะ!! ให้ความรู้ผู้ปกครองดีกว่า

(12 ก.ค.67) เนเน่ รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า…

#รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี สุภาษิตไทยที่บ่งบอกให้เห็นว่าคนไทยนั้นมีความเข้าใจว่า #ตีลูก นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อถึงความรักที่มีต่อลูก ซึ่งความเชื่อนี้อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน แต่ถ้าถามว่า ‘ตีลูกดีจริงไหม’ จริง ๆ แล้วปัจจุบันนี้มีงานวิจัยมากมาย ทั้งด้านจิตวิทยา ด้านครุศาสตร์ ฯลฯ ที่บ่งชี้ว่า ในกระบวนการสั่งสอนหรือโน้มน้าวสมองมนุษย์ (ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่) ให้เรียนรู้ จดจำ และทำตามได้ #แย่ที่สุด #ไร้ประสิทธิภาพที่สุด ก็คือการลงโทษ (Punishment) หรือ การตี นั่นแหละ…

การลงโทษนั้น นอกเหนือจากไม่มีประสิทธิภาพแล้วอาจจะนำไปสู่ผลที่ได้ที่ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เช่น การทำให้เด็กมีพฤติกรรมชอบโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด หรือ ความผูกพันและความสัมพันธ์อันดีที่พ่อแม่มีต่อลูกทุกบั่นทอนลง เป็นต้น

ฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงมีกระแสต้องการที่จะยกเลิก #การตีลูก โดยล่าสุด นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.พรรคก้าวไกล เสนอการแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะเพิ่มสาระสำคัญคือ ห้าม #ทําร้ายร่างกาย และห้าม #กลั่นแกล้งผ่านคําพูด #Bully กับบุตรหลานในการเลี้ยงดูและสั่งสอน ซึ่งฟังแล้วดูดี และต้องขอขอบคุณคุณณัฐวุฒิที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้... 

แต่คงต้องถามด้วยว่า ทุกปัญหาสามารถแก้ได้ด้วยการแก้กฎหมายไหม คงต้องขออนุญาตไม่เห็นด้วย

หลักความคิดว่าการ ‘ลงโทษ’ คือการทำทารุณกรรม คือการ #บูลลี่ เป็นแนวคิดของทางตะวันตก ซึ่งแนวคิดนี้ใช่ว่าจะไม่ดี แต่หากจะแก้ปัญหาให้ประเทศไทย เราก็ต้องเข้าใจบริบทสังคมไทยด้วยว่ามันมีวิวัฒนาการมายังไง แล้วออกแบบแนวทางที่เหมาะสมให้ตัวเราเอง การคล้อยตามแนวคิดคนอื่น หยิบยกนำวิถีของเขา ยกเอากฎหมายของเขาที่เราคิดว่าดี เอามาบังคับใช้ในประเทศไทยนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการบังคับให้คนไทยสวมใส่รองเท้าของฝรั่ง ที่ทั้งใหญ่เกินไป เดินไม่สะดวก ไม่ได้เหมาะสมกับเราเลยในหลายๆ ด้าน…

เนเน่ ขอเสนอใน 3 ประเด็นดังนี้

#หนึ่ง ขอย้ำว่าการ #แก้กฎหมายไม่ใช่ทางออก อย่างแน่นอน ร่างพระราชบัญญัติที่พรรคก้าวไกลเสนอมีความ ซ้ำซ้อนกับกฎหมายหลายฉบับ แถมอีกว่าเมื่อวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2567 ผ่านมานี้เอง ครม. เพิ่งเห็นชอบให้ประเทศไทยถอนข้อสงวน ข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กไป ซึ่งตรงนี้มีนัยยะสำคัญค่ะ ตอนที่ประเทศไทยตัดสินใจเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 เราได้สงวนไว้ถึง 3 ข้อ เพราะ ณ ตอนนั้นบริบทของสังคมไทยและกฎหมายของเรายังไม่มีความพร้อมเพียงพอ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ในวันนี้กฎหมายของไทยมีความเข้มแข็งเรื่องการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิที่เกี่ยวข้องกับเด็กในด้านต่างๆ เพียงพอแล้ว เราจึงสามารถถอนข้อสงวนข้อสุดท้ายออกได้ กล่าวคือกฎหมายของไทยตอนนี้มีมาตรฐานในระดับสากลเพียงพอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องมาแก้กฎหมายอะไรให้มันยุ่งยากซับซ้อนเข้าไปอีก

