Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

‘ตลาดปลาจตุจักร’ ไฟไหม้ เสียหายหมด 118 ล็อก  เบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ เตรียมตั้งโต๊ะเยียวยาผู้ค้า

(11 มิ.ย.67) ศูนย์วิทยุพระราม199 รายงานว่า เมื่อเวลา 04.08 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในตลาดปลาจตุจักร เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยพหลโยธิน เร่งฉีดน้ำสกัดและควบคุมเพลิงไว้ได้ 

นายอนุวัฒน์ อ้นน่วม ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปตรวจสอบด้านในอาคาร ยังมีกลุ่มควันอยู่บางจุด และมีส่วนที่หลังคาทรุดลงมา ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ที่เกิดเหตุเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว แบ่งเป็นห้อง ร้านค้า 118 ล็อก ได้รับความเสียหายทั้งหมด โดยเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสำรวจสัตว์ในแต่ละร้าน เช่น ปลา กระต่าย เต่า นก ไก่ และ งู เป็นต้น

ด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร  เปิดเผยว่า ผู้อำนวยการเขตจตุจักรตั้งโต๊ะให้ผู้ค้ามาตรวจสอบ ลงทะเบียน และแจ้งความเสียหาย เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยา ขณะนี้มีผู้ค้าที่ได้รับผลกระทบเดินทางมาบางส่วน หลังจากนี้ สามารถไปแจ้งเรื่องได้ที่สำนักงานเขต

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ถ่ายทอดความรู้ 'ยานยนต์-พลังงานยุคใหม่' เสริมแกร่ง 'วิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ-ผู้ประกอบการผลิตอะไหล่ไทย'

‘พีระพันธุ์’ ดึง ‘ฉางอาน’ ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่  หนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ  เสริมสร้างทักษะแรงงานไทยสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน พร้อมดันไทยเป็น EV Hub ของอาเซียน 

เมื่อไม่นานมานี้ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN (ฉางอาน) ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านยานยนต์ยุคใหม่ เพื่อสนับสนุนวิทยาลัยพลังงานแห่งชาติ ของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังกลุ่มผู้ประกอบการผลิตอะไหล่รถยนต์ภายในประเทศ และการจัดหาพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในอนาคต

นายเซิน ซิงหัว กล่าวว่า "ความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทยไม่เพียงแค่การผลิต และการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังทุ่มเทในการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี และการศึกษาของภาคยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตยานยนต์ที่ยั่งยืนของประเทศ และเสริมสร้างทักษะแรงงานในท้องถิ่นให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้"

ทั้งนี้ ทาง CHANGAN ตั้งเป้าหมายให้ Local Content หรือวัตถุดิบในประเทศของรถยนต์ไฟฟ้า CHANGAN มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และเพิ่มเป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2570 ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น EV Hub อาเซียนในอนาคตอันใกล้นี้

เปิด ‘10 สถานที่’ ที่มีผู้คนไปเยือนน้อยที่สุด สอดแทรกความงาม - ควรค่าแก่การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวถือเป็นปัจจัยสำคัญของการใช้ชีวิตยุคใหม่ และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ มากมายหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สเปน อินเดีย กรีซ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนหลายล้านคนต่อปี ในขณะที่จุดหมายปลายทางอื่น ๆ มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในทุกปี ‘กรุงเทพมหานคร’ ประเทศไทย เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก ประมาณ 22 ล้านคน และ ‘กรุงปารีส’ ประเทศฝรั่งเศส ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 17.4 ล้านคนต่อปี

อย่างไรก็ตาม มีจุดหมายปลายทางที่มีความถี่ไม่มากนัก และมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้จุดหมายปลายทางเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างจำกัด ตัวอย่างเช่น เกาะต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของระยะทางไกล ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงและใช้เวลานานกว่าจะเดินทางไปถึง หรือประเทศอื่น ๆ ที่แม้จะอยู่ใกล้ แต่ก็อาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไปหรือขาดสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมทั้งปัญหาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังด้อยพัฒนาอาจเป็นอุปสรรคในด้านการคมนาคมขนส่งและขนาดที่เล็ก ทำให้มีการจำกัดจำนวนของนักท่องเที่ยว 

นอกจากนี้ บางประเทศ เช่น เกาหลีเหนือ ถูกมองว่าการไปเยือนมีความเสี่ยง ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่แท้จริงที่เกิดจากความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น โซมาเลีย

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศที่ดึงดูดนั้นไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับความสมบูรณ์ของประสบการณ์การเดินทางเสมอไป นอกเหนือจากประเทศที่ก่อให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยแล้ว ประเทศที่ไม่ค่อยมีคนไปเยือนนั้นมักจะสามารถรักษาความงาม ความเงียบสงบ ได้อย่างแท้จริง 

