Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

สังคมวอน!! ช่วยหญิงสาวหน้าตาดี เร่ร่อนใต้สะพานทางรถไฟ ด้านโซเชียลท้วง!! แล้วคนเร่ร่อนทั่วไป-หน้าตาไม่ดี ไม่ช่วยหรือ?

โซเชียลฯ ตั้งคำถาม หลังพบคลิปพลเมืองดีนำอาหารของใช้จำเป็นไปแจกคนเร่ร่อน กลับพบหญิงสาวหน้าตาดี ผิวพรรณขาว รีบเดินออกมารับสิ่งของ ทำเอาชาวเน็ตหลุดโฟกัสพร้อมตั้งคำถามเหตุใดเธอจึงมาเร่ร่อน ก่อนมีอดีตเพื่อนอ้างเคยสนิทเผยสาวรายดังกล่าวติดยาอย่างหนักถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมแฟนหนุ่ม

(10 มิ.ย.67) ช่อง TikTok 'ทำใจให้ชิล' ซึ่งเป็นพลเมืองดี มักลงคลิปนำสิ่งของอาหารไปแจกคนเร่ร่อนตามสถานที่ต่าง ๆ เสมอได้เผยภาพเหตุการณ์ขณะผ่านใต้สะพานทางรถไฟ ย่านประตูน้ำ ได้มีหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้สะพานพร้อมแฟนหนุ่ม วิ่งออกมารับสิ่งของด้วยความดีใจ ทำเอาชาวเน็ตที่รับชมต่างหลุดโฟกัส พร้อมตั้งคำถามว่าเธอคือใคร หน้าตาผิวพรรณดี เหตุใดจึงประสบชะตากรรมแบบนี้ และต่างห่วงใยถึงความปลอดภัยและอยากให้มีหน่วยงานเข้าช่วยเหลือ

ทั้งนี้ พบมีชาวเน็ตรายหนึ่งอ้างตัวเป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาว ระบุว่าหญิงสาวเกิดปี 2533 โดยเผยรายละเอียดว่าหญิงสาวและแฟนหนุ่มถูกไล่ออกจากบ้านเนื่องจากสติไม่ดีและพูดจาไม่รู้เรื่องจากเหตุติดยาเสพติดอย่างหนัก โดยเผยอีกว่าหญิงสาวรายดังกล่าวชื่อจุ๊บแจง อดีตเธอสวยและรวยมาก ๆ ขาว หุ่นดี ใครเห็นเป็นชอบทุกคน ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ พม.ลงพื้นที่ไปตามหาสาวเร่ร่อนรายนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ โลกโซเชียลก็มีการตั้งคำถามเช่นกันว่า...

"แล้วทำไมโฟกัสคนนี้คนเดียว ที่สนามหลวงมีอีกเพียบเลย"

"ช่วยแค่คนเดียวแล้วคนเร่ร่อนที่เหลือล่ะ!!"

"อ่าว!! เห็นหน้าตาดีก็อยากช่วยหรือ คนที่หน้าตาไม่ดีละ ใครจะช่วย"

"ทำร้ายตัวเองทั้งนั้นคนสมัยนี้"

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ดอกเบี้ยขาลงเริ่มต้นแล้ว หวัง 13 มิ.ย.นี้ 'กนง.' จะไม่ขวางโลกอีกต่อไป

(11 มิ.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยว่า ดอกเบี้ยขาลงเริ่มแล้ว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank-ECB) ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์, ธนาคารกลางแห่งแคนาดา ทยอยปรับดอกเบี้ยนโยบายลงแห่งละ 0.25% และคาดว่าจะมีธนาคารกลางอีกหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ยตามมา รวมทั้ง Federal Reserve แห่งสหรัฐอเมริกา

ต้องถือว่าเป็นการประสานนโยบายดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ของโลกอีกครั้งหนึ่ง และเป็นจุดหักเห (Turning Point) ครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพราะการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะช่วยผ่อนคลายนโยบายการเงินและพยุงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน ขณะที่เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มอ่อนตัวลงและเข้าใกล้กรอบเงินเฟ้อของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ แล้ว

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีความผันผวนทางการเงินมากที่สุดประเทศหนึ่ง และมีเงินเฟ้อติดลบและหลุดกรอบล่างมาเป็นเวลายาวนาน ก็เชื่อมั่นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้โอกาสของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งหน้าในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% เสียที และประกาศแผนการลดดอกเบี้ยครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างโปร่งใส และถ้าจะให้ดี พร้อม ๆ กับการลดดอกเบี้ย ธปท. ก็ควรจะออกมาแสดง ความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายต่อประชาชนกับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความผิดพลาดของนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา

ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว ปี 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย หลังจากที่งบประมาณแผ่นดิน 2567 เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนราชการได้เบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนพฤษภาคมเดือนเดียวแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วกว่าเท่าตัว และมีแนวโน้มที่จะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนในระดับสูงจนสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณแผ่นดินประจำปี 2568 ซึ่งมีวงเงินสูงถึงกว่า 3.7 ล้านล้านบาท ก็จะมุ่งเน้นการยกระดับการลงทุนภาครัฐ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. วงเงิน 50,000 ล้านบาท จะช่วยเอื้อให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อมเข้าถึงสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น

"นโยบายรัฐบาลมุ่งเน้นการกระตุ้นการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แล้ว ธปท.ล่ะ จะมัวเพิกเฉยทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ได้อย่างไร" อ.พงษ์ภาณุ กล่าว

‘โบลท์’ เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่ ‘เน้นเช่ามากกว่าซื้อ’  ไม่ต้องแบกภาระระยะยาว - แรงกดดันทางเศรษฐกิจ

(10 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริการ “Subscription Model” กลายเป็นเทรนด์มาแรงแห่งยุคที่สอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ของชิ้นใหญ่ที่เคยถูกให้ความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ที่ควรมีไว้ในครอบครอง งานศึกษาทั้งในและต่างประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ไม่ต้องการแบกภาระระยะยาว บวกกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้การใช้ชีวิตแบบปลอดหนี้เป็นคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น

สอดคล้องกับเทรนด์ที่ ‘โบลท์’ (Bolt) แอปพลิเคชันเรียกรถเจ้าแรกในยุโรป ที่เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่กลางปี 2566 เปิดเผยว่า ขณะนี้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของกำลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากผลสำรวจหลายแห่งพบว่า เหตุผลที่ผู้บริโภคหันมาใช้บริการแอปฯ เรียกรถมากขึ้น เกิดจากมุมมองเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของที่เปลี่ยนไป

จากเดิมที่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) มองว่า การเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่าง ‘บ้าน’ หรือ ‘รถยนต์’ เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่า ปัจจุบันทัศนคติดังกล่าวเปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ให้น้ำหนักกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ Gen Z มองว่า การใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน

‘โบลต์’ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น หนี้สินที่ติดพันต่อเนื่องจากระบบการศึกษา ส่งผลให้เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ‘Subscription Model’ จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลายแบรนด์ที่หันมาทำการตลาดด้วยโมเดลดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง วิดีโอ ภาพยนตร์ หรือบริการในรูปแบบอื่นๆ ก็ด้วย

‘ณัฐดนย์ สุขศิริฐานนท์’ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ‘โบลท์’ มีการขยายช่องทางในการวิ่งงานเพิ่มขึ้นราว 19% ขณะที่สถิติการเรียกใช้บริการผ่านแอปฯ โบลท์นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพิ่มขึ้นมากถึง 600% ยอดจำนวนผู้ใช้งานโตขึ้นอีก 800% จำนวนรถยนต์ 4 ล้อ ที่ให้บริการผ่านแอปฯ ก็เพิ่มมากขึ้น สอดรับไปกับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นราว 9.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาสำหรับรายได้ของ บริษัท โบลท์ ซัพพอร์ต เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2566 พบว่า เติบโตจากปี 2565 พุ่งกระฉูด โกยรายได้กว่า 540 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท แม้ขณะนี้พื้นที่ให้บริการจะยังไม่ครอบคลุมเท่ากับแอปฯ เรียกรถเจ้าตลาด แต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีของ ‘โบลท์’ อยู่ไม่น้อย จับตาดูกันต่อไปว่า สมรภูมิที่ห้ำหั่นผ่านสงครามราคาเช่นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

ธงสีรุ้งโบกสะบัด! ‘จิราพร’ ร่วมฉลอง ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024’ ชวนนับถอยหลังรอ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ฉลุยด่าน สว.