#สอง สิ่งที่ขาดหายไปคือ #ความเข้าใจและการอัปเดตข้อมูล ว่าศาสตร์การสอนในโลกปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยก้าวหน้าไปถึงจุดไหน เราเจือจางความคุ้นชินกับธรรมเนียมเดิม ๆ ของคนไทยที่เชื่อว่าการเลี้ยงดูบุตรต้องมีการสั่งสอนโดยใช้ลงโทษ การตีเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่จะทำให้เด็กออกมาเป็นคนดี ถ้าทางรัฐจะต้องทำอะไร ควรจะเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองมากกว่าค่ะ ซึ่งในโรงพยาบาลต่างๆ มีนักจิตวิทยาเก่ง ๆ อยู่มากมาย ในขณะที่ปัจจุบันนี้ เด็กๆ ทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนขั้นพื้นฐานเพื่อป้องกันเขาจากโรคต่าง ๆ เขาก็ควรที่จะได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันภัยร้ายทางจิตใจด้วย ซึ่ง #วัคซีนที่ดีคือพ่อแม่ที่มีความรู้ ควรมีหลักสูตรฟรี (และบังคับเรียน) สำหรับพ่อแม่ทุกคน ให้ได้รับการอบรมเป็นระยะๆ เพื่อให้มีความรู้และศาสตร์ของการเป็นพ่อแม่ที่มีคุณภาพไปประกอบการเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ โดยเนื้อหาหลักสูตรควรออกแบบให้เหมาะสมแบ่งเป็นตามช่วงวัยของเด็กค่ะ

#สาม เราต้องทำให้ #คนทำผิดโดนกฎหมายลงโทษ เราคงไม่สามารถพูดได้ว่าการลงโทษหรือการตีเด็กทุกกรณีนั้นเกิดจากความรักที่พ่อแม่มีให้เด็ก สำหรับคนที่มีจิตใจโหดร้ายทำทารุณกรรมต่อเด็ก ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เป็นการกระทำโดยไม่ได้มีเป้าหมายที่จะหล่อหลอมให้เด็กออกมาเป็นคนดีนั้น แม้ว่ากฎหมายของประเทศไทยตอนนี้ครอบคลุมแล้ว แต่คำถามคือกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษผู้กระทำผิดเข้มแข็งเพียงพอหรือยัง ทางรัฐควรเพิ่มบทบาทและอำนาจให้กับผู้นำระดับท้องถิ่น ระดับชุมชน มีบทบาทมากขึ้น จะได้ช่วยดูแลสอดส่องความปลอดภัยให้กับเยาวชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง

ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้ประเด็นนี้มาเป็นความสนใจในสังคม แต่ขอชวนให้แก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธีกันดีกว่านะคะ

#ข้อมูลวิจัยที่น่าสนใจ บี.เอฟ.สกินเนอร์ (B.F. Skinner ชื่อเต็ม Burrhus Frederic Skinner) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ชาวอเมริกันที่โด่งดังจากเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory) ที่เป็นข้อสรุปมาจากการทดลองที่มีชื่อเสียงของ Skinner ชื่อ Skinner's Box ซึ่งคือกล่องจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีคันโยก และหลอดไฟอยู่เหนือคันโยก โดยมีหนูขาวตัวเล็กๆ อยู่ในนั้น เมื่อหนูขาวหิว เขาจะวิ่งวนไปวนมา เขี่ยสิ่งต่าง ๆ ภายในกล่องเพื่อหาทางออกไป ซึ่งหากเขาเอามือไปแตะกับคันโยกในขณะหลอดไฟสีฟ้าสว่าง อาหารจะตกลงมาจากท่อจ่าย เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ เจ้าหนูขาวเรียนรู้ว่าการแตะที่คันโยกนี้อาหารจะตกลงมา เขาก็ใช้เวลาวิ่งวนอย่างไร้เป้าหมายน้อยลงเรื่อย ๆ สิ่งนี้เรียกว่าการเสริมแรง (Reinforcement) ค่ะ

กับมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น การเสริมแรงเชิงบวก (Positive Reinforcement) เช่น การชื่นชม การให้กำลังใจ การให้รางวัล ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่ามีประสิทธิภาพกว่า การเสริมแรงเชิงลบ (Negative Reinforcement) เช่น การตี การตำหนิ การหักคะแนน ค่ะ ในศาสตร์การสอนนั้น เมื่อนักศึกษาได้รับคำชม หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกคนชื่นชมกัน (Antecedent) ย่อมทำให้เขาตั้งใจเรียน (Behavior) และเมื่อนักศึกษาได้ผลจากการกระทำ(Consequences) คือเกรด A นั้น หากอาจารย์อยากทำให้นักศึกษาอยากได้ A อย่างต่อเนื่อง อาจารย์สามารถชมเชยให้นักศึกษาตั้งใจเรียนอย่างต่อเนื่อง จนพฤติกรรมตั้งใจเรียนกลายเป็นนิสัยของนักเรียนค่ะ