Tuvalu เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในโลก เพียง 3,700 คนในปี 2023 โดย Tuvalu เป็นประเทศหมู่เกาะอันเงียบสงบในมหาสมุทรแปซิฟิก ตามรายงานของนิตยสาร CEOWORLD ประเทศนี้มีประชากรเพียง 12,000 คน การท่องเที่ยวของประเทศมุ่งเน้นไปยังเรื่องราวของน้ำทะเลสีฟ้าสวยงาม ชายหาดที่มีต้นปาล์มพลิ้วไหว การดำน้ำตื้น และการดำน้ำลึก แนวปะการัง ทะเลสาบ และแหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเลในพื้นที่อนุรักษ์ขนาด 33 กม.² (12.74 ไมล์²) ซึ่งเป็นที่ที่เต่าทะเลเจริญเติบโต ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ชายหาดเหล่านี้เหมาะสำหรับการปิกนิก เดินเล่นสบาย ๆ ล่องเรือยอร์ช ทัวร์มอเตอร์ไซค์ เยี่ยมชมร้านเบเกอรี่ในท้องถิ่น เยี่ยมชมหอสมุดแห่งชาติ และสถานที่ประวัติศาสตร์จากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง

หมู่เกาะ Marshall (Marshall Islands) มีนักท่องเที่ยวเพียง 6,100 คนในปี 2023 หมู่เกาะภูเขาไฟแห่งนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างฟิลิปปินส์และฮาวาย มีชื่อเสียงจากหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ น้ำทะเลใสดุจคริสตัล และสิ่งมีชีวิตทางทะเลและพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงปะการังมากกว่า 160 สายพันธุ์ หมู่เกาะ Marshall มีประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่สำคัญเนื่องจากเคยเป็นฐานทัพของญี่ปุ่นก่อนที่จะกลายเป็นสถานที่สำหรับทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Tuvalu หมู่เกาะ Marshall กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตรายอันเนื่องมาจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เกาะ Niue ตั้งอยู่ในแปซิฟิกใต้และเป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในโลก ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะปะการังยกสูงที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว 10,200 คนในปี 2023 สิ่งที่ทำให้ Niue มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือการไม่มี “ผู้คนที่พลุกพล่าน คิวที่ยาวเหยียด สัญญาณไฟจราจร หรือชีวิตที่วุ่นวาย” นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ว่ายน้ำ ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก พายเรือคายัค ทัวร์ ATV ขับเคลื่อน 4 ล้อ และเดินป่าแบบสบาย ๆ ผ่านภูมิประเทศต่าง ๆ เช่น ชายหาด ป่าฝน สวน และฟาร์มวานิลลา มีเที่ยวบินเข้าและออกจากเกาะ Niue เพียงสัปดาห์ละเที่ยวบินเดียว ดังนั้นจึงต้องวางแผนการเดินทางให้เหมาะสม

Kiribati เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นประเทศเดียวที่ตัดผ่านซีกโลกทั้งสี่ มีนักท่องเที่ยวเพียง 12,000 คนในปี 2023 เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการตกปลา เล่นกระดานโต้คลื่น สำรวจสถานที่สำคัญในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และดูนก เกาะเล็กเกาะน้อย และเกาะปะการังทั้ง 33 เกาะของประเทศ เปิดโอกาสให้ดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นในพื้นที่คุ้มครองทางทะเลเกาะฟีนิกซ์ ซึ่งเป็นเกาะพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก Kiribati เป็นจุดหมายปลายทางที่ยังคงความเป็นธรรมชาติแต่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ซึ่งเหมาะสำหรับนักเดินทางผู้หลงใหลในการสำรวจและการผจญภัยนอกเส้นทางที่ไม่มีใครเคยรู้จัก สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติ Kiribati ยืนยันว่า Kiribati เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการทำความเข้าใจกับประเทศ Kiribati ไม่ใช่เพียงเพื่อแวะผ่านเท่านั้น

Micronesia ตั้งอยู่ระหว่างหมู่เกาะ Marshall และ Palau มีนักท่องเที่ยว 18,000 คนในปี 2023 เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเศษซากของสงครามโลกครั้งที่สอง ชายหาดที่มีแสงแดดส่องถึง เหมาะสำหรับการตกปลาและเล่นกระดานโต้คลื่น และสัมผัสความมหัศจรรย์ทางทะเลที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแนวปะการังระดับโลกและซากเรืออับปางในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เส้นทางเดินป่าตัดผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยความงามอันเขียวชอุ่ม ในขณะที่ใจกลางเมืองใน Micronesia เต็มไปด้วยสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา

หมู่เกาะ Montserrat จะต่างจากหมู่เกาะแปซิฟิก โดยเป็นประเทศแรกที่มีผู้เยี่ยมชมน้อยภายนอกภูมิภาคนี้ ตั้งหมู่เกาะนิ้งอยู่ในแคริบเบียนทางตะวันออกของอเมริกากลาง มีนักท่องเที่ยว 19,300 คนในปี 2023 ซึ่งครั้งหนึ่ง Montserrat เคยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม แต่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงด้วยการระเบิดของภูเขาไฟในปี 1995 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะต่อเมืองหลวงอย่างกรุง Plymouth หายนะครั้งนี้ทำให้ประชากรประมาณสองในสามของเกาะ Montserrat ต้องย้ายไปอยู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร ในขณะที่ภูเขาไฟของเกาะยังคงคุกรุ่นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วสงบนิ่งมาตั้งแต่ปี 2010 tพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของ Montserrat ยังคงเป็นเขตหวงห้าม    