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 2567 นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกิจกรรม ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024 (Phuket Pride 2024)’ ณ เทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ภายใต้บรรยากาศการเฉลิมฉลองที่ดำเนินไปอย่างคึกคัก 

เวลาประมาณ 19.50 น. นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับการจัดกิจกรรม ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024’ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน และได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศให้เป็นรูปธรรมของรัฐบาล อันสืบเนื่องมาจากคำมั่นของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ว่า ‘จะผลักดันให้มีกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มหลากหลายทางเพศ’  เพื่อไม่ให้มีใครต้องถูกกีดกันจากเงื่อนไขทางเพศสภาพและเพศวิถี 

ในตอนหนึ่ง นางสาวจิราพร ยังย้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดเรื่องการผลักดันสิทธิทางกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ใต้รัฐบาลไทยรักไทย แม้ว่าในเวลานั้นแนวคิดดังกล่าวไม่อาจฝ่าแรงเสียดทานทางสังคมไปได้ กระนั้นต่อมายังคงมีความพยายามผลักดันประเด็นนี้ต่ออีกครั้งในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทว่าน่าเสียดายที่กระบวนการผลักดันข้างต้นไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้งเพราะการรัฐประหาร 

นางสาวจิราพร ระบุว่า การเดินทางอันยาวนานกว่า 23 ปี วันนี้ที่ประเทศไทยเดินเข้าใกล้ความสำเร็จในการผลักดัน พรบ. สมรสเท่าเทียม ได้นั้น นอกจากความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำงานหนักของภาคประชาชนในการสร้างความตระหนักรู้และสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคม ก่อนย้ำว่า Pride Month ปี 2567 เป็นหนึ่งในปีที่พิเศษมาก เนื่องจาก ทราบข่าวว่าในวันที่ 18 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ‘พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม’ กำลังจะผ่านเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา

“อีกเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่มีกฎหมายรับรองการแต่งงานของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ชัยชนะนี้เป็นของทุกคน ขอขอบคุณภาคประชาชน พรรคการเมืองฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลทุกพรรค ส่วนราชการทุกภาคส่วน  พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ทีร่วมกันเดินหน้าปักธงสีรุ้งในประเทศไทย ทุกท่านคือผู้ที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทยร่วมกัน ทําให้ทั้งโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยคือประเทศที่ เปิดรับ โอบรับ และยอมรับ ความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย” นางสาวจิราพร กล่าว

‘สามี-ภรรยา’ ชาวอุทัยฯ ขายข้าวแกง 10 บาท แถมเติมข้าวไม่อั้น หวังช่วยลดค่าใช้จ่ายคนหาเช้ากินค่ำ ในยุคข้าวยากหมากแพง

(10 มิ.ย. 67) ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจยุคข้าวยากหมากแพง ร้านนาย ก. ที่เปิดบริการขายข้าวแกงอยู่บริเวณวงเวียนข้างที่ว่าการอำเภอเมืองอุทัยธานี กลับขึ้นป้ายหน้าร้านว่า ขายข้าวราดแกงอย่างละ 10 บาท แต่ละวันจะมีเมนูกับข้าวให้เลือกมากกว่า 10 อย่าง ทำให้ผู้คนหลากหลายกลุ่มอาชีพพากันแวะเวียนมารับประทานข้าวราดแกงที่ร้านกันตั้งแต่เช้า และเพียงไม่กี่ชั่วโมงกับข้าวที่ร้านก็หมดเกลี้ยงก่อนถึงเที่ยงทุกวัน

นางสาวพิชชาพัชร หงษ์คำ อายุ 33 ปี เจ้าของร้าน นาย ก.ข้าวแกง 10 บาท เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนกับสามีไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด ก่อนกลับมาอยู่บ้านเกิดที่อุทัยธานี ตัดสินใจกันว่าจะลองเปิดร้านขายข้าวแกง แต่ด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ราคาข้าวแกงปกติก็จะอยู่ที่จานละ 30-60 บาท (ตามจำนวนอาหาร) ซึ่งตนมองว่าตอนนี้ทุกคนค่อนข้างที่จะแบกภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกันมากขึ้นทุกอย่าง จึงตัดสินใจลองขายข้าวแกงในราคา 10 บาทดู

ด้วยหวังว่าช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้คนหาเช้ากินค่ำ แบบมีเงิน 10 บาทก็กินเมนูข้าวแกงดีๆ ได้ แต่ละวันที่ร้านจะทำกับข้าวขายไม่ต่ำกว่า 10 เมนู โดยจะสลับสับเปลี่ยนกันไปทุกวัน ส่วนข้าวสวยนั้นก็จะคิดเป็นราคาบุฟเฟต์จานละ 10 บาท ตักได้ไม่อั้นจนกว่าจะอิ่ม

ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมาได้ประมาณเดือนเศษก็ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าดีมากๆ มีลูกค้ามารับประทานข้าวแกงที่ร้านกันตั้งแต่เช้า มีทั้งแบบมาคนเดียวและมากันแบบครอบครัว แต่ละคนนั้นรับประทานกันอิ่มท้องในราคาแพงสุดอยู่ที่ 70 บาท ทำให้ยังเหลือเงินเก็บไว้ในมื้อถัดไปได้อีก

นางสาวพิชชาพัชรบอกว่า ที่ร้านจะเปิดขายตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงบ่ายโมง ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมากับข้าวที่ร้านจะหมดก่อนเที่ยงเกือบทุกวัน ตอนนี้เลยตัดสินใจทำกับข้าวเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้พอลูกค้าที่จะมารับประทานในช่วงเที่ยงและช่วงบ่ายอีกด้วย

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถม ประจำปี 2567 แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์  ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ คณะกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบเงินทุนการศึกษาระดับชั้นประถม ประจำปี พ.ศ. 2567 ให้แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 1,500 ทุนๆ ละ 2,000 บาท รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,000,000 บาท (สามล้านบาทถ้วน)  เพื่อช่วยเหลือให้เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้มีโอกาสเท่าเทียม สามารถศึกษาเล่าเรียนต่อโดยไม่ต้องยุติการศึกษาเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ และเติบโตสร้างอนาคตตามความมุ่งหวังของตนเองและครอบครัวต่อไป โดยมี เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า  โครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้างอนาคตเด็กไทย” ด้วยการมอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ได้ช่วยเหลือเสริมสร้างชีวิตให้อนาคตแก่เด็กไทยมากว่า 50 ปี โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้จัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนเงินกว่า 20 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาในระดับต่างๆ  ได้แก่ ทุนการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา ทุนการศึกษาต่อเนื่องในทุกระดับชั้น ทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมด้านสาธารณกุศลช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เพจเฟซบุ๊กมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

ทร. ส่งกำลังใจ รร.สตรีวัดระฆัง ทำพวงมาลัยเรือพระที่นั่ง

วันที่ 10 มิ.ย.67 เวลา 10.00 น. พลเรือโทวิจิตร ตันประภา รองเสนาธิการทหารเรือ พร้อมด้วย พลเรือตรีสมบัติ จูถนอม เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ พลเรือตรีสันติ ภาณุศุภวิมล ฝ่ายเสนาธิการฯ พลเรือตรีไพฑูรย์ ปัญญสิน ที่ปรึกษาฯ และนาวาเอกทรงชัย จิตหวัง เลขานุการฝ่ายฝึกซ้อมฯ ได้เข้าตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในกิจกรรมการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

โดยมี ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะผู้บริหาร ผู้แทนครูและนักเรียนให้การต้อนรับ และนำคณะเข้าตรวจเยี่ยม สร้างขวัญและกำลังใจให้กับ  คณะ ครู และนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในกิจกรรมการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นอย่างยิ่ง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจ สภ.เมืองพลับพลา จ.นครราชสีมา กำชับการปฏิบัติหน้าที่ เน้น “หลักการทำงาน 4443”

วันนี้ (10 มิถุนายน 2567) เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจที่ สภ.เมืองพลับพลา ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมาโดยมี พล.ต.ต.อิทธิพล นาคคำ รอง ผบช.ภ.3 , พ.ต.อ.ฉัฐวัชร วงศ์วาสน์ รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ,พ.ต.ท.อุทัย เรืองทา สว.สภ.เมืองพลับพลา พร้อมข้าราชการตำรวจสังกัด สภ.เมืองพลับพลา ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจ สภ.เมืองพลับพลา และเดินเยี่ยมชมที่ทำการสถานีตำรวจ พบว่ามีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย มีการจัดการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำกับประชาชนที่มาใช้บริการหรือผู้มาติดต่อราชการ ห้องน้ำมีความสะอาดพร้อมใช้งาน มีการจัดที่จอดรถเฉพาะสำหรับประชาชนที่มาติดต่อราชการ