(สุรินทร์) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา แก่บุตรทหารผ่านศึก ประจำปีการศึกษา 2567

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.67) พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 /หัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เขตสุรินทร์ เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาประจำปี 2567 ให้แก่บุตรทหารผ่านศึกนอกประจำการ บัตรชั้นที่ 2 บัตรชั้นที่ 3 และบัตรชั้นที่ 4 ที่สอบชิงทุนการศึกษาองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก รวมจำนวน 68 ทุน ทุนละ 10,000.- บาท เป็นเงิน 680,000.- บาท 

โดยมี คุณ อุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบก ที่ 25 และคณะฯ โดยมี นางสาวอรัญญา พรหมบุตร รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เขตสุรินทร์ กล่าวรายงานและเข้าร่วมในพิธีมอบทุน ณ ห้องประชุม กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 โดยผู้ที่มารับทุนการศึกษาในวันนี้ เป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้องค์การทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ ได้มอบทุนให้แก่บุตรทหารผ่านศึกนอกประจำการ เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้แก่นักเรียนมีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนต่อไป

‘สมุทรสาคร’ เปิดปฏิบัติการเกลือจิ้มเกลือ กำจัด!! ‘ปลาหมอคางดำ’ พร้อมปล่อย ‘ปลากะพงขาว’ ไซส์ใหญ่หลายหมื่นตัวไล่ล่า 18 ก.ค.นี้

(12 ก.ค. 67) นายนิรันดร์ พรหมครวญ ประมงอาวุโสจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร มีแผนที่จะดำเนินการในวันที่ 18 ก.ค.นี้ ถือเป็นวันดีเดย์ใช้แผนเกลือจิ้มเกลือ ในการปล่อย ‘ปลากะพงขาว’ ไซส์ใหญ่ ไล่ล่า ‘ปลาหมอคางดำ’

ทั้งนี้ เบื้องต้นภายในเดือน ก.ค.67 จะปล่อยปลากะพงขาว ทั้งหมดถึง 90,000 ตัว ที่คลองธรรมชาติ เริ่มในวันที่ 18 ก.ค.67 เวลา 11.00 น. โดยนายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร จะมาเป็นประธานในการปล่อยปลากะพงขาวที่แม่น้ำท่าจีน หน้าวัดกำพร้า ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 30,000 ตัว และต่อด้วยวันที่ 23 ก.ค.67 เวลา 09.30 น. ปล่อยปลากะพงขาวที่บริเวณคลองท่าแร้ง วัดยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว 20,000 ตัว, วันที่ 24 ก.ค.67 เวลา 09.30 น. ที่คลองดำเนินสะดวก หน้า อ.บ้านแพ้ว ปล่อยปลากะพงขาว 20,000 ตัว, วันที่ 26 ก.ค.67 เวลา 09.00 น. ปล่อยปลากะพงขาวที่คลองพิทยาลงกรณ์ อบต.พันท้ายนรสิงห์ ติดกับพื้นที่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร อีก 20,000 ตัว รวมปลานักล่าทั้งหมด 90,000 ตัว เพื่อทวงคืนระบบนิเวศให้กลับมาดีเหมือนเดิม

‘ไทยรัฐ’ ออกแถลงขออภัย!! เหตุนำเสนอข่าวทำเมืองพัทยา ‘เสียภาพลักษณ์’ ยัน!! ไม่มีเจตนาลบหลู่ด้อยค่า เพียงแค่อยากนำเสนอมุมมองอีกด้าน

(12 ก.ค.67) จากกรณีที่มีสื่อใหญ่ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับภาพลักษณ์​เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกในประเด็นข่าว ‘พัทยาเมืองบาป แดนสวรรค์โสเภณี’ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่ชาวเน็ตเสียงแตกมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้านการนำเสนอข่าวในประเด็น​ดังกล่าวนั้น

ล่าสุด ช่วงค่ำวานนี้ (11 ก.ค.67) กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจในเมืองพัทยา ได้นัดหมายรวมตัวแสดงพลังปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของเมืองพัทยา ที่ปากทางเข้าโครงการถนนคนเดินพัทยาใต้ หรือโครงการวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้