หมู่เกาะ Solomon อดีตอาณานิคมของอังกฤษ อยู่ทางตะวันออกของปาปัวนิวกินี ในปี 2023 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 29,000 คน หมู่เกาะประกอบด้วยเกาะมากกว่า 900 เกาะ แม้ว่าเสน่ห์ของการดำน้ำ การดำน้ำตื้น และการพายเรือคายัคจะมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ยังเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

Sao Tome and Principe ตั้งอยู่ในอ่าวกินีนอกชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกากลาง ในปี 2023 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 34,900 คน เป็นประเทศเกาะที่มีความสวยงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ประกอบด้วยหมู่เกาะสองแห่งที่ล้อมรอบเกาะหลัก ประเทศนี้ถือเป็นกลุ่มแอฟริกาที่เล็กเป็นอันดับสอง โดยมีความหนาแน่นของประชากร 187 คนต่อตารางกิโลเมตร (4858o/ตารางไมล์) กรุง Sao Tome เมืองหลวงมีประชากรประมาณ 58,000 คน

Comoros หมู่เกาะภูเขาไฟที่อยู่นอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเพียง 45,000 คนในปี 2023 ตั้งคั่นกลางระหว่างมาดากัสการ์และชายฝั่งโมซัมบิก มีความแตกแยกทางการเมืองระหว่างสหภาพ Comoros และ Mayotte ซึ่งเป็นหน่วยงานโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ความวุ่นวายทางการเมืองได้ขัดขวางการเติบโตของการท่องเที่ยว เพราะทำให้หมู่เกาะนี้มีโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจำกัด

Guinea Bissau ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ตั้งอยู่ระหว่างเซเนกัลและกินี เป็นที่ซ่อนขุมทรัพย์แห่งประวัติศาสตร์ ชายหาดอันบริสุทธิ์ ป่าอันเขียวชอุ่ม และสัตว์ป่า ในปี 2023 มีนักท่องเที่ยวมาเยือน 52,000 คน อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงทางการเมืองและความท้าทายทางเศรษฐกิจกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการท่องเที่ยว คำแนะนำอย่างเป็นทางการสะท้อนถึงข้อควรระวัง โดยอ้างอิงถึงการเก็บกวาดทุ่นระเบิดและข้อกังวลด้านความปลอดภัยเป็นระยะ ๆ แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันความสงบสุขได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศ ทำให้เกิดความหวังสำหรับการท่องเที่ยวในอนาคตที่น่าจะสดใสยิ่งขึ้น

สำหรับบ้านเรา แม้ว่าปัจจุบัน ‘กรุงเทพมหานคร’ จะเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก มากถึง 22 ล้านคน แม้การเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกจะยากมากแล้ว แต่การรักษาตำแหน่งเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกนั้นยากยิ่งกว่า ดังนั้นพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนต้องร่วมมือและร่วมใจกันเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ‘ความปลอดภัย’ ‘การบริการ’ ‘สิ่งอำนวยความสะดวก’ และสำคัญที่สุดคือ ‘อัธยาศัยที่ดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจไมตรี’

เกิดเป็น 'นักการเมืองไทย' ต้องโกหก  ถ้าไม่โกหก ก็ไม่ใช่ 'นักการเมืองไทย'

คนรุ่นพี่ หรือรุ่นเดียวกันกับผม เราจะชินกับการโกหกคำโตของนักการเมืองไทยมาโดยตลอด ทั้งที่โกหกแบบหน้าด้าน ๆ หรือจะพยายามโกหกแบบเนียน ๆ ไม่ให้ใครจับได้ง่าย ๆ ก็ถือเป็นการโกหกประชาชนอยู่ดี คนที่กล้าอาสามาเป็น 'ตัวแทนประชาชน' มากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แต่ก็ยังกล้าโกหกประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา ก็หมายความว่าเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ และเนรคุณผู้มีพระคุณอย่างไม่น่าให้อภัย

ปีแล้วปีเล่าประเทศไทยจะต้องฝืนทนกับนักการเมืองหน้าเก่า ๆ ส่วนใหญ่ ๆ ที่แทบจะหาความดีกับแผ่นดินไทยไม่ได้เลย เราต้องทนกล้ำกลืนเห็นคนเหล่านี้หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาแทะกินประเทศชาติของเราต่อหน้าต่อตา และก็รอดพ้นตารางด้วย 'คำโกหกคำโต' บ่อย ๆ

ราวกับว่าเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะหวังพึ่งพิงได้จริง ๆ 

ในวันที่คนไทยกำลังสิ้นหวัง วันหนึ่งก็มีพรรคการเมืองที่ออกตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' แสดงออกถึงความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ มีแนวคิดที่จะกำจัดนักการเมืองแย่ ๆ ในแบบที่เราคุ้นเคยในอดีตให้หมดไปจากสังคมไทย เพื่อจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น โดยโฆษณาว่า ถ้าเลือกพวกเขาให้เข้ามาเป็น สส. หรือชนะการเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล รับประกันว่า 'ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม'