จากนั้นได้ร่วมประชุมเพื่อทราบปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน และรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการปฏิบัติราชการของข้าราชการตำรวจ ทั้งนี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ ได้ให้คำแนะนำและข้อคิดในการทำงาน โดยให้นำนโยบายรัฐบาลและแนวทางการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยึดถือปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เน้นย้ำความรักความสามัคคี ร่วมกันทำงานเป็นทีม ยึดมั่นในระเบียบวินัย ดำรงตนอย่างมีเกียรติ , มุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนด้วยความรวดเร็ว ด้วยจิตใจของการให้บริการที่ดี ด้วยความเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพและให้เกียรติ โดยการทำงานให้ยึดตามแนวทาง “หลักการทำงาน 4443” คือ “4 เกาะ” เกาะติดพื้นที่ เกาะติดประชาชน/มวลชน/และชุมชน เกาะติดคนร้ายหรือเกาะติดศัตรูของประชาชน และเกาะติดผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเกาะติดลูกน้อง , “4 ยก” ยกระดับองค์ความรู้ ยกระดับวิธีคิด ยกระดับวิธีการทำงาน ยกระดับการใช้ดุลพินิจ , “4 ทำ” ทำงาน ทำดี ทำบุญ มีภาวะผู้นำ , และ “3 S” Smart Smile Strong

นอกจากนี้ กำชับให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ กวดขัน กำกับดูแล สอดส่องความประพฤติ และพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจภายใต้ปกครองบังคับบัญชาอย่างสม่ำเสมอ โดยใกล้ชิด รวมถึงสร้างขวัญกำลังใจ ความสามัคคีของข้าราชการตำรวจภายใต้ปกครองบังคับบัญชา เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของตำรวจ สร้างความเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชน ให้ประชาชนยอมรับว่าข้าราชการตำรวจคือผู้พิทักษ์ราษฎร์อย่างแท้จริง รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับหมั่นตรวจสอบปัญหาอุปสรรค ความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัวอย่างใกล้ชิด สม่ำเสมอ และควบคุม กำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือการกระทำความผิดใดๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ห้ามมิให้มีการเรียกรับผลประโยชน์, การจับกุมในลักษณะกลั่นแกล้ง, การเข้ามีส่วนพัวพันกับการกระทำความผิด หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้ดำเนินการทั้งทางวินัย ทางปกครอง และทางอาญา อย่างถึงที่สุด

ทัพเรือภาคที่ 1 ประสานกัมพูชา ช่วยเหลือลูกเรือสินค้าไทยอับปาง 10 ชีวิต

เมื่อ 9 มิ.ย.67 เวลา 12.55 น. ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จาก นายโสภณ วันทอง อายุ 63 ปี ผู้ควบคุมเรือบรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ “ชื่อเชียงล้าน” พร้อมลูกเรือคนไทยจำนวน 9 นาย ว่าขณะเดินเรือขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ไปยังกัมพูชา ได้ประสบเหตุคลื่นลมแรงทำให้เรือรั่วและอับปางลง บริเวณ แลต 10 องศา 48.82 ลิปดาเหนือ ลอง 103 องศา 12.92 ลิปดาตะวันออก บริเวณเกาะรงประเทศกัมพูชา กองข่าว ทัพเรือภาคที่ 1 จึงได้แจ้งข้อมูลและประสานงานกับทางฝ่ายประเทศกัมพูชา โดยใช้ช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ตามที่ได้มีการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ หลังจากได้รับแจ้ง ทางประเทศกัมพูชาได้จัดกำลังให้ความช่วยเหลือในทันที โดย ออกญา เตียร์ วิจิตร ได้สั่งการเรือเร็ว (เรือหน่วยความมั่นคงทางยุทธวิธี ส่วนหน้าเกาะเปรียบ) ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวไทยจำนวน 10 คน ที่กำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ในแพชูชีพทันที และนายมัง ศรีเนตร ผู้ว่าราชการพระสีหนุ สั่งการให้ชุดแพทย์และรถพยาบาล เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือ 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือลูกเรือชาวไทยได้ทั้งหมด จำนวน 10 คน ทุกคนปลอดภัย และนำผู้ประสบภัยมาขึ้นฝั่งที่แพท่องเที่ยว ท่าจังหวัดพระสีหนุ ส่งหน่วยแพทย์ตรวจร่างกายและปฐมพยาบาล ต่อไป

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และกัมพูชาที่ให้ความช่วยเหลือทันทีเมื่อได้รับการประสาน จากทัพเรือภาคที่ 1 และต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือในฐานะมิตรประเทศของเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศกัมพูชา ที่ให้การช่วยเหลือลูกเรือชาวไทยที่ประสบภัยในครั้งนี้ อย่างเต็มกำลังความสามารถและทันท่วงที
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535646

#เทิดทูนสถาบันยึดมั่นระเบียบวินัยประชาชนภูมิใจทะเลไทยมั่นคง
#FitfortheFuture

บึงกาฬ ไทย-ลาวลงนามข้อตกลง(MOU)ด้านการศึกษาการค้าการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม 