โดยมี นางลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา นายบุญอนันต์ พัฒนสิน นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา นางอำพร แก้วแสง นายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา นายดีโอ้ ซิงห์ นายกสมาคมอินเดียชลบุรี และนายสุขราช กาลรา ประธานชุมชนวอล์กกิ้งสตรีท เป็นแกนนำ

โดย นางลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา เผยว่า เมืองพัทยาไม่ได้มีแค่การท่องเที่ยวเกี่ยวกับสถานบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหลากหลายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการขอวนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก 

"การนำเสนอข่าวว่าพัทยาเป็นเมืองบาป ทำให้อาชีพอื่น ๆ มีความน้อยเนื้อต่ำใจและไม่อยากให้เหยียดกันด้วยมุมมองเช่นนี้ พวกเราจึงอยากเรียกร้องให้สื่อดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องที่นำเสนอข่าวทำร้ายเมืองพัทยา" นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา กล่าว

เช่นเดียวกับ นางอำพร แก้วแสง นายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า “เมืองพัทยาเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางเข้ามาหางานทำ จนได้รายได้ มีอาชีพที่จะส่งเงินกลับไปให้ที่บ้านและเลี้ยงดูครอบครัว จึงไม่อยากให้ดูถูกอาชีพอื่นที่ทำรายได้ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งผู้หญิงกลางคืนที่สร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล”

ด้าน นายบุญอนันต์ พัฒนสิน นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวในทิศทาง​เดียวกันว่า “ผู้ประกอบการเมืองพัทยา ต้องการให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าว และมุมมองเกี่ยวกับเมืองพัทยาในเชิงสร้างสรรค์บ้าง เพื่อให้เมืองพัทยาเป็นเมืองแห่งโอกาสของผู้คนที่ต้องการมีงานทำอย่างถูกกฎหมาย”

“และขอให้สื่อเห็นใจว่าเรื่องดังกล่าวที่นำเสนอออกไปไม่ใช่มีเฉพาะแค่เมืองพัทยาเท่านั้น และหากมองอย่างเป็นธรรมจะเห็นว่าเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็มีเช่นกัน”

ขณะที่ล่าสุด ทางสำนักข่าวไทยรัฐได้ออกมาแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

แถลงการณ์ขออภัยชาวเมืองพัทยา

ไทยรัฐ ขออภัยชาวเมืองพัทยา ที่นำเสนอ สกู๊ปข่าวที่เกี่ยวกับอาชีพผู้ค้าบริการ และพาดหัวข่าวโดยใช้ถ้อยคำที่ส่งผลกระทบด้านลบ และทำให้เมืองพัทยาเสียภาพลักษณ์ ของความเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศและติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลก

ไทยรัฐ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ด้อยค่าเมืองพัทยา และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว รวมทั้งธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการนำเสนอความจริงให้ปรากฎและเปิดมุมมองอีกด้านให้สังคมภายนอกได้เห็น โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ทำอาชีพค้าบริการ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าควรยกเลิกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เพื่อทำให้อาชีพนี้มีกฎหมายคุ้มครอง มีสวัสดิการดูแลจากภาครัฐ ตามสิทธิอันพึงมี ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกัน

ไทยรัฐ พร้อมที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อแก้ไขภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เมืองพัทยา
รวมถึงส่งเสริมและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและธุรกิจ ทุกภาคส่วนของเมืองพัทยาต่อไป

‘รฟท.’ เตรียมเดินรถเส้นทาง ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์’ เปิดขายตั๋วแล้ว ราคาเริ่มต้น 281 บาท ออกวิ่งขบวนแรก 19 ก.ค.นี้

(12 ก.ค. 67) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เตรียมเปิดให้บริการขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศไทย-สปป.ลาว เส้นทาง สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ขบวนแรก ในวันที่ 19 ก.ค.2567 ที่จะถึงนี้ เปิดจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าให้กับที่ ผู้ต้องการใช้บริการแล้ว

โดยเปิดให้บริการไป-กลับ จำนวน 2 ขบวน ประกอบด้วย

-รถธรรมดา ชั้น 3 (พัดลม) 152 ที่
-รถนั่งปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 64 ที่นั่ง
-รถนั่งและนอนปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 30 ที่นั่งขบวนรถเร็วที่ 133

นอกจากนี้ ยังเปิดให้บริการเส้นทางอุดรธานี-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-อุดรธานี ไป-กลับ อีก 2 ขบวน รวมเป็น 4 ขบวน/วัน

>>สำหรับราคาค่าโดยสารกรุงเทพ-เวียงจันทน์ มีดังนี้
ค่าตั๋วรถไฟ ขบวนรถเร็ว 133/134 กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพอภิวัฒน์