คำว่า 'ไม่เหมือนเดิม' ก็คงจะสื่อความหมายว่า ต้องดีขึ้น ดีในแบบที่ 'นักการเมืองรุ่นเก่า' ไม่เคยทำได้ นั่นคือไม่ทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ไม่สนับสนุนกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบภายในบ้านเรา ไม่สมคบคิดกับต่างชาติเพื่อมาทำลายสถาบันหลักของประเทศตัวเอง จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพร้อมจะเป็น 'แบบอย่างที่ดี' ให้กับเยาวชนคนรุ่นถัดไป 

แต่...เปล่าเลย ไม่มีสิ่งใดเฉียดใกล้สิ่งที่ 'นักการเมืองรุ่นใหม่' เคยโฆษณาเอาไว้

เพราะตั้งแต่ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่ออกตัวว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เรากลับเห็นพฤติกรรมเลว ๆ ที่ไม่ต่างจาก 'นักการเมืองรุ่นเก่า' แต่บางเรื่องก็เลวร้ายกว่า เช่นการล้างสมองเด็ก อาศัยเด็กเป็นเครื่องมือให้กระทำผิด 112 เพื่อสั่นสะเทือนสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง หนีการเกณฑ์ทหาร ทำอนาจารกับผู้ร่วมงาน มีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ทั้งหมดเกิดจาก 'นักการเมืองรุ่นใหม่' ทั้งสิ้น 

ยังไม่นับเรื่องโกหกสังคม พูดไม่หมด หรือพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้กับสิ่งที่ตนเองเกลียดชังนั้น มีให้เห็นตามหน้าสื่อแทบทุกวัน

ช่างไม่กระดากใจ หรืออายความเป็นคนกันบ้างเลย

'Elon Musk' เตรียมแบนการใช้ iPhone ในบริษัทของเขา หาก Apple ร่วมมือ OpenAI ฝัง ChatGPT เข้าไปใน OS ของเครื่อง

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.67) Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence ใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia เพื่อเพิ่มความฉลาดในการใช้งาน Siri รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีการใช้ Siri ร่วมกับ ChatGPT ล่าสุด Elon Musk ก็ดันขู่ว่าจะแบน Apple ซะอย่างงั้น

ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันของ Siri และ ChatGPT เพื่อเป็นการจัดการกับคำถามที่ซับซ้อนได้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ใช้งานแล้วเท่านั้น แถมฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการตอบสนองตามบริบทที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปิดแอป ChatGPT ซึ่งหลังงานเปิดตัวนี้ Musk ได้ออกตัวคัดค้านอย่างเต็มที่ผ่านการโพสต์บน X ของเขาเอง

โดย Musk บอกว่า “หาก Apple รวม OpenAI ในระดับระบบปฏิบัติการ อุปกรณ์ Apple จะถูกแบนในบริษัทของผม และนั่นเป็นการละเมิดความปลอดภัยที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งผู้มาเยือนจะต้องตรวจสอบอุปกรณ์ Apple ของตนที่ประตู ซึ่งจะถูกจัดเก็บไว้ในกรงฟาราเดย์” ทั้งนี้เขาก็ยังตั้งคำถามเพียบเลยถึงความสามารถของ Apple ในการรับรองความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน ซึ่งเขาบอกว่า “Apple ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาส่งข้อมูลของคุณให้กับ OpenAI”

สำหรับ Apple และ OpenAI ต่างเน้นย้ำว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกแชร์โดยได้รับความยินยอมอย่างแท้จริงเท่านั้น และการโต้ตอบเหล่านี้ได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัย ทั้งนี้ Apple ระบุอย่างชัดเจนในข้อความว่าความสามารถ AI ใหม่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก เพียงแต่เป็นการใช้งานเพื่อการประมวลผลเพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเท่านั้นด้วย

สำหรับการใช้งาน Apple Intelligence จะสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้

- iPhone 15 Pro
- iPhone 15 Pro Max
- iPad Pro ชิป M1 ขึ้นไป
- iPad Air ชิป M1 ขึ้นไป
- MacBook Air ชิป M1 ขึ้นไป
- MacBook Pro ชิป M1 ขึ้นไป
- iMac ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac mini ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac Studio ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac Pro ชิป M2 Ultra

'มาเลเซีย' ปรับราคาดีเซลขึ้นอีก 50% ในหลายพื้นที่ หลังยุติมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแห

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 67) สำนักข่าว Channel News Asia รายงานว่า มาเลเซียประกาศขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 50% ในหลายพื้นที่ มีผลวันนี้ ซึ่งก็คือ 10 มิ.ย. เนื่องจากรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางการใช้มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแหซึ่งมีต้นทุนสูง ไปเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ โดยกระทรวงการคลังระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.) ว่า จะเริ่มกำหนดราคาน้ำมันดีเซลให้สอดคล้องกับราคาตลาดมากขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังระบุว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.35 ริงกิตต่อลิตร ในพื้นที่รอบคาบสมุทรมาเลเซีย (Peninsular Malaysia) ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป ซึ่งราคาดังกล่าวจะเป็นราคาตลาดที่ไม่มีการอุดหนุนจากรัฐบาล โดยเป็นราคาอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยเดือนพ.ค. 2567 ตามสูตร Automatic Pricing Mechanism