การทำบันทึกข้อตกลงระหว่างศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ หอการค้าบึงกาฬ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวบึงกาฬ(BTA) วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ  โรงเรียนบึงกาฬ โรงเรียนบึงกาฬคริสเตียน ราชอาณาจักรไทย ร่วมกับแผนกศึกษาธิการและกีฬาแขวง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ลงนามทำข้อตกลง(MOU)ด้านการศึกษา การค้า การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม สภาการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมุ่งพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพการศึกษา การค้า การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระดับท้องถิ่นให้เข้มแข็งและยั่งยืนของทั้ง 2 จังหวัด 2 ประเทศ

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 10 มิ.ย. ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ว่าที่ร้อยตรี พูนศักดิ์ พระรัตภูมี ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวต้อนรับคณะจากสปป.ลาว ท่านโพนเพด กุนนาวง รองหัวหน้าแผนกศึกษาธิการและกีฬาแขวงบอลิคำไซ ท่านไพวัน สีพันดอน รองประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรม สปป.ลาว ส่วนฝ่ายไทยมี นายบุญเพ็ง ลามคำ ประธานหอการค้าจังหวัดบึงกาฬ นายบุญทวี สาลี นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดบึงกาฬ นายอุใด ศรีทุมมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบึงกาฬคริสเตียน นายสุรสิทธิ์ สิทธิอมร ผู้อำนวยการโรงเรียนบึงกาฬ และนายชาญชัย แสนจันทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) โดยมีรายละเอียดข้อตกลงความร่วมมือ ดังนี้ เพื่อมุ่งพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพด้านการศึกษาสู่มาตรฐานสากล เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานด้านการศึกษาร่วมกันให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาด้านการบริหารการศึกษา ด้านการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมสนับสนุนร่วมมือในด้านวิชาการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร และการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณี ทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ทางคณะศึกษาธิการแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ได้ศึกษาดูงานในวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬตามแผนกต่างๆ ด้วย

ว่าที่ ร.ต.พูนศักดิ์ พระรัตภูมี ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า การที่เราเห็นความสำคัญของการพัฒนาครั้งนี้ร่วมกันจึงเป็นสิ่งที่ดี เราจะได้พัฒนาความรู้ ให้โอกาสจากความร่วมมือของเราครั้งนี้จะทำให้ทั้งสองประเทศได้พัฒนาได้ไกลขึ้น ในเรื่องของการศึกษาทางจังหวัดบึงกาฬ ก็อยากจะสร้างความสัมพันธ์และร่วมมือแลกเปลี่ยนทางการศึกษา กับทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเช่นกัน  เราจะได้พัฒนาการศึกษาทั้งสองประเทศร่วมกัน 

ด้านนายชาญชัย แสนจันทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ ได้กล่าวต้อนรับคณะศึกษาธิการแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับต้อนรับคณะฯอย่างเป็นทางการ วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬได้จัดการเรียนการสอนทั้งหมด 11 สาขาวิชา ซึ่งมีนักศึกษาจาก สปป.ลาว ที่มาเรียนที่นี่จำนวน 4 คน กล่าวได้ว่าการเรียนเน้นปฏิบัติ มีฝึกงาน มีรายได้ระหว่างเรียน กิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนมากมาย นักศึกษาที่จบจาก วท.บึงกาฬ มีงานทำแน่นอน สามารถรับราชการในหน่วยงานรัฐ หรือสามารถประกอบอาชีพได้ 

ส่วนท่านโพนเพด กุนนาวง รองหัวหน้าแผนกศึกษาธิการและกีฬาแขวง กล่าวช่วงท้ายว่า วันนี้ได้มาเยี่ยมชมทางวิทยาลัยเทคนิคจังหวัดบึงกาฬก็รู้สึกประทับใจและชื่นชม ตลอดจนได้เห็นการเรียนการสอนพร้อมทั้งได้เดินชมสาขาช่างยนต์ สาขาช่างโยธา สาขาวิทยบริหาร สาขาการไฟฟ้า ทำให้รู้ถึงการก้าวหน้าในการเรียนการสอนสายอาชีพของวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ จึงคิดว่าครั้งต่อไปจะเชิญทางผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในสาขาวิชาอาชีพไปที่แขวงบอลิคำไช เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ ของการศึกษาและแลกเปลี่ยนกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นนั่นเอง.

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0645960906


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top