-รถนั่งชั้น 3 ราคา 281 บาท
-รถนั่งชั้น 2 ปรับอากาศ ราคา 574 บาท
-รถนอนชั้น 2 ปรับอากาศ ราคา เตียงบน 784 บาท / เตียงล่าง 874 บาท

ส่วนขบวน รถเร็ว 147/148 อุดรธานี-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-อุดรธานี
-อุดรธานี-เวียงจันทน์ ราคา รถพัดลม 100 บาท/รถแอร์ 200 บาท

>>ในส่วนของเวลาเดินทาง มีดังนี้
*เที่ยวไป*
ขบวนรถเร็วที่ 133 กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์
ออกจาก กรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 21.25 น. ถึง เวียงจันทน์ เวลา 09.05 น.

ขบวนรถเร็วที่ 147 อุดรธานี-เวียงจันทน์
ออกจาก อุดรธานี เวลา 16.00 น. ถึง เวียงจันทน์ เวลา 17.55 น.

*เที่ยวกลับ*
ขบวนรถเร็วที่ 134 เวียงจันทน์-กรุงเทพอภิวัฒน์
ออกจาก เวียงจันทน์ เวลา 18.25 น. ถึง กรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 07.30 น.

ขบวนรถเร็วที่ 148 เวียงจันทน์-อุดรธานี
ออกจาก เวียงจันทน์ เวลา ออก 09.35 น. ถึง อุดรธานี เวลา 11.25 น.

สำหรับผู้โดยสารที่มีความประสงค์ซื้อตั๋วโดยสาร ขบวน 133/134 สามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารและสำรองที่นั่งล่วงหน้า (สูงสุด 180 วัน) ที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ

ซึ่งผู้โดยสารต้องมีหนังสือเดินทาง (Passport) หรือ หนังสือผ่านแดน (Border Pass) เพื่อใช้ในการทำพิธีการทางศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองที่สถานีหนองคาย และเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ก่อนการเดินทางข้ามประเทศ

ขณะเดียวกันการรถไฟฯ ยังได้รับความร่วมมือจาก สมาคมผู้ประกอบการขนส่งที่เวียงจันทน์ ในการจัดรถโดยสารรับ-ส่ง อำนวยความสะดวกในการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ อีกด้วย 

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเปิดเดินขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศ ไทย-สปป.ลาว ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศแล้วยังช่วยยกระดับระบบขนส่งโลจิสติกส์ไทย ให้กลายเป็นศูนย์กลางภูมิภาคตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล

ซึ่งสอดรับกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้การรถไฟฯ เป็นกำลังหลักในการพัฒนาระบบขนส่งทางรางของประเทศ โดยให้เตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดในทุกด้าน ๆ ก่อนที่จะมีเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการค้าชายแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว ให้มีการขยายตัวมากขึ้น พร้อมกับขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว Tourism Hub ที่สำคัญของโลก ตามยุทธศาสตร์ ‘เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวของรัฐบาล’

โดยขบวนรถ สามารถรับส่งผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน มาลงยังสนามบินอุดรธานี เพื่อเดินทางต่อเข้าไปนครหลวงเวียงจันทน์ได้ โดยไม่ต้องต่อรถโดยสารอื่นอีก ซึ่งจะก่อให้ประโยชน์ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยวในอนาคตอีกด้วย 

‘นายกฯ เศรษฐา’ นำยึด 'โทลูอีน' ล็อตใหญ่ 90 ตัน สารตั้งต้นผลิตไอซ์-โคเคน ก่อนถึงปลายทางเมียนมา

(12 ก.ค. 67) ที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนนั่งรถโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 เพื่อเป็นประธานการแถลงผลการสืบสวน และตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) เคมีภัณฑ์ที่เป็นวัตถุอันตรายประเภท 3 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 จำนวน 90 ตัน 

โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการแถลง

โดย นายกฯ ได้รับฟังรายงานการสืบสวนจับกุม พร้อมดูวิธีการทดสอบเบื้องต้นการตรวจสารเคมีว่าเป็นสารโทลูอีน ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดจาก 6 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 90 ตัน ซึ่งสารโทลูอีนปริมาณ 90 ตัน หากใช้เป็นสารเคมีจำเป็นในขั้นตอนการผลิตยาเสพติดจะผลิตยาไอซ์ได้ 4,500 กิโลกรัม ยาบ้า 270 ล้านเม็ด และโคเคน 4,500 กิโลกรัม