สำหรับรัฐอื่น ๆ และดินแดนของมาเลเซียบนพื้นที่เกาะบอร์เนียว ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ที่ลิตรละ 2.15 ริงกิต โดยรัฐบาลจะยังตรึงราคานี้สำหรับกลุ่มขนส่งโลจิสติกส์ที่เข้าเกณฑ์การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังตรึงราคาน้ำมันสำหรับกลุ่มประมงและกลุ่มขนส่งสาธารณะบางส่วน อาทิ รถโรงเรียนและรถพยาบาล

ทั้งนี้ ตามมาตรการพยุงราคาน้ำมัน ราคาดีเซลในมาเลเซียจะจำหน่ายในราคาที่ต่างกัน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม สำหรับกลุ่มประมง อยู่ที่ลิตรละ 1.65 ริงกิต, กลุ่มขนส่งสาธารณะทางบก ลิตรละ 1.88 ริงกิต, กลุ่มยานพาหนะเชิงพาณิชย์และส่วนบุคคล ลิตรละ  2.15 ริงกิต และกลุ่มภาคการพาณิชย์ที่จำหน่ายตามราคาตลาดซึ่งไม่ได้รับการอุดหนุนราคา อยู่ที่ลิตรละ 3.60 ริงกิต

รัฐบาลมาเลเซียกล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า แผนลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลในปีนี้ คาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ปีละประมาณ 4 พันล้านริงกิต (853.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่า จะนำงบส่วนดังกล่าวไปช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาเลเซียใช้งบประมาณจำนวนมากในการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง น้ำมันปรุงอาหาร และราคาข้าว รวมถึงสินค้าพื้นฐานอื่น ๆ โดยงบดังกล่าวพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การคลังของรัฐบาลตึงเครียด เฉพาะน้ำมันดีเซลอย่างเดียว รัฐบาลมาเลเซียใช้งบในการพยุงราคาไปถึง 1.43 หมื่นล้านริงกิต ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 1.4 พันล้านริงกิตถึง 10 เท่า 

ย้อนอดีต 'ซีพี' ร่วมทุน 'ปตท.-จีน' เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันร่วมกัน แต่ล่ม สะท้อนผู้เล่นจะอยู่ได้ ราคาน้ำมันต้องถูก-ขายง่าย-กระจายกลุ่มลูกค้า

รู้หรือไม่? ซีพีก็เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 2536 ซีพี ร่วมลงทุนกับ 'ซิโนเปค' บริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของจีน จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมชื่อ 'ปิโตรเอเชีย' โดยเชิญการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เข้าร่วมทุนด้วย

ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นที่ ซีพีถือหุ้น 35% / ปตท.ถือหุ้น 35% และซิโนเปค 30%

ปิโตรเอเชีย ภายใต้สัญลักษณ์ 'ช้างแดง' เริ่มเปิดให้บริการในปี 2537 มีสถานีบริการน้ำมัน 37 แห่ง และจุดจ่ายน้ำมันขนาดเล็กอีก 450 แห่งทั่วประเทศ

หนึ่งในจุดขายสำคัญของปั๊มช้างแดงตอนนั้น คือ มีร้านเซเว่นอีเลฟเว่นให้บริการ ในยุคที่ ปตท.ยังคงบริหารร้านสะดวกซื้อแบรนด์ของตัวเอง เช่น จอย, พีพีทีที, สไมล์, ปตท.มาร์ท

แต่ธุรกิจปั๊มน้ำมันช้างแดงไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควร ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 5-7 ล้านบาท หรือตลอดที่เปิดกิจการ ขาดทุนราว 200 ล้านบาท แม้ปรับแผนการตลาดในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เกิดขึ้น ผู้ค้าน้ำมันทุกรายระส่ำ ปิดกิจการจำนวนมาก เอาแค่เฉพาะ ปตท.เจ้าเดียวก็ขาดสภาพคล่องราว 2 พันล้านบาท

จากจุดนี้ ทำให้ทั้ง ซีพี และ ซิโนเปค เสนอถอนทุน และให้ ปตท.เข้าซื้อหุ้นแทนทั้งหมด ขณะเดียวกัน ปตท.ถูกตัดลดงบลงทุนโครงการ ก็เลยจะขายหุ้นปิโตรเอเชียให้กับต่างชาติ เพราะไม่ต้องการแบกรับภาระ

เรียกว่าเป็นเผือกร้อนที่ต่างฝ่ายต่างก็โยนใส่กัน

แม้ว่าช่วงหนึ่ง ปตท.จะเปิดเผยว่ามีบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง 'อาร์โก้' ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ร้านเอเอ็มพีเอ็มในขณะนั้น แสดงความสนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้น แต่สุดท้ายก็ไม่สนใจที่จะซื้อหุ้นแล้ว