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเรื่องของการป้องกันปราบปรามยาเสพติดขั้นเด็ดขาด เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสนใจมาก และครั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่งที่ต้องชื่นชมกรมศุลกากร กรมอุตสาหกรรมโรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ร่วมมือร่วมใจกันตรวจค้นจนได้สารตั้งต้นของการผลิตยาบ้า ยาไอซ์ และโคเคน โดยที่ผู้นำเข้ามาไม่เคยนำเข้าสารชนิดนี้มาก่อน ซึ่งต้นทางมาจากเกาหลี ปลายทางที่เมียนมา

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการขยายผลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ได้มีการออกหมายเรียกตัวบริษัทที่นำเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือว่าเป็นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติดอีกหลายชนิด ซึ่งจำนวนที่จับกุมได้ครั้งนี้ 90 ตัน ถึงแม้มูลค่าไม่กี่ล้านบาท แต่ถ้าสารนี้หลุดไปถึงแหล่งผลิตโคเคนได้ก็จะเป็นน้ำหนักหลาย 1,000 กิโลกรัม มูลค่าเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท ก็จะกลับมาเป็นวังวนอุบาทว์ให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย และทั่วโลก ดังนั้น การปฏิบัติการครั้งนี้จึงขอชื่นชมว่าเป็นเรื่องที่ดี และสิ่งที่สำคัญมากคือเรื่องของการขยายผล

นายกฯ กล่าวว่า ขณะที่เดินทางมาได้มีการพูดคุยกับ พล.ต ท.สำราญ ที่ดูแลด้านยาเสพติดก็มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มีการเข้าไปตรวจค้นผู้ค้ายาซึ่งมีลักษณะอยู่บนเขา จึงมองเห็นเจ้าหน้าที่ก่อนจึงเกิดการปะทะมีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต และบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยกับตนว่าจะต้องมีการจัดการขั้นเด็ดขาด จึงกำชับให้ดูแลสวัสดิการ สวัสดิภาพ เจ้าหน้าที่ของเราให้เต็มที่ และต้องมีความพร้อมในการใช้กำลังตอบโต้ พร้อมกำชับให้ดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของฝ่ายปราบปรามซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก วันนี้เรามีการยกระดับการปราบปรามยาเสพติดอย่างไม่มีความย่อท้อ เรายังมีภารกิจอีกมากก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกรายที่เกี่ยวข้อง และขอให้ดูแลสวัสดิภาพของตัวเองให้ดี

สำหรับการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแส ว่าจะมีการนำเข้าสารโทลูอีน จำนวน 90 ตัน โดยไม่ได้รับอนุญาต และจะนำส่งต่อไปยังปลายทางนครย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกกฎหมาย โดยมีต้นทางมาจากเมืองปูซาน เกาหลีใต้ ขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง นำผ่านประเทศไทย และออกที่ศุลกากรแม่สอด จ.ตาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดินทางกลับจากท่าเรือแหลมฉบัง นายกฯ ได้สั่งการให้นักบิน บินวนดูเพื่อดูความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โดยนายเศรษฐา ระบุว่า มองลงไปคนน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่แถลงข่าวจับกุมสารตั้งต้นยาเสพติดครั้งนี้ นายกฯ ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก่อนที่จะบินกลับ เนื่องจากมีภารกิจหารือข้อราชการเตรียมการจัดงานฉลองพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม พ.ศ…. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ช่วงเย็นวันนี้ นายกฯ และคณะ จะเดินทางไปลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย และ จ.สระแก้ว แล้วจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค. 67

‘ตุรกี’ ปล่อย ‘ดาวเทียมสื่อสาร’ สร้างเองดวงแรกสำเร็จ พร้อมปฏิบัติภารกิจขยายพื้นที่บริการสื่อสารของประเทศ

เมื่อวันที่ (10 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘เติร์กแซต 6เอ’ (Turksat 6A) ดาวเทียมสื่อสารที่สร้างขึ้นในตุรกี (ทูร์เคีย) ดวงแรก ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศโดยจรวดฟอลคอน 9 ของสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) จากศูนย์อวกาศเคนเนดีในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (9 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ด้าน เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี กล่าวระหว่างร่วมพิธีปล่อยดาวเทียมผ่านทางระบบวิดีโอว่า การปล่อยดาวเทียมในครั้งนี้ทำให้ตุรกีเข้าสู่ระยะใหม่ในการผลิตดาวเทียม โดยดาวเทียม 6A ระดับชาติของเราจะสนับสนุนการสำรองข้อมูลของดาวเทียมที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถ

ด้าน อับดุลกาดีร์ อูราโลกลู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของตุรกี เผยว่า ได้รับสัญญาณแรกจากดาวเทียมเติร์กแซต 6A ภายหลังการปล่อยสู่ห้วงอวกาศแล้ว 67 นาที ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ โดยดาวเทียมดวงนี้มีกำหนดเข้าสู่วงโคจรปฏิบัติการที่ระดับความสูง 35,786 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลก และดำเนินการทดสอบในวงโคจรเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ (8 ก.ค.) แถลงการณ์จากอูราโลกลูระบุว่า ดาวเทียมดวงนี้จะปฏิบัติหน้าที่ที่ลองจิจูด 42 องศาตะวันออก ซึ่งจะขยายพื้นที่บริการสื่อสารของตุรกีครอบคลุมผู้คน 5 พันล้านคน

อนึ่ง เมื่อเดือนเมษายน 2023 ตุรกีได้ปล่อยไอมีซ (IMECE) ดาวเทียมที่ออกแบบและผลิตภายในประเทศดวงแรกสู่วงโคจรด้วยจรวดฟอลคอน 9 จากรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ

เปิดผลสอบคุณสมบัติเชิงลึก 3 บริษัทฯ ผู้ซื้อข้าว 10 ปี พบพัวพันนิติบุคคลที่มีคดีค้างเก่า ทำความเสียหายกับ 'อคส.'

(12 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ว่า คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หรือข้าว 10 ปี ที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ตรวจสอบเอกชนที่ยื่นเสนอราคาซื้อข้าวทั้ง 6 รายแล้ว พบว่า ผู้ที่ให้ราคาสูงสุด 3 ราย คือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด ไม่ผ่านคุณสมบัติ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเชิงลึก พบว่า ทั้ง 3 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส. และถูก อคส. ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษามันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบและรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่าและยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แม้บริษัททั้ง 3 ราย จะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันกัน จึงเห็นว่าไม่สมควรที่จะเดินหน้าเจรจาต่อรอง และควรตัดสิทธิ์การยื่นซองประมูลซื้อข้าวสารในครั้งนี้

สำหรับขั้นตอนต่อไป จะพิจารณาว่าเมื่อทั้ง 3 ราย ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว จะต้องคืนหลักประกันให้แต่ละรายหรือไม่ และความผิดมีหรือไม่ เพราะตามกรอบและหน้าที่ของ อคส. เมื่อตรวจสอบแล้ว คุณสมบัติไม่ผ่าน แม้จะเป็นผู้เสนอราคาข้าวสารสูง ก็ต้องคืนหลักประกันให้ ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป

ส่วนอีก 3 รายที่เหลือ และมีคุณสมบัติครบถ้วน อคส. จะดำเนินการต่อรองให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด คือ บริษัท สหธัญ จำกัด จังหวัดนครปฐม, บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ และบริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เสนอราคาซื้อข้าวตั้งแต่ 12 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ขึ้นไป โดยการต่อรองราคาได้ตั้งเป้าที่จะให้ได้ราคาสูงกว่าที่ 3 รายที่ถูกตัดสิทธิ์เสนอมา แต่จะได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่คณะกรรมการจะเจรจาต่อรอง

สำหรับทั้ง 3 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ ได้เสนอราคา ดังนี้ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 12.208.81 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 15.617.35 บาท/กก. , บริษัท สหธัญ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งคลังเดียว เฉลี่ย 18.690 บาท/กก. และ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 16 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 16 บาท/กก.

ครึ่งแรกปี 67 ‘นทท.เกาหลีใต้’ มาเที่ยวไทยแตะ 9 แสนคน สะท้อนไทยยังครองใจ แม้กระแสคนไทยแบนเกาหลียังคุกรุ่น

(12 ก.ค. 67) นายพัฒนพงศ์ พงษ์ทองเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงโซล การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดเกาหลีเที่ยวไทย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเดินทางมาไทยมากกว่า 9 แสนคนแล้ว 

ซึ่งจากสถิติครึ่งปีหลัง นักท่องเที่ยวเกาหลีจะมาไทยมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก จึงคาดการณ์ว่าทั้งปี 2567 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาเที่ยวไทย ประมาณ 1.94 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2566 

โดยในปี 2568 ททท.ตั้งเป้าดึงเกาหลีมาเที่ยวไทยประมาณมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป้าหมายของปี 2567 ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ 1.94 ล้านคน ถือว่าสูงกว่าระดับปี 2562 แล้ว

นายพัฒนพงศ์ กล่าวว่า แนวโน้มปัจจุบันอาจแสดงให้เห็นถึงกรณีนักท่องเที่ยวชาวไทยถูกปฏิเสธที่จะเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาประเทศไทย สะท้อนจากตัวเลขการเดินทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น สำนักงานโซลจะกระตุ้นการเดินทางในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินแบบเหมาลำ เพื่อมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร

“นักท่องเที่ยวชาวเกาหลียังคงมองประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายอันดับต้น ๆ เพราะมีทั้งวัฒนธรรม และอาหารไทย ที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงอย่างมาก ไม่ต่างจากชาวเกาหลี ที่นิยมอาหารที่มีรสจัด รสเผ็ด คนเกาหลีส่วนใหญ่ที่เดินทางมาไทย เพื่อตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ ท่องเที่ยวตามรีวิวทางออนไลน์ มีคนเกาหลีจำนวนมากที่มีเป้าหมายการเดินทางยังเชียงใหม่ ขณะที่ศิลปินเคป็อปหลายคนได้ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอในประเทศไทย อาทิ เซเวนทีน (Seventeen) และ ไอเดิล (G)I-DLE เมื่อภาพในเอ็มวีเพลงถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้กลุ่มแฟนคลับ ที่แบ่งเป็นด้อมติดตามทั้งวง หรือแยกรายศิลปินเกาหลีตามรอยมาเที่ยวไทยมากขึ้น” นายพัฒนพงศ์ กล่าว

นายพัฒนพงศ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเก็บสถิติและพฤติกรรมนักท่องเที่ยว พบว่า ช่วงอายุของนักท่องเที่ยวเกาหลีที่นิยมเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วโลก มีอายุอยู่ที่ 20-40 ปี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30-40% ของจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ประมาณ 28 ล้านคน ททท.สำนักงานกรุงโซล จึงอยู่ระหว่างร่วมกับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว เพื่อจัดทำแคมเปญหรือโปรโมชันดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกเข้ามาเที่ยวไทยเป็นหลัก 

ครอบครัว ‘สาวไทย’ บริจาคอวัยวะต่อชีวิตผู้ป่วยในเกาหลีใต้ 5 ราย หลังเสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย ระหว่างท่องเที่ยวในแดนกิมจิ

(12 ก.ค. 67) องค์กรรับบริจาคอวัยวะของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ปุริมา รุ่งทองคำกุล (Purima Rungthongkumkul) อายุ 35 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาล Inje University Haeundae Paik หลังจากเธอได้ทำการบริจาคอวัยวะให้แก่คนไข้คนอื่น ๆ 5 ราย

โคเรียไทม์สระบุว่า ปุริมา ซึ่งพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ เดินทางมาเที่ยวเกาหลีกับเพื่อนคนหนึ่ง ระหว่างนั้นเธอเกิดหมดสติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน และถูกรุดพาตัวส่งโรงพยาบาล

แม้ได้รับการรักษา แต่เธอก็ไม่ฟื้นคืนสติอีกเลย และถูกระบุว่าอยู่ในภาวะสมองตาย ทางครอบครัวรุดเดินทางมายังเกาหลีใต้หลังจากได้ทราบข่าว

ทางครอบครัวตกลงบริจาคอวัยวะของเธอ หวังว่าบางส่วนของ ปุริมา จะยังคงมีชีวิตต่อไปในร่างกายของคนอื่น

ครอบครัวระบุว่า "สำหรับเรานี่อาจเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ ในวัฒนธรรมไทย มีความเชื่อว่าเมื่อบุคคลรายหนึ่งเสียชีวิต พวกเขาจะกลับมาเกิดในชีวิตใหม่ เราคิดว่าการช่วยรักษาชีวิตผู้คนในช่วงเวลาของการจากลา เป็นการกระทำแห่งความเอื้ออารีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

รายงานข่าวระบุว่า ปุริมา บริจาคหัวใจ ปอด ตับและไตทั้ง 2 ข้าง พร้อมให้ข้อมูลว่าเธอเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีความร่าเริงและมีความสามารถในการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลที่อยู่รอบ ๆ ตัว

โคเรียไทม์สรายงานว่า ปุริมา ทำงานที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีความฝันอยากก้าวมาเป็นช่างออกแบบทรงผมระดับโลก เธอชื่นชอบการท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์ และใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลแมวและอยู่กับครอบครัว อ้างข้อมูลจากองค์กรรับบริจาค

คุณแม่ของผู้เสียชีวิตกล่าวด้วยว่า "ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว ดังนั้น อย่ากังวลเรื่องอื่นใดอีก และพักผ่อนอย่างสงบในสวรรค์ เราจะคิดถึงและรักลูกอย่างสุดหัวใจเสมอ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top