ในปี 2541 ซีพีเสนอขายปั๊มน้ำมัน 37 แห่งทั่วประเทศให้กับ ปตท.เพียงรายเดียว เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเนื่องจากขาดทุนสะสมสูงถึง 300 ล้านบาท อีกทั้งยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แต่ ปตท.ก็ตัดสินใจไม่รับซื้อกิจการ เพราะต้องการประคับประคองปั๊ม ปตท.ที่ในขณะนั้นเหลือเพียงแค่ 1,500 แห่งให้อยู่รอด อีกทั้งปั๊ม ปตท.กับปั๊มพีเอหลายแห่งอยู่ติดกัน จะเกิดการแข่งขันกันเอง

อย่างไรก็ตาม ผลที่สุด ที่ประชุมบอร์ด ปตท.เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2541 อนุมัติให้ ปตท.ซื้อปั้มน้ำมันปิโตรเอเชีย 17 แห่ง ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมีทำเลไม่เหมาะสม

จากนั้นในวันที่ 21 ส.ค. 2541 การประชุม 3 ฝ่ายระหว่าง ปตท. / ซีพี และ ซิโนเปค เห็นชอบให้หยุดดำเนินธุรกิจขายปลีกน้ำมัน แต่ยังคงดำเนินธุรกิจจำหน่ายส่งน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรม และดำเนินธุรกิจร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในปั๊ม

ส่วนปั๊มปิโตรเอเชียที่ดูแลโดยตัวแทนจำหน่าย 11 แห่ง ถ้าต้องการดำเนินกิจการต่อ ก็ให้เปลี่ยนเป็นปั๊ม ปตท. แต่ถ้าไม่ต้องการก็ให้ปิดกิจการ เพื่อหยุดความเสียหายต่างๆ

ปัจจุบัน ปั๊มปิโตรเอเชียได้เลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะทุกปั๊มเปลี่ยนเป็น ปตท.หมดจนไม่เหลือเค้าความเป็นปั๊มช้างแดงที่มีอยู่เดิม ขณะที่บางส่วนก็ปิดกิจการไปแล้ว

ความล้มเหลวของปั๊มช้างแดงในอดีต สาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ยึดติดแบรนด์เดิม กระทั่งมาถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ยิ่งซ้ำเติมให้ปิโตรเอเชียอยู่ลำบาก

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไป มีความเป็นไปได้ว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ซีพีลงมาทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เพราะเซเว่นอีเลฟเว่น ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่เป็นร้านสะดวกซื้อตามปั๊มน้ำมัน (Gasoline Store) หรือ G Store ซึ่งในเวลานั้น มีร้านไทเกอร์มาร์ทของปั๊มเอสโซ่ ร้านสตาร์มาร์ทของปั้มคาลเท็กซ์ และร้านซีเล็คของปั๊มเชลล์ ซึ่งแต่ละค่ายต่างหาจุดดึงดูดให้ลูกค้าใช้บริการในปั๊มของตัวเอง

ซีพี จึงก่อตั้งปั๊มน้ำมันของตัวเองภายใต้ชื่อ ปิโตรเอเชีย เพื่อให้เซเว่นอีเลฟเว่นมีสาขา G Store ที่จะมารองรับไลฟ์สไตล์ของคนเดินทาง ภายหลังปั้มปิโตรเอเชียเปลี่ยนเป็นปั๊ม ปตท. ก็ยังคงให้บริการอยู่

ขณะที่ร้านเอเอ็มพีเอ็ม ที่ ปตท.บริหารในปี 2540 โดยมีทิพยประกันภัยร่วมลงขัน ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในความเป็นจริงได้เพียงแค่โลโก้เอเอ็มพีเอ็มมาติดไว้หน้าร้าน แต่ไม่ได้รับเซอร์วิสต่างๆ มาเลย

เมื่อ ปตท.ตัดสินใจเซ็นสัญญาให้เซเว่นอีเลฟเว่นเปิดร้านสะดวกซื้อแทนร้านเอเอ็มพีเอ็มเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2545 กลายเป็นการต่อความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสองธุรกิจยักษ์ใหญ่ มาจนถึงทุกวันนี้

 

‘นักเรียนไทย’ สุดเจ๋ง!! คว้า 1 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง การแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิก ระดับเอเชีย ณ ประเทศมาเลเซีย

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่าตามที่ได้คัดเลือกและจัดส่งผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ประจำปี พ.ศ.2567 ระหว่างวันที่ 3 - 10 มิถุนายน 2567 ณ เมืองกัมปาร์ รัฐเปรัก สหพันธรัฐมาเลเซีย ผลปรากฏว่านักเรียนไทยสามารถทำได้ 1 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง 2 เกียรติคุณประกาศ และ 1 เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน ดังนี้

-นายภัทรภณ ธนพิทักษ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญเงิน
-นายทัดภู อุดมเกียรติ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญทองแดง
-นายธนัสร  วรรณสม โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย เหรียญทองแดง
-นายภพสุข สุเมธเชิงปรัชญา โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง เหรียญทองแดง
-นางสาวธีร์จุฑา สุขแสง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ เหรียญทองแดง

-นายกันตพิชญ์ เพิ่มวัฒนชัย โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา เกียรติคุณประกาศ

-นายปัณณทัต รัตนะมงคลกุล โรงเรียนเบญจมราษฎร์รังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เกียรติคุณประกาศ
-นายพสธร จินดาวงศ์ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จังหวัดสงขลา เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน

คณะอาจารย์ผู้ควบคุมทีมประกอบด้วย ดร.ธารา เฉลิมทรงศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าทีม, ผศ.ดร.มนต์สิทธิ์ ธนสิทธิโกศล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี รองหัวหน้าทีม, ดร.อุชุพล เรืองศรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผู้ช่วยหัวหน้าทีม, รศ.ดร.สุดารัตน์ ชาติสุทธิ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ช่วยหัวหน้าทีม และ นายกฤษชพล ทิวพุดซา สสวท. ผู้จัดการทีม

Energy Vault ผุดเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง เปลี่ยนอาคารสูงและโครงสร้างส่วนบนให้เป็น 'แบตเตอรี่ขนาดใหญ่'

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Energy Vault บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บพลังงานยั่งยืนระดับกริด ได้ประกาศความร่วมมือระดับโลกกับ Skidmore, Owings & Merrill (SOM) บริษัทด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมจากชิคาโก สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตร เพื่อเปลี่ยนอาคารสูงและโครงสร้างส่วนบนให้เป็น 'แบตเตอรี่ขนาดใหญ่' โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า 'ระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง' (GESS) 

ทั้งนี้ การออกแบบโครงสร้างส่วนบนอาคารนี้ ช่วยให้สามารถบูรณาการ GESS เข้ากับอาคารสูงได้ โดยใช้โครงสร้างกลวงที่มีความสูง 300 - 1,000 เมตร ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้จะมีความสามารถในการจัดเก็บพลังงานตามแรงโน้มถ่วงหลาย GWh เพื่อจ่ายพลังงานให้กับตัวอาคาร รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการพลังงานของอาคารที่อยู่ติดกันด้วย

ในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ SOM จะเป็นสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างแต่เพียงผู้เดียวที่จะพัฒนาโครงสร้างที่ปรับใช้ได้สำหรับระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง ของ Energy Vault ใหม่ทั้งหมด รวมถึงการผสานรวมเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วงเข้ากับอาคารสูงในเมือง สภาพแวดล้อม และโครงสร้างที่ปรับใช้ได้ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

ความร่วมมือดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก G-VAULT ระบบพลังงานของ Energy Vault ซึ่งเป็นวิธีการกักเก็บพลังงาน มีลักษณะคล้ายกับกระดานหกขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยการใช้น้ำหนักที่ขึ้นลง และระบบใช้แรงโน้มถ่วง เพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียน 

SOM และ Energy Vault คาดว่าจะใช้ คอมพิวเตอร์อัจฉริยะและเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ วัสดุที่แข็งแกร่ง และวิศวกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างระบบที่สามารถยกของหนักเหล่านี้ได้ 

โดยเมื่อมีพลังงานส่วนเกิน (เช่น ในเวลากลางคืน) โครงสร้างส่วนบนเหล่านี้จะใช้ไฟฟ้านั้นเพื่อยกของหนักให้สูงขึ้น เมื่ออาคารสูงเหล่านี้ต้องการไฟฟ้ามากขึ้น เช่น ในช่วงกลางวัน จะปล่อยให้น้ำหนักลดลง และเมื่อมันลดลง ก็จะผลิตพลังงานและจ่ายไฟฟ้าหมุนเวียน

ทุกวันนี้ โครงสร้างส่วนใหญ่ที่เก็บไฟฟ้าส่วนเกินจะใช้ระบบสูบน้ำซึ่งคล้ายกับอ่างเก็บน้ำบนเนิน น้ำไหลลงเนินและสร้างพลังงานเมื่ออาคารต้องการไฟฟ้ามากขึ้น และระบบกักเก็บพลังงานแรงโน้มถ่วง (GESS) ของ Energy Vault ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่แทนที่จะใช้น้ำ กลับวางแผนที่จะใช้น้ำหนักขนาดยักษ์ 

GESS ต่างจากพลังน้ำสูบ ซึ่งต้องใช้ภูเขาและน้ำ เพราะสามารถสร้างได้เกือบทุกที่ เนื่องจากใช้แรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว

SOM และ Energy Vault เชื่อว่านวัตกรรมนี้สามารถไขกุญแจสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการจัดเก็บพลังงานสะอาดจากแหล่งต่าง ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ขณะเดียวกันระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีอายุการใช้งาน 35 ปีขึ้นไป โดยมีการบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ลูกค้าสามารถเลือกขนาดของระบบให้เหมาะสมกับความต้องการทางสถาปัตยกรรมและความต้องการทางเทคนิคได้ 

ส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลในระบบเป็นไปได้เพื่อลดของเสีย และเมื่อติดตั้งแล้ว อาคารสูงเหล่านี้มีศักยภาพในการกักเก็บและจ่ายพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงข่ายไฟฟ้าเป็นระยะเวลานานโดยไม่ย่อยสลาย 

ปัจจุบัน Energy Vault กำลังขยายพอร์ตโฟลิโอการใช้งาน GESS โดยเน้นไปที่การขยายการดำเนินงานทั่วโลกในตลาดแอฟริกาและเอเชีย

ทั้งนี้ ผลงานที่ผ่านมา SOM ได้ออกแบบอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกหลายแห่ง รวมถึง Burj Khalifa, Tianjin CTF Finance Centre, Willis Tower และ One World Trade Center

อย่างไรก็ตาม อาคารสูงที่จะกลายเป็นแบตเตอรี่ขนาดมหึมาเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างและยังไม่ได้ระบุสถานที่ที่อาคารเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้น แต่ Energy Vault ได้เริ่มทำงานร่วมกับ SOM ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพื่อปรับโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และเศรษฐศาสตร์ของเทคโนโลยี GESS ให้เหมาะสม

‘มูลนิธิยังมีเรา’ ควง ‘ผู้พันเบิร์ด’ จัดกิจกรรม ‘คิดดี ต้นกล้าดีมีคุณธรรม’ ปลูกฝังเยาวชนไทยให้ ‘รู้รักสามัคคี-รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์’

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.67) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมด้วยมูลนิธิยังมีเรา จัดกิจกรรม Roadshow คิดดี ต้นกล้าดีมีคุณธรรม ณ โรงเรียนปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้คิดดี ทำดี สร้างจิตสำนึกที่ดี พร้อมทั้งปลูกฝังให้เยาวชนไทยรู้รักสามัคคี ปกป้องผืนแผ่นดินไทยด้วยหัวใจที่รักชาติ ศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์

โดยมี พล.ต.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองทัพไทย หรือ ผู้พันเบิร์ด เป็นผู้บรรยายในช่วง Kiddee Talk กับหัวข้อ คิดดีมีคุณธรรม ซึ่งครั้งนี้ผู้พันเบิร์ด ตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทย และนำเรื่องราวของข้อเท็จจริงที่กำลังถูกสังคมบิดเบือนมา ถ่ายทอด และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้ฟังและเข้าใจง่าย สอดแทรกสาระด้วยการนำบางฉากของภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร มาเล่าเพื่อให้การบรรยายนั้นมีความสนุกสนานเพิ่มขึ้น และทำให้น้อง ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมสนใจในการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ชาติไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงเรื่องของ ‘ความเป็นจิตอาสา’ โดยมีการยกตัวอย่างการเป็นจิตอาสา ที่เราสามารถเริ่มต้นได้จากตัวเอง ครอบครัว กลุ่มเพื่อน จนถึง สังคม เป็นการปลูกฝังต้นกล้าให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพด้วยการสร้างจิตสำนึกที่ดีและมีคุณธรรม

หลังจากจบการบรรยายน้อง ๆ นักเรียนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สนุกและได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ในอีกแง่มุม ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วประวัติศาสตร์ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด อย่างเช่น ‘น้องแชมป์ ชิษณุพงศ์’ จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย กล่าวถึงความประทับใจครั้งนี้ว่า “ยอมรับว่าบางเรื่องไม่เคยได้รู้มาก่อน บางเรื่องได้ยินมาในอีกแง่มุม ทำให้มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน การรับฟังการบรรยายครั้งนี้ทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์และเรื่องราวสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าเดิมขึ้นเยอะ เพราะการบรรยายของผู้พันเบิร์ด สนุกและเข้าใจง่ายอย่างเช่นการหยิบเรื่องราวจากภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาฉายและเล่าให้ฟัง จึงรู้ว่าการถ่ายทอดเรื่องในภาพยนตร์นั้น ต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเป็นข้อเท็จจริงจากประวัติศาสตร์ชาติไทยทั้งนั้น”

ขณะที่ น้องอิคคิว เอื้ออังกูร หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม คิดดีแคมป์ ต้นกล้าดีมีคุณธรรม season2 กล่าวว่า “ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์อยู่แล้ว แต่เมื่อได้มาฟังคำบรรยายของผู้พันเบิร์ด ทำให้เห็นเรื่องราวความเป็นมาอีกด้าน และลึกซึ้งมากขึ้น ส่วนเรื่องการเป็นจิตอาสา พอฟังแล้วก็ยิ่งทำให้ตัวเองได้มองเห็นคุณค่าในตัวเอง และพร้อมที่เสียสละ ทำดีเพื่อส่วนรวม เพราะการจะเป็นเด็กที่มีคุณภาพนั้นเราต้องไม่ใช่แค่เรียนดีอย่างเดียว แต่ต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม และรู้จักแบ่งปันเสียสละเพื่อส่วนรวมด้วย”
 
นอกจากน้อง ๆ นักเรียนได้ฟังการบรรยายอย่างเต็มอิ่มแล้ว ยังสนุกสนานไปกับกิจกรรมในช่วงถามตอบแจกเพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากผลิตภัณฑ์ Carebeau ผู้ใหญ่ใจดีที่นำมาฝากน้อง ๆ พร้อมปิดท้ายบรรยากาศด้วยการถ่ายภาพด้วยกัน เรียกว่าอิ่มใจทั้งผู้ให้ สุขใจทั้งผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ การแนะแนวทาง และ มิตรภาพที่ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top